Home Blog Page 60

ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเวที Feed Sustainovation 2024 เสริมพลังบุคลากรสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วย AI และนวัตกรรม

0

ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกกำลังบุคลากรขับเคลื่อนแนวคิด Sustainovation ผลักดันสู่เป้าหมายเกษตรเทคโนโลยี (Agri Tech) นำ AI และนวัตกรรม ปรับใช้ในทุกกระบวนการผลิต หนุน ‘นวัตกร’ สร้างสรรค์ผลงานที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กรและสังคม ผ่านเวที Feed Sustainovation 2024 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นส่งเสริมให้บุคลากรทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งอาหารสัตว์ (Feed) เลี้ยงสัตว์ (Farm) และอาหาร (Food) พัฒนาสู่การเป็น ‘นวัตกร’ ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร บริษัทจึงจัดงานสัปดาห์นวัตกรรม Feed Sustainovation 2024 สอดรับแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ของซีพีเอฟ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เครือเจริญโภคภัณฑ์ และค่านิยมองค์กร CPF WAY สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคม ตนเอง และองค์กรอย่างยั่งยืน

ปีนี้มีผลงานนวัตกรรมที่เข้าร่วมจัดแสดงรวม 83 ผลงาน โดยผลงานที่ได้รับรางวัล Feed Innovation Awards ชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “Anti Blockage for Pellet Mill” เครื่องอัดเม็ดที่ไม่อุดตันและทำงานเต็มประสิทธิภาพ รองชนะเลิศอันดับ 1 คือ “Smart Boiler Model 3” หม้อผลิตไอน้ำที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานด้วย AI และรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ “พลิกโฉมธุรกิจเป็ดไข่ สร้างเส้นทางตลาดใหม่ไข่เป็ด” ที่สร้างโมเดลการขายรูปแบบใหม่ เพิ่มโอกาสและกำไร และมีรางวัลชมเชยอีก 7 ผลงาน

“การคิดสิ่งใหม่และทำเรื่องใหม่เพื่อให้ธุรกิจเติบโตควบคู่ไปกับสังคมอย่างยั่งยืน เป็นนโยบายที่เรายึดมั่นมาตลอด โดยมีบุคลากรเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน เราจึงส่งเสริมและสร้างบรรยากาศให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ผ่านงานสัปดาห์นวัตกรรม ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 16 ทำให้บุคลากรได้นำเสนอผลงานนวัตกรรมที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กร เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ” นายเรวัติ กล่าว.

ประมงจ.ตราดปล่อยปลานักล่า ตั้งด่านสกัดปลาหมอคางดำรุกพื้นที่ ยันไม่พบการระบาด

0

จังหวัดตราดดำเนินมาตรการป้องกันปลาหมอคางดำรุกพื้นที่ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนติดตามสำรวจในทุกแหล่งน้ำสม่ำเสมอ ล่าสุด นายกุณสมบัติ ศิริสมบัติ ประมงจังหวัดตราด และ
นายจำนงค์ศักดิ์ ทิพย์เนตร ปลัดอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด ข้าราชการ และจิตอาสาร่วมปล่อยลูกปลากะพงขาว 3,000 ตัว ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ลงสู่แม่น้ำเวฬุ บริเวณใต้สะพานถ้าจอด ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด

นายกุณสมบัติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดตราดยังไม่พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ แม้จะมีพื้นที่ติดกับจังหวัดจันทบุรี โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ร่วมกับชาวประมงในท้องถิ่นติดตามเฝ้าระวังและสำรวจแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ จากการทอดแหในแหล่งน้ำต่างๆ ยังไม่พบปลาหมอคางดำ

“การปล่อยปลากะพงขาวเป็นมาตรการเชิงป้องกันตามแนวทางของกรมประมง เนื่องจากปลากะพงเป็นปลานักล่าสามารถช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ โดยการช่วยกินตัวอ่อนของปลาหมอคางดำเป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาดได้หากพบมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในแหล่งน้ำของตราด นอกจากนี้ ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านสามารถจับไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ ซึ่งจังหวัดตราดเน้นป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบบนิเวศ” นายกุณสมบัติกล่าว

สำนักงานประมงจังหวัดได้รับการจัดสรรงบประมาณในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนมีส่วนร่วมช่วยกันเฝ้าระวังปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง และมีแผนสำรวจเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอำเภอต่างๆ โดยใช้วิธีการทอดแห ตามแนวทาง “เจอ แจ้ง จับ”
จนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ และชาวประมงที่จับปลาทุกวันยังยืนยันว่ายังไม่พบปลาหมอคางดำในตราดแต่อย่างใด

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่โครงการ “ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้สู่ประชาชน” เฟสที่ 2 จากสำนักงาน ก.ล.ต.

