Home Blog Page 9

CPF รับรางวัล CAC Change Agent Award 2024 สนับสนุนคู่ค้า SME เป็นเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน

แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) มอบรางวัล CAC Change Agent Award 2024 ให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรเอกชนที่มีส่วนร่วมสร้างเครือข่ายการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าธุรกิจเข้าร่วมโครงการ CAC SME เป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง

ซีพีเอฟผนวกเรื่องการต่อต้านการทุจริตและการคอร์รัปชันและสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีจริยธรรม ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่โปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดจนช่วยสร้างโอกาสและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ SME เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในปีนี้ บริษัทได้ร่วมกับ CAC จัดอบรมถ่ายทอดความรู้แนวทางการป้องกันคอร์รัปชันในองค์กรให้แก่คู่ค้า SME 367 ราย เพื่อส่งเสริมให้คู่ค้ามีความตระหนักและกำหนดนโยบายรวมถึงแนวปฏิบัติในการป้องกันการทุจริตภายในองค์กรได้อย่างเหมาะสม ในปีนี้มีคู่ค้าของซีพีเอฟที่เป็นผู้ประกอบการ SME ประกาศเจตนารมณ์เป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันเพิ่มอีก 13 ราย

การสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจ SME ได้มีความรู้ความเข้าใจสามารถนำนโยบายและแนวทางการต่อต้านการทุจริตและการคอร์รัปชันเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ ภายใต้โครงการ Partner to Grow…เติบโตเคียงข้างอย่างยั่งยืน” ซึ่งปีนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจร่วมกันและเติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่โปร่งใส ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิตสินค้า การจัดส่ง ตลอดจนถึงการจัดจำหน่าย สร้างความเชื่อมั่นและได้การยอมรับจากสังคม ส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว สอดคล้องกับหลักปรัชญา ‘3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน’ ของเครือซีพี ที่ดำเนินธุรกิจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนในประเทศนั้น องค์กรจึงจะได้ประโยชน์

รางวัล CAC Change Agent Award เป็นการประกาศเกียรติคุณบริษัทที่ผ่านการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) และมีการชักชวนคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SME เข้ามาร่วมประกาศเจตนารมณ์กับ CAC มากกว่า 10 บริษัทภายใน 1 ปี สำหรับปีนี้ ซีพีเอฟได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยมี นางสาววิภาวรรณ ประมูลความดี ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบภายใน นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุด สายงานการจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ รับรางวัลจาก ดร.กุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ในงาน CAC Certification Ceremony 2024.

เมนูใหม่เว็บ SET!!

ปัจจุบันผู้ที่สนใจอยากลงทุนมีช่องทางมากมายสำหรับใช้ค้นหาข้อมูล และศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุน ทั้งจากเว็บไซต์ และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้านการลงทุน แต่เว็บไซต์หลักที่ “คุณนายพารวย” เข้าไปใช้งานเสมอ และแน่นอนว่าเวลาคนคิดจะลงทุนจะซื้อหุ้น กองทุน หรือตราสาร ต้องเปิดใช้ด้วย นั่นคือเว็บ www.set.or.th ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เรียกได้ว่า เป็นเว็บที่หนึ่งในใจของนักลงทุน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พัฒนา ออกแบบ และปรับปรุงให้หน้าตาเว็บใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลของหุ้น, บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลอดจนข่าวสาร, กิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือลงทุนต่างๆ รวมทั้งการทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมความรู้เรื่องการลงทุนต่างๆให้กับผู้สนใจอีกด้วย

ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯได้จัดทำเมนูใหม่ “วิเคราะห์งบการเงิน” โดยเพิ่ม 5 มุมวิเคราะห์ ได้แก่ ยอดขาย กำไรสุทธิ วงจรเงินสด คุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน บจ. มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นและโครงสร้างการจัดการที่ซับซ้อน การดูแค่การเติบโตของกำไรจึงไม่เพียงพอ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์กิจการที่ครอบคลุมหลายมิติมากขึ้น

