Home Blog Page 8

Chef Cares จับมือ ‘เชฟพลอย-ณัฐณิชา’ เสิร์ฟเมนู สปาเกตตี้ซอสครีมโรเซ่และอกไก่ สัมผัสความอร่อยระดับพรีเมียม

เชฟแคร์ส (Chef Cares) เปิดตัวเมนูใหม่ ‘สปาเกตตี้ซอสครีมโรเซ่และอกไก่’ รังสรรค์โดย เชฟพลอย-ณัฐณิชา บุญเลิศ ผู้เข้าแข่งขันรายการ Masterchef Thailand Season 1 อีกทั้งยังการันตีด้วยรางวัล Chef Talent 2011 และรางวัลอีกมากมาย เจ้าของร้าน Ami Brunch & Bubbles ด้วยความถนัดในอาหารรูปแบบ Asian Fusion นำวัฒนธรรมอาหารของแต่ละประเทศมารวมกัน สร้างความหลากหลายให้แก่รสชาติ ขณะเดียวกันยังคงความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบระดับพรีเมียม และคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของผู้บริโภค พร้อมจำหน่ายแล้ว ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั่วประเทศ

สำหรับ ‘สปาเกตตี้ซอสครีมโรเซ่และอกไก่’ ได้คัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพ อย่าง อกไก่ที่อุดมไปด้วยโปรตีนที่ดี เสริมความอร่อยด้วยแฮมไก่ พร้อมทั้งเส้นสปาเกตตี้ ลวกสุกกำลังพอดีแบบอัล เดนเต้ มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับซอสโรเซ่ที่มีส่วนผสมจากซอสโคชูจังแบรนด์แดซัง โคชูจังชื่อดังจากประเทศเกาหลี ซึ่งมีเอกลักษณ์วัตถุดิบหลักจากข้าว ซึ่งดีต่อสุขภาพ รวมกับความนุ่มละมุนของครีมซอส ทำให้เวลารับประทานได้รับความเผ็ดนำ หวานละมุนมีกลิ่นครีมตาม นอกจากนี้ยังอัดแน่นโปรตีนด้วย มอสซาเรลล่าชีส โรยหน้า ช่วยชูรสชาติอาหาร เพิ่มความกลมกล่อมยิ่งขึ้น ที่สำคัญปราศจากผงชูรส

เชฟแคร์ส เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ภายใต้ บริษัท เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จำกัด โดยความร่วมมือกับเชฟแถวหน้าของประเทศไทย ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน และนำกำไร 100% คืนสู่สังคม เพื่อสร้างโอกาสและมอบแนวทางการประกอบอาชีพในวงการอาหารแก่เด็ก รวมถึงเยาวชนผู้ห่างไกล ตลอดจนผู้ด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น .

AIS โชว์ศักยภาพ นักลงทุนเชื่อมั่นจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน 2.5 หมื่นล้านบาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่เชื่อมั่นและจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนที่บริษัทเสนอขายในครั้งนี้จำนวน 5 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.54% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 2.74% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.76% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.92% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.22% ต่อปี โดยเปิดจองซื้อในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ AAA(tha) จาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้ยอดจองซื้อหุ้นกู้เต็มจำนวนตามเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท

นายมนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS กล่าวว่า “ขอบคุณกลุ่มนักลงทุนทั้ง ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์ และนักลงทุนทั่วไป ที่ให้ความสนใจต่อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนของ AIS ในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในทุกมิติ รวมถึงยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ AIS โดยเราขอยืนยันถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมุ่งสร้างการเติบโตร่วมกันของคนและสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล ผ่านการสนับสนุนให้ผู้คนและภาคธุรกิจเติบโตได้ใน Digital Economy รวมถึงในมิติของการสร้างสังคมดิจิทัล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยให้มีทักษะเป็นพลเมืองดิจิทัล และการยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม

อีกทั้งยังต้องขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่งที่ร่วมสนับสนุนบริษัท ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี และ บล. เกียรตินาคินภัทร การลงทุนในหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนของ AIS นับเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนกับบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง AIS ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอัจฉริยะ และบนพื้นฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

อาหารแปรรูป-อาหารแช่แข็ง กินได้ปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงอาหารปรุงสด

ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร จุฬาฯ ชี้ อาหารแปรรูป-อาหารแช่แข็ง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก ประหยัดเวลา สะอาด ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับอาหารปรุงสด แนะบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม อ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์และเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน

รศ.ดร.กิติพงศ์ อัศตรกุล หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้เปิดภาคเรียนแล้ว เด็กๆ ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียนและเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็ง จึงตอบโจทย์ผู้ปกครองที่ไม่มีเวลาทำอาหาร เพียงนำมาอุ่นร้อนด้วยเตาไมโครเวฟก็พร้อมรับประทานได้ในทันที ช่วยให้ประหยัดเวลา อีกทั้งยังสะอาด ปลอดภัย และได้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับอาหารปรุงสดอีกด้วย

“ขอยืนยัน อาหารแปรรูปหรืออาหารแช่แข็งสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย เพียงบริโภคให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยใช้หลักการเดินทางสายกลาง ไม่รับประทานอาหารบางประเภทซ้ำๆ มากจนเกินไปหรือรับประทานเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้ขาดสารอาหารอื่น ๆ จึงควรรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ หลากหลายและครบ 5 หมู่ รวมทั้งอ่านฉลากโภชนาการเพื่อให้ได้รับสารอาหารและพลังงานตามที่ร่างกายต้องการ” รศ.ดร.กิติพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ การอุ่นอาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็งด้วยเตาไมโครเวฟ มีความปลอดภัย การทำงานของเตาไมโครเวฟเกิดจากการที่คลื่นไมโครเวฟทำให้โมเลกุลของน้ำในอาหารสั่นและเกิดความร้อนขึ้น ส่งผลให้อาหารร้อนและสุกอย่างรวดเร็ว โดยที่คลื่นไมโครเวฟไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ผู้บริโภคจึงสามารถรับประทานอาหารที่ผ่านการอุ่นร้อนด้วยเตาไมโครเวฟได้โดยไม่ต้องกังวล

