Home Blog Page 66

วันอาหารโลก 16 ตุลาคม ชวนคนไทยร่วมสร้างสิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ดีถ้วนหน้า

0

ผู้เชี่ยวชาญชี้ ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ช่วยขจัดปัญหาความอดอยากหิวโหย ให้ทุกคนเข้าถึงอาหารเพียงพอและปลอดภัยได้ ด้วยการช่วยกันลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และลดขยะอาหาร (Food Waste) ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารและโอกาสการเข้าถึงอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการให้กับประชากรโลกอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.รชา เทพษร สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า วันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันอาหารโลก (World Food Day) โดยปีนี้ “World Food Day 2024” ภายใต้แนวคิด “สิทธิทางอาหาร เพื่อทุกคนอิ่มดีถ้วนหน้า และอนาคตที่ดีกว่า (Rights to foods for a better life and a better future)” ซึ่งทุกภาคส่วน รัฐบาล เอกชน เกษตรกร ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน ต้องร่วมมือกันสร้างความหลากหลายของอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาเข้าถึงได้ ปลอดภัย และยั่งยืน เพื่อบรรลุความมั่นคงทางอาหารและการมีโภชนาการที่ดีสำหรับทุกคน

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเริ่มได้จากเรื่องใกล้ตัวที่สุด คือ การลดขยะอาหาร ที่เกิดจากฝั่งผู้บริโภคจากการรับประทานอย่างพอเหมาะ เพียงพอ ไม่เหลือทิ้ง ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการคิดในเรื่องนี้ ขณะที่การสูญเสียอาหาร เกิดจากภาคผู้ผลิต ที่สามารถลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ตามแนวทางการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.รชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยควรมีแคมเปญรณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึงการสูญเสียอาหาร เพื่อให้ผู้บริโภคตื่นรู้โดยไม่คิดว่าเราจะมีอาหารให้กินตลอดเวลา เพราะยังมีประชากรโลกอีก 1 ใน 3 ที่ไม่มีอะไรกิน การรณรงค์สร้างจิตสำนึกเรื่องการลดขยะอาหารจึงเป็นการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมโลก สร้างการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยอย่างทั่วถึง

สำหรับภาคเอกชนในห่วงโซ่การผลิตอาหาร ทั้งผู้ผลิตอาหาร ผู้ค้าปลีกอาหาร หรือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ล้วนมีบทบาทสำคัญสำหรับการจำกัดปริมาณขยะอาหาร ตลอดจนการนำนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยมาสนับสนุนประสิทธิภาพการผลิต ลดการเน่าเสีย ยืดอายุการเก็บรักษา ตอบโจทย์การขนส่งในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ทำให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภค ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคทุกคน

“การสูญเสียอาหารและขยะอาหารยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น เพราะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ผลตามมาคือปลูกพืชไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ไม่ได้ โดยยังมีคนที่ทนงตัวว่าของกินเยอะซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมสร้างขยะอาหาร อีกไม่นานก็จะเข้าอยู่สภาวะไม่มีอาหารในบางฤดู จึงต้องคำนึงถึงลูกหลานในอนาคตด้วยว่าพวกเขาต้องมีสภาพสังคมที่ดีและเข้าถึงอาหารได้” ผศ.ดร. รชา กล่าว

นอกจากนี้ นวัตกรรมยังช่วยสร้างแหล่งอาหารใหม่ เช่น การวิจัยทำโปรตีนจากแมลง เพื่อแก้ปัญหาโปรตีนขาดแคลน ตลอดจนมีการใช้เห็ดเป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิตอาหารที่มีโปรตีนมากขึ้น ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีผลิตอาหารให้กับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่มีอาการแพ้อาหาร เช่น กลุ่มที่แพ้กลูเตน เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เข้าถึงอาหารได้ตามที่ร่างกายต้องการ

ในขณะเดียวกัน อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้อาหารอยู่ได้นานขึ้น ผ่านการแปรรูปน้อย ด้วยหลักการเก็บอาหารในอุณหภูมิต่ำทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จุลินทรีย์น้อยลง อาหารจะเก็บรักษาได้นานขึ้น แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หรือสูญเสียน้ำในระหว่างการทำละลาย หากเทคโนโลยีการแช่แข็งดีเหมาะสม ควบคุมกระบวนการผลิตดี สะอาด ปลอดภัย ก็สามารถแก้ไขเรื่องการขาดแคลนอาหารได้ ตอบโจทย์ความมั่นคง

เอไอเอส คว้ารางวัล “The Customer Experience Award” จากเวที FutureNet Asia

0

AIS เดินหน้าขับเคลื่อนเครือข่ายสู่ Cognitive Tech-Co พิสูจน์ความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลจากเวที FutureNet Asia Awards 2024 ในสาขา “The Customer Experience Award” สะท้อนศักยภาพอันโดดเด่นในการประยุกต์ใช้ AI และระบบอัตโนมัติที่ล้ำสมัย ผ่านการผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Huawei ด้วยการนำนวัตกรรมและขีดความสามารถของโครงข่ายในด้าน Autonomous Network เข้ามายกระดับการดูแลลูกค้า ให้ได้รับความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีที่สุด

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “การยกระดับการทำงานของเน็ตเวิร์คสู่ Autonomous Network นับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของเรา เพื่อก้าวสู่การเป็น Cognitive Tech-Co หรือองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ โดยที่ผ่านมาเราได้เดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่าย พร้อมสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าและภาคอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Huawei ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของโครงข่าย และยกระดับบริการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งการตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที รองรับปริมาณการใช้งานของลูกค้าได้อย่างเพียงพอ และตอบสนองทุกความต้องการอย่างแม่นยำ จากการนำเครื่องมือมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลอันนำมาซึ่งความเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า เพื่อออกแบบบริการให้กับลูกค้าได้อย่างตรงใจ จนนำมาสู่การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้”