เมนูใหม่ “วิเคราะห์งบการเงิน” จะช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของงบฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ งบกระแสเงินสด และอัตราส่วนทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์และตีความ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องพิจารณาควบคู่กับประเภทธุรกิจ (sector) ด้วย เพื่อความเหมาะสมในการตัดสินใจลงทุน

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมกับพันธมิตรจัดทำบทวิเคราะห์รายอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ใน “โครงการรายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแยกตามรายธุรกิจ” เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ บจ. และให้นักลงทุน โดยสามารถเข้าไปดูที่ https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

การเพิ่มมุมมองวิเคราะห์ให้กับนักลงทุนครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมความรู้และให้ข้อมูลการลงทุนแก่นักลงทุน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนโดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งจะช่วยสร้างนักลงทุนที่มีคุณภาพ และในระยะยาวก็เป็นการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน

“คุณนายพารวย” ไม่แปลกใจว่า ทำไมเว็บ SET ถึงรักษาตำแหน่งเว็บลงทุนที่ครองใจนักลงทุนจนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญของนักลงทุนทุกระดับ ช่วยเปิดประตูสู่การลงทุน รวมถึงการทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุม อัปเดต และที่สำคัญคือเชื่อถือได้ เพราะ

เป็นเว็บของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้น การเผยแพร่ข้อมูลจึงต้องทำอย่างถูกต้องและโปร่งใส

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไ่ทยรัฐ

คณะแพทย์รพ.รามาฯ ยกระดับเชิงรุกแนวทางการป้องกันบาดแผลทางจิตใจในการทำงาน

รามาฯ จัดสัปดาห์สุขภาพจิต ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตของบุคลากรในองค์กร บาดแผลทางจิตใจในการทำงาน เป็นเพชรฆาตเงียบที่องค์กรจำเป็นต้องยกระดับการป้องกัน ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจของบุคลากร และสร้างระบบขององค์กรที่บุคลากรรับรู้ได้ถึงความปลอดภัยทางจิตใจในการทำงาน 

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดสัปดาห์สุขภาพจิต 2567 ภายใต้แนวคิด “สุขภาพจิตในการทำงาน” ในหัวข้อเสวนาเรื่อง “การป้องกันบาดแผลทางจิตใจในสังคมการทำงาน” พร้อมทั้งประกาศเจตนารมณ์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่สนับสนุนสังคมการทำงานที่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์ แต่คนทำงานบาดเจ็บทางจิตใจ ย้ำการป้องกันบาดแผลทางจิตใจจำเป็นต้องยกระดับเชิงรุกและร่วมมือกันในทุกระดับ 

รศ. ดร. นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตของวัยทำงานเป็นปัญหาที่มีมาอย่างเรื้อรัง นอกเหนือจากการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับบุคลากรแล้ว องค์กรควรจะต้องมีระบบการป้องกันบาดแผลทางจิตใจ เพื่อให้บุคลากรเกิดความมั่นคงทางจิตใจและรู้สึกปลอดภัยในการทำงาน เปรียบเสมือนการขับรถที่มีถุงลมนิรภัยและเข็มขัดนิรภัยเวลาเราขับรถ ที่ทำให้คนขับสบายใจและปลอดภัยในการขับรถ วัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันที่ควรเกิดขึ้นในองค์กร คือ “การยอมรับว่าความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครที่มีเจตนาอยากให้ผิดพลาด” เมื่อผิดพลาดแล้วให้มองที่กระบวนการหรือพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ไม่มุ่งกล่าวโทษว่าคนหรือใครเป็นคนทำให้ผิดพลาด เพราะการมุ่งกล่าวโทษที่คนจะทำให้คนทำงานรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สบายใจในการทำงาน สำหรับตัวบุคลากรเอง การมีสติรู้ตัวและให้อภัยในความผิดพลาด จะช่วยจัดการของที่เราถืออยู่ในมือไม่ให้เผลอไปเขวี้ยงโดนใคร หรือหากทำของหลุดมือไปแล้ว ยังเท่าทันที่จะเก็บของกลับมาได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเดินสะดุดของที่เราเขวี้ยงออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาทักษะการล้มเป็นลุกไวและเติบโตทางจิตใจให้มีอยู่ในตัวบุคลากร (Resilience skill) ที่ต้องอาศัยการยอมรับความจริง การทบทวนตัวเอง และเรียนรู้พัฒนาก้าวต่อไป 

