“แม็คกรุ๊ป” เดินหน้าโชว์กำไรติดต่อกันทุกไตรมาส ประเดิมไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 อวดกำไร 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ย้ำการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ดันมาร์จิ้นขยับแตะ 66% ยังคงสถานะบริษัทไร้หนี้ เงินสดแน่นไม่กระทบดอกเบี้ยขาขึ้น
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผย ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. 2566 – 30 ก.ย. 2566) ว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 129 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท
“ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ ไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาดเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ลดลงมาอยู่ที่ 55.7 ในเดือนกันยายน จาก 56.1 ในเดือนมิถุนายน ซ้ำยังเจอกับปัญหาเรื่องสงครามและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ แม็คกรุ๊ปฯ ยังสามารถสร้างผลงาน และมีกำไรสุทธิติดต่อกันทุกๆ ไตรมาส เนื่องจากมีการบริหารจัดการและมีกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและการบริหารสินค้าที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตร และนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนรายได้ของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น16.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 759 ล้านบาท” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว
ทั้งนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกำลังซื้อที่กลับมา ทั้งในช่องทางออฟไลน์ได้ แก่ร้านค้าปลีกของตนเอง(Free-standing Shop)ที่เป็นช่องทางหลัก มีสัดส่วนกว่า 66% มีรายได้ 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%, ช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) สัดส่วน 11% มีรายได้ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.1%และห้างสรรพสินค้า (Department Store) สัดส่วน 19% มีรายได้ 170 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย จากมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของภาครัฐและลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน การเปิดประเทศ รวมไปถึงการขยายช่องทางขายอย่างต่อเนื่อง
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) ให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 66% ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 64.6% สืบเนื่องจากประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายที่ดี
ทั้งนี้ฐานะการเงินของบริษัทฯ ล่าสุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีเงินสดรวมทั้งสิ้น 1,675 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิงวดปี 2567 ให้เติบโตต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้
ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 กลุ่มบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 มิถุนายน 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาทจากผลประกอบการที่เพิ่ม 129 ล้านบาท