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน สามารถนำเข้าเตาไมโครเวฟได้อย่างความปลอดภัย โดยบรรจุภัณฑ์พลาสติกผ่านการรับรองให้สามารถใช้กับเตาไมโครเวฟได้ เพียงผู้บริโภคปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น ใช้ในระยะเวลาอุ่นอาหารตามที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ และไม่นำบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีสัญลักษณ์ใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastic) กลับมาใช้ซ้ำ

นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับข้อมูลฉลากโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์ เช่น ฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (GDA : Guideline Daily Amount) ที่แสดง “ข้อมูลโภชนาการที่สำคัญต่อร่างกาย” (พลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม) เพื่อเลือกอาหารให้เหมาะสมกับผู้บริโภค เพราะในแต่ละบุคคลมีความต้องการปริมาณพลังงานและสารอาหารที่แตกต่างกัน อีกทั้งควรดูวันผลิตและวันหมดอายุ หากอาหารหมดอายุไม่ควรบริโภคเพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพได้.

AIS ผนึก Warner Bros. Discovery เปิดตัว Max แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก รุกครองตลาดสตรีมมิงไทย

AIS  เดินหน้าภารกิจส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลจากคอนเทนต์เหนือระดับ โดยล่าสุดพร้อมต้อนรับ Max แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกจาก Warner Bros. Discovery สู่เมืองไทย ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ ตอบโจทย์สาวกคอนเทนต์ชาวไทย พร้อมเชื่อมต่อประสบการณ์การรับชมต่อเนื่อง กับการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงทุกบ้านให้สัมผัสคุณภาพเสียงกระหึ่มแบบโฮมเธียเตอร์จาก SMART SOUNDBAR  powered by AIS 3BB Fibre3 และจัดเต็มแพ็กเกจ Max พิเศษเฉพาะลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้านเท่านั้น ให้ได้สัมผัสสุดยอดคอนเทนต์ความบันเทิงชั้นนำ ทั้งภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ซีรีย์ยอดนิยม และคอนเทนต์คุณภาพที่หลากหลายที่สุด เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ในทุกเจเนอเรชัน

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา Digital Infrastructure เพื่อเป็นรากฐานในการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัล และยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยในปัจจุบัน เครือข่ายของ AIS 3BB Fibre 3 ครอบคลุมแล้วมากกว่า 13 ล้านครัวเรือน ด้วยฐานลูกค้ากว่า 4.9 ล้านราย และ เครือข่าย AIS 5G ที่ครอบคลุมแล้วมากกว่า 95% ของพื้นที่ประชากรกับฐานลูกค้ากว่า 46.3 ล้านราย โดยมีลูกค้า 5G ที่ 11 ล้านราย ซึ่งกลุ่มลูกค้าทั้งหมดนั้นมีความชื่นชอบคอนเทนต์ที่หลากหลาย ที่ผ่านมาเราจึงมุ่งเน้นคัดสรรคอนเทนต์คุณภาพจากพันธมิตรทั้งในระดับ Local และ Global ผ่าน AIS PLAY ในฐานะ Streaming Platform ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ดีในการรับชมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางบนเครือข่ายคุณภาพ ทั้งเน็ตบ้านและมือถือ”

“โดยในส่วนของ AIS 3BB Fibre3 ก็เช่นกันที่มุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและเข้าถึงได้มากที่สุด MORE CONNECTIVITY พร้อมสร้างโอกาสที่มากกว่าด้วยนวัตกรรมเน็ตบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกบ้าน ทุกธุรกิจ MORE OPPORTUNITY และสร้างความสุขที่มากกว่าด้วยความบันเทิงจากคอนเทนต์ชั้นนำ MORE HAPPINESS ที่ได้ร่วมทำงานกับพันธมิตรหลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง

ดังเช่นกรณีการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี่ ที่เป็นการตอกย้ำภารกิจข้างต้น ต่อยอดความสำเร็จในการนำคอนเทนต์คุณภาพมาสู่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้า 3BB Fibre3 และ AIS Fibre3 ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ชื่นชอบคอนเทนต์ในกลุ่มนี้ที่เลือกชมผ่าน Big Screen เพราะนอกจากจะได้อรรถรสมากยิ่งกว่าแล้ว ยังมีความหลากหลาย ตั้งแต่รูปแบบคอนเทนต์ ที่ตอบโจทย์สมาชิกทุกเจนเนเรชันในบ้าน อีกทั้งยังเลือกชมได้ทั้งแบบออกอากาศตามโปรแกรม (ลิเนียร์) และเลือกชมตามต้องการ (Video On Demand) อีกด้วย”

“และเพื่อเป็นการยกระดับประสบการณ์ที่จะมอบความสุขและอรรถรสแบบโฮมเธียเตอร์ให้แก่ลูกค้าเน็ตบ้าน เราจึงเปิดตัว SMART SOUNDBAR powered by AIS 3BB Fibre3 อันถือเป็นครั้งแรกในไทย ที่นำมาส่งมอบให้ลูกค้าเน็ตบ้านอย่างครบถ้วนแบบ All in One ที่สุดแห่งความบันเทิง สมาร์ตขึ้นอีกระดับกับระบบปฏิบัติการ Android TV สมบูรณ์แบบไปอีกขั้นด้วยระบบภาพ Dolby Vision พร้อมถ่ายทอดเสียงสมจริงรอบทิศทาง 360 องศาด้วยระบบเสียง Dolby ATMOS และระบบ THX รองรับการใช้งานโปรแกรมคาราโอเกะ ให้คุณปลดปล่อยอารมณ์เพลงได้อย่างอิสระ ร้องเพลงที่คุณชื่นชอบ เต็มอิ่มขั้นสุดกับคอนเทนต์ชั้นนำระดับโลก ทั้งภาพยนตร์ ซีรีย์ กีฬา วาไรตี้ที่มาพร้อมแพ็คเกจสุดคุ้ม เพื่อให้ทุกเสียงในบ้านของคุณมีความหมายยิ่งกว่าเดิม”