สำหรับรางวัล FutureNet Asia Awards 2024 จัดขึ้นโดย บริษัท FutureNet World ซึ่งเป็นองค์กร ที่จัดงานประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นในด้านเทคโนโลยีเครือข่ายและระบบอัตโนมัติในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ AI – Artificial Intelligence และ ML – Machine Learning เพื่อยกระดับเครือข่ายโทรคมนาคม โดยรางวัลสาขา The Customer Experience Award จะมอบให้กับองค์กรซึ่งมีผลงานที่แสดงถึงการนำ AI เข้ามาประยุกต์ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมต่อยอดสู่การเป็น Autonomous Network ที่สมบูรณ์แบบได้ในอนาคต

“ขอขอบคุณ FutureNet Asia ที่มอบรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ให้กับเรา รางวัลดังกล่าวไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการยืนยันว่าชาว AIS ทั้งหมดแม้แต่หน่วยงานวิศวกรรมก็มุ่งมั่นที่จะเข้าใจทุกความต้องการของลูกค้า นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพเครือข่ายเพื่อตอบโจทย์ในทุกมิติ อันจะเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่คนไทยทุกคน ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและการบริการที่เหนือกว่า” นายกิตติ กล่าวทิ้งท้าย

CPF ส่งมอบวัตถุดิบคุณภาพ-ปลอดภัย หนุนกรุงเทพมหานครส่งต่อกลุ่มเปราะบาง

0

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน เปิดงาน”วันอาหารโลก World Food Day 2024″ ณ สำนักงานเขตดอนเมือง กทม. ซึ่งปีนี้ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) กำหนดแนวคิด “สิทธิในอาหาร เพื่อชีวิตและอนาคตที่ดีกว่า” ( Right to foods for a better life and a better future.) โดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำโดย นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีเอฟ พร้อมด้วยพนักงานซีพีเอฟ เข้าร่วมกิจกรรม นำวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย สำหรับนำไปประกอบอาหาร ประกอบด้วย หมูปรุงรส ไก่หมัก ไส้กรอก ชิคเก้นบอล (ลูกชิ้นไก่) และไข่ไก่ มอบผ่านผู้ว่าฯกทม. ให้กับโครงการ BKK Food Bank หรือธนาคารอาหารของกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า วันนี้เป็นวันอาหารโลก เชื่อว่าทรัพยากรอาหารมีเพียงพอสำหรับทุกๆคน จะมีคนที่มีอาหารส่วนเกินที่ยังบริโภคได้อยู่และคนที่ขาดแคลน ถ้าสามารถเอาคนที่มีเกินกับคนที่ขาดมาเจอกันได้ เชื่อว่าก็จะมีความพอเพียง และเมืองเราก็จะเป็นเมืองที่น่ารัก น่าอยู่มากขึ้น เพราะเรามีการแบ่งปันกัน และยังเป็นการลดการเกิด Food Waste อย่างวันนี้ ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการทุกบริษัทที่นำวัตถุดิบต่างๆมามอบให้ อาทิ ตลาดสี่มุมเมือง ซีพีเอฟ ฟาร์มเฮ้าส์ มูลนิธิSOS นำมาแบ่งปันกัน นี่คือสิ่งสำคัญและเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกัน กทม. ทำโครงการ BKK Food Bank มาอย่างต่อเนื่อง และเราก็เห็นความร่วมมือของภาคเอกชนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นต้นแบบและเป็นจุดแข็งที่จะทำให้ทั่วโลกมาดูเราเป็นต้นแบบได้

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ วัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งซีพีเอฟนำมาสนับสนุนกิจกรรมของกทม. ได้ถูกส่งมอบต่อให้กับผู้แทนจาก 6 กลุ่มเขต รวม 12 สำนักงานเขต ประกอบด้วย ดอนเมือง จตุจักร ประเวศ บางกะปิ วังทองหลาง ดินแดง สวนหลวง พระโขนง บางพลัด ทวีวัฒนา ภาษีเจริญ และบางขุนเทียน เพื่อนำไปเปิดครัวปรุงอาหารแจกให้กับกลุ่มเปราะบางต่อไป อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มผู้พิการ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และประชาชนผู้มีรายได้น้อย

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร เดินหน้าผลิตอาหารอย่างเพียงพอ โดยตระหนักถึงสิทธิในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติอร่อย ในราคาที่เหมาะสม โดยที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ดำเนินโครงการ “Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก” ร่วมกับพันธมิตร คือ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS สาขาประเทศไทย) มาตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ส่งมอบวัตถุดิบในการนำไปปรุงอาหารรวมกว่า 59,000 กิโลกรัม หรือเทียบเท่ามื้ออาหารกว่า 250,000 มื้อ ที่ส่งมอบให้กลุ่มเปราะบางไปแล้ว .

ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ ได้รับมาตรฐาน Global G.A.P. ระบบความปลอดภัยอาหารสัตว์ สิ่งแวดล้อม สังคมและมีธรรมาภิบาล (ESG) รายแรกของไทย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยโรงงานผลิตอาหารสัตว์บก ปักธงชัย และศรีราชา ได้รับรองมาตรฐาน Global G.A.P. จาก บริษัท Control Union (Thailand) เป็นองค์กรแรกของไทย ตอกย้ำกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการมาตรฐานระดับโลก ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัยอาหารสัตว์ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมี นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก และ นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านบริหารกระบวนการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เป็นผู้รับมอบ

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นในการผลิตอาหารให้มีความปลอดภัยสูงสุด โดยเริ่มจากการผลิตอาหารสัตว์ที่มีความปลอดภัย โดยนำมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมาใช้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ ความปลอดภัย และ ESG จนประสบความสำเร็จในการผลักดันให้ธุรกิจอาหารสัตว์บก โดยโรงงานผลิต 2 แห่ง ทั้งโรงงานปักธงชัยและโรงงานศรีราชา เป็นรายแรกของไทย ที่ได้รับรองมาตรฐาน Global G.A.P. (Global Good Agricultural Practice) กลายเป็นต้นแบบให้กับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ของซีพีเอฟและบริษัทอื่นๆ

“การได้รับรองมาตรฐาน Global G.A.P. นับเป็นความสำเร็จของคณะผู้บริหารและพนักงานของซีพีเอฟทั้งหมด ที่ร่วมมือกันผลิตอาหารสัตว์ให้มีความปลอดภัยในระบบสากล สามารถสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และปฏิบัติอย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนซีพีเอฟสู่ความยั่งยืนและก้าวสู่ตลาดการค้าระดับโลกอย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน เรายังมุ่งแบ่งปันองค์ความรู้และเส้นทางความสำเร็จในหลากหลายช่องทาง เพื่อร่วมยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยของประเทศไทย” นายเรวัติ กล่าว

ทางด้าน Mr. Stephan Moreels, Managing Director บริษัท Control Union (Thailand) แสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งสำคัญของกลุ่มซีพีเอฟ ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน Global G.A.P Compound Feed Manufacturing (CFM) version 3.1 section C (ESG) ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานที่คำนึงถึงพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การทำงานที่เป็นธรรม เคารพสิทธิทางด้านแรงงาน และการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น Control Union ในฐานะเพื่อนที่ร่วมกันผลักดันมาตรฐานนี้ร่วมกันกับซีพีเอฟ จึงตระหนักถึงการทำงานอย่างหนัก และวิสัยทัศน์ที่นำพาบริษัทฯมาสู่ความสำเร็จ ทั้งหมดนี้เกิดจากความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ โดยกำหนดมาตรฐานให้กับบุคลากรทุกคนนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาแม้จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย แต่ก็สามารถเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาส และความทุ่มเทนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอัตลักษณ์และความเป็นผู้นำของซีพีเอฟอย่างแท้จริง

“Global G.A.P. เป็นมาตรฐานความยั่งยืนที่มีมาอย่างยาวนาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซีพีเอฟมีเส้นทางที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง บริษัทฯมีการปฏิบัติที่สอดคล้องในการผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย รวมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างยั่งยืนในทุกๆด้าน ขอยกย่องทีมงานที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จ ความร่วมมือ การสร้างสรรค์นวัตกรรม การมุ่งมั่นสู่เป้าหมายของทุกคน ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ของไทยอย่างแท้จริง” Mr. Stephan กล่าว

มาตรฐาน Global G.A.P มุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่ดีมีความปลอดภัย ตลอดจนการผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ จึงมั่นใจได้ว่าอาหารสัตว์ที่ผลิตออกจากโรงงานซีพีเอฟมีความปลอดภัยและมีคุณภาพสูง ก่อนส่งต่อไปยังฟาร์มเลี้ยงสัตว์และลูกค้า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของอาหารสัตว์และผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ค้าและผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับ ESG สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG มาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ ยังริเริ่มทำระบบมาตรฐานคุณภาพ ISO9001 ในการผลิตอาหารสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2543 และมุ่งยกระดับระบบมาตรฐานอาหารสัตว์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องและได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของภาครัฐและประเทศคู่ค้า ที่จะส่งผลต่ออาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภคในที่สุด.

กำจัดปลาหมอคางดำ อย่ามองข้ามบ่อร้างในที่ส่วนบุคคล

0

บทความโดย นิกร ประกอบดี

หากยังจำได้ว่ามีการพบบ่อบำบัดน้ำเสียในโครงการบำบัดน้ำที่ปากพนังซึ่งถูกทิ้งร้างจนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของปลาหมอคางดำและมีชาวบ้านแห่จับส่งขายรัฐได้เป็นจำนวนมากนั้น น่าจะเป็นเพราะเป็นพื้นที่ของรัฐที่ทิ้งร้าง ชาวบ้านจึงกล้าที่จะเข้าไปจับปลาไปขาย ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำได้ดีและช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขายปลาด้วย ส่วนบ่อร้างในพื้นที่ส่วนบุคคล … คงไม่มีใครกล้าเข้าไปบุกรุก แล้วรัฐจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร  

ชาวบ้านในพื้นที่สมุทรสาคร-สมุทรสงครามเล่าให้ฟังว่า แม้ปลาหมอคางดำตามลำคลองแหล่งน้ำธรรมชาติจะลดลงมากแล้ว ที่เหลืออยู่ก็พวกตัวเล็กตัวน้อย แต่อยากให้รัฐแวะไปดูตามบ่อร้างหรือกระชังที่ทิ้งร้างไว้ มันยังมีปลาหมอคางดำอีกเยอะที่ไม่มีใครกล้าจับ เพราะเป็นที่ที่มีเจ้าของ การเข้าไปจับในบ่อร้างเหล่านั้น อาจถูกมองว่าเป็นการบุกรุก ลักทรัพย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผิดกฎหมาย และเจ้าของที่สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปกำจัดปลาเหล่านั้น ทั้งๆ ที่มันเป็นสัตว์รุกรานที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่าต้องช่วยกันทำลาย นับเป็นข้อจำกัดของการกำจัดปลาหมอคางดำที่อาจจะมองได้หลายมุม

