Home Blog Page 7

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกเฟทโก้ และ กสศ. ชวนภาคธุรกิจบริจาคคอมพิวเตอร์ให้รร.ที่ขาดแคลน ในโอกาส 50 ปี ตลท.

0

ในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 50 ปี ในปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนิน “โครงการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” ผ่าน 3 โครงการเพื่อประโยชน์แก่สังคม โดยหนึ่งใน 3 โครงการดังกล่าว คือ “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” ซึ่งโครงการนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินการร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยมุ่งหวังที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาพร้อมปลูกฝังความรู้ด้านการเงินแก่เยาวชนไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนาตลาดทุน แต่ยังดูแลรับผิดชอบการพัฒนาเพื่อสังคม ส่งเสริมให้มีรากฐานและคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการดำเนิน “โครงการ คอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” โดยมุ่งหวังที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าถึงสื่อดิจิทัลและแหล่งความรู้ออนไลน์เพื่อการพัฒนาตนเอง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงภาคธุรกิจให้มาร่วมกันบริจาคคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมาย 5,000 เครื่อง ภายใน 5 ปี อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจะสนับสนุนข้อมูลความรู้  ด้านการเงินด้วยการติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะส่งมอบให้แก่โรงเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้การออมการลงทุนปลูกฝังความรู้ด้านการเงินให้แก่นักเรียน ครู และผู้ปกครอง

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย รองประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนองค์กรภาคตลาดทุนมีความยินดีที่จะร่วมสนับสนุน “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” เนื่องด้วยประเทศไทย จะสามารถก้าวหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ และเข้าใจในโลกยุคใหม่ ดังนั้น เยาวชนไทยจึงจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะด้านดิจิทัลอย่างเพียงพอ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะที่หลากหลาย เพื่อเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดทุนไทย รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โครงการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับภาคตลาดทุนและประเทศชาติในอนาคตต่อไป

ดร. ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การขาดแคลนทรัพยากรในโรงเรียนขนาดเล็ก พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน การสำรวจขององค์การ OECD พบว่าโรงเรียนที่มีปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน มีแนวโน้มที่นักเรียนจะทำคะแนน PISA ได้น้อย กสศ.ยังสำรวจในช่วงโควิด-19 พบว่า เด็กเยาวชนยากจนในชนบท ใช้อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือของพ่อแม่  ไม่มีแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์  ช่องว่างนี้เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ห่างกันถึง  10 เท่า  โอกาสเดียวที่เด็กเหล่านี้จะได้ใช้ทรัพยากรเพื่อเรียนรู้ พัฒนาทักษะต่างๆ คือ ที่โรงเรียน โดยการทำงานของ กสศ. มุ่งระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา  โดยมีระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เข้าใจความขาดแคลนของโรงเรียน เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของครู ผู้บริหารโรงเรียน เครือข่ายชมรมนักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร  และสพฐ. สามารถตรวจสอบได้ และยังประมวลเป็นแผนที่ชี้เป้าให้กับภาคส่วนต่างๆ ในระยะแรกจะสนับสนุนโรงเรียนที่มีความต้องการเร่งด่วนราว 200 แห่ง โครงการนี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอย่างเสมอภาคจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้แก่โรงเรียนเล็ก ห่างไกล ทุรกันดาร  ซึ่งเป็นแนวทางเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนที่ กสศ. ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ภาคตลาดทุนและภาคธุรกิจรวมถึงผู้ที่สนใจจะร่วม “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” สามารถสนับสนุนได้ผ่าน 3 รูปแบบ คือ 1) บริจาคคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานแล้วและยังมีคุณภาพดี 2) บริจาคคอมพิวเตอร์ใหม่ (มือ 1) หรือ 3) สนับสนุนองค์ความรู้ตามความเชี่ยวชาญหรือตามศักยภาพของธุรกิจ (In kind Support) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กสศ. Call Center โทร. 0 2079 5475 ติดตามความคืบหน้าโครงการได้ที่ www.eef.or.th/donate/ และ https://pinhelppoint.com/

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม“Exclusive One Day Trip” ฟินมู เต็มอิ่ม กับ อ.คฑา ชินบัญชร

