Home Blog Page 91

ซีพีเอฟ- สจล. เซ็น MOU ความร่วมมือบูรณาการการศึกษารูปแบบใหม่ “เรียนร่วมกับการทำงาน” สร้างนวัตกรรมรองรับอุตสาหกรรมอาหาร

0

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MoU) บูรณาการการศึกษารูปแบบใหม่ “เรียนร่วมกับการทำงาน” ผ่านโครงการ Co-Creation ยกระดับศักยภาพนักศึกษา ติดอาวุธระหว่างเรียน เปิดโอกาสคนรุ่นใหม่นำทักษะความรู้ด้าน STEM (Science Technology Engineering Mathematics) และ ดิจิทัล ควบคู่กับความเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ สร้างสรรค์นวัตกรรมรองรับความต้องการอุตสาหกรรมอาหาร และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การลงนามในครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจพัฒนาการศึกษาของเยาวชนไทย “ร่วมสร้างคน สร้างอนาคต สร้างเครือข่าย” ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน โดยซีพีเอฟมีส่วนร่วมเพื่อผลิตบัณฑิตวิศวกรคุณภาพที่มีแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurial mindset) นอกจากการเรียนภาคทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยแล้ว นักศึกษามีโอกาสได้ทำงานและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟ โดยนำร่องความร่วมมือด้านวิศวกรรมศาสตร์ ใน 4 หลักสูตรสาขาวิชา ได้แก่ วิศวกรรมการผลิตเชิงบูรณาการ วิศวกรรมระบบไอทีและสารสนเทศ วิศวกรรมอุตสาหกรรมเกษตร วิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. กล่าวว่า สจล.และซีพี-ซีพีเอฟ มีความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง และความร่วมมือระหว่าง สจล. และซีพีเอฟ ในครั้งนี้ เป็นการเชื่อมโยงศักยภาพของภาคการศึกษากับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนักศึกษาที่ความสามารถที่รอบด้าน สร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และตอบโจทย์ภาคการเกษตรและอาหาร โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ทำงานจริงตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา เสริมสร้างความเป็นผู้ประกอบการจากการได้นำความรู้มาลงมือทำงานหรือแก้ปัญหาจริง ผนวกกับการได้เรียนรู้โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟ สนับสนุนให้เด็กมีทักษะความพร้อมในการทำงานทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนขีดความสามาถทางการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ความร่วมมือกับ สจล. สถาบันการศึกษาชั้นนำของไทย เป็นการผนึกพลังกันสร้างคน สร้างอนาคต และสร้างเครือข่าย ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยซีพีเอฟเข้ามาร่วมบูรณาการองค์ความรู้และเน้นการปฏิบัติจริงมากขึ้น สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีทักษะตรงตามความต้องการของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร โดยเฉพาะแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship Mindset) เพื่อให้วิศวกรรุ่นใหม่สามารถดำเนินอาชีพในศตวรรษที่ 21 และมีความสามารถเทียบเท่ามาตรฐานระดับสากลได้ เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษามีความพร้อมทำงานร่วมกับบริษัทได้ทันที ซึ่งองค์กรต้องการเห็นความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ ร่วมขับเคลื่อนซีพีเอฟเติบโตสู่การ เป็น “ครัวของโลก” ที่ยั่งยืน

“ซีพี-ซีพีเอฟ มีความเชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่มีความคิดก้าวหน้า และทักษะด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร ความร่วมมือกับสจล. เป็นการเปิดเวทีให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากการลงมือทำงานจริง สนับสนุนให้นักศึกษาได้แสดงความรู้ความสามารถด้าน STEM และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์กร ได้โดยไม่ต้องรอเรียนจบ นับเป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลรุ่นใหม่ที่มีขีดความสามารถสนับสนุนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับเป้าหมายและพันธกิจของซีพีเอฟ และหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มุ่งดำเนินธุรกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กรก็จะได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในซีพีเอฟยึดถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง” นายประสิทธิ์กล่าว

นอกจากนั้น ซีพีเอฟ ยังได้ร่วมมือกับ สจล. จัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการศึกษาและสร้างโอกาสให้กับนักศึกษาของสจล. อย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรม CPF Open House 2024 ซึ่งสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้ธุรกิจซีพีเอฟ กิจกรรม CPF Build Young Business Entrepreneur Workshop หรือโครงการสร้างเถ้าแก่น้อยในรั้วมหาวิทยาลัย สร้างทักษะและแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โครงการ KOSEN หรือสถาบันโคเซ็นแห่ง สจล. พัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้มีความรู้และศักยภาพสูง เพื่อช่วยส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกิจกรรมต่างๆ นำไปสู่ความร่วมมือทางด้านวิชาการ งานวิจัยที่ต่อยอดองค์ความรู้และนวัตกรรมระหว่างภาคธุรกิจและภาคการศึกษา ยกระดับมาตรฐานการศึกษาและการวิจัยของประเทศไทยเพื่อเตรียมพร้อมต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน

เอไอเอส ผนึกพลัง ตำรวจ เปิดยุทธการทลายเครือข่ายแก๊งตระเวนลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

0

ผู้สื่อข่าวรานงานว่า ปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เอนก บุตรอินทร์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.2

พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ทำการสืบสวน เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่(ลิเธียม)ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่ม เอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ว่าในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน กว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่าสิบล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า “จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่ สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเอไอเอส ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกร และฝ่ายกฎหมายของเอไอเอส จึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ  โดยกองบังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพและสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในครั้งนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอส ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัย สามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน”

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเธียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณ ลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม ประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น

คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้ว จะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจร ในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้น กลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000 – 14,000 บ. และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ ที่มีกำลังวัตต์สูง ในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิทคอย เป็นต้น

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกร ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลาง อีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่ วันที่ 21–23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการ มีดังนี้

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายอัศวิน สงวนนามสกุล

2.นายอิบรอฮีม สงวนนามสกุล

3.นายนาวิน สงวนนามสกุล

4.นายรุ่งอนัน สงวนนามสกุล

5.นายศราวุธ สงวนนามสกุล

6.นายปริวัฒน์ สงวนนามสกุล

7.นายวีระวุฒฺ สงวนนามสกุล หลบหนีการจับกุม

รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก

ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วยจากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการและได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3,กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้

การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจร เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์

ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้ว กว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป

รู้เก็บรู้ออม : Happy Money, Happy Jobbers!!