Jason Monteiro, APAC Streaming Lead, Warner Bros. Discovery กล่าวว่า”เรามีความตื่นเต้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับ AIS ในการนำ Max มาให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสทั้งคอนเทนต์จากแบรนด์ยอดนิยม เรื่องราวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ รายการวาไรตี้ที่สร้างจากเรื่องจริง และรายการโปรดสำหรับเด็กและครอบครัว”

และเพื่อต้อนรับ Max แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับลูกค้า AIS ทั้ง AIS 3BB Fibre3, 3BB GIGATV และ AIS 5G ที่มีแพ็กเกจ HBO GO อยู่แล้ว จะได้รับสิทธิ์การใช้งานแพ็กเกจ Max มาตรฐาน (Max Standard) แบบอัตโนมัติในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 และแพ็กเกจหลากหลายที่พิเศษสำหรับลูกค้า AIS เริ่มต้นเพียง 99 บาทต่อเดือน

Mobile Package ราคาพิเศษที่ AIS เท่านั้น เพียง 99บาท/เดือน และ 890 บาท/ปี

  • สตรีมบนอุปกรณ์ เครื่อง
  • ความละเอียดวิดีโอมาตรฐาน HD
  • รับชมได้เฉพาะบนโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต
  • ดาวน์โหลดได้ 15 รายการเพื่อรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา

Standard Package 199 บาท/เดือน และ 1,390 บาท/ปี

  • สตรีมพร้อมกันบนอุปกรณ์ได้ 2 เครื่อง
  • ความละเอียดวิดีโอ Full HD
  • รับชมได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้น รวมถึงทีวี
  • ดาวน์โหลดได้ 30 รายการเพื่อรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา
  • รับชม 5 ช่องพรีเมียมบน AIS PLAY ได้แก่ HBO, HBO Signature, HBO HITS, HBO Family, Cinemax

Ultimate Package 299 บาท/เดือน และ 2,090 บาท/ปี

  • สตรีมพร้อมกันบนอุปกรณ์ได้ เครื่อง
  • ความละเอียด 4K UHD และ Dolby Atmos (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่รองรับ)
  • รับชมได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้น รวมถึงทีวี
  • ดาวน์โหลดได้ 100 รายการเพื่อรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา (จำกัดจำนวน)
  • รับชม 5 ช่องพรีเมียมบน AIS PLAY ได้แก่ HBO, HBO Signature, HBO HITS, HBO Family, Cinemax

และเตรียมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงบน Max พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างไร้ข้อจำกัด ทุกที่ทุกเวลา

  • สร้างโปรไฟล์ได้ไม่ซ้ำกันถึง 5 โปรไฟล์ (Multiple user profiles) และปรับแต่งได้ตามใจด้วยตัวละครโปรดเป็นอวตาร์ประจำตัว
  • การแนะนำคอนเทนต์เฉพาะบุคคล (Personalized Recommendations)
  • ปรับฟีเจอร์การค้นหาให้มีประสิทธิภาพ ราบรื่น รู้ใจผู้ใช้งานมากขึ้น (Improved Search Functionality)
  • ปรับแต่งโปรไฟล์สำหรับเด็ก ซึ่งคัดสรรเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยภายใต้การควบคุมของผู้ปกครอง (Parental controls)
  • แฟนๆ สามารถเก็บเนื้อหาที่ชื่นชอบไว้ใน My List ได้ หรือโหมดดูอย่างต่อเนื่องในรายการที่เปิดค้างไว้ หลังออกจากแอป

นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าวว่า “การทำงานร่วมกับ Warner Bros. Discovery ต้อนรับ บริการ Max สู่เมืองไทย ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลให้กับลูกค้า โดยใช้ศักยภาพโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะทั้ง บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต และ 5G ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ พร้อมตอกย้ำความเป็น Entertainment HUB หรือ ศูนย์กลางการรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในไทยของ AIS ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานทุกกลุ่ม อันจะเป็นการร่วมผลักดันการเติบโตของบริการ Streaming ในเมืองไทยได้อีกด้วย”

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง นายา และลิฟเวล ยกระดับ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล” ที่อยู่อาศัยเพื่อวัยอิสระเติมเต็มความสุข ความอุ่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าสร้าง Senior Ecosystem เข้าร่วมลงทุนใน นายา และลิฟเวล ผนึกกำลังยกระดับ โครงการ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล” ขึ้นแท่นที่อยู่อาศัยสำหรับวัยอิสระ เติมเต็มความสุข ความอุ่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างครบวงจร ตอกย้ำนโยบายการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตระหนักและให้ความสำคัญกับการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย รวมไปถึงการสร้าง Senior Ecosystem เพื่อเติมเต็มการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและก้าวสู่วัยอิสระอย่างมีคุณภาพ และตอบรับต่อนโยบายการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจประกันภัยของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่มุ่งหวังส่งเสริมในประเด็นด้านการดำเนินกิจการอย่างยั่งยืนในการดูแลสังคมและคุณภาพในกลุ่มสูงวัย

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้เข้าถือหุ้นใน บริษัท นายา เรสซิเด้นซ์ จำกัด และ บริษัท ลิฟเวล ลิฟวิ่ง จำกัด เพื่อผนึกจุดแข็งและความเชี่ยวชาญ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงวัย พร้อมร่วมกันยกระดับ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell)” โครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่เพื่อผู้สูงวัย ในกลุ่มวัยอิสระ บนทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี ที่เพียบพร้อมไปด้วยการบริการดูแลด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดดเด่นด้วยการออกแบบให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตอิสระในแบบ Active Ageing ได้ยาวนานที่สุด ควบคู่การสร้างความสุขทางกาย ทางใจ และความอุ่นใจรอบด้าน

นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานกรรมการ, กรรมการบริหาร บริษัท นายา เรสซิเด้นซ์ จำกัด กล่าวว่า การผสานความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการร่วมกันสร้างความสุข ความอุ่นใจ และช่วยวัยอิสระได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และยังถือเป็นการตอบรับต่อสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุเติบโตอย่างก้าวกระโดด แนวคิด “Senior Living” ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นการตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของผู้สูงวัยในยุคปัจจุบัน ด้วยรูปแบบการอยู่อาศัยที่ผสมผสานระหว่างความเป็นอิสระและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ทำให้ Senior Living จึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในยุคที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล” ถือเป็นหนึ่งในคำตอบที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนสูงวัยในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีโดยนายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล เป็นโครงการที่พักผู้สูงอายุแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตสถานประกอบกิจการดูแลผู้สูงอายุ ประเภทการให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ โดยจัดให้มีที่พำนักอาศัย (Independent Living) ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยในกลุ่มวัยอิสระโดยเฉพาะ ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง แต่ต้องการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและสะดวกสบาย ผสมผสานการบริการเสริม เช่น การดูแลด้านสุขภาพเบื้องต้น กิจกรรมเพื่อส่งเสริมความกระตือรือร้น และชุมชนที่อบอุ่น สถานที่แบบนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งตัวผู้สูงอายุและบุตรหลาน โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบพยาบาลอย่างเต็มรูปแบบเหมือน Nursing Homes ทำให้ผู้สูงวัยสามารถมีความสุขกับการเกษียณ โดยไม่รู้สึกถูกจำกัด และยังได้เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ ได้แก่ ผู้ที่ต้องการมาใช้ชีวิตวัยเกษียณ ในบรรยากาศที่เอื้อต่อสุขภาพ มีสิ่งแวดล้อมที่สงบ สะดวกสบาย และมีกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้การเกษียณเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพ และโครงการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสถานที่พักฟื้นหลังการผ่าตัด ในบรรยากาศรีสอร์ท พร้อมการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้พักฟื้นกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ทางนายาได้สร้างความแตกต่างให้กับ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล ผ่านการออกแบบตามแนวคิด Universal Design เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้สูงวัยทุกช่วงสภาพร่างกาย เช่น พื้นดูดซับแรงกระแทก ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บจากการล้ม พื้นที่เรียบไร้ระดับ ป้องกันการสะดุดล้มและรองรับการใช้งานของผู้ใช้รถเข็น และห้องน้ำออกแบบพิเศษ ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ให้ความอุ่นใจและความปลอดภัยสูงสุด ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัย เช่น อุปกรณ์ติดตาม GPS และ ปุ่ม SOS สำหรับแจ้งเตือนฉุกเฉิน พยาบาลวิชาชีพดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกความต้องการจะได้รับการตอบสนองทันที ด้วยมาตรฐานระดับโลก นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล ได้รับการยกย่องด้วย รางวัล “Aging Asia” Award Winning ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านที่พักและการดูแลผู้สูงอายุในเอเชีย และสร้างความมั่นใจว่าที่นี่คือทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้สูงวัย ที่ต้องการเกษียณอย่างมีคุณภาพ

“การขาดการดูแลในช่วง Independent Living ถือเป็นช่องว่างสำคัญที่หลายภาคส่วนต้องเร่งเติมเต็ม เพราะนี่คือช่วงชีวิตที่ผู้สูงวัยควรมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีคุณค่ามากที่สุด การเข้าสู่ตลาดนี้ไม่เพียงช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แต่ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคตอย่างยั่งยืน” นางอรฤดี กล่าว

ด้านแพทย์หญิงนาฏ ฟองสมุทร กรรมการบริหาร ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี บริษัท ลิฟเวล ลิฟวิ่ง จำกัด หรือ LivWell กล่าวว่า เพราะการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายไม่ใช่เพียงการมีที่อยู่อาศัย Naya Residence จึงร่วมมือกับลิฟเวลผู้นำด้านการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต เพื่อสร้างสรรค์ที่พักสำหรับวัยอิสระอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “Live a Meaningful Life: อยู่อย่างสุขใจ อยู่อย่างวัยอิสระ” ทำให้ผู้สูงวัยสามารถเพลิดเพลินกับทุกช่วงเวลาในชีวิต พร้อมออกแบบโปรแกรมสำหรับวัยอิสระ ภายใต้ 3 หัวใจหลัก ที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างอิสรภาพและการดูแลที่จำเป็น ให้วัยอิสระได้มีชีวิตที่สมบูรณ์และมีคุณภาพ:

Care: การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยมีทีมพยาบาลวิชาชีพพร้อมให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น GPS ติดตามตัว และ ปุ่ม SOS ฉุกเฉิน ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้สูงวัยจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีเมื่อมีเหตุจำเป็นClub: ลิฟเวลสร้างสังคมที่มีชีวิตชีวา ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์และเวิร์กช็อปที่กระตุ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่คลับศิลปะ การปลูกต้นไม้ ไปจนถึงชั้นเรียนดนตรีและกิจกรรมชุมชน ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และลดความเหงาให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินFit: การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ลิฟเวลให้ความใส่ใจ ด้วยโปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะทาง เช่น พิลาทิส โยคะ และวารีบำบัด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น โดยมีโค้ชและนักกายภาพบำบัดคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้ผู้สูงวัยออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย

“การดูแลโดยลิฟเวลไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ แต่ยังมุ่งเน้นให้ผู้สูงวัยได้มีชีวิตที่มีความหมายในทุกวัน ทั้งการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง การสร้างสัมพันธ์ในชุมชน และความอุ่นใจในด้านความปลอดภัย ด้วยการสนับสนุนจากลิฟเวล ผู้พักอาศัยที่นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การเกษียณที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง” แพทย์หญิงนาฏ กล่าวนายสาระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้คือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการมุ่งดูแลและตอบรับการเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัยอย่างจริงจัง ซึ่งนอกจากการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อวัยอิสระนี้แล้ว เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ที่สามารถตอบโจทย์และเหมาะกับผู้สูงวัยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “Smart Silver” และ “Smart Silver Plus” ซึ่งโดดเด่นด้วยการเลือกความคุ้มครองได้ตรงใจ กังวลโรคไหนก็เลือกให้อุ่นใจได้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ และโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน รวมถึงคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ จนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองอย่างถาวร ตั้งแต่ 3 ใน 6 อย่าง ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 180 วัน ประกอบไปด้วย 1.การเคลื่อนย้าย 2.การเดินหรือเคลื่อนที่ 3.การแต่งกาย 4.การอาบน้ำชำระร่างกาย 5.การรับประทานอาหาร และ 6.การขับถ่าย อีกทั้งยังให้ความคุ้มครองกรณีกระดูกแตกหัก โดยสามารถเลือกรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน หรือรายเดือน(1) ตลอดจนระบุผู้รับประโยชน์เป็นสถานให้บริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง หรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุ ที่มีรายชื่อร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทฯ

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะทำการตอบโจทย์ความต้องการที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และมองว่าประกันชีวิตจะเป็นทางเลือกหนึ่งเมื่อพูดถึงการเกษียณ การวางแผนและการเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญ และคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์ประกันประเภทบำนาญจะกลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของคนไทย ซึ่งวันนี้เองเราได้ต่อยอดไปอีกขั้นเพื่อเปิดทางเลือกใหม่ ๆ และสร้างความสะดวกให้กับลูกค้า โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตที่ซื้อประกันบำนาญตามแบบที่กำหนด สามารถระบุเลือกผู้รับผลประโยชน์เป็น Senior Facilities ในเครือข่ายได้ โดยจะเริ่มจาก นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล เป็น Independent Living แห่งแรก ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำเงินรับผลประโยชน์มาเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยยามเกษียณได้อีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ “นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell)” ได้ที่เว็บไซต์ www.nayaresidence.com หรือโทร. 063-226-7999 หรือติดต่อผ่านทาง Line ID : @nayaresidence

เดินถูกทาง…แก้ปลาหมอคางดำ

บทความโดย โดย ปิยะ นทีสุดา

การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเดินมาถูกทาง ซึ่งต้องชื่นชมกรมประมงที่วางมาตรการต่างๆ ได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งกำจัดปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำ แล้วปล่อยปลานักล่าอย่าง ปลากะพง และปลาอีกง ลงไปเก็บกวาดลูกปลาหมอคางดำต่อทันที รวมถึงมาตรการนำปลาที่จับได้มาใช้ประโยชน์จนทำให้ภาพรวมของปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

ดังที่ล่าสุด ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้วิเคราะห์สถานการณ์ปลาหมอคางดำว่า “ดีขึ้นมาก แต่ต้องไม่ประมาท” โดยระบุสถานการณ์ดีขึ้นจากการระดมจับไปขาย ไปทำลาย ไปทำอาหาร และการที่ประชาชนมีความรู้มากขึ้นถึงรูปร่างหน้าตาของปลา รวมทั้งการระวังไม่ให้มันระบาดเข้าไปในบ่อกุ้งบ่อปลา จึงทำให้การควบคุมประชากรเป็นไปอย่างได้ผลมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมดังกล่าว สะท้อนมาจากประมงจังหวัดหลายแห่งที่พูดตรงกันว่าปริมาณปลาหายไปจากแหล่งน้ำจำนวนมากแล้ว เช่น ประมงจังหวัดสมุทรสาครที่ระบุว่า เรืออวนรุนที่เคยจับปลาหมอคางดำได้เที่ยวละ 1-2 ตัน ปัจจุบันจับได้เพียงเที่ยวละ 100-300 กิโลกรัม ประเมินได้ว่าในจังหวัดสมุทรสาคร กำจัดปลาหมอคางดำได้แล้ว 70-80% ของปลาหมอคางดำที่อยู่ในแหล่งน้ำ หรือ ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าจากเดิมพื้นที่นี้มีปริมาณปลาหมอคางดำอยู่ที่ 60 ตัว /100 ตรม. ปัจจุบันเหลือเพียง 25 ตัว/ 100 ตรม.

ส่วนประมงจังหวัดสมุทรสงคราม อธิบายว่าทุกวันนี้ปลาหมอคางดำที่จับได้มีจำนวนลดลง และปลาที่จับได้ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กลง แสดงให้เห็นว่า ปลาที่เป็นพ่อแม่พันธุ์หายไปจากแหล่งน้ำ ขณะที่ประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยืนยันว่าสถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนระบบนิเวศในสุราษฎร์ธานี ยังมีความสมดุลในระดับที่ดี ยังพบปลาพื้นถิ่นและปลานักล่าอยู่ในแหล่งน้ำ ซึ่งช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้อย่างดี

นอกจากนี้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ยังนำปลาหมอคางดำที่จับได้ในอ่าวคุ้งกระเบน จ,จันทบุรี มาผ่าท้องสำรวจสิ่งที่มันกินเข้าไป เพื่อศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศ ผ่านอาหารที่ปรากฏอยู่ในท้องของปลาหมอคางดำ ซึ่งพบว่าปลาเหล่านี้กินแพลงตอนพืชเป็นอาหาร ยังไม่พบแพลงตอนสัตว์ ตอกย้ำว่าไม่มีการรุกรานสัตว์น้ำชนิดอื่นในแถบนี้ สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของปลาหมอคางดำที่ชอบอยู่ในน้ำนิ่งตามลำคลอง และไม่สามารถเพาะพันธุ์ตัวเองในพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีคลื่นลมและปลานักล่าอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จึงช่วยลดความกังวลเรื่องการแพร่กระจายของปลาในพื้นที่ชายฝั่งทะเลได้ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่าการที่ปลาหมอคางดำแพร่กระจายมาถึงชายฝั่งทะเลได้นั้นเป็นเพราะถูกมนุษย์นำมาทำเป็นปลาเหยื่อ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีการติดตามเฝ้าระวังการแพร่กระจายอย่างใกล้ชิดต่อไป