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ร่วมกับ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ชวนสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ  จัดกิจกรรม “Exclusive One Day Trip”  รับความปังตลอดปี ไปกับ อาจารย์คฑา  ชินบัญชร  ฟินมู เต็มอิ่ม กับการสักการะเทพเจ้ามังกรเขียวบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หมุนกังหันเปลี่ยนดวงให้ประสบความสำเร็จ พร้อมแก้ชงเสริมสิริมงคล ณ วัดทิพยวารีวิหาร ปิดท้ายด้วยรับประทานอาหารจีน มื้อพิเศษแบบ Fine-Casual Dining ที่จัดเต็มเมนูมงคลจากร้านอาหาร K BY Vicky Cheng รังสรรค์โดยเชฟมิชลินสตาร์จากฮ่องกง บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจ อิ่มบุญอิ่มท้องพร้อมรับสิ่งดี ๆ ตลอดทั้งปี  โดยมี  นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากเดอะมอลล์กรุ๊ป ให้การต้อนรับ

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรร มาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

AIS คว้ารางวัลองค์กรต้นแบบส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ จากกระทรวง พม.

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS คว้ารางวัลหน่วยงานองค์กรเอกชนดีเด่น ด้านการคุ้มครองสิทธิและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญและเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท ด้วยการปลูกฝังแนวคิด DEI ทั้งความหลากหลาย (Diversity) ความเท่าเทียม (Equity) และการมีส่วนร่วมของทุกคน (Inclusion) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในทุกมิติ

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS กล่าวว่า “AIS เชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นของความเท่าเทียม คือ การเคารพความแตกต่างที่อยู่ในกรอบการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเคารพซึ่งกันและกัน การมองเห็นถึงคุณค่าในความหลากหลาย เราจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและเปิดโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับพนักงานทุกคน ครอบคลุมตั้งแต่นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ส่งเสริมความเสมอภาค ด้วยการเคารพความหลากหลายของบุคลากร ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ อายุ เพศสภาพ ตลอดจนกลุ่มผู้พิการ ฯลฯ ทุกคนต่างมีความแตกต่างที่ทำให้องค์กรของเราผลิบานอย่างเข้มแข็ง และ สวยงาม นอกจากนี้เราสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมที่ส่งเสริมและให้เกียรติต่อความหลากหลายภายในองค์กร ตลอดจนการมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะและเติบโตให้พนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยก ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร “Fit Fun Fair” โดยเฉพาะ “Fair” ที่เน้นย้ำถึงความเท่าเทียมทางโอกาสที่ส่งมอบให้พนักงานทุกคน  นอกจากนี้ การออกแบบสวัสดิการและการสร้างสภาพแวดล้อมยังคำนึงความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานแต่ละคน แต่ละกลุ่มให้มากที่สุด เพื่อให้พนักงานใช้ชีวิตและทำงานในแบบที่เป็นวิถีของตนเองอย่างดีที่สุด เราเลิกการแปะป้ายกลุ่มแบ่งแยก เพราะที่นี่ไม่ว่าคุณคือใคร ศักดิ์ศรีเราเท่ากัน”

สำหรับรางวัลหน่วยงานองค์กรเอกชนดีเด่น ด้านการคุ้มครองสิทธิและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรที่มีความโดดเด่นด้านการตระหนักและเคารพในสิทธิมนุษยชนของพนักงาน และความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการองค์กรเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคในด้านต่างๆ

              “ขอขอบคุณกระทรวง พม. ที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและมอบรางวัลอันน่าภาคภูมิใจนี้ให้แก่เรา โดย AIS ยังคงเดินหน้าโอบรับทุกความแตกต่างและหลากหลาย พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งความเท่าเทียมภายในองค์กร อันจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยต่อไป” 

เรียนรู้ความสำเร็จแก้ปัญหาปลาหมอคางดำจากทั่วโลก

0

บทความโดย สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ

ข่าวการชุมนุมและการนำปลาหมอคางดำ 2 รถกระบะ ไปเทที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุด ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ประท้วงเหล่านั้นได้ปลาหมอคางดำจำนวนมากจากที่ไหน? และทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในวรรณคดีไทย เช่น เรื่องสังข์ทอง ที่พระสังข์สามารถร่ายคาถาเรียกปลามากองอยู่ได้ทันที การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในไทยอาจจะง่ายกว่าที่คิด หากชุมชนใน 16 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดมีส่วนร่วมในการจับปลาด้วยกันทุกวัน โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการจับปลาและการนำปลาไปใช้ประโยชน์ตามแนวทางที่กำหนด ก็จะช่วยลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอันใกล้

