Home Blog Page 9

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวกองทุน Leveraged และ Inverse ETF เพิ่มโอกาสสร้างกำไรและบริหารความเสี่ยง

0

นางสาวรินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเปิดซื้อขายกองทุน ETF ประเภทใหม่ Leveraged และ Inverse ETF ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนหรือบริหารจัดการความเสี่ยงพอร์ตในระยะสั้น

นางสาวรินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Leveraged และ Inverse ETF หรือ L&I ETF เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลยุทธ์ในการลงทุน โดย Leveraged ETF จะเป็น ETF ที่ให้ผลตอบแทนไปทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง และเป็น “ตัวเพิ่มกำไร” โดยให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเท่าของผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง ซึ่งเหมาะกับกรณีที่คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ส่วน Inverse ETF จะเป็น ETF ที่ให้ผลตอบแทนไปทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง ทำหน้าที่เป็น “ตัวเสริมพอร์ต” ในการสร้างโอกาสการทำกำไรหรือใช้ป้องกันความเสี่ยง ในกรณีที่คาดว่าทิศทางตลาดจะปรับลง โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกอัตราทดหรืออัตราทวีคูณของ ETF ให้เหมาะสมตามความต้องการและความสามารถในการรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจซื้อขาย Leveraged และ Inverse ETF ควรศึกษาลักษณะและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน โดย Leveraged และ Inverse ETF เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากการถือครองในระยะยาวผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการที่ผลตอบแทนรวมของกองทุน ETF อาจแตกต่างไปบ้างจากผลตอบแทนทวีคูณของดัชนีอ้างอิง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

สำหรับ Leveraged และ Inverse ETF ที่จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งแรกนั้น จะมีจำนวน 3 กองทุน และอ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด (BCAP) และมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ดูแลสภาพคล่อง โดย L&I ETF จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 26 กันยายน 2568 ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/th/market/product/etf/leveraged-and-inverse-etf

CPF ส่งต่อ ‘พลังแห่งการให้’ ร่วมซ่อมแซมอาคาร รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสานต่อพันธกิจเคียงข้างสังคมไทย ส่งมอบเงินสนับสนุนจำนวน 244,412 บาท เพื่อสมทบทุนซ่อมแซมอาคารโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์ โดยเงินจำนวนนี้มาจากการจัดกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” ที่เชิญชวนบุคคลทั่วไปร่วมอุดหนุนสินค้าคุณภาพในราคาพิเศษ เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไปช่วยเหลือสังคม โดยมี นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ นายอำเภอพนมดงรัก และ พญ.วรวรรณ กอปรกิจงาม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรักฯ เป็นผู้แทนรับมอบ

นายอำเภอพนมดงรัก กล่าวว่า การสนับสนุนจากซีพีเอฟมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพี่น้องชาวอำเภอพนมดงรัก เพราะโรงพยาบาลพนมดงรักคือที่พึ่งหลักของประชาชนในยามเจ็บป่วย การที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกัน แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อโรงพยาบาลและคนในพื้นที่ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการดูแลรักษาได้ดียิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามาช่วยเหลือ เนื่องจากงบประมาณของภาครัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การได้รับแรงสนับสนุนเช่นนี้จึงมีความหมายอย่างมากต่อชุมชนของเรา

“อาคารที่พักเจ้าหน้าที่และอาคารบริการบางส่วนได้รับความเสียหาย หากได้รับการซ่อมแซมก็จะสามารถกลับมาให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพและส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยโดยตรง ดิฉันขอขอบคุณ CPF ที่เล็งเห็นความสำคัญของโรงพยาบาล และเข้ามาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวพนมดงรักอย่างมาก” ผู้อำนวยการ รพ.พนมดงรักฯ กล่าว

ซีพีเอฟ ยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทยในทุกสถานการณ์ ตามหลักปรัชญา “3 ประโยชน์” ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร การจัดกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” ในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโรงพยาบาลพนมดงรักฯ ให้กลับมาให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง.