ด้าน พว.พรทิพย์ ไขสะอาด หัวหน้าหอผู้ป่วยจิตเวช ต้นแบบหัวหน้างานที่มาแลกเปลี่ยนการสื่อสารกับทีมเมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน กล่าวว่า การสื่อสารแบบสันติเมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน จะสันติได้ต้องเริ่มที่ทัศนคติของหัวหน้างานที่ต้องมีก่อนที่จะสื่อสาร คือ 1. ทุกคนไม่มีเจตนาให้เกิดความผิดพลาด และ 2.เห็นข้อดีของคนที่อยู่ตรงหน้า หากเรามีทัศนคติเช่นนี้และเท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ท่าทีและวิธีการสื่อสารก็จะเป็นไปอย่างสันติ ไม่เกิดบาดแผลทางจิตใจในการทำงาน 

ขณะที่ นพ.ณรงค์ฤทธิ์ มัศยาอานนท์ รองคณบดีฝ่ายคุณภาพและศูนย์ความเป็นเลิศ กล่าวว่า นอกเหนือจากการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่ตัวบุคลากรแล้ว ระบบที่คณะฯ ออกแบบเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานที่ปลอดภัยทางจิตใจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย (Personnel Safety Goals 2018) โดยมีโครงการช่วยเหลือด้านจิตสังคมสำหรับบุคลากร (Support System for Our Staff; หรือโครงการ SSOS) ซึ่งเป็นระบบการดูแลและช่วยเหลือบุคลากรของคณะฯ ที่ได้รับผลกระทบด้านจิตใจจากกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางการแพทย์ ให้สามารถสนับสนุน เยียวยา และฟื้นฟูสภาพจิตใจ ไม่ให้เกิดแผลในใจ สามารถกลับเข้าทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังส่งเสริมนโยบายไม่สนับสนุนความรุนแรงในสถานที่ทำงาน (workplace violence) ทั้งทางด้านการกระทำและคำพูด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของบุคลากร โดยเฉพาะการพัฒนาจากด้านใน (inner life) ให้ความเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และตระหนักในคุณค่าและความหมายของงาน (meaningful work)

น.ส.ชมพูนุท จิวะธานนท์ รองคณบดีฝ่ายบริหารทุนมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ผลกระทบสภาวะทางจิตใจของบุคลากร มีเหตุปัจจัยที่เกิดจาก 2 มิติสำคัญ มิติแรกคือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ปริมาณงาน ผู้รับบริการ ตลอดจน ผู้บังคับบัญชา มิติที่สองคือความรู้สึกตนเองที่ได้รับผลกระทบ การจัดการกับสภาวะความกดดันและความเครียดได้เร็วและไวที่สุด ควรเริ่มต้นจากการจัดการกับปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่น การให้ความสำคัญกับการสำรวจและตระหนักรู้ด้วยตนเอง (Self-awareness) เริ่มจากการสำรวจตนเอง การรู้และยอมรับสัญญาณปัญหาสุขภาพใจด้วยตัวของบุคลากรเอง เป็นจุดเริ่มต้นของรู้เท่าทัน และป้องกันบาดแผลทางจิตใจไม่ให้ลุกลามได้ เพราะการเข้าใจ รู้สถานะ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะนำไปสู่การมองหาทางเลือกในแนวทางและกลไกที่จะจัดการจิตใจของตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งฝ่ายบริหารทุนมนุษย์ได้เล็งเห็นความสำคัญและมองเป็นทิศทางในการวางแนวทางการพัฒนาและสร้างเสริมเชิงป้องกัน ให้กับบุคลากร นอกจากนั้น ได้วางแผนจัดการพัฒนาเสริมสร้างเทคนิคการสื่อสารให้กับระดับบังคับบัญชา เพื่อส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่สำคัญ ให้บุคลากรเกิดการทำงาน ที่มีความสุขเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กันไป