วันนี้ ประเทศไทยควรเรียนรู้จากหลายประเทศทั่วโลกที่เคยเผชิญกับปัญหานี้ และประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ดังนี้ :

  1. สหรัฐอเมริกา ในฟลอริดา พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวปลาเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 90% ของสัตว์น้ำทั้งหมดในแหล่งน้ำธรรมชาติของรัฐ ขณะที่ในฮาวายมีการนำปลาหมอคางดำเข้ามาในปี พ.ศ. 2505 เพื่อใช้เป็นปลาเหยื่อสำหรับปลาทูน่า แต่ปลาหมอคางดำกลับหลุดรอดและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

วิธีการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ คือการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายโดยการใช้มาตรการทางชีวภาพ เช่น การจัดการแหล่งน้ำ การใช้ไฟฟ้าช็อตปลา นอกจากนี้ยังมีการนำปลาหมอคางดำไปทำลายหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ปลาป่น อาหารสัตว์ หรืออาหารมนุษย์ โดยบางกลุ่มชาวพื้นเมืองก็ใช้ปลานี้ในการทำอาหาร เช่น ย่าง ทอด หรือทำซุปปลา

  1. ฟิลิปปินส์ พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในปี 2558 จากการหลุดรอดปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะในอ่าวมะนิลา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำประจำถิ่นและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รัฐบาลฟิลิปปินส์มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงการนำปลาหมอคางดำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น อาหารกระป๋อง และขายในตลาดสดหรือร้านอาหารพื้นเมือง
  2. สเปนและโปรตุเกส ทั้งสองประเทศพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ หน่วยงานในทั้งสองประเทศได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจับปลาและตกปลาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์รุกราน และยังนำปลาหมอคางดำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารทะเล
  3. อินโดนีเซีย มีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ เกิดจากการนำเข้าหรือการลักลอบนำเข้าเพื่อการประมงและการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่รุนแรงเหมือนประเทศอื่นๆ กระทรวงกิจการทางทะเลและประมงของอินโดนีเซียได้ดำเนินการป้องกันและตรวจสอบอย่างเข้มงวด 
  4. ประเทศไทย เริ่มพบปลาหมอคางดำครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 และการแพร่ระบาดขยายไป 16 จังหวัดในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ รัฐบาลไทยมีมาตรการหลายวิธีในการแก้ปัญหานี้ เช่น การจับปลาออกจากแหล่งน้ำ การปล่อยปลาผู้ล่า การพัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ และการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในหลายประเทศทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของไทยเพียงประเทศเดียว ซึ่งต้องการการจัดการที่เป็นระบบ การจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า จะเป็นวิธีที่สามารถควบคุมประชากรปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญ คือ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่แค่พยายามกำจัดมันอย่างเดียว โดยเฉพาะการใช้ปลาหมอคางดำในการผลิตอาหาร เช่น น้ำปลาร้า ปลาผง น้ำปลา ทอดมัน ลูกชิ้น หรือทำเป็นอาหารว่างต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างแรงจูงใจให้มีการจับปลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันนี้สังคมไทยต้องพิจารณาการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน มากกว่ามองปลาหมอคางดำเป็น “ปลารุกราน” (Invasive Species) ซึ่งความจริง คือ ปลาชนิดนี้เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลานิล เนื้อสามารถบริโภคได้มีโปรตีนเหมือนปลาทั่วไป และไขมันต่ำ ควรเปลี่ยนมุมมองไปให้ความสำคัญจากการใช้ประโยชน์จากปลามากขึ้น เพื่อความยั่งยืนในการจัดการและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

ความสำเร็จของต่างประเทศในการแก้ปัญหานี้ มีให้เห็นหลายวิธี ทั้งการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารสัตว์ เมนูอาหาร รวมถึงการควบคุมประชากรปลาให้อยู่ในวงจำกัด ประเทศไทยก็สามารถนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ได้จริง และไม่เพียงแค่แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างโอกาสการพัฒนาทางเศรษฐกิจจากการแปรรูปปลาและการสร้างงาน สร้างรายได้อีกด้วย

การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพปลาหมอคางดำ ไม่ใช่มุ่งแต่จะโหนกระแสเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมาจากการจัดการที่เป็นระบบ และการนำประสบการณ์ของประเทศอื่นมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน.