0

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่ จาก สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศผลรางวัลในโครงการ “ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้สู่ประชาชน” เฟสที่ 2 ซึ่งเป็นเวทีที่มอบรางวัลให้แก่บริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนแก่สังคมไทย  มุ่งเน้นการนำเสนอด้วยแนวทางการนำเสนอที่โดดเด่นและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “บริษัทมีความมุ่งมั่นเสมอในการสร้างหลักประกันชีวิตและสุขภาพที่มั่นคงให้กับคนไทย และตระหนักถึงการให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ที่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทได้ส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิต ทั้งภายในองค์กรและสู่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ    โดยแนวทางการส่งเสริมความรู้ของเมืองไทยประกันชีวิตที่ผ่านมานั้นยึดมั่นในพันธกิจการเสริมสร้างรากฐานการเงินที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทย โดยดำเนินงานใน 2 มิติหลัก ดังนี้

  1. การพัฒนาพนักงาน: เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการบริหารการเงินส่วนบุคคลของพนักงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในอนาคต
  2. การให้ความรู้แก่ประชาชน: เมืองไทยประกันชีวิตใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจได้ง่าย พร้อมจัดกิจกรรม Workshop ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถลงมือวางแผนการเงินของตนเองได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ในโอกาสที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ได้จัดโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2” ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะด้านการเงินการลงทุน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน ในเฟส 2 ประจำปี 2567    โดยในปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิต สามารถผ่านเกณฑ์การพิจารณา จาก ก.ล.ต.    ได้รับรางวัลเกียรติทั้ง 3 ประเภท  ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นองค์กรที่สร้างคุณค่าในการเป็น “ผู้ให้ความรู้” ด้านการเงินการลงทุนที่นอกเหนือจากการเสนอขายผลิตภัณฑ์ อันเป็นคุณประโยชน์แก่สังคมและประชาช   ได้แก่

  1. รางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award): ESG: RakLearn Social Media by MTL
    โดยโครงการ “RakLearn” มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน และการประกันชีวิต ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok และ Facebook โดยนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอสั้นและอินโฟกราฟิกส์ สื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย  ช่วยให้การวางแผนการเงินกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ทุกคน
  2. รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award): ESG: Financial Literacy “WORKSHOP”
    โครงการ “Financial Literacy Workshop” ปี 2567 ที่บริษัมุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดกิจกรรม Workshop ที่ช่วยพัฒนาทักษะการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดทำงบประมาณ การออม การลงทุน ไปจนถึงการประกันชีวิตและการจัดการความเสี่ยง โดย 95% ของผู้เข้าร่วมสามารถจัดทำแผนการเงินส่วนบุคคลได้สำเร็จ ทั้งนี้ภายหลังการอบรมบริษัทได้มีการติดตามผลเพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงทางการเงินของผู้เข้าร่วม
  3. รางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (Creativity Award): MTL Retirement Check – ระบบคำนวณเงินทุนเพื่อการเกษียณ

“MTL Retirement Check” ซึ่งเครื่องมือการคำนวณและวางแผนการเงินสำหรับการเกษียณอายุเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ทางด้านการเงินสำหรับการวางแผนอนาคตที่ยั่งยืนให้พนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต และบุคคลทั่วไป สามารถวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุได้อย่างง่ายดาย บริษัทยังได้วางแผนส่งมอบเครื่องมือนี้ให้ตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลของ RakLearn เพื่อให้คนไทยสามารถคำนวณและวางแผนการเงินของตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา

ในโอกาสนี้ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล  ท่านเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  ให้เกียรติมอบรางวัลอันทรงเกียรติทั้ง 3 ประเภท แก่บริษัทฯ โดยมอบรางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award)  ให้แก่ นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award) ให้แก่ ดร.สุธี  โมกขะเวส  กรรมการผู้จัดการ  และรางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (Creativity Award)  ให้แก่  นางสาวอุมาพันธุ์  เจริญยิ่ง  รองกรรมการผู้จัดการ   

“เราตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า เราจะช่วยสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทย ภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัท (ESG Strategy) เพื่อให้คนไทยมีความสุขและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในทุกช่วงของชีวิต ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จของเรา และขอให้คำมั่นว่า เมืองไทยประกันชีวิต จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้น” นายสาระกล่าวสรุป

