Home Blog Page 92

ซีพี ออลล์-เซเว่นฯ เดินหน้าสร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว”  6 ภูมิภาคสร้างโอกาสเยาวชนนำสินค้าขายร้านเซเว่นฯ​

0

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าโครงการ CONNEXT ED ต่อเนื่องในปี 67 สนับสนุนงบประมาณ-ผู้นำรุ่นใหม่-องค์ความรู้-อุปกรณ์การศึกษา สู่โรงเรียนเป็นเฟสที่ 6 สะสม 610 โรงเรียน ครอบคลุมนักเรียนกว่า 160,000 คน ยกระดับการศึกษา สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน เดินหน้าโมเดล “ผู้ประกอบการจิ๋ว” พัฒนาทักษะการเรียนรู้-ทักษะอาชีพ-ทักษะชีวิต สอดคล้องร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ เปิดทางนักเรียนสู่เส้นทางผู้ประกอบการ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชุมชน พร้อมโอกาสนำสินค้าขายร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการจิ๋วแจ้งเกิดใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ได้กำหนดกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 2024-2025(CP ALL Sustainability framework) “2ลด 4สร้าง 1DNA” ยึดมั่นเป็นองค์กรที่อยู่เคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน โดย CONNEXT ED  เป็น 1 ในโครงการภายใต้กรอบกลยุทธ์การสร้างคนผ่านการศึกษา ในปีการศึกษา 2567 นี้ บริษัทยังคงเดินหน้า    โรดแมปขับเคลื่อนแผนงานสร้างอนาคตการศึกษาไทย ภายใต้มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED)อย่างต่อเนื่องเป็นเฟสที่ 6 โดยมีแผนสนับสนุนทั้งงบประมาณ องค์ความรู้ อุปกรณ์การศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรในเครือที่ผ่านการพัฒนาทักษะและมีจิตสาธารณะ เข้าไปเป็นผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ร่วมลงพื้นที่เป็นคู่คิดพัฒนาโรงเรียน ให้แก่โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศเพิ่มเติม คาดว่าบริษัทจะพัฒนาโรงเรียนสะสมตลอดช่วง 6 เฟส รวม 610 โรงเรียน คิดเป็นจำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมสะสมกว่า 160,000 คนทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เฟสที่ 6 เป็นต้นไป บริษัทจะร่วมกับโรงเรียน CONNEXT ED ที่มีศักยภาพในการพัฒนา “ผู้ประกอบการจิ๋ว” จัดหลักสูตรการเรียนการสอน ที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ และทักษะชีวิตที่สอดคล้องและ    เท่าทันพัฒนาการของโลก ตามแนวทาง ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ให้นักเรียนมีทั้งความรู้ด้านวิชาการ และด้านวิชาชีพ สำหรับก้าวไปประกอบกิจการของตัวเองในอนาคต เริ่มจากการช่วยพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มาจากองค์ความรู้ชุมชน

“ทักษะทางวิชาการเพียงอย่างเดียว จะไม่เพียงพอสำหรับโลกในอนาคตอีกต่อไป การพัฒนาผู้ประกอบการจิ๋ว        จะเป็นทั้งการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่ทั้งโรงเรียน CONNEXT ED ชุมชน และตัวนักเรียน ถือเป็นการต่อยอดสร้างเด็กเก่ง เด็กดี มีความสามารถผ่านการศึกษา ได้มีโอกาสก้าวไปสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการ หรือ Entrepreneur หากผลิตภัณฑ์ใดที่นักเรียนและโรงเรียนร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมาแล้วมีความ โดดเด่น ผ่านมาตรฐานคุณภาพสินค้า SME ของบริษัท ก็จะมีโอกาสได้รับการพิจารณาจำหน่ายในร้านเซเว่น     อีเลฟเว่น ต่อไปด้วย” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน มีโรงเรียน CONNEXT ED จำนวน 2 แห่งที่คาดว่า สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนด้านวิชาการและวิชาชีพเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งมีผลิตภัณฑ์ชุมชนฝีมือเยาวชนที่       โดดเด่น ได้แก่ 1.โรงเรียนบ้านสันป่าสัก อ.หางดง จ.เชียงใหม่กับผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพร ฝีมือเด็กระดับประถมศึกษาตอนต้น และ 2.โรงเรียนวังไพรพิทยาคม อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว กับผลิตภัณฑ์กระเป๋าผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรือง ฝีมือเด็กระดับมัธยมศึกษา ที่เป็นงานทำมือ (Handmade) ที่ทุกคนจะได้ลายผ้าไม่เหมือนกัน ปัจจุบัน ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์อยู่ระหว่างการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง(ผลิตภัณฑ์) และตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานเพื่อการพัฒนาเพิ่มเติม คาดว่าจะมีบางผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิจารณาเข้าจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นภายในสิ้นปีนี้