กรมประมง ผนึก ซีพีเอฟ ใช้วิถีธรรมชาติ ปล่อย “ปลานักล่า ” ลดปลาหมอคางดำ ฟื้นสมดุลแหล่งน้ำ

0

การปล่อยปลานักล่า ช่วยลดปลาหมอคางดำได้ผล กรมประมงผนึกกำลังทุกภาคส่วนและชุมชน เดินหน้ามาตรการควบคุมและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรมการปล่อยพันธุ์ปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนผลิตและส่งมอบลูกพันธุ์ปลากะพงขาว ขนาด 4–5 นิ้ว เพื่อปล่อยลงในจังหวัดต่างๆ

ตามที่ กรมประมงเปิดปฏิบัติการปล่อยปลาผู้ล่า เป็นมาตรการที่ 2 จาก 7 มาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ปี 2567 – 2570 เพื่อกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ มุ่งเน้นการจัดหาพันธุ์ปลาผู้ล่า ประกอบด้วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลากดเหลืองที่มีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ปฏิบัติการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยการปล่อยปลาผู้ล่า โดยในปีนี้ ซีพีเอฟมีส่วนร่วมสนับสนุนผลิตและส่งมอบลูกพันธุ์ปลากะพงขาวจำนวน 400,000 ตัว ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้ทยอยส่งมอบพันธุ์ปลากะพงขาวให้แก่ประมงจังหวัดเพื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ตามแผนงานของกรมประมง อาทิ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา นครศรีธรรมราช เป็นต้น ซึ่งส่งมอบไปแล้วกว่า 80,000 ตัว

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า การปล่อยปลาผู้ล่าเป็นมาตรการที่ 2 จากทั้งหมด 7 มาตรการ ภายใต้ “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ปี 2567–2570” ที่กรมประมงวางแนวทางไว้อย่างเป็นระบบ โดยมาตรการนี้เน้นการใช้วิธีทางธรรมชาติ เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องกับการลงแขกลงคลอง เพื่อลดจำนวนปลาต่างถิ่นขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำ ปลาผู้ล่าจะทำหน้าที่ช่วยกำจัดลูกปลาหมอคางดำ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายวงกว้าง

ด้านนายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า การปล่อยปลานักล่าเห็นผลช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง จากการสำรวจหลังปล่อยปลากะพงขาว ทำให้ปริมาณปลาหมอคางดำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังมีส่วนช่วยเพิ่มพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำ เมื่อปลากะพงขาวเติบโตเต็มที่ เกษตรกรสามารถจับมาบริโภคหรือจำหน่ายเป็นรายได้เสริม นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมงปล่อยปลายังช่วบสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศของแหล่งน้ำในท้องถิ่นตนเอง

นอกจากการสนับสนุนพันธุ์ปลาเพื่อปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว ซีพีเอฟยังได้ร่วมมือกับสำนักงานประมงจังหวัดใน 5 พื้นที่ ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ดำเนินโครงการ “กองทุนปลากะพง” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสามารถจัดการปัญหาปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง ลดความเสียหายต่อผลผลิต สร้างโอกาสทางอาชีพ และเสริมรายได้ให้กับชุมชน โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินการส่งมอบลูกพันธุ์ปลากะพงขาวให้เกษตรกรในจังหวัดเพชรบุรี สมุทรสงคราม และนครศรีธรรมราชแล้วรวม 30,000 ตัว.

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลเกียรติยศ “THE BEST CEO 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2จากเวทีประกาศรางวัลยิ่งใหญ่แห่งปี DAILYNEWS TOP CEO 2025

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  คว้ารางวัลอันทรงเกียรติ “THE BEST CEO 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากเวที DAILYNEWS TOP CEO 2025  การประกาศรางวัลครั้งสำคัญซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เพื่อเชิดชูผู้บริหารสูงสุดที่สร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ในด้านการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจและสังคมที่เต็มไปด้วยความท้าทาย อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และสังคมไทย โดยพิธีจัดขึ้น  ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