15 ปี มูลนิธิคนดีฯ ร่วมกับ ซีพี ออลล์ มอบรางวัลคนดีประเทศไทย เชิดชูประชาชนต้นแบบ-สื่อส่งเสริม SME

0

มูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าจัดงานมอบรางวัล “คนดีประเทศไทย” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 เพื่อเชิดชูประชาชนต้นแบบ และประกาศเกียรติคุณสื่อมวลชน สาขา: สื่อส่งเสริม SME  ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม SME ไทย ด้วยการสื่อสารข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จุดประกายโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน 

นายศิโรจน์  มิ่งขวัญ ประธานมูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) และนายกสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 15 ปี ที่มูลนิธิคนดีฯ ตอกย้ำบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยให้เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ผ่านการยกย่องเชิดชูเกียรติประชาชน สื่อมวลชน ผู้นำความคิด ผู้ทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน สะท้อนภาพสังคมที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังของคนดีซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงและยั่งยืนในสังคมไทย โดยประชาชนต้นแบบคือกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชุมชนและประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสังคม การมีคนดีที่ยึดมั่นในจริยธรรม มีจิตอาสา พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม ถือเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงสังคมให้น่าอยู่และเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ มูลนิธิคนดีฯ ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสื่อมวลชนในการเผยแพร่เรื่องราวเพื่อประโยชน์ต่อสังคมในมิติต่างๆ โดยในปีนี้ได้ขยายรางวัลเชิดชูสื่อมวลชนสาขา: สื่อส่งเสริม SME ที่เป็นพลังสำคัญในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับประเทศในระดับฐานราก สื่อมวลชนที่มุ่งมั่นรายงานข่าวสารส่งเสริม SME อย่างสร้างสรรค์ จึงเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนและต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยทั่วประเทศ

“การส่งเสริมและยกย่องประชาชน สื่อมวลชน ผู้นำความคิดต้นแบบตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นนโยบายสำคัญที่มูลนิธิคนดีฯ และซีพี ออลล์ เซเว่น อีเลฟเว่น มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้เป็นแบบอย่างของการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส การส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายคนดีในประเทศไทย ต้องขอขอบคุณซีพี ออลล์  เซเว่นฯ ที่เป็นพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่อง” นายศิโรจน์กล่าว 

ทั้งนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนการจัดงานมอบ “รางวัลคนดีประเทศไทย” อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นภายใต้นโยบาย “DNA ความดี 24 ชั่วโมง” ที่ฝังอยู่ในทุกบทบาทและภารกิจขององค์กร โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดการทำความดีในทุกมิติ ซีพี ออลล์ เชื่อมั่นว่าการร่วมสร้างสังคมแห่งความดีเริ่มต้นได้จากทุกคน และทุกเวลา โดยการยกย่องและเชิดชูเกียรติบุคคลผู้เสียสละทำความดีในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ เสริมสร้างขวัญกำลังใจ และขยายพลังแห่งการทำความดีให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้บุคคลเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของสังคม

โดยรางวัลคนดีประเทศไทย ประจำปี 2568 สาขา: ประชาชน ช่วยเหลือสังคม 4 รางวัล ได้แก่

  1. ครูกนกวรรณ ศรีผง   พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  2. ครูพิมพ์ทอง สมบัติ พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  3. ครูสริญญา หอมเกษร พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  4. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พลเมืองดีช่วยเหลือผู้สูงอายุ หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

รางวัลคนดีประเทศไทย ประจำปี 2568 สาขา: สื่อส่งเสริม SME 24 รางวัลได้แก่

  1. อายุน้อยร้อยล้าน
  2. SHARK TANK THAILAND
  3. ชี้ช่องรวยแฟรนไชส์
  4. คอลัมน์ SME ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่ เดลินิวส์
  5. เทคโนโลยีชาวบ้าน
  6. คอลัมน์ SME ต้องขยาย ไทยรัฐออนไลน์
  7. SMEs ผู้จัดการออนไลน์
  8. คอลัมน์ ช่องทางสร้างอาชีพ มติชนออนไลน์
  9. คอลัมน์ เอสเอ็มอี สำนักข่าวเดอะไทยเพรส
  10. เส้นทางเศรษฐีออนไลน์
  11. คอลัมน์ เอสเอ็มอี AC NEWS
  12. Section SPOTLIGHT AmarinTV HD 34
  13. Brand Buffet
  14. Brand Inside
  15. คอลัมน์ Startup & SMEs BrandAge Online
  16. คอลัมน์ MARKETING SME MARKETEER
  17. คอลัมน์ Marketing for SME MARKETING OOPS!
  18. คอลัมน์ Smart Sme POSTTODAY
  19. SMART SME
  20. SME THAILAND
  21. SME STARTUP
  22. SME BIZNEWS
  23. คอลัมน์ SME THE BANGKOK INSIGHT
  24. อนุวัต จัดให้

มูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันเจตนารมณ์ในการร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการทำความดีในทุกมิติ โดยมุ่งหวังให้ “รางวัลคนดีประเทศไทย” เป็นเวทีแห่งการยกย่องเชิดชูเกียรติประชาชนและสื่อมวลชนที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทย ไม่เพียงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ แต่ยังเป็นการจุดประกายให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่เต็มไปด้วยน้ำใจและคุณธรรม

เมืองไทยประกันชีวิต และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม สานต่อ “โครงการแสงแก้ว การผ่าตัดต้อกระจกเพื่อผู้สูงอายุที่ขาดแคลน”

0

เมืองไทยประกันชีวิต และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม มุ่งมั่นสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย พร้อมสานต่อ โครงการ “แสงแก้ว” เพื่อสนับสนุนการผ่าตัดต้อกระจกให้แก่ผู้สูงอายุที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ คืนแสงสว่างให้ดวงตา เสริมสร้างคุณภาพชีวิต และช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและมั่นใจอีกครั้ง

เนื่องด้วยประเทศไทยเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) มีประชากรสูงอายุในสัดส่วน 20% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ (จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนธันวาคม 2566) ส่งผลให้ความต้องการด้านสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อกระจก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การสนับสนุนการรักษาและส่งเสริมสุขภาพดวงตาของผู้สูงอายุจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้พวกเขากลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและมีความสุข

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมเพื่อ “ผู้สูงอายุ” โดยพบว่ามีผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยโรคต้อกระจกรายใหม่เกิดขึ้นจำนวนมากทุกปี โดยที่โรคต้อกระจกเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นของประเทศที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิต และขณะเดียวกันยังมีผู้ป่วยสะสมรอรับการผ่าตัด  จากปัจจัยพื้นที่ห่างไกลและการขาดแคลนจักษุแพทย์ อีกทั้งขาดความรู้เกี่ยวกับโรคหรือกลัวการรักษา ทำให้เมื่อทิ้งระยะเวลาไว้นานเกินไปจะส่งผลทำให้ระดับของโรคทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้พิการตาบอดในที่สุด 

พร้อมได้จัดตั้ง “โครงการแสงแก้ว การผ่าตัดต้อกระจกเพื่อผู้สูงอายุที่ขาดแคลน” เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการหน่วยผ่าตัดต้อกระจกเคลื่อนที่ ไปกับโรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว เพื่อทำการรักษาให้แก่ผู้ป่วย      ต้อกระจกที่ขาดแคลนทุนทรัพย์  โดยให้บริการแก่ผู้ป่วยต้อกระจกชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางถึง ชนิดบอด (Blinding cataract) ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 ถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการแสงแก้ว การผ่าตัดต้อกระจกเพื่อผู้สูงอายุที่ขาดแคลนได้สนับสนุนงบประมาณ การผ่าตัดต้อกระจกให้แก่โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว จำนวนรวม 8,100,000 บาท (แปดล้าน    หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดต้อกระจกแก่ผู้สูงอายุที่ขาดแคลนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวนกว่า 800  ราย

โดยล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต และ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ได้ร่วมมือกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประสานงานรับผู้สูงอายุจากศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ บ้านบางแค กรุงเทพมหานคร, ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุปทุมธานี, ศูนย์วาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบุรีรัมย์ และศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุลำปาง ที่เป็นผู้ป่วยโรคต้อกระจกและทนความลำบากในการดำเนินชีวิตให้ได้รับการผ่าตัดที่รวดเร็วและกลับมามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อีกครั้ง  เพื่อลดภาวะความเสี่ยงจากการตาบอด คืนความสดใสและมอบความสุขและรอยยิ้มให้กับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ “โครงการแสงแก้ว การผ่าตัดต้อกระจกเพื่อผู้สูงวัยที่ขาดแคลน” เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ เมืองไทยประกันชีวิต และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ในการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นรากฐานสำคัญของครอบครัวและสังคม การคืนแสงสว่างให้กับพวกเขา ไม่เพียงช่วยให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและมีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ     ลดภาระของผู้ดูแล และเสริมสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ ยังเป็นการคืนความหวัง เสริมสร้างพลังใจ และส่งต่อความสุขให้กับครอบครัวและคนรอบข้าง ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อบอุ่นต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. DSI เข้าพบนายกฯ รายงานความคืบหน้าม.ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย

0

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นางพรอนงค์ บุษราตระกูลเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลวันนี้ (17 มีนาคม 2568) เพื่อรายงานสถานการณ์ตลาดทุนไทยในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตลาดทุนไทย

โดยได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการในคดีต่าง ๆ ในตลาดทุน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้นำเสนอโครงการที่ได้ดำเนินการเพื่อพัฒนาตลาดทุนและบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ โครงการ JUMP+ ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย และรายงานความคืบหน้าการปรับปรุงมาตรการและเกณฑ์ต่างๆ โดยล่าสุดอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็น “การทบทวนการกำกับดูแลการขายชอร์ต และ HFT” เพื่อให้มาตรการกำกับดูแลเหมาะสมกับสภาวะการซื้อขายในปัจจุบัน ซึ่งเปิดให้แสดงความคิดเห็นจนถึง 31 มีนาคม 2568

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เปิดเผยว่า ตนเน้นย้ำใน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1.กำชับและติดตามคดีที่มีผลกระทบต่อผู้คนเป็นจำนวนมากและกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเร่งรัดติดตามให้คดีมีความคืบหน้าโดยเร็ว

2.แก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำผิดในตลาดหุ้น โดยปรับปรุงกฎเกณฑ์ ยกระดับไม่ให้มีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นอีก เช่น ปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์

3.กำชับถึงข้อกำหนดที่จะจัดการเรื่อง free float ลงโทษบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำผิดหลักเกณฑ์ได้ โดยการให้ออกจากตลาด

4.เน้นย้ำให้มีการใช้กฎหมายครบทุกมิติ เพื่อฟื้นความมั่นใจอย่างเร่งด่วนและเป็นธรรม

เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อถือและเชื่อมั่นในด้านการใช้กฎหมายเพื่อให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ให้ตลาดหุ้นไทยแข่งขันได้ในเวทีสากล

ซีพีเอฟ – ลิ้งค์เลเทอร์สฯ สานต่อความร่วมมือ ส่งต่อโอกาสทางการศึกษา

0

การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ เริ่มต้นที่โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา ความพร้อมของอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารเรียน ที่ต้องเอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอนให้กับอาจารย์และนักเรียน ในขณะโรงเรียนหลายแห่งมีงบประมาณไม่เพียงพอ เพื่อใช้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้

เป็นปีที่ 3 แล้วที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และบริษัท ลิ้งค์เลเทอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษากฎหมายระดับโลก มีเป้าหมายและความตั้งใจเดียวกัน สานต่อความร่วมมือเพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านการศึกษาของนักเรียนในต่างจังหวัด ด้วยการส่งมอบอาคารเรียนที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีสภาพพร้อมใช้งาน แทนหลังเดิมซึ่งมีสภาพทรุดโทรมจากการใช้งานมามากกว่า 50 ปี สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการเรียนการสอนของครู อาจารย์ และนักเรียน ปลูกฝังความสามัคคีของคนในชุมชนที่มีส่วนร่วมช่วยรื้อถอนอาคารหลังเดิม นักเรียนและชุมชนมีสถานที่ไว้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนาและฝึกทักษะชีวิต โดยก่อนหน้านี้ ได้ร่วมกันส่งมอบอาคารเรียนที่ซ่อมแซมแล้วของ รร.บ้านเนินสวนอ้อย ต.ศาลาลำดวน อ.เมือง จ.สระแก้ว และ โรงเรียนบ้านโคกสะอาดวิทยาคาร จ.บุรีรัมย์

ปีนี้ ผู้ใหญ่ใจดีทั้งสององค์กร นำโดยคุณสรรพีระ นิลขำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักกฎหมายและสำนักกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ซีพีเอฟ และ คุณพรพรรณ ชยะสุนทร ผู้บริหารของลิ้งค์เลเทอร์สฯ นำคณะผู้บริหารและพนักงาน ส่งมอบอาคารเรียนให้น้องๆ โรงเรียนบ้านท่าแฉลบ (เอครพานิช) จังหวัดจันทบุรี โรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีจำนวนนักเรียน 47 คน และคุณครู 8 คน โดยได้รับเกียรติจากคุณประเสริฐ กำเลิศทอง รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 เป็นประธานในพิธี ฯ ร่วมด้วยประธานกรรมการสถานศึกษา กำนัน และตัวแทนชุมชนฯ