มุมที่ 1 : บ่อร้างอาจเป็นบ่อร้างจริงๆ ที่เจ้าของบ่อละเลย ไม่มาดูแล ขณะที่ชาวประมง – ชาวบ้านเห็นปลาหมอคางดำจำนวนมากแล้วอยากจะจับไปส่งขายเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถรุกเข้าไปพื้นที่ดังกล่าวได้ ทำให้ปริมาณปลายังคงค้างอยู่ในบ่อร้าง ไม่ได้ถูกกำจัด และสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ง่ายต่อการแพร่ระบาดอีก ตรงนี้รัฐจำเป็นต้องออกกฎหมายเฉพาะ เพื่อให้การกำจัดปลาหมอคางดำสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างถึงที่สุด 

มุมที่ 2 : บ่อไม่ได้ร้างจริง โดยเจ้าของพยายามกางปีกป้องไว้ไม่ให้ใครเข้าถึง แต่ในบ่อนั้นเต็มไปด้วยปลาหมอคางดำที่ปล่อยทิ้งไว้ให้มันโต เพื่อให้ได้ราคามากขึ้นเวลาจับไปขายให้รัฐ เข้าข่ายเลี้ยงเพื่อวนขาย อันนี้ผิดกฎหมายชัดเจน แต่ไม่รู้เจ้าหน้าที่ทำอะไรกับกลุ่มนี้ได้กี่มากน้อย ทั้งที่จริงๆแล้วเชื่อว่ารัฐสามารถดำเนินการขั้นเด็ดขาดได้เลย จากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ว่าด้วยเรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ.2564 โดยห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 144 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มุมที่ 3 :  เคยไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง ปลาในบ่อมีแต่ปลาหมอคางดำ เจ้าของร้านก็นั่งโปรยอาหารเม็ดให้มัน ทั้งยังมีอาหารเม็ดขายให้ลูกค้าเลี้ยงปลาด้วย … แบบนี้ไม่รู้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้าถึงได้แค่ไหนหรือมองข้ามไป ทั้งที่สามารถเอาผิดได้ทันที  

มุมที่ 4 : ไม่ใช่บ่อร้าง แต่เป็นบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ (กุ้งหรือปลา) ที่ใช้วิธีถ่ายเทน้ำเข้า-ออก ระหว่างบ่อกับลำคลอง หรือ แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นกิจวัตร ตรงนี้เป็นจุดบอดสำคัญ ที่แม้รัฐจะกำจัดปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติไปได้มากแล้ว หากยังมีการถ่ายน้ำที่มีปลาหมอคางดำค้างอยู่ในบ่อเหล่านั้นออกสู่ลำคลอง ก็เหมือนเป็นการเติมปลาเข้าสู่แหล่งน้ำธรรมชาติไม่รู้จบ ข้อนี้ไม่ผิดกฎหมาย แต่จำเป็นต้องให้ความรู้เกษตรกร เช่นการแนะนำให้ปรับรูปแบบการเลี้ยงปลาตามลำคลองในจังหวัดที่มีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ โดยให้ใช้วิธีเลี้ยงกุ้ง-เลี้ยงปลาในระบบปิด ยุติการถ่ายน้ำเข้าออก หรืออย่างน้อยต้องมีวิธีกำจัดปลาแปลกปลอมอย่างเข้มงวด เช่น การใช้กากชาจนมั่นใจว่า ไม่เหลือปลาหมอคางดำในบ่อแล้ว จึงค่อยเริ่มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

ไม่ว่าจะเป็นมุมไหน ข้อจำกัดเหล่านี้น่าจะถูกนำเข้าที่ประชุมของผู้หลักผู้ใหญ่ที่จะสามารถตัดสินใจได้ว่า ต้องแก้กฏหมายอย่างไรให้รัฐจับปลาได้โดยที่เจ้าของบ่อร้างนั้นต้องยอมจำนน หรือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เอาผิดคนที่เลี้ยงปลาหมอคางดำได้ ไม่ว่าจะเพื่อวนไปขายให้รัฐ หรือเพื่อให้แขกในร้านได้เพลิดเพลิน เพราะจุดประสงค์สูงสุดคือการทำลายปลาชนิดนี้ให้มากที่สุด จำกัดประชากรปลาให้ลดลงเหลือน้อยที่สุด ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้ใครหาประโยชน์ในขณะที่หลายฝ่ายกำลังช่วยกันกำจัดมันอย่างจริงจัง.

AIS จับมือ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เสริมทัพสุดยอดความบันเทิงบนแอปฯ oneD ทั้งชมสดและย้อนหลังแบบไม่มีโฆษณาคั่นแค่ 59 บาท/เดือน

0

AIS ในฐานะผู้ให้บริการ Streaming Service ชั้นนำของไทย เดินหน้าเชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลกับลูกค้าและคนไทยผ่านการส่งมอบการรับชมคอนเทนต์ชั้นนำของไทยและระดับโลกที่มีความหลากหลายบนโครงข่ายที่ดีที่สุด ล่าสุดผนึกกำลังความร่วมมือกับ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) กับบริการด้านแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง “oneD”
แอปพลิเคชันที่รวบรวมคอนเทนต์คุณภาพหลากหลายทั้ง ละคร, ซีรีย์, ซิทคอม, คอนเสิร์ต, ละครเวที ฯลฯ  มาเสิร์ฟให้ ขนกองทัพคอนเทนต์คุณภาพแบบจัดเต็มจาก one31, oneD ORIGINAL, GMMTV, CHANGE2561, GMM GRAMMY และ GMM MUSIC มาให้ลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน AIS Fibre3 ได้รับความพิเศษและคุ้มค่ามากสุดกับแพ็กเกจ oneD PREMIUM ในราคาเพียง 59 บาทต่อเดือน จากปกติ 99 บาท เพียงกด *559# แล้วโทรออก หรือจ่ายเหมาแบบรายปีเพียง 499 บาทต่อปี จากปกติ 999 บาท เพียงกด *559*1# แล้วโทรออก