รางวัล THE BEST CEO 2025 ถือเป็นรางวัลเกียรติยศที่ผ่านการพิจารณาอย่างเข้มข้นจากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมากประสบการณ์ โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกที่ครอบคลุมผลงานด้านการบริหาร วิสัยทัศน์ การสร้างนวัตกรรม ตลอดจนบทบาทในการสร้างคุณค่าและประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

โดย นายสาระ ล่ำซำ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งความสามารถในการกำหนดทิศทางธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง และการบริหารจัดการที่ยึดหลักความยั่งยืน ส่งผลให้เมืองไทยประกันชีวิตก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่ง มั่นคง และสร้างคุณค่าเชิงบวกต่อธุรกิจ รวมทั้งเป็นแบบอย่างของผู้นำที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จอย่างยั่งยืน

เพราะเวทีนี้ไม่มีพื้นที่ให้ผู้แพ้! AIS จัดเต็มถ่ายทอดสด ช้าง เอฟเอคัพ ตั้งแต่รอบคัดเลือกจนถึงรอบชิงฯ

0

AIS เตรียมถ่ายทอดสดศึกฟุตบอล “ช้าง เอฟเอ คัพ 2025/26” ฟุตบอลถ้วยน็อกเอาท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รายการที่ไม่มีเวทีให้กับผู้แพ้ รวมถึงเป็นเวทีสร้าง “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” มาแล้วนักต่อนัก โดย AIS PLAY เตรียมถ่ายทอดสดแบบจุใจให้ชมตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบแรก จนถึงรอบชิงชนะเลิศ

ฟุตบอลช้าง เอฟเอ คัพ ถือว่าเป็นฟุตบอลถ้วยรายการที่เก่าแก่ที่สุดของไทยรายการหนึ่งที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ พ.ศ.2517 จนถึงปัจจุบัน โดยยังเป็นฟุตบอลถ้วยที่เปิดโอกาสให้ทุกทีมของประเทศไทย สามารุถส่งทีมเข้าแข่งขันได้ รวมถึงสร้างตำนาน “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” ที่ทีมเล็กสามารถเอาชนะทีมใหญ่มาได้มากมาย นอกจากนี้ยังมีรางวัลใหญ่ก็คือ ทีมชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านบาท พร้อมสิทธิเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ AIS กล่าวว่า ฟุตบอลช้าง เอฟเอ คัพ นับเป็นอีกหนึ่งฟุตบอลถ้วยรายการสำคัญที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งฟุตบอลรายการนี้ยังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และน่าติดตาม เพราะหลายครั้งเราได้เห็นทีมเล็ก สามารถพลิกล็อกเอาชนะทีมใหญ่ได้ เนื่องจากเป็นฟุตบอลแบบน็อคเอาท์ แพ้คัดออก นอกจากนี้เวลาทีมเล็กๆ ได้ต้อนรับทีมใหญ่ๆ ก็ช่วยปลุกกระแสให้กับจังหวัดนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

“ซึ่งความพิเศษในปีนี้ ทาง AIS จัดเต็มด้วยการถ่ายทอดสดตั้งแต่รอบคัดเลือก ให้ได้ติดตามทุกทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน และลุ้นหาทีมที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 64 ทีมสุดท้ายกัน โดยแฟนบอลสามารถติดตามเชียร์ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผ่านแอพพลิเคชั่น AIS PLAY” นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าว

สำหรับ การแข่งขันฟุตบอล “ช้าง เอฟเอ คัพ 2025/26” จะเริ่มเปิดฉากรอบคัดเลือก รอบที่ 1 ในวันที่ 24 กันยายน 2568 จากนั้นจะแข่งขันรอบคัดเลือก รอบ 2 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ก่อนจะได้ 64 ทีมสุดท้ายเข้าสู่รอบแรก ที่จะเริ่มมีทีมจากไทยลีก 1 ทั้ง 16 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน เริ่มตั้งแต่ 29-30 ตุลาคม 2568 ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2569