การทำงานเชิงรุกย่อมพบปัญหาอุปสรรคระหว่างทางบ้างเป็นธรรมดาเช่นการเข้าถึงบ่อร้างในพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งกลายเป็นแหล่งที่เพาะพันธุ์ปลาหมอคางดำ หรือวิธีการเลี้ยงสัตว์ที่เปิดน้ำเข้า-ออกจากคลองธรรมชาติที่มีโอกาสทำให้ปลาหมอคางดำออกสู่แหล่งน้ำได้เสมอ ซึ่งก็ต้องเร่งวางมาตรการแก้ปัญหากันไปทีละเปลาะ ภายใต้ความมุ่งมั่นพยายามของหลายภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจกันอย่างดี ด้วยเป้าประสงค์เดียวกันเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด และไม่หยุดที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมนำทางไปสู่ความสำเร็จได้แน่นอน

ขณะเดียวกันเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จ.จันทบุรี ที่ได้ใช้แนวทางแก้ปัญหาการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบเปิดน้ำเข้าออกบ่อ โดยวิธีเน้นที่ขั้นตอนการพักบ่อ เตรียมบ่อ และการใช้ “กากชา” แช่เพื่อฆ่าปลาหลังล้างบ่อ เพื่อให้มั่นใจสำหรับการลงเลี้ยงใหม่ในครั้งต่อไป ทั้งยังแบ่งปันวิธีนี้ให้เพื่อนร่วมอาชีพ เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการป้องกันและลดความเสี่ยงลง ซึ่งทุกฝ่ายควรส่งเสริมสนับสนุนและผลักดันแนวทางเลี้ยงสัตว์น้ำเช่นนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และอาจขยายผลสู่การเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบปิดต่อไป

เห็นทุกคนร่วมด้วยช่วยกันเช่นนี้ก็ใจฟู เชื่อว่าทุกฝ่ายจะยังคงติดตามเฝ้าระวังอย่างไม่ประมาทต่อไป แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ยังมีกลุ่มคนซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยกำจัดปลาออกจากระบบ แต่กลับพยายามสร้างกระแสป่วนเมืองว่าปลาไม่ได้ลดลงบ้าง พบมากในย่านนั้นย่านนี้บ้าง ซึ่งล้วนตรงข้ามความเป็นจริง บั่นทอนคนทำงานทั้งภาครัฐและเกษตรกรอย่างยิ่ง มองดูแล้วไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อส่วนรวม แต่ดูเหมือนจะมีเป้าประสงค์เพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าจะมีใจช่วยกำจัดปลาหมอคางดำจริงๆ

จ.สระบุรี – ซีพี-เมจิ ต่อยอด ‘ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ปี 2’ พาบาริสต้าปลูกต้นไม้ 1,000 ต้น หนุนเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย

จังหวัดสระบุรี และ ซีพี-เมจิ ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ‘ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ปี 2’ นำเหล่าบาริสต้า ปลูกต้นไม้สร้างพื้นที่สีเขียว พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ด้านการจัดการขยะพลาสติกอย่างต่อเนื่อง หนุนเป้าหมายสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ เมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย

นายดุรงค์ฤทธิ์ ศิริวัฒนพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และนางสาวชาลินี พูนลาภมงคล รองผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ร่วมกิจกรรมกิจกรรม “ปลูกต้นกาแฟ ลดโลกร้อน” ณ สถานีวนวัฒนวิจัยพระฉาย เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับผืนป่าจังหวัดสระบุรี ภายใต้ โครงการ “ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ปี 2 เปลี่ยนคุณขุ่น เป็นคุณต้นไม้” ตามนโยบายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของ ซีพี-เมจิ ครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านกาแฟมากกว่า 80 ร้านทั่วประเทศ ด้วยการเก็บรวบรวมแกลลอนนมเมจิ ซึ่งเป็นแกลลอนพลาสติกประเภทขุ่น หรือ HDPE เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ถูกต้องทั้งสิ้น 50,000 แกลลอน โดยทุก 50 แกลลอน ซีพี-เมจิจะเปลี่ยนเป็นการปลูกต้นไม้ 1 ต้น

นางสาวชาลินี พูนลาภมงคล รองผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน ซีพี-เมจิ กล่าวว่า ซีพี-เมจิ ขอขอบคุณสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสระบุรี สำหรับกิจกรรม “ปลูกต้นกาแฟ ลดโลกร้อน” เป็นการปิดท้ายโครงการ ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ปี 2 อย่างสมบูรณ์ ซึ่งการแยกขวดพลาสติก และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลจำนวน 50,000 แกลลอนในปีนี้ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้กว่า 7,200 กิโลกรัมคาร์บอน ขณะที่การปลูกต้นไม้ สามารถนำมาคำนวนเพื่อเก็บ ค่าการกักเก็บคาร์บอนได้ปีละ 21,772 กิโลกรัมคาร์บอน ทั้งนี้ผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม โครงการสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ หรือสระบุรีเมืองคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายของส่วนราชการและจังหวัดสระบุรีต่อไป

“การคัดแยกขยะ เพื่อนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ถูกวิธี เป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ และจากความสำเร็จของโครงการตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซีพี-เมจิ ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าโครงการนี้ในปีต่อๆ ไป ตามเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของเรา ด้านการเพิ่มคุณค่าชีวิตให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ” นางสาวชาลินี กล่าว

สำหรับ โครงการ “ซีพี-เมจิ รีไซขุ่น ปี 2 เปลี่ยนคุณขุ่น เป็นคุณต้นไม้” เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2567 เพื่อสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจให้แก่สาธารณชนในเรื่องการจัดการขยะ ตั้งแต่คัดแยก ทิ้ง และส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ปีนี้สามารถเก็บขวดพลาสติกเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ตามเป้าหมาย 50,000 แกลลอน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน บาริสต้าจากร้านกาแฟทั่วประเทศ รวมกว่า 500 คน รวมถึงนักเรียนและประชาชนทั่วไป .