‘สารวัตรเติ้ก’ แนะนำวิธีสังเกตข้อมูลจากต้นทาง ป้องกันตัวเองไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

มิจฉาชีพ ปลอมแปลงทุกวิถีทาง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
“สารวัตรเติ้ก” พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ สารวัตรฝ่ายทะเบียนประวัติ 5 กองทะเบียนประวัติอาชญากร แนะนำวิธีตรวจสอบข้อมูล จากต้นทางเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

    สลากออมสิน 1 ปี แจกสะเทือน 110 ล้านบาท ลุ้นเฮง 3 ต่อ

    สำหรับผู้รักการออมแล้ว  “สลากออมสิน” ถือเป็นเครื่องมือการออมเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักการออม ที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของเงินฝาก เพราะเงินต้นอยู่ครบ ไม่หายไปไหน  และเมื่อฝากครบตามกำหนด ผู้ฝากจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด และยังมีโอกาสได้ลุ้นรับเงินรางวัลใหญ่ทุกเดือน โดยเงินรางวัลและดอกเบี้ยของสลากออมสิน ยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาอีกด้วย

    ธนาคารออมสินเห็นความสำคัญของการออม จึงได้ออกแคมเปญผ่านผลิตภัณฑ์สลากออมสินประเภทต่างๆ  ตลอดจนการเพิ่มจำนวนเงินรางวัล และเพิ่มรางวัลพิเศษขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมในภาคประชาชน ล่าสุด ธนาคารออมสิน ออกแคมเปญ  “สลากออมสินพิเศษ 1 ปี (ใบสลากและดิจิทัล) ”  กับอภิมหาความเฮงแห่งปีแจกยิ่งใหญ่สะเทือนทั้งแผ่นดิน  เงินรางวัล รวม 110 ล้านบาท

    งานนี้ ผู้ฝากสลากมีแต่ได้กับได้ เมื่อฝากครบกำหนด 1 ปี ก็จะได้รับดอกเบี้ยในอัตรา  0.25 ต่อหน่วย นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้ลุ้นเงินรางวัลที่หนี่ง 10 ล้านบาททุกเดือนกันยาวๆ เป็นเวลา 12 เดือน  แถมยังได้ลุ้นเฮงจากรางวัลพิเศษอีก คือ   

    เฮงที่ 1  ลุ้นรางวัล 50 ล้านบาท งวดวันที่ 16 พ.ย. 67 (รางวัลพิเศษมูลค่า 40 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล)

    เฮงที่ 2  ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล งวดวันที่ 16 ธ.ค. 67

    และ เฮงที่ 3  ลุ้นรางวัล 50 ล้านบาท งวดวันที่ 16 ม.ค. 68 (รางวัลพิเศษมูลค่า 40 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล)

    ใครเป็นสายออม และชอบลุ้นรางวัลใหญ่ ต้องรีบหน่อย เพราะต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ตั้งแต่ 17 ต.ค. 67 – 15 ม.ค. 68  ผู้สนใจสามารถฝากสลากออมสินได้ง่ายๆ โดยแบบดิจิทัล ฝากผ่านแอปฯ  MyMo  หรือแบบใบสลากติดต่อฝากที่ธนาคารออมสินทุกสาขา  โดยฝากเริ่มต้นขั้นต่ำ 1 หน่วย หน่วยละ 100 บาท  ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด  หรือผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://fwuj.short.gy/jt5TAl

    หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center  1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook  : GSB Society

    ความอร่อยที่เป็นมากกว่ามื้ออาหาร!’ไก่ย่าง ห้าดาว’ Soft Power สัญชาติไทย สร้างกระแสไกล ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก

    คุณเคยเดินผ่านร้านอาหารหรือรถเข็นที่มีควันโขมง กลิ่นเย้ายวนชวนหิว ที่ทำให้ท้องร้องโดยไม่รู้ตัวไหม ?