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวว่า “การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการด้านวิดีโอสตรีมมิ่งชั้นนำทั้งในระดับประเทศ เอเชีย และระดับโลก ทำให้วันนี้ AIS เป็น OTT HUB หรือศูนย์กลางการรับชมความบันเทิงที่ครบถ้วนด้วยราคาที่คุ้มค่ามากสุดสำหรับลูกค้า และแน่นอนว่าการทำงานร่วมกับ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์  ผู้นำด้านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ครบวงจรชั้นนำของไทย ในฐานะ Exclusive Partner กับการนำประสบการณ์ความบันเทิงจากแอปพลิเคชัน oneD มาให้ลูกค้าได้รับชม จะเป็นการเติมเต็มความหลากหลายของคอนเทนต์ที่อัดแน่นไปด้วย ละคร ซีรีย์ ซิทคอม วาไรตี้ MV คอนเสิร์ต ละครเวที คาราโอเกะ หรือแม้แต่การถ่ายทอดสดกีฬา มาให้ลูกค้า AIS เท่านั้นที่จะได้สัมผัสกับการรับชมสุดยอดคอนเทนต์คุณภาพในราคาสุดพิเศษ”

นายอภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แอปพลิเคชัน oneD ในฐานะผู้นำ TOP 3 ด้านการให้บริการแอปพลิเคชันวิดีโอสตรีมมิ่งของประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะนำเสนอคอนเทนต์หลากหลาย โดยเฉพาะซีรีย์ไทยระดับพรีเมียมอย่าง oneD ORIGINAL ทั้ง 5 เรื่อง เพื่อส่งมอบความบันเทิงให้กับผู้ใช้งานตลอดทั้งปี ความร่วมมือกับ AIS ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกกับการนำเสนอคอนเทนต์คุณภาพผ่านการรับชมที่ oneD พร้อมแพ็กเกจ oneD PREMIUM ราคาสุดพิเศษให้กับผู้ใช้งานทั้งประเทศ มอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์แบบจุใจ ไม่มีโฆษณาคั่นให้เสียอรรถรส พร้อมความสะดวกสบายที่สามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งจอเล็ก และจอใหญ่ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันที่สุด”

ร่วมต้อนรับสุดยอดคอนเทนต์ความบันเทิงบน oneD กับแพ็กเกจ oneD PREMIUM ด้วยซีรีย์สุดยิ่งใหญ่ “แม่หยัว (The Empress of Ayodhaya)” จาก oneD ORIGINAL นำแสดงโดย ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ ในบทท้าวศรีสุดาจันทร์, ฟิล์ม
ธนภัทร กาวิละ ในบทขุนวรวงศาธิราช, ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล ในบทสมเด็จพระไชยราชาธิราช ที่สามารถรับชมแบบ UNCUT เต็มอิ่มทุกอารมณ์แบบไม่มีโฆษณาคั่น ความคมชัดระดับ Full HD อีกทั้งยังรับชมพร้อมกันได้ถึง 2 อุปกรณ์ บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน oneD พร้อมจัดเต็มส่งท้ายปี 2567 กับ 2 ผลงานซีรีย์ oneD ORIGINAL อีก 2 เรื่อง “ทิชา” และ “การุณยฆาต” ที่จ่อคิวออนแอร์ในปีนี้

พิเศษสุด สำหรับลูกค้า AIS ทั้งมือถือ และเน็ตบ้าน AIS Fibre3 สามารถสมัครแพ็กเกจ oneD PREMIUM ในราคาพิเศษ เพียง 59 บาทต่อเดือน จากปกติ 99 บาท กด *559# แล้วโทรออก และแบบรายปีในราคาเพียง 499 บาทต่อปี จากปกติ 999 บาท กด *559*1# แล้วโทรออก หรือแอป myAIS และเว็บไซต์ www.ais.th/oned

“ยันต์หน่องวัดทอง “

0

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย

แรกเริ่มเซียนเจี๊ยบชอบปิดตายันยุ่งวัดหนัง เจอผู้ใหญ่ท่านนึงบอกเล่นยากนะคุณเจี๊ยบหาแท้ยากมาก ขนาดผมยังไม่กล้าเล่นเลย ได้แค่ข้าวตอกแตกวัดหนัง เจอพระอาจารย์เล่นปิดตาหลวงพ่อทับวัดทอง ศิลปเส้นสายยันต์สวยงาม ถ้าแท้เส้นยันต์เป็นระเบียบ แน่นหัวกลมขมวด เส้นลวดลาย (ยันต์) ทั่วองค์เล็กเรียว ทุกเส้นกลม เรียวเล็กสม่ำเสมอกันหมด เส้นไม่ขาด ช่องไฟหรือช่องระหว่างเส้น ต้องเป็นร่องลึก ทุกส่วนเป็นร่องลึก ทำให้เห็นยันต์เด่นชัดสวยงาม พระอาจารย์สอน

ของปลอม ดูง่ายจากเนื้อประสมออกสีคล้ายทองแดง สัมผัสมือแล้วไม่กลับดำ แดงค่อนข้างสดแกมทองเหลือง ลวดลายไม่ห่างไป ก็ถี่ไป เส้นขาดบ้าง เส้นค่อนข้างใหญ่กว่าของจริง เส้นแบนมากกว่ากลม ฉันเคยโดนคัดเตอร์บาดตอนตัดกระดาษแล้วเลยไป โดนนิ้วมือนึกว่ายังงัยก็เลือดแน่ แต่ไม่ได้กินเนื้อ มีดทื่อดิพระอาจารย์ หยอกหยอก แกบอกเพิ่งเปลี่ยนใบมีดใหม่ เลยต้องยอมรับปฏิหาริย์มีจริง เริ่มนับ1 จากพระอาจารย์หันมาแสวงหาปิดตาวัดทอง แต่ก็ไม่ได้แท้ซักองค์ มีแต่ใก้ลเคียง วันนี้โชคดีมีเพื่อนส่งมาให้ลงชมกัน