ชุมชน-เกษตรกร ร่วมชี้เป้าปลาหมอคางดำ รู้เร็ว คุมได้ไม่ขยายวง

0

บทความ โดย ชาญศึก ผดุงความดี นักวิชาการอิสระ

การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2567 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ “Peak” ทั้งจับ แปรรูป ปล่อยปลาผู้ล่า ตามแนวปฏิบัติของกรมประมงและเป้าประสงค์ในการลดปริมาณปลาในแหล่งให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งกรมฯ ได้รายงานว่าจับปลาไปแล้วมากกว่า 3 ล้านกิโลกรัม และส่งไปแปรรูปเป็นปลาป่นเพื่อนำไปผลิตอาหารสัตว์และน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้เป็นปุ๋ยในส่วนยางพารา ช่วงต่อจากนี้ไปจะเห็นการปล่อยปลาผู้ล่าทั้งปลากะพงและปลาอีกงในหลายพื้นที่ลงไปกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ 

การเดินหน้าตามแนวทางปฎิบัติของกรมประมงส่งผลให้หลายจังหวัดมีปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำลดลง จากผลของการสุ่มตรวจของประมงจังหวัดที่ทำการ “ลงแขก” จับปลาในแหล่งน้ำที่เคยจับไปแล้วซ้ำ พบปริมาณปลาหมอคางดำลดลงทั้งที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครศรีธรรมราช เป็นต้น และกำลังเดินหน้าปล่อยปลาผู้ล่าเพื่อลงไปกำจัดลูกปลาหมอคางดำเพื่อหยุดการแพร่พันธุ์ สำหรับการปล่อยปลาผู้ล่าต้องปล่อยในปริมาณที่เหมาะสมไม่ให้เกิดผลกระทบกับสัตว์น้ำชนิดอื่นในธรรมชาติ

ปัญหาใหญ่ในการกำจัดปลาหมอคางดำขณะนี้ คือ “บ่อร้าง” ที่ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาหมอคางดำที่สำคัญ ตลอดจนแหล่งน้ำที่ภาครัฐยังเข้าไปสำรวจไม่ถึง จำเป็นที่เจ้าของบ่อร้างและชุมชนทั้งหลายต้องร่วมกันแจ้งกรมประมง เพื่อกำจัดปลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่อาจมีปลาหมอคางดำหลุดรอดเข้ามาในบ่อเลี้ยง ต้องสุ่มตรวจปริมาณสัตว์น้ำหลัก (กุ้งหรือปลา) ในบ่อเปรียบเทียบกับปริมาณปลาหมอคางดำที่จับได้ และจับออกโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำหลักเพื่อหาทางป้องกันด้วยการตากบ่อและโรยกากชากำจัดปลาและลูกปลาที่ตกค้างในบ่อ ก่อนเลี้ยงสัตว์น้ำรุ่นใหม่ในบ่อเลี้ยง 

การชี้เป้าหมายแหล่งเพาะพันธุ์และแหล่งแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากภาคประชาชน ชุมชน และเกษตรกร ต้องช่วยกันแจ้งเบาะแสในฐานะเจ้าของพื้นที่ ตัวอย่างเช่นที่จังหวัดสงขลา พบการระบาดของปลาหมอคางดำที่อำเภอระโนด ส่วนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พบที่อำเภอหัวไทรและอำเภอปากพนัง ขณะที่จังหวัดจันทบุรี พบที่อำเภอขลุง และอ่าวคุ้งกระเบน  หากมีการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนอย่างเข้มแข็งเพื่อดำเนินการตามหลักวิชาการก็จะสามารถควบคุมให้ปลาอยู่ในพื้นที่จำกัดได้ และการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องจะช่วยให้ปริมาณปลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคเอกชน เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการไล่ล่าปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ไม่ให้ข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะ “บ่อร้าง” ควรจับปลาออกจากบ่อให้หมด และหากไม่ประสงค์จะเลี้ยงสัตว์น้ำต่อควรตากบ่อให้แห้งและกำจัดปลาที่ตกค้างตามหลักวิชาการ ซึ่งพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดใน19 จังหวัด จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

สำหรับภาครัฐจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนการจับปลาและปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อจูงใจให้มีการจับปลาและนำไปแปรรูปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อน ตลอดจนการให้ความรู้กับชุมชนในการจับและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างถูกต้อง ช่วยเฝ้าระวังและป้องกันระบบนิเวศไม่ให้ปลาแพร่ระบาดไปยังแหล่งน้ำอื่นๆ.

กสทช. – AIS โชว์เทคโนโลยีระบบเตือนภัยผ่านมือถือ Cell Broadcast บน LIVE Network กลางภูเก็ต เชื่อมต่อศูนย์บัญชาการกลางของรัฐ

0

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า “AIS ได้ร่วมทำงานกับ กสทช. ,กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี), ปภ. กระทรวงมหาดไทย รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ในการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบเตือนภัยของประเทศตามมาตรฐานสากล นั่นคือ เทคโนโลยี Cell Broadcast Service หรือ ระบบสื่อสารข้อความตรงไปที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชน อย่างเฉพาะเจาะจงพื้นที่ ซึ่งระบบนี้มีความเหมาะสมกับการนำมาใช้เพื่อแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือที่รองรับตั้งแต่ 4G ขึ้นไป ทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่ครอบคลุมของสถานีฐานบริเวณนั้นๆในเวลาเดียวกัน ด้วยรูปแบบของการแสดงข้อความที่หน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Pop UP Notification) แบบ Near Real Time Triggering เพื่อให้สามารถรับรู้สถานการณ์ต่างๆได้ทันที”