AIS ขอเชิญแฟนฟุตบอลชาวไทยทุกคน ร่วมส่งแรงเชียร์ผ่านช่องทางรับชมที่ถูกลิขสิทธิ์ เพื่อสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยอย่างสร้างสรรค์โดยสามารถชมได้ฟรีทุกเครือข่าย ถ่ายทอดสดครบทุกลีก ที่แอปพลิเคชัน AIS PLAY กล่อง AIS PLAYBOX, Smart TV, Android TV, Apple TV สามารถดาวน์โหลด AIS PLAY ได้ที่ App store และ Google Play Store และถ่ายทอดสดทาง 3BB แฟนบอลไทยห้ามพลาด! สามารถรับชมไฮไลท์และรีรัน ครบทุกช็อตความมันส์ จัดเต็มความสนุกให้คุณได้ติดตามแบบเต็มอิ่ม

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ เปิดแผนพยุงราคาหมูไทยช่วยเกษตรกร  ผนึก 6 ภูมิภาคเดินหน้ามาตรการคู่ขนาน  หวังดึงตลาดกลับสู่สมดุล 

0

ราคาหมูร่วงจากกำลังซื้อหด–เศรษฐกิจซบ–แรงงานต่างชาติหาย สมาคมฯ ผนึกกำลัง 6 ภูมิภาคเดินหน้ามาตรการคู่ขนาน ทั้งขายหมูราคาพิเศษ ตัดวงจรลูกสุกร เก็บหมูเข้าห้องเย็น และจำกัดน้ำหนักเข้าเชือด หวังดึงตลาดกลับสู่สมดุล

ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือเพียง 52-64 บาท/กก.กำลังกลายเป็นปัญหาที่สร้างแรงกดดันต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ล่าสุด นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ออกมาตรการเร่งด่วนหลายด้านเพื่อสร้างเสถียรภาพตลาด 

นายสิทธิพันธ์เปิดเผยว่า ภาวะราคาหมูตกต่ำครั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลงต่อเนื่อง การหดตัวของภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้การบริโภคลดลง ขณะที่ฝนตกยาวนานยิ่งทำให้การจับจ่ายไม่คึกคัก ผลที่ตามมาคือปริมาณสุกรมีมากเกินความต้องการบริโภค ราคาขายหน้าฟาร์มตกต่ำลงจนต่ำกว่าต้นทุนการผลิต เกษตรกรจำนวนไม่น้อยเริ่มประสบภาวะขาดทุน

สมาคมฯ จึงวางมาตรการสำคัญหลายด้าน ได้แก่ การจัดกิจกรรม หมู 2 โล 100 เพื่อกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะจัดพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพื่อเร่งลดปริมาณสุกรในตลาด ได้แก่ โครงการตัดวงจรลูกสุกร นำมาทำหมูหันทันทีจำนวน 100,000 ตัว เพื่อลดซัพพลายในช่วง 4 เดือนข้างหน้า การขอความร่วมมือบริษัทผู้เลี้ยง 4 รายใหญ่ให้เก็บหมูเข้าห้องเย็นนาน 6 เดือน เพื่อลดปริมาณเนื้อหมูเข้าสู่ตลาด รวมถึงกำหนดน้ำหนักสุกรเข้าเชือด ตัวละไม่เกิน 110 กิโลกรัม เพื่อชะลอปริมาณเนื้อหมูส่วนเกิน
กิจกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้เลี้ยงสุกร 6 ภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดราชบุรีและเขต 7, สหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกรชลบุรี, สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคกลางตอนบนเพื่อการค้า, สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ และสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมการค้าภายในและกรมปศุสัตว์

ด้าน น.สพ.นพลิศ เสริมศักดิ์ศศิธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้ประกอบการในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องกิจกรรมหมู 2 โล 100 กล่าวว่า กิจกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 และ 26 กันยายนนี้ โดยมีจังหวัดราชบุรี และชลบุรีเป็นพื้นที่นำร่อง ก่อนจะทยอยกระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ และขยายผลเป็นกิจกรรมใหญ่ทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม โดยตั้งเป้าจำหน่ายหมูปลอดสารเร่งเนื้อแดงกว่า 100,000 กิโลกรัมพร้อมกันทุกภูมิภาค