มาดูวัดทองยันต์หน่องวันนี้ ยันต์เป็นระเบียบแน่น ต่อกันไม่ขาดเหมือนเส้นขนมจีน มีขี้เบ้าสีน้ำตาลอมดำตามซอกพระ ผิวพระกลับดำแม้ถูกใช้มาเยอะ ความเก่าของเนื้อพระเป็นธรรมชาติ องค์นี้เจ้าของเก็บไว้ดีไม่ล้าง “ทำให้เห็นธรรมชาติความเก่าที่มองด้วยตาเปล่า ก็สัมผัสได้”แบบนี้ไม่ต้องใช้แว่นส่อง เห็นไกลๆก็แท้แล้ว แม้ไม่เคยเห็นมาแค่มองด้วยตารู้ที่ใจ “นี้แหละพระปิดตาวัดทองยันต์หน่อง”

เจอพระแท้ง่ายเป็นธรรมชาติอย่าล้างนะเก็บความเก่าไว้ดู เชื่อเซียนเจี๊ยบนะจ๊ะ

เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

ประมงกรุงเทพกำจัดปลาหมอคางดำในเขตบางขุนเทียนได้ผล จับมือซีพีเอฟปล่อยปลาผู้ล่า ตัดวงจรต่อเนื่อง

0

สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร เผยมาตรการจัดการปลาหมอคางดำที่ดำเนินการมาตั้งแต้นปีได้ผล ปลาหมอคางดำในพื้นที่ถูกจับออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้มาก 421 ตัน ปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ในแหล่งน้ำหายไป และยังเดินหน้าบูรณาการกับภาคีเครือข่ายจัดการปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น ควบคู่กับการสร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและชุมชนฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำ

ในวันนี้ (11 ตุลาคม 2567) ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานครจัดกิจกรรมปล่อยผู้ล่าลงแหล่งน้ำธรรมชาติร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่ และผู้แทนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)​ หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกันปล่อยปลากะพงขาวในแหล่งน้ำ 10,000 ตัว โดยแบ่งปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ 2 จุด คือ จุดแรก ปล่อย 5,000 ตัว ณ ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล คลองเกาะโพธิ์ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน และจะปล่อยอีก 5,000 ตัวที่วัดบางกระดี่ บริเวณคลองสนามชัย ในแขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน เพื่อช่วยควบคุมและตัดวงจรการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำในพื้นที่

นายพรพนม พรหมแก้ว ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรมประมงและกรุงเทพมหานครได้ดำเนินมาตรการจัดการหมอคางดำในพื้นที่ บูรณาการจัดกิจกรรมปลากับภาคีเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ภาคเอกชน ชุมชน และเกษตรกรช่วยกันจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และกับบ่อเลี้ยงเพาะสัตว์น้ำของเกษตรกร โดยเน้นในพื้นที่เขตบางขุนเทียน จนถึงวันนี้ การจัดกิจกรรมจับปลาในเขตบางขุนเทียนสามารถกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้ว 421 ตัน หลังจากนี้ กรมประมงยังมุ่งจัดการปัญหาอย่างเข้มข้น พร้อมกับติดตามสำรวจปริมาณปลาในแหล่งน้ำเพื่อหาแนวทางการจัดการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นสร้างการรับรู้และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมการนำมาใช้ประโยชน์ และบูรณาการกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนช่วยกันจัดการปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบและครบวงจรมากขึ้น

“ปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตบางขุนเทียนลดลง หลังจากมีการบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่กำจัดอย่างจริงจัง ว้นนี้ ขอขอบคุณซีพีเอฟที่ให้การสนับสนุนปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้ว ต่อจากนี้เขตบางขุนเทียนยังต้องช่วยกันกำจัดปลาออกจากแหล่งน้ำอย่างเข้มข้นอีก เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถควบคุมปลาหมอคางดำได้” นายพรพนมกล่าว

สถานการณ์ปลาหมอคางดำในพื้นที่กรุงเทพมหานครพบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำมากอยู่ในเขตบางขุนเทียนเพราะมีลำคลองเชื่อมต่อกับสมุทรสาคร และเป็นแหล่งที่มีการเพาะเลี้ยงกุ้งและปลาแบบกึ่งธรรมชาติคลอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ กรมประมงได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน อย่างซีพีเอฟช่วยรับซื้อปลาที่จับได้ทำปลาป่น สนับสนุนปลาผู้ล่า ร่วมกับสำนักงานพัฒนาที่ดินทำน้ำหมักชีวภาพ และกรุงเทพมหานครที่จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคปลาหมอคางดำช่วยสร้างการรับรู้และช่วยกันกำจัดให้ปลาหมอคางดำลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

หลังจากนี้ประมงกรุงเทพมหานครยังเดินหน้ามาตรการจัดการปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น ประเมินมาตรการที่ทำอยู่และหาแนวทางที่เหมาะกับพื้นที่ รวมทั้งหาวิธีใช้ประโยชน์ เช่น การพัฒนาเมนูอาหาร การหมักปลาร้า น้ำหมักชีวภาพ ขณะเดียวกัน ประมงกรุงเทพมหานครกำลังเตรียมหาวิธีการที่จะจัดการปลาหมอคางดำที่อยู่ในพื้นที่หรือบ่อรกร้างตามแนวทางของกรมประมง รวมทั้งขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายในการดูแลคุณภาพน้ำของลำคลองซึ่งจะช่วยให้ปลาพื้นถิ่นกลับมาอาศัยในแหล่งน้ำธรรมชาติเพิ่มขึ้น เป็นการสร้างความสมดุลในระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