“ยังมีอีกอย่างน้อย 15 โรงเรียน ที่เราเล็งเห็นแล้วว่าเป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพ และอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนฝีมือเยาวชนให้แข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ของโรงเรียนเหล่านี้ ต่างได้รับความร่วมมือจากชุมชน ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยปราชญ์ชาวบ้าน จนทำให้เกิดการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ใช้องค์ความรู้อันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เราตั้งเป้าว่าเราอยากจะพัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการจิ๋วขึ้นในทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วไทย และกลายเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียน CONNEXT ED อื่นๆ ในการพัฒนาทั้งทักษะอาชีพ และทักษะชีวิต ให้แก่เยาวชน สอดคล้องกับทิศทางโลก” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการพัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการจิ๋วแล้ว ทุกโครงการยังมีการดำเนินการพัฒนาเป็นหลักสูตรท้องถิ่น ก่อให้เกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ช่วยเสริมสร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนที่ต้องการเรียนรู้ทักษะวิชาชีพ เพื่อนำไปสร้างรายได้เพิ่มเติมอีกด้วย

สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 52 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “Giving and sharing”  วางเป้าดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED 6 เฟส จำนวนกว่า 610 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด

Chef Cares เปิดประสบการณ์ ‘โจ๊กหมูแดง-ข้าวหมูแดงกวางตุ้งฮ่องเต้’ สัมผัสความอร่อยสไตล์ฮ่องกง

0

เชฟแคร์ส (Chef Cares) ส่งต่อความอร่อย ผ่าน 2 เมนูใหม่ โจ๊กหมูแดงและข้าวหมูแดงกวางตุ้งฮ่องเต้ รังสรรค์เมนูโดย เชฟเหลียง ชิง ฮอย ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารจีน ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ ใส่ใจในรายละเอียด จึงเลือกใช้วัตถุดิบเนื้อหมูคุณภาพ ที่คัดสรรอย่างดี คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการผู้บริโภค พร้อมจำหน่ายแล้ว ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั่วประเทศ

เริ่มที่ ‘โจ๊กหมูแดง’ เปิดประสบการณ์สไตล์ฮ่องกง เหมือนบินลัดฟ้าไปรับประทานด้วยตนเอง ด้วยโจ๊กเนื้อเนียนนุ่ม ทำจากข้าวหอมมะลิคัดพิเศษ พร้อมหมูแดงเนื้อแน่น พอดีคำ ราดด้วยซอสหมูแดงรสชาติกลมกล่อม ในราคา 49 บาท

สำหรับ ‘ข้าวหมูแดงและกวางตุ้งฮ่องเต้’ เชฟเหลียง ชิง ฮอย ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ต้นฉบับแท้ ด้วยเนื้อหมูแดงชิ้นใหญ่ เต็มคำ ราดด้วยซอสสูตรพิเศษที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน รสหวานเค็มลงตัว รับประทานคู่กับข้าวหอมมะลิคัดเกรดอย่างดี เสิร์ฟพร้อมกับกวางตุ้งฮ่องเต้ลวกสุกกำลังดี ราคา 69 บาท

เชฟแคร์ส เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ภายใต้บริษัท เชฟแคร์ส จำกัด โดยความร่วมมือกับเชฟแถวหน้าของประเทศไทย ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน และนำกำไร 100% คืนสู่สังคม เพื่อสร้างโอกาส และมอบแนวทางการประกอบอาชีพในวงการอาหาร แก่เด็กและเยาวชนผู้ห่างไกล ร่วมถึงผู้ด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ออมสินเปย์หนัก ! แจกทองคำแท่งและรถยนต์ไฟฟ้า​ เพียงสมัครบัตรหรือใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตออมสิน

0

แค่รูดใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ‼️ ก็มีสิทธิ์ได้ลุ้นรถได้ลุ้นทองกับธนาคารออมสิน ครอบรอบ 111 ปี แจกใหญ่ แจกจริง เพียงสมัครบัตรเดบิตออมสิน หรือใช้จ่ายผ่านบัตร ก็มีสิทธิ์ลุ้นทันที ไม่ต้องลงทะเบียน สมัครปุ๊ป! จ่ายปั๊ป! ลุ้นรับรางวัลสุดปัง! รวมทั้งสิ้น 111 รางวัล มูลค่ารวม 4 ล้านบาท!
?? ลุ้น! รถยนต์ไฟฟ้า BYD รุ่น Dolphin สี Coral Pink จำนวน 3 รางวัล
?? ลุ้น! ทองคำแท่งหนัก 2 สลึง จำนวน 108 รางวัล
เงื่อนไขรับสิทธิ์
✨ เข้าร่วมแคมเปญได้ทั้งผู้ถือบัตรเดบิตปัจจุบันและผู้สมัครบัตรใหม่
✨ สมัครบัตรใหม่ (ยกเว้นบัตรเดบิตออมสิน เบสิค): รับ 5 สิทธิ์

  • บัตรเดบิตออมสิน สมาร์ทไลฟ์, บัตรเดบิตออมสิน สมาร์ทแคร์, บัตรเดบิตออมสิน แอคซิเดนท์, บัตรเดบิตออมสิน สบายใจ, และ บัตรเดบิตออมสิน อุ่นใจ​
  • บัตรเดบิตออมสิน อินสแตนท์: รับ 1 สิทธิ์

✨ ชำระค่าสินค้า หรือใช้บริการผ่านบัตรเดบิตออมสินทุกประเภทที่หน้าร้าน หรือออนไลน์โดยมียอดใช้จ่าย 300 บาท ขึ้นไป/เซลล์สลิป รับ 1 สิทธิ์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/o0jY3
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 – 30 กันยายน 2567
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
หมายเหตุ: ตามใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นแถมพกหรือรางวัลในการเสี่ยงโชค โดยวิธีใด ๆ ในการประกอบกิจการค้าหรืออาชีพเลขที่ 479/2567 จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

รู้เก็บรู้ออม : AomWise แอปสายชิลล์!!

0

เดี๋ยวนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรา ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยาก ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะของคนไม่กี่กลุ่มเหมือนที่หลายคนคิดเมื่อก่อน เพราะต้องยอมรับว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในโลกลงทุนสมัยใหม่ ได้ทำให้เรื่องของการลงทุนอยู่ใกล้ตัวคนที่เห็นความสำคัญเรื่องการลงทุนมากกว่าแต่ก่อน

รวมทั้งการพัฒนาระบบบริการซื้อขายหุ้น และเครื่องมือ-เทคโนโลยีในการลงทุนต่างๆ อย่างเช่น ระบบสตรีมมิ่ง ซื้อขายหุ้นออนไลน์ในมือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นงานของบริษัท เซ็ทเทรด ดอทคอม จำกัด หรือ Settrade บริษัทที่อยู่ในกลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มลงทุนออนไลน์ ล่าสุด Settrade เปิดตัวแอปฯใหม่ “AomWise” หรือออมไวซ์ แพลตฟอร์มการออมและลงทุนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ช่วยทำให้เรื่องลงทุนง่าย สะดวก และปลอดภัย

เพราะโลกของการลงทุนปัจจุบันอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุน Settrade จึงได้พัฒนาเครื่องมือลงทุนให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนยุคใหม่ โดยแอปฯ Aomwise พัฒนาขึ้นให้เป็นแพลตฟอร์มลงทุนที่เป็นทางเลือกให้ทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ ภายใต้แนวคิด “แอปฯ ออมสุดชิลล์ ลงทุนแบบชิลล์สุด