“การขายหมูราคาพิเศษเช่นนี้ไม่เพียงช่วยกระตุ้นการบริโภค แต่ยังทำให้ผู้บริโภคมีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ช่วยพยุงชีวิตเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง “ น.สพ.นพลิศกล่าว 
สมาคมฯคาดว่าหากมาตรการดังกล่าวดำเนินไปตามแผนจะช่วยลดปริมาณสุกรส่วนเกินในตลาดได้ทันที ขณะเดียวกันกิจกรรมหมูราคาพิเศษจะช่วยกระตุ้นการบริโภคให้กลับมามีชีวิตชีวา ทั้งหมดนี้จะช่วยคลี่คลายปัญหาและค่อย ๆ ดึงตลาดหมูให้กลับเข้าสู่สมดุลได้ในที่สุด

AIS ผนึก กลุ่มเซ็นทรัล และ JAL เปิดตัวแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนคนไทยโชว์ไอเดียทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้า ร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ญี่ปุ่น

0

AIS ผนึกกำลัง กลุ่มเซ็นทรัล และ Japan Airlines (JAL) เดินหน้าสานต่อภารกิจด้านความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมลงมือทำจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ส่งแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนลูกค้าเอไอเอส และสายช้อป สายกรีน แห่งกลุ่มเซ็นทรัล มาปล่อยพลังไอเดีย สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ ท้าเพื่อนๆ มาทิ้ง E-Waste ให้ถูกที่ ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้ากับ Japan Airlines สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น พาไปสัมผัสประสบการณ์ กิน-เที่ยว-ช้อป แบบ All-Inclusive ที่ประเทศญี่ปุ่นฟรี พร้อมด้วยกิจกรรมไฮไลต์ กับครั้งแรกที่ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล จะพาไปเปิดเส้นทางการจัดการ E-Waste และรีไซเคิลแบบครบวงจร ณ DOWA Smelting & Refining และ Eco-Recycle บริษัทชั้นนำด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก เปิดโลกนวัตกรรมแห่งอนาคต AI, Green Tech & Smart City สุดล้ำ และดื่มด่ำประสบการณ์กิน เที่ยว ช้อป ครบทุกไฮไลต์  ร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 พร้อมเดินทางในต้นปี 2569

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของ AIS โดยเฉพาะในด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรามุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (HUB of E-Waste) และร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่เราได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 250 องค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีช่องทางการทิ้งที่นำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี รวมถึงความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งแต่ปี 2563 มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายจุดรับทิ้ง E-Waste กว่า 42 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดย E-Waste ทุกชิ้นที่ทิ้งกับ AIS สามารถมั่นใจได้ว่าได้รับการจัดการโดยไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบตามมาตรฐาน Zero E-Waste to Landfill ผ่านความร่วมมือกับ WMS บริษัทในเครือ DOWA Group ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำด้านการรีไซเคิลระดับโลกที่มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด ‘สู่โลกแห่งการรีไซเคิล’” หรือ A Recycling-Oriented World

ในครั้งนี้ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล ได้ร่วมมือกับ JAL ในการสนับสนุนการเดินทางอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Green Journey เพื่อคิกออฟแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อให้เอไอเอสนำไปจัดการอย่างถูกต้อง โดยเอไอเอสหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมของประชาชนและผลักดันสังคมให้เข้าสู่แนวทางการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

นางสาวอัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด สื่อสารองค์กร และความยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล  กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 78 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย ภายใต้โครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ด้วยแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value – CSV) มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สังคม โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