CPF รับรางวัล CAC Change Agent Award 2024 สนับสนุนคู่ค้า SME เป็นเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน

แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) มอบรางวัล CAC Change Agent Award 2024 ให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรเอกชนที่มีส่วนร่วมสร้างเครือข่ายการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าธุรกิจเข้าร่วมโครงการ CAC SME เป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง

ซีพีเอฟผนวกเรื่องการต่อต้านการทุจริตและการคอร์รัปชันและสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีจริยธรรม ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่โปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดจนช่วยสร้างโอกาสและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ SME เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในปีนี้ บริษัทได้ร่วมกับ CAC จัดอบรมถ่ายทอดความรู้แนวทางการป้องกันคอร์รัปชันในองค์กรให้แก่คู่ค้า SME 367 ราย เพื่อส่งเสริมให้คู่ค้ามีความตระหนักและกำหนดนโยบายรวมถึงแนวปฏิบัติในการป้องกันการทุจริตภายในองค์กรได้อย่างเหมาะสม ในปีนี้มีคู่ค้าของซีพีเอฟที่เป็นผู้ประกอบการ SME ประกาศเจตนารมณ์เป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันเพิ่มอีก 13 ราย

การสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจ SME ได้มีความรู้ความเข้าใจสามารถนำนโยบายและแนวทางการต่อต้านการทุจริตและการคอร์รัปชันเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ ภายใต้โครงการ Partner to Grow…เติบโตเคียงข้างอย่างยั่งยืน” ซึ่งปีนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจร่วมกันและเติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่โปร่งใส ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิตสินค้า การจัดส่ง ตลอดจนถึงการจัดจำหน่าย สร้างความเชื่อมั่นและได้การยอมรับจากสังคม ส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว สอดคล้องกับหลักปรัชญา ‘3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน’ ของเครือซีพี ที่ดำเนินธุรกิจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนในประเทศนั้น องค์กรจึงจะได้ประโยชน์

รางวัล CAC Change Agent Award เป็นการประกาศเกียรติคุณบริษัทที่ผ่านการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) และมีการชักชวนคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SME เข้ามาร่วมประกาศเจตนารมณ์กับ CAC มากกว่า 10 บริษัทภายใน 1 ปี สำหรับปีนี้ ซีพีเอฟได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยมี นางสาววิภาวรรณ ประมูลความดี ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบภายใน นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุด สายงานการจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ รับรางวัลจาก ดร.กุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ในงาน CAC Certification Ceremony 2024.

เมนูใหม่เว็บ SET!!

ปัจจุบันผู้ที่สนใจอยากลงทุนมีช่องทางมากมายสำหรับใช้ค้นหาข้อมูล และศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุน ทั้งจากเว็บไซต์ และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้านการลงทุน แต่เว็บไซต์หลักที่ “คุณนายพารวย” เข้าไปใช้งานเสมอ และแน่นอนว่าเวลาคนคิดจะลงทุนจะซื้อหุ้น กองทุน หรือตราสาร ต้องเปิดใช้ด้วย นั่นคือเว็บ www.set.or.th ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เรียกได้ว่า เป็นเว็บที่หนึ่งในใจของนักลงทุน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พัฒนา ออกแบบ และปรับปรุงให้หน้าตาเว็บใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลของหุ้น, บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลอดจนข่าวสาร, กิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือลงทุนต่างๆ รวมทั้งการทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมความรู้เรื่องการลงทุนต่างๆให้กับผู้สนใจอีกด้วย

ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯได้จัดทำเมนูใหม่ “วิเคราะห์งบการเงิน” โดยเพิ่ม 5 มุมวิเคราะห์ ได้แก่ ยอดขาย กำไรสุทธิ วงจรเงินสด คุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน บจ. มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นและโครงสร้างการจัดการที่ซับซ้อน การดูแค่การเติบโตของกำไรจึงไม่เพียงพอ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์กิจการที่ครอบคลุมหลายมิติมากขึ้น

เมนูใหม่ “วิเคราะห์งบการเงิน” จะช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของงบฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ งบกระแสเงินสด และอัตราส่วนทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์และตีความ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องพิจารณาควบคู่กับประเภทธุรกิจ (sector) ด้วย เพื่อความเหมาะสมในการตัดสินใจลงทุน

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมกับพันธมิตรจัดทำบทวิเคราะห์รายอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ใน “โครงการรายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแยกตามรายธุรกิจ” เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ บจ. และให้นักลงทุน โดยสามารถเข้าไปดูที่ https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

การเพิ่มมุมมองวิเคราะห์ให้กับนักลงทุนครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมความรู้และให้ข้อมูลการลงทุนแก่นักลงทุน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนโดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งจะช่วยสร้างนักลงทุนที่มีคุณภาพ และในระยะยาวก็เป็นการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน

“คุณนายพารวย” ไม่แปลกใจว่า ทำไมเว็บ SET ถึงรักษาตำแหน่งเว็บลงทุนที่ครองใจนักลงทุนจนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญของนักลงทุนทุกระดับ ช่วยเปิดประตูสู่การลงทุน รวมถึงการทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุม อัปเดต และที่สำคัญคือเชื่อถือได้ เพราะ

เป็นเว็บของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้น การเผยแพร่ข้อมูลจึงต้องทำอย่างถูกต้องและโปร่งใส

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไ่ทยรัฐ

คณะแพทย์รพ.รามาฯ ยกระดับเชิงรุกแนวทางการป้องกันบาดแผลทางจิตใจในการทำงาน

รามาฯ จัดสัปดาห์สุขภาพจิต ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตของบุคลากรในองค์กร บาดแผลทางจิตใจในการทำงาน เป็นเพชรฆาตเงียบที่องค์กรจำเป็นต้องยกระดับการป้องกัน ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจของบุคลากร และสร้างระบบขององค์กรที่บุคลากรรับรู้ได้ถึงความปลอดภัยทางจิตใจในการทำงาน 