ชูจุดเด่นเรื่องของการเปิดบัญชีที่ทำได้ง่าย อนุมัติรวดเร็ว เปิดปุ๊บเทรดได้ปั๊บ พร้อมกับการเป็น One-stop platform คือ เปิดบัญชีเดียว สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้น กองทุน DR และ ETF แถมยังไม่ต้องห่วงเรื่องการจัดการเงินในบัญชีที่ทำได้สะดวกและปลอดภัย ไม่ว่าจะฝาก-ถอน, ซื้อ-ขาย สามารถทำรายการได้เอง ไม่มีขั้นต่ำ เพียงใส่ตัวเลขจำนวนเงินที่ต้องการซื้อ แอปฯจะช่วยคำนวณให้เสร็จสรรพว่า ซื้อหุ้น/กองทุนได้กี่หน่วย

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใช้งานแบบโดนๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูข้อมูลพื้นฐานของหุ้น กองทุน แบบครบถ้วน เช่น ราคาหุ้นย้อนหลัง ข้อมูลการเงินบริษัท, สามารถดูพอร์ตลงทุนแบบภาพรวม, เครื่องมือช่วยคัดกรองหุ้น-กองทุนตามสไตล์และแนวทางลงทุนของตัวเอง

ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบหน้าตาให้อยู่ในหน้าจอที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับมือใหม่หัดลงทุนทุกคน

นักลงทุนทุกรุ่นสามารถไปกดดาวน์โหลดแอปฯ มาใช้งาน และติดต่อขอเปิดบัญชีได้กับบริษัทหลักทรัพย์นำร่อง 3 ราย ได้แก่ บล.โกลเบล็ก, บลจ.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) โดย Settrade มีแผนขยายการให้บริการแอปฯ AomWise กับ บล. พันธมิตรรายอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป

หรือใครที่มีแผนจะไปเดินเที่ยวงาน Set in the city 2024 สามารถแวะเยี่ยมชมบูธ Aomwise และเข้าร่วมสัมมนาเพื่อเจาะลึกทุกฟังก์ชันใช้งานได้ก่อนใครกับหัวข้อ “สร้างพอร์ตฉบับมือใหม่ ออมไวให้ว้าว กับแอป AomWise” ในวันเสาร์ที่ 15 มิ.ย.67 เวลา 13.00-13.20 น. ที่เวที mini stage สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 และพิเศษสำหรับผู้เปิดบัญชี Aomwise ภายในงาน จะได้รับ Central Voucher มูลค่า 200 บาท นอกจากนี้ ยังมีสิทธิร่วมลุ้นรางวัลจากการร่วมกิจกรรมภายในบูธอีกด้วย

ดาวน์โหลดแอปฯ “AomWise” ได้แล้ววันนี้ ทั้ง App Store และ Google Play ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.settrade.com/aomwise หรือสอบถาม 0-2009-9999

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเลือก “อัสสเดช คงสิริ” เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14 มีผล 19 ก.ย. 2567 นี้

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 14 มิ.ย. 67 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เลือกนายอัสสเดช คงสิริ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14 แทนนายภากร ปีตธวัชชัย ที่กำลังจะครบวาระ หลังจากผ่านกระบวนการสรรหาและพิจารณาคัดเลือกอย่างถี่ถ้วน นายอัสสเดช คงสิริ จะเริ่มงานในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 เพื่อเตรียมการก่อนเข้ารับตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 กันยายน 2567 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งสูงสุดขององค์กร เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญตลาดทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งด้านการเงิน นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรชั้นนำในตลาดทุนและองค์กรระดับสากลกว่า 30 ปี ทำให้คณะกรรมการเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันนโยบายสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และองค์กรจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อเร่งสร้างความเชื่อมั่น รวมทั้งสร้างความน่าสนใจของตลาดทุนไทยให้กับผู้ลงทุนทุกกลุ่มทั้งผู้ลงทุนในไทย และผู้ลงทุนต่างประเทศ  อีกทั้งสานต่อการเชื่อมโยงตลาดทุนไทยสู่ตลาดทุนโลก พร้อมไปกับการขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อให้ตลาดทุนเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตามวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