นายพานทอง ชิวค้า ผู้นำเกษตรกรเลี้ยงปลาและกุ้งในแสมดำ กล่าวว่า การปล่อยปลาผู้ล่าในวันนี้และมาตรการจัดการปลาหมอคางดำของกรมประมงมีส่วนช่วยเกษตรกร เพราะปลาหมอคางดำแพร่พันธุ์ได้เร็วมากจึงต้องเร่งช่วยกันกำจัด ในกลุ่มเกษตรกรเองมีการรณรงค์จับปลาหมอคางดำออกจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งตอนนี้ราคารับซื้อในตอนนี้ระดับกิโลกรัมละ 15 บาทจูงใจเกษตกรให้ช่วยกันจับ จึงต้องการให้รัฐบาลช่วยขยายเวลาเรื่องราคารับซื้อออกไปอีก

ด้าน นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานรัฐกิจและเอกชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลามากกว่า 2 เดือนที่บริษัทได้สนับสนุนและร่วมมือกับกรมประมง สำนักงานพัฒนาที่ดิน กรมราชทัณฑ์ สถาบันการศึกษา ชุมชน และเกษตรกรดำเนิน 5 โครงการจัดการปลาหมอคางดำ โดยเน้นการกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำผ่านการรับซื้อทำปลาป่นใกล้ถึงเป้าหมาย 2 ล้านตัน สนับสนุนกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” แล้ว 53 ครั้งสามารถจับปลาหมอคางดำได้ 30,000 กิโลกรัม และสนับสนุนปลาผู้ล่ารวมแล้ว 100,000 ตัว พร้อมร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์และสถาบันการศึกษาเพิ่มมูลค่าผลิตเป็นน้ำปลา และเมนูอาหารต่างๆ ส่งเสริมการบริโภคเพื่อกำจัดปลาชนิดนี้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เทคนิคเลือก Thai ESG

0

บทความ “รู้เก็บรู้ออมฯ” โดยคุณนายพารวย

เผลอแป๊บเดียว อีกไม่กี่เดือนจะหมดปีแล้ว แต่ตอนนี้บ้านเราต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ “คุณนายพารวย” ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องทุกคนที่กำลังเดือดร้อนให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ และฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว

ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศที่รุนแรงขึ้น เป็นผลจากปัญหาสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้โลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติต่างๆ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วมฉับพลัน ฝนตกหนัก และภัยแล้งที่ยาวนานขึ้น

พวกเราในฐานะผู้อาศัยอยู่บนผืนโลกใบนี้ ก็ต้องมีส่วนร่วมในการปกปักรักษาโลก ให้ดำรงอยู่ต่อไป ด้วยการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับด้านการลงทุนแล้ว เราสามารถมีส่วนร่วมผ่านรูปแบบการลงทุนแบบยั่งยืนกับหุ้นของกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม หรือรู้จักกันดีในชื่อหุ้นยั่งยืน

เดี๋ยวนี้ เรามี “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” หรือ Thai ESG Fund ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ในกลุ่ม ESG ซึ่งเป็นกิจการที่ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ควบคู่กับการมีผลการดำเนินงานที่ดี

Thai ESG Fund มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการออมเงินระยะยาว ล่าสุดรัฐได้ปรับ เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจให้มีการออมผ่าน Thai ESG Fund มากขึ้น โดยให้นำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินสูงสุด 3 แสนบาท/ คน/ปี และต้องถือครอง 5 ปี นับแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน!!

สำหรับเทคนิคการเลือกลงทุนของกองทุน แบ่งเป็น 4 มิติ คือ 1.ขอบเขตหุ้นที่ลงทุน จะเป็นหุ้นที่ติดอันดับ ESG Rating ของตลาดหลักทรัพย์ฯ 2.อัตราส่วนการกระจุกตัว ของหุ้น ควรวางน้ำหนักหุ้น 5 ตัวแรกในพอร์ตไม่เกิน 40% 3.มาตรวัดผลตอบแทนกองทุน ที่มีค่า Sharpe Ratio และ Information Ratio ยิ่งสูงจะยิ่งดี แปลว่าผู้จัดการกองทุน บริหารได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์ 4.ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจริง ไม่ควรเกิน 2%

และยังมีวิธีง่ายๆในการค้นหากองทุน Thai ESG Fund โดยเข้าไปที่เว็บ Settrade แล้วไปที่แถบเมนู “กองทุนรวม” เลือกเมนู “คัดกรองกองทุน” จากนั้นให้ติ๊กที่คำว่า “THAI ESG” แล้วกดค้นหา เพียงเท่านี้รายชื่อกองทุน Thai ESG ทั้งหมด จะแสดงขึ้นมาแบบครบถ้วน ทั้งภาพรวม ผลดำเนินงาน และค่าธรรมเนียม

เพียงเท่านี้ก็สามารถค้นหาและเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESG Fund นอกจากมีส่วนช่วยรักษาดูแลโลกแล้ว ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีอีกด้วย!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ปล่อยแคมเปญ “อุ่นใจ ไปรฯ ทั่วไทย ตามล่าหา E-Waste” ดึงพลังกรีนพาร์ทเนอร์ สร้างความตระหนักรู้ สู่ภารกิจ Decarbonization

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล หรือ International E-Waste Day 14 ตุลาคมปีนี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะองค์กรไทยรายแรกที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก WEEE Forum (Waste Electrical and Electronic Equipment) องค์กรนานาชาติที่รวบรวมข้อมูลด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีสมาชิกจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลกขอเป็นแกนกลางเดินหน้าดึงศักยภาพกรีนพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชนไทยรวมกว่า 220 องค์กร ร่วมยกระดับการทำงานของ HUB OF E-WASTE หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ จากการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีผ่านการสร้างความตระหนักรู้ สู่ภารกิจ Decarbonization ที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบปราศจากการฝังกลบหรือ Zero E-Waste to Landfill พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “อุ่นใจ ไปรฯ ทั่วไทย ตามล่าหา E-Waste” สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญกับ “อุ่นใจ” และ “พี่ไปรฯ” ที่จะเดินทางไปเชิญชวนพันธมิตรทั้ง 220 องค์กรทั่วไทย มาร่วมตามล่าหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ในบ้านแล้วนำมาฝากทิ้งกับ AIS และพาร์ทเนอร์กว่า 2,700 จุดทั่วประเทศ

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “เราขอใช้วาระวัน International E-Waste ในปีนี้ ยกระดับความเข้มข้นในการทำงาน ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงรับมือกับวิกฤติโลกเดือดที่กำลังสร้างผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม โดยดึงพลังของ Green Partnership และศักยภาพของดิจิทัล มาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการใช้พลังจากการสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาและการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีสู่การทำงานในเชิงนโยบายและลงมือปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม ที่จะมีส่วนสำคัญต่อภารกิจ Decarbonization  หรือ การมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของแต่ละองค์กร และประเทศ จากการเก็บ E-Waste เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้มหาศาล”

จากรายงาน Global E-waste Monitor (GEM) ประจำปี 2024 โดย UN ระบุว่าในปัจจุบันมีขยะอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นทั่วโลกกว่า  62,000 ล้านกิโลกรัม โดยมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพจำลองการใช้รถบรรทุกจำนวน 1.55 ล้านคัน บรรทุกขยะอิเล็กทรอนิกส์เรียงรายอยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรของโลก อีกทั้งยังคาดว่าปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นเป็น 82,000 ล้านกิโลกรัมภายในปี 2030 ซึ่งหากขยะเหล่านี้ตกค้างและไม่ได้เข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิลที่ถูกต้อง ก็จะนำมาซึ่งอันตรายจากสารพิษและปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่จะสร้างผลกระทบมหาศาลโดยตรงกับโลกและตัวเราเช่นกัน

“กว่า 5 ปีที่ผ่านมา ของความมุ่งมั่นรณรงค์ในเรื่องนี้ โดย AIS ได้ประกาศความพร้อมสู่การเป็น HUB OF E-WASTE หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของไทยในทุกด้าน  ทั้งการเป็นศูนย์กลางความรู้ที่รวบรวมข้อมูลด้านการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์, ศูนย์กลางเครือข่าย Green Community สร้างชุมชนให้เกิดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วม, ศูนย์กลางความร่วมมือในการขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ร่วมกันมากกว่า 2,700 จุดทั่วประเทศ, ศูนย์กลางระบบจัดการ E-Waste ที่ทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย ในการรับขยะ E-Waste รวมถึงการติดตามสถานะขยะ E-Waste ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ผ่านแอป E-Waste+ ที่สามารถตรวจสอบและติดตามได้ว่าขยะ E-Waste ทุกชิ้นจะถูกนำส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน และศูนย์กลางการจัดการและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเป้าหมายหลักที่การบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยปราศจากการฝังกลบ หรือ Zero E-Waste to Landfill เหล่านี้ถือเป็นนโยบายสำคัญยิ่งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม  โดยใช้ศักยภาพของดิจิทัล และพลังของ Green Partnership ที่แข็งแกร่งทุกภาคส่วน อันจะเป็นการร่วมขับเคลื่อนการแก้ปัญหา E-Waste ให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด”

นอกเหนือจากเป้าหมายในการแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นส่วนสำคัญกับภารกิจ Decarbonization แล้ว ในปีนี้ WEEE Forum (Waste Electrical and Electronic Equipment) องค์กรนานาชาติที่รวบรวมข้อมูลด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีสมาชิกจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก ยังได้กำหนดแนวคิดในวาระของวันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล 14 ตุลาคม 2567 ว่า “Join the e-waste hunt – retrieve, recycle, and revive ร่วมค้นหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ – ดึงกลับมา รีไซเคิล และฟื้นคืนชีพ” ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ HUB OF E-WASTE จึงเป็นที่มาของ แคมเปญ “อุ่นใจ ไปรฯ ทั่วไทย ตามล่าหา E-Waste” ที่เชิญชวนพาร์ทเนอร์ทั้ง​ 220 องค์กร ให้เข้ามามีส่วนร่วมค้นหาขยะอิเล็กทรอนิคส์ รวมถึงส่งต่อแนวคิด รณรงค์ การค้นหาขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อฝากให้ “อุ่นใจและพี่ไปรฯ” นำไปจัดการอย่างถูกวิธี และนัดรวมพลังประชาสัมพันธ์ผ่านทาง Social Media ของแต่ละองค์กรที่คาดว่าจะสามารถสร้างการตระหนักและการรับรู้ถึงภัยของ E-Waste เข้าถึงกลุ่มผู้ติดตามมากกว่า 6 ล้านคนในวันดังกล่าว

“AIS ขอเป็นแกนกลางด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเราขอเชิญชวนให้ทุกองค์กรทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับ HUB OF E-WASTE และ Green Network ร่วมกันส่งต่อพลังการต่อสู้กับปัญหาครั้งนี้ไปยังเพื่อน ครอบครัว และคนใกล้ตัวทุกคน เพื่อโลกของเรา” นางสายชล กล่าวทิ้งท้าย