โดยหลังจากที่ร่วมกันพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดต้องขอบคุณ สำนักงาน กสทช. ที่ได้สนับสนุนงบประมาณจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ที่ทำให้ AIS และผู้ให้บริการทุกราย ได้ร่วมทดลอง ทดสอบ เทคโนโลยี Cell Broadcast ณ จังหวัดภูเก็ต ได้ผลตามเป้าหมาย และพร้อมที่จะขยายผลเชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยของประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป ซึ่งในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการทดลองทดสอบความเป็นไปได้ของระบบแจ้งเตือนภัย แบบเสมือนจริงบน LIVE Network หรือ Proof of Concept เฉพาะพื้นที่ หากเกิดเหตุด่วน เหตุร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่จะพร้อมเชื่อมต่อกับศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างดียิ่ง อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว”

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช.ได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกราย เกี่ยวกับการดำเนินการในการพัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) โดยแต่ละหน่วยงานจะมีการแบ่งหน้าที่การจัดการเพื่อให้เกิดระบบ Cell Broadcast และ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ซึ่งคาดว่าในโตรมาสที่ 2 ปี 2568 ระบบ Cell Broadcast จะพร้อมใช้งานจริงได้ในบางพื้นที่ของประเทศ”
ทั้งนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะเป็นหน่วยงานหลักกำหนดเนื้อหาและพื้นที่ในการส่งข้อความ การจัดการข้อความที่จะสื่อสาร เรียกว่า ส่วนของ Cell Broadcast Entity (CBE), กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการในส่วนของระบบ Cloud Server และการเชื่อมต่อระหว่าง CBE และ Cell Broadcast Center (CBC) ซึ่งดูแลโดยผู้ให้บริการโครงข่าย ทำหน้าที่นำเนื้อหาข้อความแจ้งเตือนเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ในบริเวณพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ หรือเหตุด่วนเหตุร้าย

สำหรับในส่วนของ สำนักงาน กสทช. นั้น เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนงบประมาณให้แก่ผู้ประกอบการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย ทั้ง AWN TUC และ NT โดยใช้งบประมาณจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจาย เสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อให้เกิดระบบ Cell Broadcast ซึ่งการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการทดลองทดสอบความเป็นไปได้ของระบบแจ้งเตือนภัย ถือเป็นการทดลองทดสอบเสมือนจริงที่จะทำให้เป็นการยืนยันความพร้อมในส่วนของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างเป็นรูปธรรม
นายวรุณเทพ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า “ในส่วนของ AIS นั้นขอยืนยันว่า นอกเหนือจากความพร้อมในการเชื่อมโยงกับศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐสำหรับการเตือนภัยประชาชนแล้ว เราจะเดินหน้าพัฒนาเครือข่าย และขยายความครอบคลุมให้เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องมากที่สุด จากปัจจุบันที่ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ระบบเตือนภัยจาก Cell Broadcast นี้ สามารถช่วยเหลือประชาชนให้เตรียมรับสถานการณ์ความเสี่ยงได้เท่าเทียม และ ทั่วถึง อย่างดีที่สุด”

AIS จับมือ ตำรวจไซเบอร์ เปิด “มาตรการระเบิดสะพานโจร” ทลายแก๊งคอลฯ บุกรวบจีนเทาพร้อมเครื่องส่ง SMS ปลอม

0

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกับ AIS โดย นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ แถลงผลการปฏิบัติการของตำรวจไซเบอร์ บช.สอท. ตามนโยบายนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ โดยข้อที่ 9 ที่ว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว อันจะเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” คือ การบุกรวบจีนเทาพร้อมเครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) คารถ หลังตระเวนขับส่งข้อความแนบลิงก์ดูดเงินย่านสุขุมวิท สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 18.00 น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ขณะที่กำลังเดินซื้อของอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท ได้รับข้อความ “คะแนน 9,268 ของคุณ ใกล้หมดอายุแล้ว! รีบ แลกของขวัญเลย” พร้อมกับแนบลิงก์ปลอมมาในข้อความดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 และ กก.3 บก.สอท.3 จึงได้ประสานงานกับทีมวิศวกรของ AIS จึงได้รับการยืนยันว่า SIMS ดังกล่าว ไม่ได้มาจากผู้ให้บริการเครือข่าย AIS