    นั่นแหละคือ เสน่ห์ของ ‘ไก่ย่าง’ จะอยู่ตรอกซอกซอยไหน มักจะพบเห็นอาหารประจำถิ่นเมนูนี้ เช่นเดียวกับ ห้าดาว แบรนด์ธุรกิจอาหารแฟรนไชส์ที่เริ่มต้นจากเมนูง่ายๆ ชวนเตะจมูกอย่าง ‘ไก่ย่าง’ ด้วยรสชาติคุ้นเคย สะดวก หาซื้อง่าย คุ้มค่าทั้งราคาและคุณภาพ จึงยืนยัดมายาวนานกว่า 40 ปี และยังครองใจชาวต่างชาติทั่วโลกอีกด้วย

    ‘ไก่ย่าง ห้าดาว’ ถ่ายทอดความโดดเด่นได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยวัตถุดิบลหัก คือ กระเทียมและพริกไทยดำ ปรุงรสสูตรเฉพาะของห้าดาว หมักเข้าเนื้อไก่คุณภาพคัดพิเศษ ใส่ใจตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดของซีพีเอฟ นำมาย่างในเตาที่ควบคุมด้วยอุณหภูมิสม่ำเสมอ ทำให้เนื้อนุ่ม หนังกรอบ รสชาติที่กลมกล่อม หอมละมุนทุกคำ ชวนให้ทุกคำเป็นประสบการณ์พิเศษไม่เหมือนใคร

    ความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของไก่ย่าง ห้าดาว โด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทย ส่งต่อคุณภาพสู่สากลครอบคลุมถึง 4,500 สาขาในต่างแดน ทั้งไก่ย่างสูตรต้นตำรับ ไก่ย่างพริกไทยดำ แซ่บเผ็ดร้อน หอมพริกไทยดำ ถูกใจคนชอบรสชาติเข้มข้น นอกจากนี้ยังมี ไก่กรอบห้าดาว กรอบนอกนุ่มใน หมักด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษ และไก่จ๊อห้าดาว เมนูคลาสสิก มีให้เลือกทั้งสูตรต้นตำรับและสูตรพริกสด คลุกเคล้ากับส่วนผสมที่คัดสรรอย่างดี

    ร้านห้าดาว ไม่ได้มีเพียงจุดเด่นเรื่องไก่ย่างเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์อาหารที่มอบประสบการณ์น่าจดจำในทุกๆ คำ แก่ผู้บริโภคให้ได้อิ่มอร่อยในทุกที่ทุกเวลา ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยออกสู่ชาวโลกอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น Soft Power ที่ทำให้ต่างชาติเข้าถึง และหลงรักวิถีชีวิต รวมถึงวัฒนธรรมของไทยมากขึ้น .

    เนื้อไก่ โปรตีนสูง มาตรฐานการผลิตสัตว์ปีกไทยปลอดภัยสูงสุด

    นักวิชาการ ชี้ เนื้อไก่ มีโปรตีนสูง เสริมสร้างกล้ามเนื้อเหมาะสำหรับทุกเพศวัย ย้ำอุตสาหกรรมการเลี้ยงและผลิตสัตว์ปีกของไทย มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด แนะก่อนการบริโภคควรต้องปรุงสุกทุกครั้ง

    ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร วิฑูรย์เสถียร อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี มีโปรตีนสูง หาซื้อได้ง่าย ราคาย่อมเยา เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับทุกเพศวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเจริญเติบโต หรือผู้ที่ออกกำลังกายและต้องการสร้างกล้ามเนื้อ

    ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร วิฑูรย์เสถียร

    สำหรับอุตสาหกรรมการเลี้ยงและผลิตสัตว์ปีกในประเทศไทย มีมาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสัตว์ ไปจนถึงกระบวนการเลี้ยงในฟาร์มระบบปิด ภายใต้หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงให้มีการเลี้ยงที่ดีตามมาตรฐาน และตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ตลอดจนกระบวนการผลิตปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค

    ประเทศไทยมีการส่งออกเนื้อไก่ไปต่างประเทศติดอันดับท็อป 5 ของโลก สะท้อนให้เห็นว่าทั่วโลกยอมรับในระบบมาตรฐานและความปลอดภัยของการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกของไทย ด้วยมาตรฐานระดับสากล ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัย ผู้บริโภคได้รับประทานเนื้อไก่ที่ดีมีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด โดยที่เนื้อไก่ของไทยคุณภาพเดียวกันทั้งใช้บริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออกต่างประเทศ

    นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตและส่งออกไก่ชั้นนำของประเทศไทย ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบและส่วนผสมคุณภาพดีเพื่อใช้ผลิตอาหารให้ตรงกับความต้องการของสัตว์แต่ละช่วงวัย พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีช่วยติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมของสัตว์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการป้องกันโรคและตรวจเช็คสุขภาพสัตว์ ทำให้ได้เนื้อสัตว์คุณภาพดีส่งต่อไปยังกระบวนการผลิตแปรรูปทันสมัย ที่ใช้เทคโนโลยีลดการสัมผัสจากมนุษย์ ปราศจากการปนเปื้อน สร้างหลักประกันความปลอดภัยด้านอาหารให้กับผู้บริโภค

    ที่สำคัญอุตสาหกรรมการเลี้ยงและผลิตสัตว์ของไทยมีการนำมาตรฐานด้านระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity System) และมาตรฐานการติดตามและเฝ้าระวังโรค (Disease Surveillance and Monitoring System) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง ด้วยระบบการเลี้ยงและการจัดการที่ถูกต้องตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด พร้อมใช้ “ระบบคอมพาร์ทเมนต์” ในการควบคุมและป้องกันโรค ที่ทำให้ไทยปลอดจากไข้หวัดนก ตอกย้ำถึงระบบการจัดการที่มีความปลอดภัยสูงสุด สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

    ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยมาตรฐานการผลิตที่สูง มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนของสายการผลิต (Food Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จนถึงผู้บริโภค มีการสุ่มเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อส่วนต่างๆ ของสัตว์ปีก ส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารพิษ ซึ่งไก่ที่ปราศจากสารเท่านั้น ที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการชำแหละ การแปรรูป ทำให้มั่นใจได้ว่าไก่ทุกชิ้นส่วน ปราศจากเชื้อโรค และไร้สาร

    สำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ให้เลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน แนะปรุงสุกก่อนรับประทานทุกครั้ง และให้ความสำคัญเรื่องสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการเตรียมอาหาร และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัย.

    TFEX Currency Futures!!

    บทความ รู้เก็บรู้ออมฯ โดย คุณนายพารวย

    ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย. 2567 เป็นต้นไป บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX จะเปิดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Currency Futures) เพิ่มอีก 2 คู่สกุลเงินใหม่ คือ EUR/THB และ JPY/THB จากปัจจุบันที่เปิดซื้อขายอยู่แล้ว 3 คู่สกุลเงิน ได้แก่ USD/THB, EUR/USD และ USD/JPY

    การเพิ่มคู่สกุลเงินครั้งนี้จะทำให้ TFEX Currency Futures ครอบคลุมสกุลเงินหลักทั้งภูมิภาคเอเชียยุโรป และอเมริกา

    สำหรับ EUR/THB Futures  1 สัญญาจะมีขนาดเท่ากับ 1,000 EUR ส่วน JPY/THB Futures มีขนาดเท่ากับ 100,000 JPY ผู้ลงทุนต้องวางหลักประกันเริ่มต้นประมาณ 1,000- 1,500 บาทต่อสัญญา โดยเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์ สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ตั้งแต่ 09.15 น. ถึงตี 3 ของวันถัดไป

    ปัจจุบัน Currency Futures เป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะหากศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินแล้ว นอกจากจะเป็นการช่วยบริหารความเสี่ยงและกระจายการลงทุนแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสของนักลงทุนจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินอีกด้วย

    แนวทางเทรด คือ ผู้ลงทุนเลือกคู่สกุลเงินที่สนใจเทรด, วิเคราะห์ และคาดการณ์แนวโน้มค่าเงินของคู่สกุลเงิน ซึ่งประกอบด้วยสกุลเงินหลัก และสกุลเงินรอง ว่าตัวไหนค่าเงินแข็ง ตัวไหนค่าเงินอ่อน โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของค่าเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย, นโยบายการเงินของธนาคารกลาง, อัตราเติบโตของเศรษฐกิจ

    เมื่อวิเคราะห์แล้ว ก็เปิดสถานะซื้อหรือขาย โดยอิงจาก “สกุลเงินหลัก” ถ้ามองว่าค่าเงินสกุลหลักจะแข็งค่าขึ้น ให้เปิดสถานะ Long หรือหากค่าเงินสกุลหลักจะอ่อนค่าลงให้เปิดสถานะ Short เช่น นักลงทุนเทรดคู่สกุลเงิน USD/THB มองว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท (ดอลลาร์แข็ง/บาทอ่อน) แบบนี้ก็ให้เราเปิดสถานะซื้อล่วงหน้า (Long Open) ในสัญญา USD Futures เป็นต้น

    การหาโอกาสลงทุนจากทิศทางการแข็งค่า หรืออ่อนค่าของเงินผ่านตลาด TFEX ทำได้ง่ายขึ้น ใช้เงินลงทุนน้อย และลงทุนเป็นเงินบาท ไม่ต้องแลกเงินให้ยุ่งยาก สามารถเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลงไม่ต้องแสดงหลักฐานด้านธุรกรรมต่างประเทศและไม่ต้องมีวงเงินกับธนาคาร

    และที่สำคัญคือ เชื่อถือได้ เพราะเป็นการซื้อขายผ่านระบบที่ได้มาตรฐาน โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และ พ.ร.บ. สัญญาซื้อขายล่วงหน้าฯ รวมทั้งได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย

    TFEX เป็นทางเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์ของนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุน ช่วยทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตขึ้น เพราะ TFEX สามารถสร้างผลตอบแทนได้ทุกสภาวะตลาด, ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคา

    นอกจาก Currency Futures ก็ยังมีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงสินค้าอื่นๆ เช่นดัชนีหุ้น หุ้นรายตัว ทองคำ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีก่อน เพราะมีความซับซ้อนกว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

    ผู้สนใจซื้อขายสามารถติดต่อบริษัทสมาชิก TFEX หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : TFEX Station หรือ www.TFEX.co.th โทร.0–2009–9999.

    คุณนายพารวย

    ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

    AIS ประกาศเคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนครั้งแรกของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย เปิดจองซื้อ 8 และ 11-12 พ.ย. นี้

    บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS  พร้อมเปิดให้ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์แสดงความจำนงในการจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน มีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.54% ถึง 3.22% ต่อปี อีกทั้งยังเสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไปกับหุ้นกู้อายุ 4 ปี ที่ 2.74% และอายุ 7 ปี ที่ 2.92% เปิดจองซื้อวันที่ 8 และ 11-12 พฤศจิกายน 2567 ชูอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “AAA(tha)” (เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด

    นายมนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS กล่าวว่า สำหรับหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนที่จะออกและเสนอขายในครั้งนี้ มีมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมไม่เกิน 25,000 ล้านบาท จำนวน 5 รุ่น ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.54% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 2.74% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.76% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.92% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.22% ต่อปี

    มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS

    โดยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 บริษัทฯ ได้เปิดแสดงความจำนง (Bookbuilding) ในการลงทุนซื้อหุ้นกู้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งมีผู้ลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลามเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ถึง 2 เท่า ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ AIS ที่คงความเป็นผู้นำในทุกด้าน การมีสถานะทางการเงินที่มีความมั่นคง อีกทั้งยังมีเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มุ่งสร้างการเติบโตร่วมกันของคนและสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล ผ่านการสนับสนุนให้ผู้คนและภาคธุรกิจเติบโตได้ใน Digital Economy รวมถึงในมิติของการสร้างสังคมดิจิทัล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยให้มีทักษะเป็นพลเมืองดิจิทัล และการยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม

    เพื่อเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยที่สนใจในหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนของ AIS ในครั้งนี้ บริษัทได้มีการกำหนดหุ้นกู้รุ่นที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป 2 รุ่น ได้แก่หุ้นกู้อายุ 4 ปี และ 7 ปี กำหนดการชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ผู้ลงทุนทั่วไปจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 8 และ 11-12 พฤศจิกายน 2567 และออกหุ้นกู้ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย ธ.กรุงไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.ยูโอบี และ บล. เกียรตินาคินภัทร

    “ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AIS ผ่านการแสดงความจำนงในการจองซื้อหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ AIS มุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” นายมนตรี กล่าวทิ้งท้าย

    สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนของ AIS สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://investor-th.ais.co.th/sustainable.html/id/2514389/group/sustainable_finance หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่

    • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
    • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เฉพาะผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น)
    • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572
    • ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-285-1555
    • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

    แลกรับแบบไม่ต้องลุ้น! AIS ดันครีเอเตอร์ไทย ชวนเจ้าของคาแรกเตอร์สุดฮิตวาดลวดลายบนคอลเลกชันของพรีเมียม “อุ่นใจ x Bad Meaw” 

    AIS ชวนเป็นเจ้าของไอเท็มพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ “อุ่นใจ x Bad Meaw” ได้ง่ายๆ เพียงใช้คะแนน AIS Points ขอเอาใจลูกค้าสายอาร์ต พร้อมตอกย้ำกระแสอาร์ตทอยฟีเวอร์ ด้วยการเปิดตัวคอลเลกชัน สมุดโน้ต, กระเป๋าสตางค์, หมวกแก๊ป, กระบอกน้ำ, เสื้อยืด และร่ม ที่มาพร้อมคาแรกเตอร์แมวสุดกวนอย่าง “Bad Meaw” ผลงานโดย “คุณพิงค์-เหมือนฝัน ทรัพย์เอนก” ศิลปินไทยเจ้าของอาร์ตทอยยอดนิยมที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ เปิดให้ลูกค้าใช้ AIS Points เริ่มต้นเพียง 60 คะแนน แลกได้ง่ายๆ สะดวกทุกที่ ทุกเวลาผ่านแอป myAIS ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 หรือจนกว่าของจะหมด

    นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “ในปีนี้เราได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ศิลปินไทยอย่าง “คุณพิงค์-เหมือนฝัน ทรัพย์เอนก” เพื่อร่วมออกแบบคอลเลกชันของพรีเมียมสุดพิเศษ “อุ่นใจ x Bad Meaw” โดยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ซึ่งนอกจากจะตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจในการยกระดับประสบการณ์แลกพอยท์ให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการเดินหน้าภารกิจของเอไอเอสที่จะขับเคลื่อน Creative Economy หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันครีเอเตอร์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

    โดยที่ผ่านมาเราได้ร่วมผลักดันศักยภาพของครีเอเตอร์ไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดประกวดออกแบบสติกเกอร์ไลน์ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 20 มหาวิทยาลัย เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตได้แสดงความสามารถ พร้อมนำองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างอาชีพ, การทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ไทยที่มีชื่อเสียงอย่าง Timo &Tintin ทั้งคอลเลกชัน อุ่นใจ x Timo & Tintin และร่วมออกแบบดีไซน์พื้นที่ร้าน AIS สยามสแควร์ในปีที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นการเปิดพื้นที่สนับสนุนให้ศิลปินได้สร้างสรรค์และนำเสนอผลงานผ่านช่องทางที่หลากหลาย”

    สำหรับคอลเลกชัน “อุ่นใจ x Bad Meaw” สามารถแลกได้ด้วย AIS Points เริ่มต้นเพียง 60 คะแนน หรือแลกด้วยคะแนนสะสมพาร์ทเนอร์ บางจาก หรือ K Point พิเศษ! บริการจัดส่งฟรีเมื่อแลกสินค้าครบ 300 คะแนน ต่อ 1 ตะกร้า กรณีแลกน้อยกว่า 300 คะแนน มีค่าบริการจัดส่ง 50 บาท ติดตามรายละเอียดพร้อมแลกรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 หรือจนกว่าของจะหมด ที่แอป myAIS หรือ คลิก https://m.ais.co.th/n1HEmV8iq