นอกจากนี้ ยังมีกิจรรมเพื่อพัฒนาโรงเรียน อาทิ ทาสีรั้วโรงเรียน การเพ้นท์พื้นบีบีแอล กิจกรรมสันทนาการต่างๆ อิ่มท้องกับมื้อกลางวันที่ซีพีเอฟจัดผลิตภัณฑ์อาหาร CP มาเลี้ยงน้องๆ มีทั้ง เกี๊ยวกุ้งน้ำใส ข้าวปลากะพงซอสเทอริยากิ สปาเกตตี้ไส้กรอกผัดซอสมะเขือเทศ ไก่จ๊อ และยังมีโอกาสได้แบ่งปันให้เพื่อนๆโรงเรียนใกล้เคียงจากโรงเรียนวัดสิงห์ โรงเรียนวัดพลับ โรงเรียนวัดทองทั่ว และโรงเรียนบางกะจะ ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

ซีพีเอฟ พร้อมเดินหน้าความร่วมมือกับพันธมิตร “ลิ้งค์เลเทอร์ส” ร่วมสนับสนุนด้านการศึกษาในด้านต่างๆ ด้วยเชื่อมั่นว่า “โอกาสที่เด็กๆ ได้รับจากการศึกษาในวันนี้ คือ อนาคตที่ยั่งยืนของสังคมและประเทศชาติในวันข้างหน้า .

AIS ร่วมจำหน่าย “วันอาทิตย์” โซลาร์บ้านครบวงจร โดย กัลฟ์1 ที่ AIS Shop ทั่วประเทศ

0

บริษัท กัลฟ์1 จำกัด (GULF1) ในเครือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ประกาศเปิดตัวแบรนด์ “วันอาทิตย์” โซลาร์บ้านครบวงจร พร้อมแผนการตลาดเชิงรุก เปิดช่องทางจำหน่ายทาง AIS Shop ทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน นับเป็นก้าวสำคัญของ GULF1 ในการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มบ้านอยู่อาศัย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์

“วันอาทิตย์” โดดเด่นด้วยบริการโซลาร์บ้านแบบครบวงจร (One-Stop Service) ที่ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงการบำรุงรักษา โดยทีมงานมืออาชีพ ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งแผงโซลาร์เซลล์ Tier 1 อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่คุณภาพสูงที่มาพร้อมระบบบริหารจัดการพลังงานด้วย AI และ IoT เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ระบบโซลาร์เซลล์ ของ “วันอาทิตย์” จึงช่วยตอบโจทย์การประหยัดค่าไฟสูงสุดให้กับทุกหลังคาเรือน พร้อมการันตีประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานถึง 30 ปี ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจได้หลากหลายตามขนาดการใช้ไฟฟ้า พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลดเงินสด 1.5% หรือผ่อน 0% นาน 10 เดือน หรือบริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน นอกจากนี้ ยังมอบบริการบำรุงรักษาระบบฟรี 3 ปี และฟรีประกันอัคคีภัยคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้พลังงานสะอาดให้กับลูกค้า “วันอาทิตย์” พิเศษสำหรับลูกค้า AIS รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 13,000 บาท เมื่อซื้อแพ็กเกจผ่าน AIS Shop ทั่วประเทศ

นางสาวอำนวยพร ประกอบนพเก้า ผู้อำนวยการด้านการบริหารธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ GULF1 กล่าวว่า “GULF1 มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเรื่องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลาร์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) โดยที่ผ่านมาเรามีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม กว่า 300 ราย ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 300 เมกะวัตต์ ทั่วประเทศ ด้วยเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงานงานสะอาดโดยเริ่มต้นจากที่บ้าน จึงขยายตลาดมายังกลุ่มบ้านพักอาศัย ด้วยศักยภาพด้านเทคโนโลยีและประสบการณ์ในระบบโซลาร์ของ GULF1 ผนวกกับความแข็งแกร่งด้านธุรกิจ Retail และดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของพันธมิตรอย่าง AIS เราจึงมีความพร้อมที่จะส่งมอบระบบโซลาร์รูฟท็อปคุณภาพสู่ลูกค้าบ้านอยู่อาศัย ด้วยการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานสูงและติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการ อีกทั้งยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยและบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด สำหรับแบรนด์ ‘วันอาทิตย์’ เราไม่ได้มองว่าเป็นแค่โซลาร์บ้าน แต่เป็นโซลูชั่นที่จะช่วยเติมความสุขให้กับทุกคนในครอบครัวที่ได้ทำกิจกรรรมร่วมกันโดยไม่ต้องกังวลกับค่าไฟฟ้า เพื่อให้ทุกวันที่อยู่บ้านเหมือน ‘วันอาทิตย์’ หรือ ‘วันครอบครัว’ นั่นเอง”

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS กล่าวว่า “AIS มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะยกระดับประสบการณ์การให้บริการ Retail Shop สู่การเป็นศูนย์บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกๆ ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง GULF1 ในการนำเสนอบริการโซลาร์เซลล์บ้าน “วันอาทิตย์” ที่ AIS Shop เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด สอดรับกับเทรนด์ของสังคมยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งในอนาคตเราจะเสริมศักยภาพการขายบริการพร้อมการติดตั้งที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ ผ่านผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตบ้าน AIS 3BB FIBRE3 โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ AIS ในการผลักดันสังคมไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน”

รู้เก็บรู้ออม : DR กระจายความเสี่ยง!!

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ อาจจะดูแผ่วๆ ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากความผันผวนที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ

“คุณนายพารวย” แนะนำว่า สถานการณ์แบบนี้ นักลงทุนควรลองใช้เทคนิคการลงทุนแบบการกระจายความเสี่ยง การกระจายการลงทุนไปในหุ้นต่างประเทศก็เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีได้

ยิ่งเดี๋ยวนี้ การลงทุนซื้อหุ้นนอก หรือหุ้นต่างประเทศเก็บเข้าพอร์ตตัวเอง สามารถทำได้อย่างสะดวก ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก และไม่ต้องไปแลกเงินสกุลต่างประเทศ ให้นักลงทุนต้องปวดหัวเหมือนในอดีต

โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipt) และ DRx (Fractional Depositary Receipt) ซึ่งเป็นใบแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์หรือหุ้นของบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก

โดย DR และ DRx ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนไทยซื้อขายหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทยได้ โดยใช้บัญชีซื้อขายหุ้นที่มีอยู่ และซื้อขายด้วยเงินบาทจึงทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนไทยที่อยากโกอินเตอร์ กระจายการลงทุนไปหุ้นต่างประเทศ

เห็นได้จากปัจจุบันมี DR และ DRx จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยทั้งหมด 81 หลักทรัพย์หลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งอ้างอิงกับทั้งหุ้นรายตัว และกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

ล่าสุดเมื่อ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่งต้อนรับ DR และ DRx น้องใหม่เพิ่มอีก 6 ตัว อ้างอิงหุ้นชั้นนำของจีนและสหรัฐฯ ออกโดย ธนาคารกรุงไทย ประกอบด้วย DR ที่อ้างอิงหุ้นจีน ได้แก่ 1.บ. POP Mart International Group Limited (ชื่อย่อ POPMART80) 2.JD.com (ชื่อย่อ JD80) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีน

3.บ. Trip.com Group Limited (ชื่อย่อ TRIPCOM80) เจ้าของแพลตฟอร์มจองการท่องเที่ยวออนไลน์ ทั้ง Skyscanner, Ctrip และ Trip.com 4.บ. Meituan (ชื่อย่อ MEITUAN80) ผู้ให้บริการแอปฯ ไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมบริการส่งอาหาร และการจองกิจกรรมต่างๆ 5.บ. Nongfu Spring (ชื่อย่อ NONGFU80) ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำ กับ DRx อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ คือ บ. Eli Lilly and Company (ชื่อย่อ LLY80X) บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำระดับโลก

คนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว สามารถทำรายการซื้อขายได้เลย สำหรับผู้ที่อยากทำความรู้จัก DR และ DRx ให้เข้าใจมากขึ้น สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บ www.setinvestnow.com

สถานการณ์แบบนี้ การกระจายการลงทุนในบริษัทชั้นนำของโลก น่าจะเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนไทยได้ดีทีเดียว.

คุณนายพารวย