ต่อมา พ.ต.อ.คัมภีร์ พรหมสนธิ รอง ผบก. สอท.3 ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS ทำให้ทราบว่า คนร้ายได้ใช้เครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ในเส้นทางที่มีประชาชนพลุกพล่านย่านสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร โดยมีการใช้ยานพาหนะในการเคลื่อนที่ จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่หาข่าวร่วมกับวิศวกร AIS เพื่อทำการสืบสวนหาตัวคนร้ายดังกล่าว และจับได้ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ตรวจสอบภายในรถพบเครื่องจำลองสถานีฐานกำลังทำงานอยู่ ตรวจสอบร่วมกับทีมวิศวกร AIS พบว่าเป็นเครื่องส่งข้อความ (SMS) ซึ่งเป็นลักษณะของการจำลองเสา (False Base Station) เพื่อส่งสัญญาณปลอมของเครือข่าย AIS โดยอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ที่มีลักษณะการดัดแปลงการส่งสัญญาณในในคลื่นความถี่ต่างๆ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบการได้รับอนุญาตจาก กสทช.แต่อย่างใด”

การปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการปิดโอกาสของคนร้าย ในการติดต่อประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นต่อไป

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการระบบสื่อสาร เราให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าให้ใช้บริการได้อย่างปลอดภัย จึงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่องใน 3 มิติ กล่าว คือ 1.สนับสนุน ให้ความร่วมมือกับตำรวจ และ หน่วยงานภาครัฐ ในการติดตาม ตรวจสอบเส้นทาง ปิดกั้นการใช้เครือข่ายเป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน 2. พัฒนาเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ลูกค้าและประชาชนใช้ปกป้องการใช้งาน และแจ้งเบาะแสได้ด้วยตนเอง อาทิ *1185#แจ้งอุ่นใจตัดสายโจร หรือ 1185 Spam Report Center 3. สร้างทักษะการใช้งานดิจิทัลในโครงการ อุ่นใจไซเบอร์ ที่จะช่วยให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้บูรณาการ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ลูกค้า พร้อมกับสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างเต็มประสิทธิภาพ”

ล่าสุด สืบเนื่องจากการที่ประชาชนได้มีการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับข้อมูล SMS ปลอม ซึ่งเป็นของกลุ่มคนร้ายที่เชื่อว่ามีการกระทำความผิดหลอกลวงประชาชน ทีมวิศวกรเอไอเอสจึงได้ทำงานร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ติดตาม Tracking & Monitoring กว่า 72 ชั่วโมง ในพื้นที่ย่านนานา สุขุมวิท ทำให้ตำรวจไซเบอร์สามารถเข้าจับกุมขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีการขับรถตระเวนส่งข้อความ (SMS) หลอกลวงประชาชนเกี่ยวกับการแลกคะแนนของ AIS ผ่านอุปกรณ์เครื่องจำลองสถานี (False Base Station) ส่งสัญญาณปลอมของเครือข่ายเอไอเอส ได้ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวนี้เป็นเครื่องวิทยุโทรคมนาคมแบบพกพาเถื่อน ผิดกฎหมาย เพราะหลังจากการตรวจสอบแล้ว ไม่พบข้อมูลการได้รับอนุญาตจาก กสทช.แต่อย่างใด ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนภารกิจของฝ่ายความมั่นคง จนสามารถคำนวณเส้นทางการเคลื่อนตัวของมิจฉาชีพอย่างละเอียด ทำให้เข้าถึงแหล่งกบดานของกลุ่มนี้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภารกิจการทลายแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้สำเร็จลงได้ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่ AIS ได้ช่วยติดตามเส้นทางมิจฉาชีพที่ใช้ False Base กลางสยามสแควร์ และ ย่านชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล”

นายวรุณเทพ ย้ำว่า “AIS ขอแจ้งไปยังประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อและให้ข้อมูลส่วนบุคคลผ่านการกดลิงก์ แอดไลน์ หรือตอบกลับ SMS รวมถึงงดให้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัตรเครดิต วันเดือนปีเกิด รวมทั้งรหัส OTP ในการทำธุรกรรมใดๆ แก่แหล่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หากเป็นลูกค้า AIS เมื่อรับสายที่เข้าข่ายมิจฉาชีพ เมื่อวางสาย สามารถกด *1185# ภายใน 5 นาที ระบบจะส่งเบอร์ล่าสุดที่รับสายไปเพื่อตรวจสอบและบล็อกทันที หรือ หากได้รับ SMS ผิดปกติ ก็สามารถโทร.แจ้งผ่านสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เช่นกัน โดย AIS จะตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป” นายวรุณเทพ กล่าว

CPF และ 7-Eleven จับมือพันธมิตร You&I Premium Suki Buffet เปิดตัวเมนูพร้อมทาน ‘เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I’