หนึ่งในความท้าทายที่เราทุ่มเทคือ การเป็น ต้นแบบการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2030 และ ให้เหลือศูนย์ในปี 2050 ผ่านโครงการ Love The Earth – ZERO WASTE NOW  ที่เชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการ ‘ลด’ การใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น, ‘แยก’ ขยะตั้งแต่ต้นทาง, และ ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้เรายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง AIS, Japan Airlines และ WMS ในการรณรงค์การทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ผ่านแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีจุดรับทิ้ง E-Waste ครอบคลุมศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 42 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลเวิลด์

กลุ่มเซ็นทรัลเชื่อว่าความยั่งยืนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของทุกคน โดยเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว เช่น ทิ้งขยะให้ถูกประเภท เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับพวกเราทุกคน”

นายทาคาฟุมิ ซะวะดะ Regional Manager Thailand, Indochina and South Asian Subcontinent Japan Airlines Co.,Ltd. กล่าวว่า “สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นสายการบินที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2050 ผ่านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่กับการใช้ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ที่ผลิตจากน้ำมันใช้แล้วระหว่างการบิน อีกทั้งยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF ให้ได้ 10% ภายในปี 2030 พร้อมพัฒนาฝูงบินด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Airbus A350 และ Boeing 787 ในขณะเดียวกัน เจแปนแอร์ไลน์ยังยึดแนวทาง 3R+1R (Reduce, Reuse, Recycle + Redesign) โดยเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และพัฒนาภาชนะอาหารที่ย่อยสลายได้ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

และเพื่อขยายพันธกิจความยั่งยืนไปไกลกว่าการบิน เจแปนแอร์ไลน์ในฐานะสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกับ กลุ่มเซ็นทรัล และ AIS สนับสนุนบัตรโดยสารสำหรับผู้เข้าร่วมแคมเปญ ‘ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!’ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์กำจัด E-Waste ที่กรุงโตเกียว และเรียนรู้วิธีจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”

คุณโยขิฮิโร โอกาดา President of WMS (Waste Management Siam – WMS) กล่าวว่า “DOWA Group ของเรา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเหมืองและถลุงโลหะมากว่า 140 ปี ปัจจุบันเราได้ปรับเปลี่ยนทิศทางธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการนำ อีเวสต์ (E-waste) มาใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณค่าในการสกัดโลหะมีค่า ในประเทศไทย DOWA เชื่อว่า “E-waste ไม่ใช่ของเสีย แต่คือทรัพยากรที่มีมูลค่า” โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูงเข้ามาช่วยยกระดับการจัดการ ขณะเดียวกัน ความสำเร็จในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงกฎระเบียบ กฎหมายต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้ความร่วมมือกับ AIS ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บรวบรวมได้จะถูกส่งไปยัง ESBEC บริษัทในเครือ WMS เพื่อถอดแยก โดยวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ส่วนใหญ่จะถูกรีไซเคิลภายในประเทศ สำหรับส่วนประกอบที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ จะถูกกำจัดอย่างปลอดภัยด้วยการเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน ขณะที่ส่วนประกอบที่ซับซ้อนแต่มีมูลค่าสูง เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBs) ซึ่งมีโลหะมีค่าหลายชนิด จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานของ DOWA ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการสกัดและหมุนเวียนทรัพยากร DOWA มุ่งมั่นที่จะนำโลหะเหล่านี้กลับมาใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม”

ขอเชิญชวนลูกค้า AIS และ กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมสนุกกับกิจกรรม “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. นำ E-Waste (เช่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต แล็ปท็อป อุปกรณ์ชาร์จ หูฟัง ฯลฯ) มาทิ้งที่ AIS Shop ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และ จุดรับ E-Waste ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ รวม 42 สาขาที่ร่วมรายการ (ต้องมีสัญลักษณ์แคมเปญที่กล่องรับ E-Waste)
  2. ถ่ายคลิป VDO ให้สร้างสรรค์ โดยต้องถ่ายติดกล่องรับ E-Waste อย่างน้อย 1 ซีน ในรูปแบบ VDO แนวตั้ง ความยาวไม่เกิน 90 วินาที
  3. โพสต์ลงโซเชียลมีเดียช่องทางใดก็ได้ (FB, IG, TikTok) พร้อมติด hashtag #AIS #CENTRALGROUP #JAPANAIRLINES #ถ่ายคลิปทิ้งEWASTEให้ไวบินไปญี่ปุ่นฟรี
  4. ลงทะเบียนและส่งผลงานทางเว็บไซต์ https://m.ais.co.th/l2/rFMppXACWU โดยกรอกเบอร์ AIS และสมาชิก The 1 พร้อมอัปโหลดใบเสร็จการช้อปที่มีหมายเลข The 1 จากร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568

สามารถติดตามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/ewaste-contest

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัว “ละครกรมธรรม์” ปรับมุมมองประกันให้เป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ทุกกลุ่ม

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้ม พร้อมมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคน ได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้มีความรู้ ความเข้าใจ และได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัว  “ละครกรมธรรม์”  ซึ่งเป็นละครสั้น จำนวน 4 ตอน  ที่จะมาช่วยปรับภาพลักษณ์ประกันจากมุมมองเดิมที่เห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อน มีเงื่อนไขต่าง ๆ เข้าใจยาก สู่มุมมองใหม่ที่ทำให้เห็นว่า ประกันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบละครสั้นเข้าใจง่าย  ความยาวไม่เกิน 3 นาที สอดแทรกเรื่องราวสอนใจเกี่ยวกับการซื้อประกัน สะท้อนประเด็นใกล้ตัวที่ผู้บริโภคมักสงสัย สนุก  น่าติดตาม ดูจบรับรองว่าได้ความรู้เรื่องประกันเพิ่มเติมอย่างแน่นอน

โดย “ละครกรมธรรม์” จากเมืองไทยประกันชีวิต นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการนำคำถามจริง    จากผู้บริโภคมาถ่ายทอดในรูปแบบละครสั้นแบบละครคุณธรรม ที่ครบทั้งสาระ ความสนุกที่เรียกรอยยิ้มได้จากทุกคน พร้อมตอบข้อสงสัยได้ครอบคลุมตั้งแต่คำถามยอดฮิตอย่าง “มีโรคประจำตัว ทำประกันได้ไหม?” “ต้องมีกรมธรรม์หลายเล่มไหมถึงจะคุ้มครองครอบคลุม?” “เบี้ยประกันต้องจ่ายอย่างไรให้ถึงบริษัทฯ ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง?” หรือ “ประกันสุขภาพต้องซื้อตอนป่วยหรือที่ยังไม่ป่วย” พร้อมดึงอินฟลูเอนเซอร์แถวหน้า อย่าง  “อินทนนท์”  มารับบทผู้เชี่ยวชาญด้านประกันชีวิต ที่จะเข้ามาช่วยคลายข้อสงสัย ประกบกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เลิ่กลั่ก”  “นินิว” “สไปรท์ บะบะบิ” และ “พีท พามานา” มาร่วมแสดง 

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การนำเสนอละครกรมธรรม์ ถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และเข้าถึงได้สำหรับคนไทยทุกคน ไม่ว่าคุณจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน อยู่พื้นที่ใด นอกจากนี้ในละครสอดแทรกถึงการให้ความรู้และความสำคัญของการทำประกัน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และความคุ้มครอง ผ่านตัวแทนมืออาชีพที่เชื่อถือได้ คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและความต้องการของตนเองอีกด้วย”

ทั้งนี้ สามารถติดตามรับชม “ละครกรมธรรม์” ทั้ง 4 ตอน ได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube และ Facebook เมืองไทยประกันชีวิต  เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ และสาขาธนาคารกสิกรไทย และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทุกสาขา 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการ JUMP+ อัพมูลค่าบจ. ต่อเนื่อง สมัครร่วมโครงการแล้ว 50 บ.