0

ปัจจุบัน คนที่ทำงานอาชีพอิสระแบบฟรีแลนซ์ และทำงานหลายจ๊อบ หลายอาชีพพร้อมกัน หรือ Multi–Jobbers มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เห็นได้จากตัวเลขจำนวนผู้มีงานทำของปี 2566 มีทั้งสิ้น 39 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้มีอาชีพอิสระ สูงถึง 20 ล้านคน และยังพบว่ารูปแบบการทำงานของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น อาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์, อินฟลูเอนเซอร์ เป็นอาชีพที่มาแรง มีคนจำนวนมากที่อยากทำงานสายนี้ เพราะเงินดี มีหน้าตา และชื่อเสียง โดยปัจจุบันตลาดแรงงานบ้านเรามีคนเป็นอินฟลูฯ มากถึง 9 ล้านคน

แต่ปัญหาของผู้ประกอบอาชีพทั้งสองกลุ่มอาชีพนี้ คือ การมีรายได้ที่ไม่แน่นอน และขาดความเข้าใจด้านการบริหารเงิน, การจัดการภาษี และการเข้าถึงสวัสดิการสังคมด้วยเหตุนี้เอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงริเริ่มโครงการ “Happy Money, Happy Jobbers ชีวิตอิสระ งานโปรเงินปัง” เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่ทำอาชีพฟรีแลนซ์ และ Multi–Jobbers มีความรู้พื้นฐานการวางแผนการเงิน วางแผนประกัน และบริหารภาษี

โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย SET e-Learning ใหม่ล่าสุด 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรวางแผนการเงิน และหลักสูตรวางแผนภาษี สไตล์ Multi-Jobbers & Freelancers เนื้อหากระชับเข้าใจง่าย ตรงประเด็น, กิจกรรม Wealth Studio “Life Hacks” The New Me for Fin Freedom ฝึกการใช้เครื่องมือจัดการเงิน บริหารความเสี่ยง วางแผนภาษี และวางแผนลงทุน, Financial Mentor แลกเปลี่ยนความรู้ และรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนการเงิน

โครงการนี้จะช่วยทำให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จักเคล็ดลับที่นำไปสู่อิสรภาพการเงินฉบับอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายในชีวิตที่สามารถปรับได้ตามช่วงชีวิต, การสร้างหลักประกันด้านสุขภาพและการเงินที่จะช่วยคุ้มครองเงินที่เก็บหอมรอมริบ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่, การวางแผนการเงินที่ดีให้กับตัวเองอย่างยั่งยืน ทั้งแผนประหยัดภาษี, ซื้อประกัน, ออมและลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเพิ่มความมั่งคั่ง ให้กับอาชีพฟรีแลนซ์และ Multi-Jobbers ให้เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน โดยคาดว่าปีนี้จะมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมเรียนรู้ 3,000 คน สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ http://www.set.or.th/

Happy Money–happy Jobbers หรือมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ SET Contact Center 0–2009–9999.

คุณนายพารวย

AIS ชวนคนไทยก้าวข้ามการโดนบูลลี่ในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ทุกวันศุกร์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน มูลนิธิ Cyber Smile ได้กำหนดให้เป็นวันต่อต้านการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์สากล หรือ Stop Cyberbullying Day โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยเกิดความตื่นตัวกับประเด็นปัญหาดังกล่าวค่อนข้างมาก ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนรวมถึง AIS ได้หยิบยกเรื่องการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ หรือ ไซเบอร์บูลลี่ ขึ้นมาสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจในการใช้งานอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ โซเชียล อย่างสร้างสรรค์

แม้วันนี้ หลายคนจะเข้าใจและรู้จักกับการบูลลี่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญหาการบูลลี่ในโลกออนไลน์ยังคงเกิดขึ้นและมีให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเนื่องในวัน Stop Cyberbullying Day ปีนี้ AIS โดย AIS อุ่นใจ CYBER จึงตั้งใจชวนคนไทยเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตัวเอง พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันที่จะช่วยให้สามารถก้าวข้ามผ่านประสบการณ์ถูกบูลลี่ในโลกออนไลน์ให้ได้ โดยถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้รับมือกับการถูกกลั่นแกล้งและใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “จากผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัลของคนไทยในปี 2023 ที่พบว่า แม้ทักษะดิจิทัลด้านการรู้เท่าทันการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์จะอยู่ในระดับสูง ที่หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจถึงปัญหาในด้านดังกล่าวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังพบเห็นพฤติกรรมบนโลกออนไลน์ที่มีการพิมพ์คอมเมนต์กลั่นแกล้ง วาทะการสร้างความเกลียดชัง หรือ Hate speech ที่ระราน กลั่นแกล้ง สร้างความโกรธ ความรุนแรง ความอับอายต่อกัน ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือกลุ่มแชทต่างๆ จนนำไปสู่ปัญหาสังคมอยู่บ่อยครั้ง

ที่ผ่านมา AIS อุ่นใจ CYBER อุ่นใจปลอดภัยในโลกออนไลน์ จึงขอร่วมเป็นกระบอกเสียงเพื่อกระตุ้นเตือนสังคมให้หยุดพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำงานในหลากหลายรูปแบบ สร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์ เข้าใจความแตกต่าง และที่สำคัญคือการเห็นคุณค่าในตัวเอง สามารถรับมือกับความคิดเห็นต่างๆ โดยเฉพาะคอมเมนต์เชิงลบได้เป็นอย่างดี

สำหรับวัน Stop Cyberbullying Day ปีนี้เรามุ่งเน้นการสื่อสารให้ทุกคนเชื่อมั่นในการแสดงออกของตัวเองและก้าวข้ามกับคำดูถูก เหยียดหยาม เพราะเราเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงเหล่านั้นมาได้ ดังนั้นการเห็นคุณค่าในตัวเองคือแนวทางการรับมือกับการบูลลี่ในโลกออนไลน์ได้ดีที่สุด โดยเราได้หยิบยกเรื่องราวของ แร็ปเอก นราวุธ อำนวย แร็ปเปอร์ที่ต่อต้านการถูกบูลลี่ในโลกออนไลน์ในทุกรูปแบบ เพราะเป็นหนึ่งในคนที่เคยถูกทำร้ายจิตใจบนโลกออนไลน์มาตลอดชีวิต แต่ด้วยการเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้สามารถก้าวข้ามผ่านมาได้ จนกลายเป็นแร็ปเปอร์ที่มีผลงานมานานกว่า 10 ปี มีแฟนคลับติดตามมากมาย กับวลีแร็ปคุ้นหู อั๊ยย่ะ ใช่ๆ”