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยแบรนด์ CP และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จับมือกับพันธมิตร You&I Premium Suki Buffet ร้านสุกี้พรีเมียม สู่ตลาดอาหารพร้อมทาน เปิดตัว “เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I” สร้างประสบการณ์ความอร่อยระดับพรีเมียม สะดวกและรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบอาหารที่ใช้เวลาเตรียมน้อย แต่ยังคงคุณภาพและรสชาติเหมือนรับประทานที่ร้าน โดยมี นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ นายเมธี เจริญสุวรรณ รองผู้อำนวยการขาย และนางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายทัพพ์เทพ จีระอดิศวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพี ออลล์ นางสาวยุพิน ชัยวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวปาณญา ศรีโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ยู แอนด์ ไอ กรุ๊ป จำกัด ร่วมงาน

จุดเริ่มต้นของ “เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I” เป็นความร่วมมือเพื่อให้คนไทยได้อิ่มอร่อยระดับพรีเมียมต้นฉบับของร้าน You&I จึงรังสรรค์เมนู Limited Edition สุดพิเศษ ด้วยการนำวัตถุดิบคุณภาพ ‘เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ตราซีพี’ มาผสานความอร่อยกับซุปน้ำดำสูตรเฉพาะสไตล์ You&I ที่ลือชื่อ กลมกล่อมด้วยกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิล และยังผนวกกับช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมอย่างร้าน 7-Eleven ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงง่ายและสะดวกมากขึ้น

นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของเครือซีพี-ซีพีเอฟ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบคุณภาพ ควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เสริมด้วยศักยภาพของ 7-Eleven ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มวัย ช่วยสนับสนุน You&I เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้น ในรูปแบบของเมนูอาหารพร้อมทาน

“You&I เป็นร้านสุกี้ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมน้ำซุปเลื่องชื่อให้เลือกหลายแบบ เสิร์ฟพร้อมวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ซึ่งความร่วมมือกับซีพีเอฟ เป็นการผนวกความพรีเมียมระหว่างของ น้ำซุปของ You&I จับคู่กับ เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมแบรนด์ซีพี ที่การันตีด้วยรางวัล Superior Taste Award 2024 นำเสนอประสบการณ์ความอร่อยที่คุ้มค่าให้ชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว” นางศุภรา กล่าว

สำหรับ ความร่วมมือฯ ครั้งนี้ ดำเนินภายใต้แนวคิด ‘ลูกค้าสำเร็จ CP สำเร็จ’ ของเครือซีพี ผนึกกำลังเพื่อส่งมอบเมนูอาหารคุณภาพแก่ผู้บริโภคได้อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย สามารถลิ้มลองความอร่อยของ ‘เกี๊ยวกุ้งทรัฟเฟิลซุปน้ำดำ CP x You&I’ ในราคา 69 บาท ได้แล้ววันนี้ ที่ 7-Eleven ทั้ง 6,000 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

สมุทรสงครามผุดไอเดียเด็ด จัดการปลาหมอคางดำครบวงจร สร้างรายได้ให้ชุมชน

0

จังหวัดสมุทรสงคราม และประมงสมุทรสงคราม ระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนภาครัฐ เอกชน ชุมชน และชาวประมงในพื้นที่ ในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำตามแผนปฏิบัติการของกรมประมงอย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยบูรณาการองค์ความรู้ และนวัตกรรมที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและพื้นที่เพื่อควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำ พร้อมเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสช่วยสร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และฟื้นฟูระบบนิเวศและคืนความหลากหลายทางชีวภาพสู่ธรรมชาติและชุมชน

ล่าสุด จังหวัดสมุทรสงครามผนึกพลังกับประมงจังหวัด นำโดย นายกรกฎ วงษ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นายรนัสถ์ชัย พุ่มเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และนายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น ร่วมกับคณะขับเคลื่อนนโยบายของกรมประมง(FC) เรือนจำกลางสมุทรสงคราม และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) จัด กิจกรรมลงแขกลงคลอง เพื่อขับเคลื่อนการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่ ครั้งที่ 1/2568 ในบริเวณบ่อพักน้ำหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรสงคราม และบริเวณบ่อพักน้ำข้างศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่ สามารถจับสัตว์น้ำรวมทั้งสิ้น 263 กิโลกรัม แบ่งเป็นปลาหมอคางดำ 63 กิโลกรัม และปลาพื้นถิ่น จำนวน 200 กิโลกรัม และได้ดำเนินการส่งมอบปลาหมอคางดำให้กับเรือนจำกลางสมุทรสงคราม เพื่อนำไปหมักทำเป็นน้ำปลาต่อไป