สำหรับประวัติของนายอัสสเดช ปัจจุบันมีอายุ 53 ปี จบการศึกษาปริญญาโทบริหารธุรกิจ MIT Sloan School of Management (ประเทศสหรัฐอเมริกา) และปริญญาตรี Mechanical Engineering จาก The University of Manchester (ประเทศอังกฤษ) เคยร่วมงานกับองค์กรในตลาดทุนระดับสากล มีประสบการณ์ในด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแก่ธุรกิจหลากหลายทั้งในและนอกประเทศ ล่าสุดทำงานในตำแหน่ง Lead Partner for Financial Advisory ให้กับ Deloitte Thailand สำหรับประสบการณ์ที่ผ่านมา นายอัสสเดชเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด Head of Thailand ที่ Bank of America Merrill Lynch และ VP Investment Banking ที่ J.P. Morgan ประเทศไทย รวมทั้งเคยมีประสบการณ์ทำงานด้านการเงินในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ที่ บมจ. ปตท. ในส่วนบทบาทในองค์กรภาคสังคม คือ รองประธานกรรมการมูลนิธิหมอเสม พริ้งพวงแก้ว

ซีพีเอฟ ชูระบบฟาร์มปลอดโรค “คอมพาร์ทเมนต์” ย้ำผลิตเนื้อไก่ปลอดภัยระดับสูงสุด

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประยุกต์ระบบฟาร์มปลอดโรค “คอมพาร์ทเมนต์ (Compartment)” ตามมาตรฐานสากลมาใช้ ป้องกันและเฝ้าระวังโรคในฟาร์มสัตว์ปีกอย่างเข้มแข็ง เพื่อยืนยันเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งมอบให้กับผู้บริโภคมีความปลอดภัยสูงสุด มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของซีพีเอฟ ปลอดโรค ปลอดภัย ปลอดสาร สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากรโลก

น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล

น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองผู้อำนวยการด้านมาตรฐานฟาร์มและข้อกำหนดลูกค้า ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ประยุกต์ใช้มาตรฐานคอมพาร์ทเมนต์ ตามแนวทางขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ WOAH) มาตั้งแต่ปี 2549 โดยดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อยกระดับการปกป้องและป้องกันสัตว์ปีกในฟาร์มให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยจากโรคระบาดต่างๆ โดยเฉพาะไข้หวัดนก (Avian Influenza หรือ Bird Flu) ด้วยระบบมาตรฐานนี้ ทำให้สัตว์ปีกได้การคุ้มครองและดูแลให้มีสุขภาพดีโดยไม่มีโรคระบาดในฟาร์มมานานกว่า 15 ปี

“ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดในผลิตภัณฑ์อาหารที่จะส่งตรงถึงผู้บริโภค การเลี้ยงไก่ของบริษัทฯ ให้ความสำคัญสวัสดิภาพสัตว์ อีกทั้งระบบการป้องกันโรคที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบคอมพาร์ทเมนต์เป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุก ในการสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าว

หลักการของระบบคอมพาร์ทเมนต์ มีมาตรการในการควบคุม ป้องกันและเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญใน 4 มาตรการหลัก คือ

  1. มาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity Management System) เน้นการประเมินความเสี่ยง ด้าน คน สัตว์พาหะ ยานพาหนะและสิ่งของ ที่จะเข้าสู่ฟาร์ม ควบคู่กับมาตรการเข้มงวดของบริษัทเพิ่มเติมจากมาตรฐานป้องกันโรคทั่วไป เพื่อให้ทราบถึงความเสี่ยงของแต่ละฟาร์มในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีปัจจัยและความเสี่ยงในการที่ไข้หวัดนกจะเข้าสู่ฟาร์มที่แตกต่างกัน
  2. การเฝ้าระวังไข้หวัดนกในฟาร์มและรัศมีโดยรอบ 1 กิโลเมตร (Surveillance) ตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์ ให้ทราบสถานะว่ามีโรคอยู่ในฝูงไก่หรือไม่ โดยอาศัยการตรวจจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งฟาร์มไก่เนื้อของ ซีพีเอฟ จะเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจโรคและตรวจสถานะไข้หวัดนกทุกรุ่นก่อนการปลดไก่ ก่อนส่งไปยังโรงงานแปรรูป
  3. มาตรการควบคุมโรคของคอมพาร์ทเมนต์ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรค และมีแผนฉุกเฉิน ซึ่งระบบคอมพาร์ทเมนต์ จะทำให้สามารถทราบสถานะของการเกิดปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบการเตือนภัยล่วงหน้า
  4. การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) จะทำให้ทราบสถานะของตัวไก่ ซึ่งหลักสำคัญ คือ การติดตามข้อมูล สอบสวน วิเคราะห์ปัญหาและวางแผนแนวทางในอนาคต ของกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่การผลิต

น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบคอมพาร์ทเมนต์ เป็นอีกหนึ่งหลักประกันอาหารปลอดภัยและความสำเร็จในการป้องกันโรคไข้หวัดนกที่ ซีพีเอฟ ยึดเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอด ทำให้เนื้อไก่ แบรนด์ซีพี ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และยังได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัย ปลอดโรค ปลอดสาร ด้วยมาตรฐานสูงสุดเพื่อผู้บริโภค

CP-Meiji จัดแข่งขัน Robotics Grand Championship 2024 หนุนเด็กไทยต่อยอดทักษะหุ่นยนต์-อากาศยานไร้คนขับ

0

บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ร่วมกับ ชมรมวิทยาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ชมรมครูหุ่นยนต์ไทย บริษัท เอ็ม รีพับบริค ซัพพลาย และโรงเรียนวัดขอนชะโงก(เขียววิมลราษฎร์อุปถัมภ์) จังหวัดสระบุรี จัดการแข่งขันทักษะวิชาการด้านหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับ “CP-Meiji Robotics Grand Championship 2024” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีทักษะแห่งอนาคต ในศตวรรษที่ 21 โดยมี นายวิชัย บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน นายยุทธนา โพธิวิหค ปลัดจังหวัดสระบุรี และนางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ ซีพี-เมจิ เป็นผู้มอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน ณ โรงเรียนวัดขอนชะโงกฯ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี

นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กล่าวว่า ซีพี-เมจิ ดำเนินโครงการ ‘ซีพี-เมจิ นวัตกรรม-การศึกษา-อนาคต’ ตั้งแต่พ.ศ. 2563 ภายใต้เจตนารมณ์ในการเพิ่มคุณค่าชีวิต เพื่อพัฒนาการศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน โดยร่วมมือกับโรงเรียนเครือข่ายจำนวน 9 แห่งในจังหวัดสระบุรี จัดอบรมให้ความรู้ทักษะการประกอบหุ่นยนต์และการเขียนโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรม Robotics and Coding เปิดโอกาสการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งนี้ยังส่งเสริมการแข่งขันหุ่นยนต์ในเวทีระดับประเทศและนานาชาติ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนในการเข้าศึกษาต่อด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ รวมถึงคอมพิวเตอร์ ร่วมผลิตบุคลากรที่มีประสิทธิภาพแก่ประเทศต่อไป

ด้าน ดร.กัญญ์ชิสา ทุมมาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดขอนชะโงกฯ กล่าวว่า การแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาที่จำเป็นสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ผ่านเรียนรู้วิธีการออกแบบหุ่นยนต์และอากาศยาน ด้วยการประยุกต์ทักษะด้านกลศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และคณิตศาสตร์ ร่วมกับการออกแบบความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนทั่วประเทศแสดงผลงานในการแข่งขันหุ่นยนต์และอากาศยาน โดยใช้กติกาการตัดสินระดับสากล เพื่อต่อยอดการแข่งขันในระดับสูงหรือระดับนานาชาติ สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดการศึกษา รูปแบบ Active Learning และ STEM ให้เด็กๆ ได้เรียนดี มีความสุข อย่างยั่งยืน

สำหรับ การจัดการแข่งขันในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 263 ทีม กว่า 1,000 คน จาก 74 โรงเรียน ใน 30 จังหวัดแต่ละภูมิภาคของประเทศ โดยได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 6 ประเภท ได้แก่ 1.) หุ่นยนต์บังคับมือแบบขาเดินภารกิจขนส่งน้ำนมดิบรีโมทแบบสาย ซีพี-เมจิ 2.) หุ่นยนต์บังคับมือแบบขาเดินภารกิจขนส่งน้ำนมดิบรีโมทแบบสาย รวมทุกระดับชั้น 3.) หุ่นยนต์บังคับมือเคลื่อนที่ด้วยล้อภารกิจขนส่งนมรีโมทแบบสาย 4.) หุ่นยนต์ต่อสู้แบบขา 5.) หุ่นยนต์อัตโนมัติขนถ่ายหินอ่อน 6.) โครงงานหุ่นยนต์ “ไฟฟรีจากฟ้า” Solar Energy และรับถ้วยเกียรติยศจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี 4 ประเภท ได้แก่ 1.) หุ่นยนต์บังคับมือเตะจุดโทษ 2.) หุ่นยนต์ซูโม่หนึ่งพันกรัมควบคุมด้วยรีโมท 3.) หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ 4.) อากาศยานไร้คนขับทำภารกิจ

เกษตรกรเดือดร้อน เหตุข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หายากและแพงขึ้นทุกวัน ดันต้นทุนเลี้ยงหมูสูงลิบ สวนทางราคาหมู

0

นางยุพิณ หลิ่มเกื้อ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้หาข้าวโพดมาผสมอาหารหมูได้ยาก และแม้จะหาได้ก็มีราคาแพงมาก จนทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้นมาก ซึ่งตนและเพื่อนเกษตรกรอีกหลายคนต่างก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้โดยถ้วนหน้า ไม่เข้าใจข้าวโพดหายไปไหน ร้องขอภาครัฐช่วยแก้ปัญหาด่วน

“ลำพังการเลี้ยงหมูก็ลำบากมากอยู่แล้ว เจอทั้งหมูเถื่อน และราคาขายที่ยังไม่ถึงต้นทุน ต้นทุน กก.ละ 80-82 บาท ขายได้แค่ 68-72 บาทก็ว่าแย่แล้ว ยังต้องมาเจอค่าข้าวโพดทำต้นทุนสูงขึ้นอีก ทั้งยังหายาก ไม่รู้ข้าวโพดหายไปไหนหมดตลาด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงต้องเลี้ยงรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้าย ก่อนพักเล้ายาว” นางยุพิณกล่าว

พร้อมทั้งขอร้องให้หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแล ช่วยตรวจสอบสต็อกข้าวโพดทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน เพื่อตามหาข้าวโพด และแก้ปัญหาให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ก่อนต้องยกธงขาวยอมแพ้ เลิกเลี้ยงกันหมด

ทั้งนี้ ราคาข้าวโพดปัจจุบันอยู่ที่ กก.ละ 12 บาท สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน จากเดือนที่แล้วที่ราคา กก.ละ 10.30 บาท เพิ่มขึ้นถึง กก.ละ 1.70 บาท นับเป็นต้นทุนสำคัญในการเลี้ยงหมู เนื่องจากสัดส่วนการใช้ข้าวโพดในการผสมอาหารสัตว์นั้นเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดราว 30-40% การที่ข้าวโพดขาดตลาดและมีราคาแพงจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเลี้ยงสัตว์

“นี่ขนาดมาตรการให้ซื้อเฉพาะข้าวโพดที่ไม่ผ่านการเผาตอ ยังไม่ถูกบังคับใช้ ยังหาข้าวโพดยากขนาดนี้ เมื่อไหร่มีผลขึ้นมา จะตามหาข้าวโพดมาตรฐาน หรือจะหาวัตถุดิบอื่นทดแทนกันให้พอใช้ได้อย่างไร” นางยุพิณกล่าวทิ้งท้าย

จากความเดือดร้อนดังกล่าว กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย จ.ราชบุรี จะเข้ายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ที่กระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 14 มิถุนายน 2567

AIS-นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะเสริมขีดความสามารถ ก้าวสู่ Smart Industrial 4.0

0

AIS เดินหน้าขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G และ บรอดแบนด์ ให้มีความครอบคลุมสูงสุด พร้อมเชื่อมต่อการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในภาคการผลิตเพื่อพร้อมรับมือต่อการเติบโตในอนาคต ล่าสุดได้จับมือกับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ นำศักยภาพของโครงข่าย 5G และ ไฟเบอร์บรอดแบนด์ เสริมศักยภาพการบริหารจัดการ รวมถึงยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Industrial 4.0 ที่สมบูรณ์แบบ อันจะเป็นการต่อยอดการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตของภาคตะวันออกต่อไป

นายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือ นำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะสนับสนุนและส่งเสริมประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการผลิต ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชน อย่าง นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อวาง Digital Infrastructure รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ในการที่จะเข้าไปผลักดัน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถ และศักยภาพที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ อีกทั้งเรายังเชื่อว่าการมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีในทุกกระบวนการทำงานภายใต้ Digital Ecosystem จะสามารถช่วยสร้างความแตกต่าง รวมทั้งสร้างแรงดึงดูดจากนักลงทุนให้เข้ามาร่วมกันสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญต่อการทำงานกับภาคธุรกิจในภาคตะวันออกที่นับว่าเป็นอีกพื้นที่ศักยภาพด้านการผลิต โดยเราได้วาง Digital Infrastructure จากโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G และ Fiber Optic เพื่อให้พร้อมรองรับและเสริมศักยภาพการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการภายในนิคมฯ สามารถใช้ศักยภาพจากโครงข่ายสัญญาณได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งบริการ Smart Solution ต่างๆ อาทิ 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ, Smart meter , Environment sensor, Smart tracking ระบบอุปกรณ์ติดตามรถ, บริการจัดเก็บข้อมูล on cloud ในรูปแบบ Enterprise Cloud, CCTV and video analytics, Smart parking และอื่นๆ ที่เรามีความพร้อมในการพัฒนาเพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคตต่อไป”

ด้านคุณภคิน ชลรัตนหิรัญ General Manager บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมมือกับAISครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Industrial 4.0 และรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ในเขตพื้นที่อีอีซี โดยนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ มีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในบริการ Smart Solution ต่างๆ ของAIS ไม่ว่าจะเป็น 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ และอื่นๆ เพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคต

นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ เป็นนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มีพื้นที่กว่า 1,987 ไร่ แบ่งการจัดสรรพื้นที่ออกเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป 1,501 ไร่ และพื้นที่สาธารณูปโภคและแนวกันชนประมาณ 486 ไร่ เม็ดเงินลงทุนกว่า 4,129.41 ล้านบาท จัดเป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 61 และเป็นนิคมอุตสาหกรรมล่าสุดที่จะเปิดให้บริการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ตามนโยบายการพัฒนาพื้นที่อีอีซีของรัฐบาล

ซึ่งโครงการนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ ต้องบอกว่า เราพร้อมรองรับนักลงทุนที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก เพราะนิคมฯตั้งอยู่ในพื้นที่อีอีซี มีเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่สะดวก โดยอยู่ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดไม่ถึง 100 กิโลเมตร และห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 137 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสามารถเชื่อมโยงนิคมฯ ในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยองได้”

การพัฒนาโครงการฯ ทางนิคมฯ ได้มีการออกแบบภายใต้แนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial) โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ และนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาปรับปรุงคุณภาพและนำไปใช้ประโยชน์ภายในโครงการ (Recycle) เพื่อลดอัตราการระบายน้ำทิ้งออกนอกพื้นที่ รวมทั้งได้นำแนวคิดออกแบบอาคารส่วนกลางแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design) และออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (Green Building) เพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) เป็นทางเลือกเสริมพลังงานหลัก ซึ่งช่วยลดปัญหามลพิษส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยรอบสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

นายสมภพ กล่าวในช่วงท้ายว่า “AIS ในฐานะ องค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-CO ยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลเทคโนโลยีที่สามารถส่งมอบประสบการณ์รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของพาร์ทเนอร์ เพราะเราเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่แข็งแรงจะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพภาคการผลิตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก รวมถึงผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หนองใหญ่ ให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง เปิดรับโอกาส ความท้าทายและการแข่งขัน”

เปลี่ยนจากเม่า ไต่เต้าสู่นักลงทุน

0

“พิสุทธิ์ สันติโชค“ จากมนุษย์เงินเดือนที่ตั้งเป้าหมายสู่ความมั่งคั่ง และหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้เขาเดินทางถึงเป้าหมายได้คือ “การลงทุน”

แม้เส้นทางชีวิตจะลงทุนแบบเม่ามากว่า 10 ปี และเผชิญวิกฤตธุรกิจที่ทำให้แทบหมดตัว แต่การเรียนรู้ มีวินัย ตั้งใจ และวางแผน ทำให้เขาค้นพบว่า “การลงทุนนับเป็นอาชีพที่ 2” ที่นำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน

เรื่องราวของคุณพิสุทธิ์ มีอะไรให้เราได้เรียนรู้บ้าง ติดตามในคลิปนี้