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดสัปดาห์สุขภาพจิต 2567 ภายใต้แนวคิด “สุขภาพจิตในการทำงาน” ในหัวข้อเสวนาเรื่อง “การป้องกันบาดแผลทางจิตใจในสังคมการทำงาน” พร้อมทั้งประกาศเจตนารมณ์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่สนับสนุนสังคมการทำงานที่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์ แต่คนทำงานบาดเจ็บทางจิตใจ ย้ำการป้องกันบาดแผลทางจิตใจจำเป็นต้องยกระดับเชิงรุกและร่วมมือกันในทุกระดับ 

รศ. ดร. นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตของวัยทำงานเป็นปัญหาที่มีมาอย่างเรื้อรัง นอกเหนือจากการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับบุคลากรแล้ว องค์กรควรจะต้องมีระบบการป้องกันบาดแผลทางจิตใจ เพื่อให้บุคลากรเกิดความมั่นคงทางจิตใจและรู้สึกปลอดภัยในการทำงาน เปรียบเสมือนการขับรถที่มีถุงลมนิรภัยและเข็มขัดนิรภัยเวลาเราขับรถ ที่ทำให้คนขับสบายใจและปลอดภัยในการขับรถ วัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันที่ควรเกิดขึ้นในองค์กร คือ “การยอมรับว่าความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครที่มีเจตนาอยากให้ผิดพลาด” เมื่อผิดพลาดแล้วให้มองที่กระบวนการหรือพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ไม่มุ่งกล่าวโทษว่าคนหรือใครเป็นคนทำให้ผิดพลาด เพราะการมุ่งกล่าวโทษที่คนจะทำให้คนทำงานรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สบายใจในการทำงาน สำหรับตัวบุคลากรเอง การมีสติรู้ตัวและให้อภัยในความผิดพลาด จะช่วยจัดการของที่เราถืออยู่ในมือไม่ให้เผลอไปเขวี้ยงโดนใคร หรือหากทำของหลุดมือไปแล้ว ยังเท่าทันที่จะเก็บของกลับมาได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเดินสะดุดของที่เราเขวี้ยงออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาทักษะการล้มเป็นลุกไวและเติบโตทางจิตใจให้มีอยู่ในตัวบุคลากร (Resilience skill) ที่ต้องอาศัยการยอมรับความจริง การทบทวนตัวเอง และเรียนรู้พัฒนาก้าวต่อไป 

ด้าน พว.พรทิพย์ ไขสะอาด หัวหน้าหอผู้ป่วยจิตเวช ต้นแบบหัวหน้างานที่มาแลกเปลี่ยนการสื่อสารกับทีมเมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน กล่าวว่า การสื่อสารแบบสันติเมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน จะสันติได้ต้องเริ่มที่ทัศนคติของหัวหน้างานที่ต้องมีก่อนที่จะสื่อสาร คือ 1. ทุกคนไม่มีเจตนาให้เกิดความผิดพลาด และ 2.เห็นข้อดีของคนที่อยู่ตรงหน้า หากเรามีทัศนคติเช่นนี้และเท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ท่าทีและวิธีการสื่อสารก็จะเป็นไปอย่างสันติ ไม่เกิดบาดแผลทางจิตใจในการทำงาน 

ขณะที่ นพ.ณรงค์ฤทธิ์ มัศยาอานนท์ รองคณบดีฝ่ายคุณภาพและศูนย์ความเป็นเลิศ กล่าวว่า นอกเหนือจากการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่ตัวบุคลากรแล้ว ระบบที่คณะฯ ออกแบบเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานที่ปลอดภัยทางจิตใจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย (Personnel Safety Goals 2018) โดยมีโครงการช่วยเหลือด้านจิตสังคมสำหรับบุคลากร (Support System for Our Staff; หรือโครงการ SSOS) ซึ่งเป็นระบบการดูแลและช่วยเหลือบุคลากรของคณะฯ ที่ได้รับผลกระทบด้านจิตใจจากกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางการแพทย์ ให้สามารถสนับสนุน เยียวยา และฟื้นฟูสภาพจิตใจ ไม่ให้เกิดแผลในใจ สามารถกลับเข้าทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังส่งเสริมนโยบายไม่สนับสนุนความรุนแรงในสถานที่ทำงาน (workplace violence) ทั้งทางด้านการกระทำและคำพูด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของบุคลากร โดยเฉพาะการพัฒนาจากด้านใน (inner life) ให้ความเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และตระหนักในคุณค่าและความหมายของงาน (meaningful work)

น.ส.ชมพูนุท จิวะธานนท์ รองคณบดีฝ่ายบริหารทุนมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ผลกระทบสภาวะทางจิตใจของบุคลากร มีเหตุปัจจัยที่เกิดจาก 2 มิติสำคัญ มิติแรกคือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ปริมาณงาน ผู้รับบริการ ตลอดจน ผู้บังคับบัญชา มิติที่สองคือความรู้สึกตนเองที่ได้รับผลกระทบ การจัดการกับสภาวะความกดดันและความเครียดได้เร็วและไวที่สุด ควรเริ่มต้นจากการจัดการกับปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่น การให้ความสำคัญกับการสำรวจและตระหนักรู้ด้วยตนเอง (Self-awareness) เริ่มจากการสำรวจตนเอง การรู้และยอมรับสัญญาณปัญหาสุขภาพใจด้วยตัวของบุคลากรเอง เป็นจุดเริ่มต้นของรู้เท่าทัน และป้องกันบาดแผลทางจิตใจไม่ให้ลุกลามได้ เพราะการเข้าใจ รู้สถานะ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะนำไปสู่การมองหาทางเลือกในแนวทางและกลไกที่จะจัดการจิตใจของตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งฝ่ายบริหารทุนมนุษย์ได้เล็งเห็นความสำคัญและมองเป็นทิศทางในการวางแนวทางการพัฒนาและสร้างเสริมเชิงป้องกัน ให้กับบุคลากร นอกจากนั้น ได้วางแผนจัดการพัฒนาเสริมสร้างเทคนิคการสื่อสารให้กับระดับบังคับบัญชา เพื่อส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่สำคัญ ให้บุคลากรเกิดการทำงาน ที่มีความสุขเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กันไป