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า กิจกรรมการจับปลาหมอคางดำในบ่อพักน้ำทั้งสองแห่งครั้งนี้ เป็นการติดตามสำรวจปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำที่เคยจัดกิจกรรมจับปลาหมอคางดำแล้วหลายครั้ง ปัจจุบัน จากการจัดกิจกรรมจับปลาออกจากแหล่งน้ำและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 ส่งผลให้ปริมาณปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่เบาบางลง ปลาที่จับได้มีขนาดเล็กลง หมายถึงว่าปลาพ่อแม่พันธุ์ลดลง และผลจากการปล่อยลูกปลากะพงขาวเป็นปลานักล่าในพื้นที่ต่างๆ พบปลาหมอคางดำตัวขนาดเล็กน้อยลง อย่างไรก็ตาม จังหวัดยังให้ความสำคัญกับการจัดการปลาหมอคางดำในพื้นที่อย่างเป็นระบบ นอกจากการจัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จังหวัดสมุทรสงครามริเริ่มเป็นแห่งแรกแล้ว ประมงสมุทรสงครามยังร่วมมือกับภาคีเครือข่ายนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทำเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางที่จูงใจให้เกิดการจับปลาชนิดนี้ออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมาประมงสมุทรสงคราม ร่วมมือกับเรือนจำกลาง และซีพีเอฟ นำปลาหมอคางดำที่จับได้นำไปผลิตน้ำปลาเป็นสินค้ากรมราชทัณฑ์ ภายใต้ ชื่อ น้ำปลาปลาหมอคางดำตรา“หับเผย แม่กลอง” นอกจากนี้ เรือนจำกลางสมุทรสงครามยังนำปลาไปปรุงเป็นอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ และผู้ต้องขัง สำหรับปลาตัวเล็กๆ นำไปเป็นเหยื่อเลี้ยงเป็ดและปลา นอกจากนี้ ยังขยายผลสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร 2 แห่งนำปลาหมอคางดำหมักเป็นปลาร้า ซึ่งเกษตรกรได้ปรับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ปลาส้ม และปลาร้าสับ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการผลิตเพื่อจำหน่ายสั้นกว่าปลาร้าทำให้เกษตรกรได้รายได้รวดเร็วขึ้น เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรวิถีใหม่ร่วมใจพัฒนา บ้านคลองตาจ่า ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาร้าจากปลาหมอคางดำ เช่น ปลาส้ม ปลาร้าข้าวคั่ว แจ่วบอง น้ำพริกเผาปลาร้า

นายบัณฑิตกล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องรับความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และชาวประมง รวมถึงประชาชนที่ช่วยกันนำปลาไปใช้ประโยชน์ แปรเปลี่ยนจากปลาที่เป็นตัวปัญหาสู่ปลาเศรษฐกิจ และหนุนความมั่นคงทางอาหารอีกทางหนึ่ง./

ซีพีเอฟหนุน “ร้านกาแฟเด็กน้อยทำมือ มุ่งสู่อาชีพที่ยั่งยืน” ฝีกทักษะนักเรียน รร.บ้านราษฎร์ดำเนิน ชัยภูมิ

0

การปูทางสร้างอาชีพให้กับเด็กและเยาวชนตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเรียน กลายเป็นการเรียนรู้วิถีใหม่ที่หลายๆโรงเรียนเลือกนำมาปรับใช้ในกระบวนการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน “รร.บ้านราษฎร์ดำเนิน” ต.หนองบัวแดง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นอีกสถาบันการศึกษาที่นำแนวทางดังกล่าวมาปฏิบัติจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

พิไลลักษณ์ ตาปราบ ผู้อำนวยการ รร.บ้านราษฎร์ดำเนิน เล่าว่า พื้นฐานของชุมชนทำอาชีพเกษตรกรรม ครอบครัวของนักเรียนไม่ได้มีฐานมากนัก เด็กหลายคนขาดโอกาสในการเรียนรู้และการเพิ่มประสบการต่างๆ ในเมื่อโรงเรียนถือเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา เราจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสและประสบการณ์ชีวิตให้แก่นักเรียนให้ได้มากที่สุด และถือเป็นโอกาสดีที่ทางโรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เมื่อปี 2561 โดยได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ เมื่อปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ในโครงการอนุรักษ์ขนมไทยใส่ใจเยาวชนก่อน และต่อยอดสู่ โครงการขนมหวานและเบเกอรี โครงการกาแฟเด็กน้อยทำมือ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบครบวงจร เพื่อให้มีทักษะในการทำเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เกิดทักษะการค้าขาย การทำบัญชี และการบริการ เป็นพื้นฐานอาชีพให้กับนักเรียน