แร็ปเอก นราวุธ อำนวย เล่าถึงการทำงานร่วมกับ AIS ในครั้งนี้ พร้อมให้คำแนะนำว่า “อยากให้น้องๆ ที่ทำผลงานในโลกออนไลน์ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เรียนรู้การใช้ชีวิต ยอมรับฟังคำคน เลือกทำในสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่าต่อตัวเองและสังคมที่จะทำให้ก้าวเดินต่อไปได้ พิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานที่เรารัก อย่างผม ผมรักในสิ่งที่ผมทำ ผมทดลองทำเพลงมาหลากหลายแนว ผ่านการคอมเมนต์บนโลกออนไลน์ที่แย่ๆ มาเยอะ ผมก็ได้กำลังใจจากครอบครัว ได้กำลังใจจากแฟนคลับที่ชื่นชอบผลงาน ทำให้เราทำต่อ สู้ต่อไปเรื่อยๆ แม้จะบอกให้เลิกทำอาชีพ โดนบอกไม่ให้ร้องเพลงอีก แม้ว่าจะรู้สึกสะเทือนใจ น้อยเนื้อต่ำใจไม่กล้าที่จะก้าวต่อ เพราะตอนแรกผมไม่คิดว่าในโลกออนไลน์จะรุนแรงกันขนาดนี้ แต่ผมก็ฟันฝ่าอุปสรรคต่อสู้และผ่านมาได้ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำและใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานเพลงจนทำให้หลายคนรู้จักผมในวันนี้ อั๊ยยะ ใช่ ๆ”

รับชมเรื่องราวแรงบันดาลใจรับมือการบูลลี่บนโลกออนไลน์จาก แร็ปเอก ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/watch/?v=1381527529194093 และ Facebook AIS เนื่องในวัน Stop Cyber Bullying Day จากAIS อุ่นใจ CYBER

ซีพีเอฟ รับโล่เกียรติยศ”คนดี รักษ์โลก” ร่วมขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ รับโล่เกียรติยศ “คนดี รักษ์โลก” จากคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านคุณธรรมและจริยธรรมในกมธ. การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยมีแนวปฏิบัติที่ดี ร่วมขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และจริยธรรม

ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเปิดงานและมอบโล่เกียรติยศ “คนดี รักษ์โลก” จัดโดยคณะอนุ กมธ.ด้านคุณธรรมและ
จริยธรรม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ร่วมกับคณะทำงานคนดี รักษ์โลก เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติองค์กรที่มีหลักการและแนวปฏิบัติที่ดีในการขับเคลื่อนและตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งในปีนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นองค์กรเอกชนที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลดังกล่าว โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟ รับมอบรางวัล ณ ห้องประชุมสัมมนา ชั้น B 1-1 อาคารรัฐสภา

รางวัล “คนดีรักษ์โลก”สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ที่ยึดมั่นในหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางของความมั่นคงทางอาหาร ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดจนการดำเนินโครงการเพื่อลดปัญหาขยะ โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)มาใช้

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ปลูกฝังพนักงานในองค์กรทุกระดับ มีส่วนร่วมอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติด้วยการ “ลงมือทำ” ผ่านการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน โครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบัน กิจการซีพีเอฟทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีส่วนร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าไปแล้วรวมมากกว่า 6 ล้านต้น รวมไปถึงการส่งเสริมให้ชุมชนรอบสถานประกอบการ และเยาวชนในสถานศึกษาช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับคนในสังคมอย่างยั่งยืน

ออมสินแจกใหญ่แจกต่อ กับสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ลุ้นรางวัล “ทองคำแท่งหนัก 10 กิโลกรัม”

0

ผ่านพ้นไปได้ไม่นานกับการต้อนรับเศรษฐีใหม่ร้อยล้าน ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการถูกสลากออมสินพิเศษ 1 ปีซึ่งเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่าถึง 111 ล้านบาท  ล่าสุด ธนาคารออมสินไม่ยอมปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน ขอแจกใหญ่แจกต่อแบบไม่ต้องหยุดพักหายใจด้วยการออกโปรโมชันสลากออมสินพิเศษ 1 ปี กับรางวัลใหญ่ “ทองคำแท่ง หนัก 10 กิโล”  มูลค่ากว่า 26 ล้านบาท  (ราคา ณ วันที่ 23 เม.ย. 67 โดยราคาทองคำอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาด)

นอกจากจะได้ลุ้นรางวัลทองคำแท่งหนัก 10 กิโลแล้ว ผู้ฝากสลากฯ ยังมีสิทธิถูกรางวัลอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ฝากสลาก ไม่ว่าจะเป็นการได้ลุ้นรางวัลที่หนึ่ง มูลค่า 10 ล้านบาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย เป็นประจำทุกเดือน

ไม่อยากให้ใครพลาดโอกาสนี้กับการออมเงินที่มีแต่ได้ ไม่มีเสีย เพราะนอกจากจะได้ลุ้นรางวัลใหญ่แล้ว เมื่อถือสลากจนครบกำหนดอายุ 1 ปี ผู้ฝากสลากฯ ก็จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยในอัตรา 0.35 %  นอกจากนี้ ทั้งดอกเบี้ยและเงินรางวัล ยังได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาอีกด้วย

แต่งานนี้ต้องรีบหน่อย เพราะรางวัลทองคำแท่งหนัก  10 กิโล มีกำหนดการออกรางวัลในวันที่ 16 ก.ค. 67 นี้ ดังนั้น ใครที่อยากลุ้นได้เป็นเศรษฐีป้ายแดงรายต่อไป ห้ามพลาดเด็ดขาด  ธนาคารออมสินเปิดให้ผู้สนใจฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งแบบใบสลากและดิจิทัล ได้ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค. 67 – 15 ก.ค. 67  โดยสามารถฝากเริ่มต้นหน่วยละ  100 บาท และไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุดอีกด้วย

คนที่พลาดโอกาสครั้งที่แล้ว อย่ามัวรอช้า สามารถติดต่อเพื่อฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี แบบใบสลากได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาและแบบดิจิทัล ฝากได้ทางแอปฯ MyMo by GSB  หรือผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shorturl.asia/dBiaW

หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center 1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook  : GSB Society

LH Bank -​ MTL ออกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย LHB Health Care Savings “เจอ จ่าย จริง” คุ้มครองสูงสุด 1 ล.ไม่ต้องจ่ายค่าเบื้ยฯ

0

นายฉี ชิง – ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า คนไทยมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดจาก 6 โรคร้าย อาทิ โรคมะเร็งและเนื้องอก โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่มีผลมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ธนาคารจึงออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่ให้มากกว่าดอกเบี้ย ที่คุ้มครองโรคร้ายสูงสุดมากถึง 30 โรคร้าย ที่ตอบโจทย์การออมเงินและการดูแลสุขภาพ เพิ่มความอุ่นใจ หมดความกังวลหากตรวจพบโรคร้าย ซึ่งความโดดเด่นของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” คือ เจอ จ่าย จริง โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 30 โรคร้าย โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย และยังได้รับดอกเบี้ยทุกเดือน อัตราดอกเบี้ย 0.75% ต่อปี ฝาก ถอน โอน จ่าย สะดวก ยิ่งฝากมากยิ่งรับความคุ้มครองมาก

บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” สำหรับบุคคลธรรมดา ที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 65 ปี สามารถเปิดบัญชีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ฝากขั้นต่ำเพียง 100,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนเงินฝากสูงสุด แต่วงเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท รับประกันภัยโดยบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเชื่อว่า “บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย (LHB Health Care Savings)” ที่ธนาคารได้คัดสรรมาเป็นพิเศษนี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ให้สามารถวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพได้ในอนาคต

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิต รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยกระดับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” ซึ่งสามารถ ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างความมั่งคั่งจากการออมเงิน ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต และการเข้าถึงความคุ้มครอง ด้านสุขภาพจากโรคร้ายแรงที่ครอบคลุมถึง 30 โรค ซึ่งช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็สามารถรับเงินก้อนเพื่อดูแลรักษาสุขภาพได้โดยไม่กระทบเงินออม โดยความคุ้มครอง 30 โรคร้ายแรงนี้ ครอบคลุมทั้งโรคมะเร็งระยะลุกลาม โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคไวรัสตับอักเสบขั้นรุนแรง โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตันโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ โรคเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย และโรคหลอดลมปอดอุดกั้นเรื้อรังขั้นรุนแรงหรือโรคปอดระยะสุดท้าย เป็นต้น

นอกจากนี้ ลูกค้าผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” ยังสามารถเข้าถึงนวัตกรรมด้านการบริการของเมืองไทยประกันชีวิต เช่น MTL Click Application ที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ ในเรื่องการเช็คกรมธรรม์เพื่อดูผลประโยชน์และความคุ้มครอง รวมถึงบริการ MTL Health Buddy ผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค การทำนัดหมายติดต่อเข้ารับการรักษาผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 และ MTL Fit Application ตัวช่วยด้านการออกกำลังกายที่จะทำให้คุณรู้จักสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance) ด้วยการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างได้อย่างเข้าใจ และเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความสุข และรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ลูกค้าที่สนใจสามารถเปิดบัญชี เงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” ได้แล้วที่ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lhbank.co.th หรือ โทร.1327

หมายเหตุ

  • ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายหน้าประกันชีวิต เป็นผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันภัยเท่านั้น โดย บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต จะเป็นผู้รับผิดชอบเงื่อนไขความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไข ซึ่งระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด
  • การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
  • บริการ MTL Health Buddy บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เป็นเพียงผู้แนะนำการบริการให้กับลูกค้าเท่านั้น/การบริการนี้สำหรับคำแนะนำให้การรักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยที่ไม่ฉุกเฉิน หรือไม่เร่งด่วน เท่านั้น /เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการกำหนด
  • ระยะเวลาของความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันชีวิตกลุ่มแบบชั่วระยะเวลา และสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยซีไอกลุ่ม ในโครงการนี้จะมีผลตามเงื่อนไขที่ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กำหนด

ตามไปดูน้องๆ รร.บ้านหนองโบสถ์ นครสวรรค์ เรียนรู้ทักษะเลี้ยงไก่ไข่ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ต่อยอดสู่อาชีพ สร้างแหล่งอาหารชุมชน

0

มื้อกลางวันของ โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ภายใต้ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ดำเนินการโดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในการสนับสนุนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไข่เจียว เมนูโปรดของนักเรียนทุกคน โดยมีเด็กๆร่วมกับครูผู้รับผิดชอบกำลังช่วยกันปรุงเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ ที่สำคัญไข่ไก่ที่นำมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ ทั้งไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ไข่พะโล้ และไข่ลูกเขย ที่เด็กๆ โหวตให้เป็นเมนูแสนอร่อยในดวงใจ ก็ได้มาจากฝีมือการเลี้ยงของทุกคน ไข่ไก่จึงไม่ใช่แค่ “อาหารกลางวัน” ของน้องๆ แต่ยังเป็น “ความภูมิใจ” ที่พวกเขาได้ลงมือเลี้ยงแม่ไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตไข่ไก่คุณภาพปลอดภัยสำหรับทุกคน

ประเสริฐศรี ฉิมปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ บอกว่า สุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสุขภาพที่ดีย่อมทำให้เด็กๆมีกำลังกายในการศึกษาเล่าเรียน และอาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ไก่ก็จะเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการบำรุงร่างกายและสมองของพวกเขา จึงเป็นที่มาของการสมัครเข้าร่วม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”

โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียน 60 กว่าคน และมีเด็กๆในศูนย์เด็กเล็กก่อนวันเรียนอีก 50 คน จึงได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่ 100 ตัว พร้อมอาหารไก่ไข่ รวมทั้งการสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่มาตรฐาน และมีนักสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟมาให้ความรู้สนับสนุนวิชาการด้านการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ เพื่อให้ครูผู้ดูแลและน้องๆ นักเรียนมีพื้นฐานที่สามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนะนำการขาย การตลาด และบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไป ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันเราเลี้ยงไก่ไข่เป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์แม่พันธุ์และอาหารสัตว์ฟรีจากโครงการฯ ในแต่ละวันผลผลิตไข่ไก่ที่ได้จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบสหกรณ์ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับโครงการอาหารกลางวัน สำหรับใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารกลางวันนักเรียน ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองและชาวชุมชน โครงการฯ นี้จึงไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงของนักเรียนทุกคน แต่ยังเป็นคลังอาหารของชุมชนด้วย” ผอ.ประเสริฐศรี กล่าว

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน รุ่นแรกสร้างรายได้กลายเป็นเงินทุนสะสมสำหรับดำเนินโครงการได้ถึงกว่า 50,000 บาท สามารถนำไปต่อยอดการเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ โดยขยายการเลี้ยงไก่เป็น 150 ตัว รองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนแม่ไก่รุ่นแรกที่เลี้ยงมาแล้ว 1 ปี ซึ่งได้อายุปลดระวางแล้ว ผอ.ประเสริฐศรี ครูและนักเรียน มีความเห็นตรงกันว่าควรทำการศึกษาต่อจากสมมุติฐานที่ว่า แม่ไก่ยังคงให้ผลผลิตที่ดี น่าจะสามารถเลี้ยงต่อไปได้ จึงย้ายแม่ไก่ทั้งหมดลงเลี้ยงในโรงเรือนใหม่ในรูปแบบปล่อยพื้น เป็นแม่ไก่ไข่อารมณ์ดี พร้อมบันทึกการให้ผลผลิตต่อเนื่อง และวางแผนเลี้ยงต่อให้ได้ 1 ปีครึ่ง จึงจะปลดแม่ไก่ นี่จึงไม่ใช่เพียงการสร้างคลังอาหารในโรงเรียน แต่ยังเป็นการศึกษาทดลอง จากการเด็กๆรู้จักสังเกต เกิดการตั้งคำถาม และพิสูจน์สมมุติฐาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในการเรียนรู้ ที่ประยุกต์สู่การเรียนการสอนและการทดลองอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน นักเรียนยังได้ฝึกความรับผิดชอบ โดยมีพี่ๆชั้นประถมปีที่ 6 เป็นพี่ใหญ่นำน้องๆ แบ่งเวรกันเก็บไข่ไก่ในเวลา 09.00 น. ของทุกวัน จากนั้นเวลา 15.00 น. จึงช่วยกันเกลี่ยอาหารและให้อาหารเพิ่ม ทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและพัฒนาทักษะด้านอาชีพได้ และไข่ไก่คุณภาพดีที่ผลิตได้ ทำให้เด็กๆได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ปลอดภัย นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนและชุมชน ทั้งไข่ไก่ และผักต่างๆที่นักเรียนรับผิดชอบในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งผักบุ้ง ผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเห็ดนางฟ้า ที่นำเข้าโครงการอาหารกลางวัน และส่วนที่เหลือนำไปจำหน่ายแก่ชาวชุมชนในราคาย่อมเยา เกิดเป็นกิจกรรมสร้างเสริมหลักการประกอบอาชีพ รู้จักการขาย การตลาด ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นนำมาเป็นกองทุนหมุนเวียนโครงการฯ ต่อยอดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญนักเรียนยังมีเงินออมจากการขายไข่ กลายเป็นเงินออมเพื่อศึกษาต่อ โดยหลังจากปลดแม่ไก่รุ่นแรก สามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อการศึกษาต่อให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุนละ 1,500 บาท ได้ถึง 6 ทุน

นอกจากนี้ เด็กๆยังนำไข่ไก่ไปแปรรูปเป็นขนมโดนัทและขนมวาฟเฟิล เพื่อจำหน่ายให้กับนักเรียนและชุมชน เกิดเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะอาชีพ และโรงเรียนยังส่งเสริมให้นักเรียนนำผลิตภัณฑ์แปรรูป ร่วมมอบในงานบุญ โรงทาน และงานการกุศลต่างๆ เป็นการฝึกให้พวกเขารู้จักการแบ่งปันแก่ผู้อื่น

ด.ช.พงศธร ก้อนทอง หรือน้องปอน นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า ดีใจที่ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้นักเรียนได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ที่เด็กๆเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ช่วยให้ได้ฝึกทักษะอาชีพที่สามารถนำไปต่อยอดในชีวิตประจำวัน และเป็นพื้นฐานอาชีพในอนาคตได้ ส่วน ด.ช.ธีวสุ บุรินทร์ หรือน้องภูผา นักเรียนชั้นป.5 เสริมว่า โครงการฯนี้ ช่วยฝึกความซื่อสัตย์ มีวินัย และรู้จักการทำงานเป็นทีม ทางด้าน ด.ญ.ศุภาพิชญ์ มหาพันธ์ หรือน้องออย กล่าวขอบคุณเครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ช่วยสนับสนุนโครงการฯ พวกเราจะดูแลโครงการฯนี้ให้ดีที่สุด ให้มีความต่อเนื่องไปถึงน้องๆรุ่นต่อไป เราภูมิใจที่ได้เป็นต้นทางอาหารปลอดภัย และดีใจที่โรงเรียนของเรากลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของโรงเรียนต่างๆ

โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการบริหารจัดการโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างแหล่งอาหารมั่นคงในโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพดีจากการได้บริโภคไข่ไก่ และยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ สู่โครงการเกษตรอื่นๆ และยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้อย่างยั่งยืน

Carbon Emission ของบริษัทจดทะเบียนไทย

0

ภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรขององค์กรและผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จัดขึ้นที่ประเทศสกอตแลนด์หรือ COP26 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการรวมพลังกันหลายองค์กรเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมีการเสนอแนวทางและบทบาทของสถาบันการเงินและการลงทุนในการสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการเงินที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2030 และปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ปัจจุบันมีเกณฑ์ และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนองค์กรเพิ่มขึ้นมากมายทั่วโลก โดยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่รวมอยู่ในเกณฑ์ และมาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ การพัฒนาตลาดทุนให้ยั่งยืน ด้วยการช่วยเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรง แก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในส่วนของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการช่วยยกระดับคุณภาพและพัฒนา ศักยภาพให้ธุรกิจสามารถเติบโตและมีผลประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งมีความมั่นคงทางการเงินไปพร้อมกับการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักบรรษัทภิบาล และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ลงทุนที่มุ่งหวังที่จะลงทุนอย่างยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report: CGR) เป็นประจำทุกปี อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนสมัครใจเข้าร่วมประเมินความยั่งยืนเพื่อได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการมอบรางวัลด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards) เพื่อประกาศเกียรติคุณบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและยกย่องให้เป็นแบบอย่างแก่บริษัทอื่นๆ รวมถึงเป็นกำลังใจให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานของบริษัทจดทะเบียนที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนอีกด้วย โดยรายงานฉบับนี้จะพาไปสำรวจแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย ประโยชน์จากการใช้ข้อมูล ESG Data Platform สภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความพร้อมในการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงความท้าทายในการจัดการข้อมูลข้างต้น และการก้าวข้ามความท้าทาย

ข้อมูลด้านความยั่งยืนเป็นข้อมูลที่แสดงถึงนโยบาย ผลกระทบ และผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของธุรกิจ ภายใต้ระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือที่เรียกว่าข้อมูล ESG ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้ใช้ข้อมูลได้เห็นถึงมุมมอง การดำเนินธุรกิจในมิติที่กว้างกว่าข้อมูลทางการเงิน ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อองค์กรทั้งในด้านความสามารถในการจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีศักยภาพในการแข่งขัน และการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว บริษัทควรมีการเผยแพร่ข้อมูลด้านความยั่งยืนให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ เช่น รายงานประจำปี รายงานความยั่งยืน หรือเว็บไซต์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนเช่นเดียวกับข้อมูลทางการเงิน รวมถึงประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น ทำให้บริษัทสามารถนำข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน ESG ไปพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการหารายได้ หรือลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ หรือ ทำให้ธุรกิจเข้าใจประเด็นสำคัญด้าน ESG ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กรและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้

บริษัทจดทะเบียนถูกกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่ครอบคลุมประเด็นด้าน ESG ตามแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่เริ่มใช้บังคับตั้งแต่รอบบัญชีปี 2565 ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาระบบ ESG Data Platform โดยเป็นนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดทำขึ้นร่วมกับภาคส่วนในตลาดทุน เพื่อให้เป็นระบบจัดการข้อมูลด้าน ESG ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยระบบ ESG Data Platform มีจุดเด่น คือ การออกแบบชุดข้อมูลที่มีการจัดเรียงโครงสร้างอย่างชัดเจนหรือ Structured Data ที่เน้นนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม และข้อมูลทางการเงินอย่างสะดวก (ภาพที่ 3) โดยจะรวบรวมข้อมูล ESG พื้นฐานที่จำเป็นและเริ่มเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระบบ SETSMART ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดย SET ESG Data Platform นี้ประกอบด้วย 3 มิติหลักๆ ได้แก่

• มิติด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การจัดการพลังงาน (14 ตัวชี้วัด) การจัดการน้ำ (3 ตัวชี้วัด) การจัดการขยะและของเสีย (9 ตัวชี้วัด) การจัดการก๊าซเรียนกระจก (7 ตัวชี้วัด)
• มิติด้านสังคม ประกอบด้วย การพัฒนาพนักงาน (2 ตัวชี้วัด) การส่งเสริมความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับพนักงาน (2 ตัวชี้วัด) ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของพนักงาน (5 ตัวชี้วัด) ค่าตอบแทนของพนักงาน (3 ตัวชี้วัด) จำนวนพนักงาน จำแนกตามเพศ (5 ตัวชี้วัด) จำนวนพนักงาน จำแนกตามระดับตำแหน่ง (3 ตัวชี้วัด) จำนวนพนักงาน จำแนกตามอายุ (3 ตัวชี้วัด) จำนวนพนักงานชาย/หญิง จำแนกตามระดับตำแหน่ง (4 ตัวชี้วัด)จำนวนพนักงานชาย/หญิง จำแนกตามระดับตำแหน่ง (4 ตัวชี้วัด) พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (4 ตัวชี้วัด)
• มิติด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ องค์ประกอบของคณะกรรมการบริษัท (31 ตัวชี้วัด) ค่าตอบแทนรวมของกรรมการบริษัท (3 ตัวชี้วัด) ค่าตอบแทนรวมของผู้บริหารระดับสูง (3 ตัวชี้วัด)

เมื่อพิจารณาตัวเลขจากฐานข้อมูล ESG Data Platform บริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้มการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น โดยจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ในปี 2023 ทั้งหมด 884 บริษัท มีบริษัทที่รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) 445 บริษัท (คิดเป็น 50.3% ของบริษัททั้งหมด) เพิ่มขึ้นจาก 342 ในปี 2022 (คิดเป็นเพิ่มขึ้น 30%) ขณะที่จำนวนบริษัทที่ผ่านการทวนสอบการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยผู้ทวนสอบเพิ่มขึ้น 47% (ตารางที่ 1) โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่รายงานมาบนระบบ ESG Data Platform ในปีล่าสุดอยู่ที่ 634 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลงจากที่รายงานมาในปี 2022 ที่ 675 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (คิดเป็นลดลง 6.1%) นอกจากนี้ยังพบว่าปริมาณการปล่อย GHG ยังสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าอีกด้วย โดย บจ. ที่เปิดเผยข้อมูลการใช้ไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2023 แต่ปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมในปี 2023 กลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปริมาณการปล่อย GHG (ภาพที่ 4) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบริการ ตามลำดับ (ภาพที่ 5)

ในที่ประชุม COP26 ตัวแทนของไทยให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2065 การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดเอง (Nationally Determined Contribution: NDC) ของประเทศไทยจะดำเนินการผ่านแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC Roadmap on Mitigation) ระหว่างปี 2021-2030 ซึ่งแสดงศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี 2030 เป็นจำนวน 115.6 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สาขาที่มีศักยภาพสูงสุดในการลดคือภาคพลังงานและการขนส่ง โดยมีมาตรการสำคัญคือ การส่งเสริมการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานหลักและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในกิจกรรมอุตสาหกรรมและการขนส่งจากโจทย์ Carbon Neutrality และ Net Zero ที่ได้ทำการตั้งเป้าหมายไว้ ทำให้มีคำถามว่าภาคธุรกิจมีการปรับตัวในเรื่องดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ซึ่งการลดการปล่อยคาร์บอนไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการลงทุนที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท บริษัทควรตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวด และดึงดูดนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างไรก็ดี บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นคิดเป็น 24% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด (ภาพที่ 6) และมีส่วนต่างระหว่าง เป้าหมายการปล่อยและปริมาณการปล่อย GHG จริงในปี 2023 อยู่ที่ 2.1 เท่า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมมีจำนวนบริษัทที่มีการตั้งเป้าควบคุมการปล่อย GHG มากที่สุดได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี คิดเป็น 41% ของจำนวนบริษัทในกลุ่ม อีกทั้งหากพิจารณาส่วนต่างระหว่างเป้าหมายและปริมาณการปล่อย GHG ในปี 2023 ของกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ที่ 0.9% เท่านั้น ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูงอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง รวมถึง กลุ่มบริการ มีการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นค่อนข้างท้าทาย แสดงให้เห็นว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวตระหนักถึงความสำคัญ และจำเป็นต้องเร่งจัดทำแผนงานการติดตามความคืบหน้าที่ชัดเจนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต (Scopes) ตามแนวทางของมาตรฐาน GHG Protocol เพื่อช่วยองค์กรประเมินและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างครอบคลุมและเป็นระบบ โดย Scope 1 คือ การปล่อยโดยตรงซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากแหล่งที่บริษัทเป็น

เจ้าของหรือควบคุมโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในหม้อต้ม เครื่องยนต์ และยานพาหนะที่ใช้ในการดำเนินงาน ส่วน Scope 2 การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อจากภายนอก เช่น การใช้ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน และในส่วนของ Scope 3 คือ เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กร แต่เกิดขึ้นในแหล่งที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเชน การขนส่งสินค้า การเดินทางของพนักงาน การกำจัดขยะ

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ 56-1 One Report ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวครอบคลุมการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG Scope 1 และ Scope 2 อย่างไรก็ตามเกณฑ์ดังกล่าวยังเป็นแบบ comply or explain คือ มีเกณฑ์ให้ต้องเปิดเผยข้อมูล แต่หากไม่เปิดเผยสามารถชี้แจงเหตุผลได้ ในปี 2023 บริษัทจดทะเบียนไทยมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 อยู่ที่ 56% 57% และ 39% ตามลำดับ (ภาพที่ 7) จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย Scope 1 และ Scope 2 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยใน 56-1 One Report มีสัดส่วนมากกว่า Scope 3 ซึ่งยังเป็นการเปิดเผยตามความสมัครใจ นอกจากนี้ การรายงาน Scope 3 เป็นเรื่องยากเนื่องจากมีความซับซ้อนหลายประการที่ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลและการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนนี้ท้าทายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ความซับซ้อนของซัพพลายเชน การต้องพึ่งพาข้อมูลจากหลายแหล่งโดยเฉพาะที่อยู่นอกการควบคุมของบริษัทมักมีปัญหาเรื่องความถูกต้องโปร่งใส มีรูปแบบและมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องยากและมีต้นทุนส่วนเพิ่มซึ่งอาจเหมาะกับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรในด้านต่างๆ พร้อมกว่า โดยสัดส่วนการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG Scope 1-3 เรียงจากมากไปน้อยได้แก่ SET50 SET100 non-SET100 และ mai ตามลำดับ

การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นกระบวนการที่ท้าทายสำหรับบริษัทจดทะเบียนหลายๆ แห่ง เนื่องจากต้องเผชิญกับอุปสรรคและความซับซ้อนหลายประการ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลการปล่อย GHG จากแหล่งต่างๆ ในบริษัทและซัพพลายเชนต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก การติดตามและรวบรวมข้อมูลจากกระบวนการผลิต การขนส่ง และการใช้พลังงานในกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทอาจซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่มีขนาดเล็ก อาจมีหลายแห่งขาดความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่เพียงพอในการดำเนินการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ การขาดทีมงานที่มีความรู้ความเข้าใจด้านนี้อาจทำให้การรายงานเป็นเรื่องยาก อีกทั้งการรายงานการปล่อย GHG ใน Scope 3 ต้องพึ่งพาข้อมูลจากผู้ขาย ผู้ผลิต และผู้ให้บริการในซัพพลายเชน การขาดความโปร่งใสและการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้จากบุคคลภายนอกเป็นอุปสรรคสำคัญในการรายงานข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง การทำให้ระบบการจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพและการตรวจสอบข้อมูลโดยบุคคลที่สามอาจมีต้นทุนสูง อีกทั้งข้อมูลที่จัดเก็บไว้อาจพบว่าไม่ตรงหรือไม่ครอบคลุมกับมาตรฐานในประเทศหรือในระดับสากลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และยังมีพลวัตการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
การเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ บริษัทจำเป็นต้องมีการวางแผนและจัดการที่ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งไม่เพียงแต่ที่กำหนดเกณฑ์ภาคบังคับที่บริษัทจดทะเบียนต้องปฎิบัตติตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังสนับสนุนในอีกหลายๆ รูปแบบ เช่น
• Facilitate โดยการสร้างระบบ SET ESG Data Platform ให้บริษัทจดทะเบียนได้ประโยชน์จากการเปิดเผยข้อมูลเพียงครั้งเดียวแล้วระบบจะนำไปคำนวณและแปลงค่าต่างๆ ให้สัมพันธ์กับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ต่างๆ เช่น GHG Protocol, Global Reporting Initiative (GRI), หรือ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) การกำหนดมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้การรายงานมีความสม่ำเสมอ โปร่งใส และสามารถเปรียบเทียบได้ระหว่างบริษัทต่างๆ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าบริษัทปฏิบัติตามแนวทางที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา Carbon Calculator หรือเครื่องคำนวณคาร์บอน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจไทยสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์ได้ด้วยตัวเอง
• Incentivize โดยสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG โดยการนำเสนอสิ่งจูงใจทางการเงิน เช่น ลดค่าธรรมเนียม หรือนำเสนอรางวัลและการยกย่องบริษัทที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อย GHG อย่างเป็นเลิศ การสร้างแรงจูงใจจะกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ เห็นความสำคัญและมีความตั้งใจในการรายงานข้อมูลมากขึ้น
• Educate: โดยร่วมกับทางกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) พัฒนาโปรเจ็กต์นำร่องเพื่อเปิดโค้ชชิ่งธุรกิจต่างๆ เพื่อสามารถนำไปต่อยอดเพื่อวางระบบขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนให้กับธุรกิจของตัวเอง รวมทั้งการจับมือกับ 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำ เพื่อร่วมพัฒนาหลักสูตรด้านการจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วย

เพิ่มปริมาณบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเข้ามารองรับภายใน Ecosystem มากขึ้น การเสริมสร้างความรู้และทักษะนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถรายงานข้อมูลได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
• Collaborate: สร้างความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อม หรือสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ในปี 2023 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุนรวมเป็นกลไกที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติด้านความยั่งยืน รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการออมระยะยาวโดยให้ ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์รองรับกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน SET และ mai ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน (ESG) โดยมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG แผนการจัดการ และการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อย GHG ที่ผ่านการทวนสอบการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยผู้ทวนสอบ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีบจ. ที่ไม่ได้อยู่ใน SET ESG มีแรงจูงใจในการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG มากขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 43%

ด้วยวิธีการเหล่านี้ ตลาดหลักทรัพย์สามารถมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความโปร่งใส การตระหนักรู้ และการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG ให้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์และเกิดการต่อยอดไปถึงธุรกิจใหม่ๆ เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการการปล่อยมลพิษให้เหมาะสมกับแผนและมาตรการที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของการนำข้อมูลส่วนหนึ่งใน SET ESG Data Platform มาทำการวิเคราะห์เท่านั้น ยังมีข้อมูลอีกหลายมิติที่นำมาใช้ประโยชน์หากท่านสนใจอย่าลืมเข้าไปติดตาม SETNOTE ที่เกี่ยวกับ SET ESG Data Showcase ได้ผ่านทาง SET Research ต่อไป


ปศุสัตว์นครราชสีมา ร่วมกับซีพีเอฟ เปิดตัว “โครงการสัตว์ปลอดโรค อาหารปลอดภัย”

0

ปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัว “โครงการสัตว์ปลอดโรค อาหารปลอดภัย ครั้ง 1/2567” เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในพื้นที่และชุมชน เป็นการป้องกันและเฝ้าระวังโรคระบาดในสัตว์ปีกเชิงรุก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด ให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ทำให้ได้วัตถุดิบเนื้อสัตว์ปลอดโรคและอาหารปลอดภัย

โครงการนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับธุรกิจของซีพีเอฟ ประกอบด้วย ธุรกิจไก่กระทง ธุรกิจไก่พ่อ-แม่พันธุ์ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ สายธุรกิจไก่เนื้อ1 และฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช โดยเปิดตัวกิจกรรมวานนี้ (18 มิถุนายน 2567) ที่ สำนักสงฆ์บ้านดอนทะยูง ตำบลสารภี อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา โดยมี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงานกว่า 250 คน

นายพศวีร์ สมใจ ปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า กิจกรรมในวันนี้ปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมาและซีพีเอฟ นำเจ้าหน้าที่และสัตวแพทย์ลงพื้นที่ร่วมให้ความรู้เรื่องโรคระบาดของสัตว์ พร้อมสาธิตการผสมวัคซีนและการให้วัคซีนป้องกันโรคระบาดในสัตว์ปีกกับเกษตรกรในจังหวัด เพื่อให้ประชาชนที่รับมอบวัคซีนจากปศุสัตว์สามารถนำวัคซีนไปใช้ป้องกันโรคกับไก่ภายในครัวเรือนได้เอง เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคติดต่อในสัตว์ปีกเกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งในส่วนของฟาร์มไก่และไก่พื้นบ้านของประชาชน

โดยกิจกรรมเริ่มต้นที่อำเภอหนองบุญมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะเลี้ยงสัตว์ปีกมากที่สุดของจังหวัดนครราชสีมา มีฟาร์มในพื้นที่ 6 แห่ง และมีการส่งสัตว์ปีกออกสู่ตลาดต่อรุ่นมากกว่า 7.5 ล้านตัวต่อปี นอกจากนี้ยังมีไก่พื้นเมืองที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้กว่า 1 แสนตัว ดังนั้นการสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคระบาดในสัตว์ปีกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้เกษตรกรลดความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิต และสร้างความมั่นใจในการบริโภคเนื้อสัตว์ปีกแก่ผู้บริโภคว่าได้บริโภคอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัยปราศจากโรค

ด้าน นายสาคร ทวรรณกุล รองผู้อำนวยการด้านการผลิตไก่กระทง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทได้ริเริ่มโครงการ “สัตว์ปลอดโรค อาหารปลอดภัย” ร่วมกับปศุสัตว์จังหวัด เพื่อป้องกันโรคระบาดที่เกิดขึ้นในสัตว์และให้ความรู้กับประชาชนป้องกันโรคระบาดในสัตว์ปีก โดย ซีพีเอฟ ได้ลงพื้นที่ฉีดวัคซีนให้แก่สัตว์ปีกในชุมชนรอบฟาร์มทุกปีเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว และจะขยายไปในทุกพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมา โดยในปีนี้มีเป้าหมายการฉีดวัคซีนในไก่พื้นเมืองให้ได้ รวม 40,000 ตัว

“ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพของอาหารและการป้องกันโรคเพื่อไม่ให้มีการปนเปื้อนเกิดขึ้นในอาหาร การให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์ตามหลักวิชาการกับชุมชนรอบโรงงานและฟาร์มของบริษัทฯ เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่บริษัทยึดมั่น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของอาหารปลอดภัย สัตว์ปลอดโรค โดยการป้องกันโรคสัตว์ และการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยง เพื่อยกระดับการบริโภคให้ถูกต้องตามหลักอนามัยและสุขภาพที่ดี และยังเป็นการลดความเสี่ยงและลดโอกาสในการเกิดโรคระบาดในสัตว์ปีกและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์มของบริษัทฯ” นายสาคร กล่าว

ซีพีเอฟ ตระหนักดีถึงความปลอดภัยทางอาหารและมีนโยบายส่งเสริมให้คนในชุมชนและผู้บริโภค รับทราบถึงข้อมูลการเลี้ยงสัตว์อย่างปลอดภัย โดยปัญหาด้านโรคที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงในชุมชนเป็นปัญหาที่หน่วยงานราชการและประชาชนต้องร่วมกันเฝ้าระวัง เพราะโรคที่เกิดจากสัตว์หากเกิดการระบาดขึ้นจะเป็นปัญหาระดับประเทศได้ สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อภาคปศุสัตว์ไทย ทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ ที่เป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ชั้นนำ การรณรงค์การป้องกันโรคอย่างถูกวิธี จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน เกษตรกร และประเทศในอนาคต

บริษัทยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ คือประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท สำหรับโครงการดังกล่าวฯ บริษัทฯ ช่วยดูแลชุมชนในพื้นที่ และประชาชนได้นำความรู้กลับไปปรับปรุงและป้องกันสัตว์เลี้ยง และสภาพแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้น เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการสร้างความปลอดภัยทางอาหารของทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ ซึ่งถือเป็นการตอบแทนคุณของแผ่นดินตามปรัชาสู่ความยั่งยืน