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อัปเดตโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน “โครงการ JUMP+” ที่เดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 50 บริษัท และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้ง SET และ mai ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ที่พร้อมยกระดับธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการ JUMP+ เป็นหนึ่งใน flagship projects ตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรสนับสนุนบริษัทในการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ การขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ JUMP+ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธ.ค. 2568 และผู้ลงทุนสามารถติดตามรายชื่อบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ www.set.or.th  

ฟุตบอลทุกระดับสำคัญ! AIS เตรียมยิงสดฟุตบอลลีกหญิง-ลีกชายรุ่นยู-21 มุ่งปลุกกระแสการพัฒนาจากรากฐาน

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ให้ความสำคัญกับฟุตบอลทุกระดับ เตรียมถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก รวมถึง ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” เริ่มตั้งแต่ 22 กันยายนนี้เป็นต้นไป โดยแฟนฟุตบอลสามารถรับชมผ่านทาง AIS PLAY ครบทุกคู่ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก จะเป็นการคัดเลือก 2 ทีมเพื่อเข้าสู่การแข่งขัน Thai Women’s League 2 หรือลีกรองของฟุตบอลหญิงไทย นับเป็นการเปิดโอกาสให้กับทีมที่ต้องการก้าวเข้าสู่ระดับอาชีพอย่างแท้จริง และเป็นรากฐานของการพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงไทย

 ขณะที่ ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” เป็นการปรับระดับอายุจากปีที่แล้ว ที่แข่งขันในรุ่นยู-23 ลงมาเป็นรุ่นยู-21 เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละสโมสรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชน และมีเวทีลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ให้นักเตะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยในอนาคตต่อไป

รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ AIS

 นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ AIS กล่าวว่า AIS ยังคงตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการแข่งขันฟุตบอลไทยในทุกระดับ แม้กระทั่งฟุตบอลลีกหญิง ที่ประเทศไทยกำลังจะพัฒนาให้ก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพอย่างยั่งยืน เราก็เริ่มถ่ายทอดสดตั้งแต่รอบคัดเลือก ที่จะนำ 2 ทีมที่ดีที่สุดเข้าสู่ระบบอาชีพ เป็นการจุดประกายให้คนสนใจฟุตบอลหญิงมากยิ่งขึ้น และช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงไทยอย่างยั่งยืน

 “ขณะเดียวกันในส่วนของฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ก็นับเป็นรายการสำคัญสำหรับการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนของไทย เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับนักฟุตบอลยู-21 ได้มีเวทีแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาฝีเท้าและต่อยอดไปสู่ระดับอาชีพ หรือการเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทย โดยเฉพาะในรุ่นอายุนี้ที่มีรายการสำคัญอย่างเช่นซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือแม้แต่การลุ้นตั๋วโอลิมปิกเกมส์ ดังนั้นเมื่อมีการถ่ายทอดสดก็จะทำให้เด็กเหล่านี้ได้รับความสนใจมากขึ้น ถ้าคนไหนทำผลงานได้ดี อาจจะทำให้ถูกสโมสรดึงตัวขึ้นไปเล่นในลีกอาชีพ ยิ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้ด้วย” นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าว

สำหรับฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก จะแข่งขันกันระหว่างวันที่ 22-30 กันยายน ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางมด เพื่อคัด 2 สโมสรที่ดีที่สุด เข้าไปแข่งขันใน Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 จากนั้นฟุตบอล Thai Women’s League 1 และ Thai  Women’s League 2 จะเปิดฤดูกาลตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 จนถึง 30 มิถุนายน 2569

 ขณะที่ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 12 ทีม จะแข่งขันในรอบลีก ตั้งแต่ 23 กันยายน-20 พฤศจิกายน สัปดาห์ละ 6 คู่ 11 สัปดาห์ รวม 66 นัด

 จากนั้นจะนำอันดับ 1-4 เข้ารอบรองชนะเลิศ แข่งแบบเหย้า-เยือน ระหว่างวันที่ 2-10 ธันวาคม และผู้ชนะในรอบรองชนะเลิศ จะมาเจอกันแบบเหย้า-เยือน ในรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 17 กับ 24 ธันวาคม รวมจากรอบลีกถึงชิงชนะเลิศ มีทั้งหมด 72 นัดด้วยกัน