“แม้ว่าโรงเรียนของเราจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนรวม 58 คน แต่เราหวังอย่างยิ่งว่านักเรียนที่จบไปจากที่นี่ ต้องมีความรู้ที่เป็นแนวทางประกอบอาชีพในอาคต จึงขอเข้าร่วมโครงการ CONNEXT ED เพื่อให้เด็กๆ มีความรู้ในวิชาชีพต่างๆ ให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติจริง ฝึกความสามัคคี ความซื่อสัตย์ ความอดทน และยังได้เรียนรู้ด้านการบริการ สามารถหารายได้ระหว่างเรียน ได้รู้เรื่องการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และในที่สุดจะนำความรู้ไปต่อยอดเป็นอาชีพ สร้างรายได้นำมาพัฒนาชุมชนของตนเอง วันนี้ทั้ง 3 โครงการ ถูกจัดเข้าไปในกิจกรรมชุมนุม ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบ้ติจริง เรียนรู้อย่างมีความสุข และเป็นงานอาชีพที่ทันสมัยเหมาะกับยุคปัจจุบัน” ผอ.พิไลลักษณ์ กล่าว

ผอ.พิไลลักษณ์ บอกอีกว่า ตอนนี้โรงเรียนบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ได้ลงมือทำมากกว่าการเรียนการสอนบนกระดาษ ที่จะกลายเป็นพื้นฐานความรู้ติดตัวพวกเขาตลอดไป และยังได้ขยายผลสำเร็จของโครงการฯ ด้วยการช่วยเหลือสังคม ผ่านการทำโรงทาน รวมถึงการที่เด็กๆเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ส่วนเป้าหมายต่อไปในการดำเนินโครงการ คือ การบริการนอกสถานที่ อาทิ จัดบูธ ขายสินค้าและบริการในกิจกรรมของชุมชน อย่างเช่น ถนนคนเดิน และงานร้องเพลงในสวน

สำหรับตัวแทนนักเรียนในโครงการฯ ดญ.กนกกาญน์ บุญกุล นักเรียนชั้น ป.6 บอกถึงความรู้สึกว่า ทั้งตื่นเต้นและดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบทั้งการชงกาแฟ การทำน้ำสมุนไพร การทำน้ำผลไม้ ขนมไทย เบเกอรี และยิ่งได้ไปออกบูธในงานต่างๆ ก็ยิ่งภูมิใจมาก และถือว่าได้ฝึกการบริการแก่ลูกค้า ทั้งได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยนความรู้แก่กัน และยังได้ฝึกการทำบัญชีรายรับรายจ่ายที่นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ด้าน ดญ.พูลทรัพย์ แสนภูงา ชั้น ป.4กล่าวขอขอบคุณซีพีเอฟที่สนับสนุนให้ทุนเริ่มต้นโครงการฯ ทำให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ เป็นพื้นฐานอาชีพ สิ่งที่ไม่เคยทำก็ได้ ทำได้เรียนรู้ และภูมิใจมากที่น้ำชง และขนมที่พวกเราได้ลงมือทำด้วยตนเอง สามารถสร้างรายได้เข้าเป็นกองทุนให้กับร้าน และต่อยอดทำกิจกรรมอื่นๆได้

โรงเรียนบ้านราษฎร์ดำเนิน ยังคงต่อยอดพัฒนาศักยภาพของนักเรียนอย่างยั่งยืน และผลักดันให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และต้นแบบในการส่งเสริมทักษะอาชีพด้านการทำกาแฟและเบเกอรีอย่างครบวงจร รวมทั้งการทำขนมไทย ที่กลายเป็นพื้นฐานให้เด็กและเยาวชน สู่การเป็นนักธุรกิจน้อย ที่ใช้ประกอบอาชีพของตนเองต่อไปในอนาคต.

ออมสินออกสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ 2 หมื่นล. สนองนโยบายรัฐกระตุ้นตลาดอสังหาฯ

0
วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า  ธนาคารจัดเตรียมวงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายรัฐบาล ด้วยการออกมาตรการสินเชื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วย สินเชื่อบ้านออมสินสบายใจ โดยกรณีกู้เพื่อซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 3-7 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก อยู่ที่ 2.89% ต่อปี ปีที่ 1 = 1.89% ต่อปี ปีที่ 2 = 2.89% ต่อปี ปีที่ 3 = 3.89% ต่อปี และปีที่ 4 เป็นต้นไป = 5.845% ต่อปี (MRR – 0.75%) โดยสามารถผ่อนต่ำ 3 ปีแรก ปีที่ 1 ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ล้านละ 5,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน

สำหรับสินเชื่อ Top Up สบายใจ กรณีกู้เพิ่มเติมเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นอื่นเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ปีที่ 1 – 3 = 3.49% ต่อปี และปีที่ 4 เป็นต้นไป = 6.345% ต่อปี (MRR – 0.250%) โดยสามารถผ่อนต่ำ 3 ปีแรก ปีที่ 1 ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ล้านละ 5,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน