Home Blog Page 58

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

0

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือมูลนิธิเมืองไทยยิ้มและกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ร่วมสร้างสังคมคุณภาพผู้สูงวัย พัฒนาบุคลากรเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมจัดอบรม โครงการ “การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  รุ่นที่ 4”  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง เพื่อตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต สานต่อโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น รุ่นที่ 4 ณ อาคาร CSR ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ จังหวัดราชบุรี  โดยในครั้งนี้ได้จัดการอบรมให้แก่บุคลากรในองค์กรที่เกี่ยวข้อง  อาทิ พนักงานดูแลความสะอาด  พนักงานดูแลสวน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) จำนวน 53 คน เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านและชุมชน ซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้สูงวัยในสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์

การอบรมครั้งนี้ประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้เข้าใจในหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้สูงอายุ ทั้งนี้หลักสูตรได้รับการรับรองจากกรมกิจการผู้สูงอายุและจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น อาทิ การให้ความรู้และแนะนำอาหารโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม รวมถึงการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีโภชนาการที่ดีต่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพแบบองค์รวม โดยให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องสำหรับผู้สูงอายุ และการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีความสุขในวัยเกษียณ

การอบรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมในภาพรวม เพราะเมื่อมีผู้ที่เข้าใจและมีทักษะในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จะสามารถลดภาระในการดูแลและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสร้างเครือข่ายผู้ดูแลที่สามารถให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน  โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ตลอดจนการสร้างให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต

สำหรับที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดการอบรม หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  จำนวน  3 รุ่น   ได้แก่ รุ่นที่ 1 จัดขึ้นในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 สำหรับผู้บริหาร พนักงาน ของบริษัทฯ  ณ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ  และรุ่นที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2566 สำหรับประชาชนทั่วไป ณ ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ เมืองไทยประกันชีวิต จ.ราชบุรี  และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2567 สำหรับสื่อมวลชน เพื่อสร้างความรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธีและมีคุณภาพซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เข้าอบรมอย่างมาก  

“บริษัทมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความเชื่อมั่นว่าความรู้และทักษะที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและสังคมไทยโดยรวม เราจะเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อคุณค่าและความห่วงใยสู่ทุกครอบครัวไทย”  นายสาระกล่าวสรุป

เครือซีพี – ซีพีเอฟ – มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ ผนึกพลัง JCCB มอบ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน“ โรงเรียนที่ 988

0

เครือข่ายความดีผนึกพลังร่วมสร้างความมั่นคงด้านอาหารปลอดภัย เพิ่มโปรตีนไข่ไก่คุณภาพ สร้างโภชนาการแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลต่อเนื่อง ปีที่ 36

เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) ส่งมอบ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มุ่งเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ผ่านการสร้างแหล่งโปรตีนคุณภาพให้แก่โรงเรียนและชุมชน พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานทางอาชีพให้แก่เยาวชน

โดยมี นายสุคนธ์ หนูภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายฮิโรยาสุ ซาโต้ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น และประธานส่วนการศึกษา คณะกรรมการฝ่ายความช่วยเหลือสังคม นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เเละ ดร.สุชาดา ลิ่มสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 พร้อมคณะครูและนักเรียน ณ โรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เครือซีพี ซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ JCCB ยังคงมุ่งเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีแก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 36 ปี ในการดำเนินโครงการเลี้ยฯ มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งสิ้น 988 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้นักเรียนกว่า 232,000 คน และครู 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็น Action Learning Base และพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้ไปสู่ชุมชน ให้ทั้งนักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง เสริมสร้างทักษะทางอาชีพรอบด้าน ทั้งการเลี้ยงสัตว์ การบริหารจัดการ การจัดทำบัญชี การขายและการตลาด การแปรรูปอาหารเพิ่มมูลค่า ตลอดจนพัฒนาต่อยอดเป็นกิจการเพื่อสังคมได้อย่างยั่งยืน (Social Enterprise)

นายฮิโรยาสุ ซาโต้ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวเสริมว่า JCCB ร่วมมือกับ เครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ขยายโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง รวม 150 โรงเรียนครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปีนี้ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่ภาคใต้และภาคเหนือรวม 4 แห่งเข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ โรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น จ.สุราษฎร์ธานี, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเทคนิคดุสิต, โรงเรียนบ้านผาแดงหลวง และศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยกุ๊ก จ.เชียงราย ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปัญหาทุพโภชนาการ ยังส่งเสริมความสามารถในการพึ่งพาตนเองของโรงเรียนและชุมชนอีกด้วย

ด้าน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งสนับสนุนมูลนิธิฯ ผ่านการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่และการบริหารจัดการผลผลิตในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้โรงเรียนสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับสุขภาพเด็กและเยาวชนไทยผ่านการบริโภคโปรตีนคุณภาพจากไข่ไก่ ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบให้โรงเรียนอื่นๆ ในอนาคต

ส่วน นางสาวศุภวรรณ พละเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น กล่าวว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน โดยเฉพาะด้านโภชนาการ ซึ่งช่วยให้นักเรียนมีแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพและเพียงพอ ส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี มีความพร้อมในการเรียนรู้ และโครงการฯ ยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง พร้อมการบูรณาการองค์ความรู้สู่การเรียนการสอน ซึ่งถือเป็นประโยชน์เชิงคุณภาพที่มีคุณค่ายิ่ง

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เป็นความร่วมมือของ เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ที่ดำเนินการก้าวเข้าสู่ปีที่ 37 และยังคงมุ่งผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและเอกชน ขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งโภชนาการโปรตีนคุณภาพกับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลาในการดำเนินงานของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทในเครือฯ อาทิ บจ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPG), บจ.เจียไต๋ (CHIA TAI), บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), บจม.ซีพี ออลล์ (CP ALL), บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP AXTRA) ทั้ง Makro และ Lotus’s และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เพื่อส่งต่อคุณค่า สร้างประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน.

สัตวแพทยสมาคมฯ จับมือ สมาคมสัตวบาลฯ จัดประชุม ICVS 2024 ยกระดับห่วงโซ่คุณค่าอาหารมั่นคง เพื่อการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผนึกกำลังกันครั้งแรกร่วมจัดการประชุมวิชาการนานาชาติทางสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์ ครั้งที่ 46 ประจำปี 2567 หรือ The International Conference on Veterinary Sciences 2024 (ICVS 2024) ระหว่างวันที่ 28-29 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชูการรวมศาตร์ 2 วิชาชีพ มุ่งพัฒนาภาคปศุสัตว์ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลกอย่างยั่งยืน โดนได้รับเกียรติจาก นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมเป็นวิทยากรในหัวข้อ “Next Step of Livestock Thailand” (ก้าวต่อไปของปศุสัตว์ไทย)

นายสัตวแพทย์ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีสู่ระบบดิจิทัล เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้การปฎิบัติงานสัตวแพทย์และงานสัตวบาลพัฒนาให้ทันกับความซับซ้อนของโรคในคนและโรคในสัตว์ และนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพสัตว์ตลอดจนการวินิจฉัยโรคชั้นสูงเพื่อรักษาอาการป่วยของสัตว์ได้อย่างแม่นยำ นอกจากจะทำให้สัตว์มีสุขภาพดีจากการเลี้ยงดูตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการสร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลกจากห่วงโซ่การผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ในการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติทางสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์ ครั้งที่ 46 นี้ ถือเป็นการเฉลิมฉลอง 77 ปี แห่งการก่อตั้งสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และ 48 ปี ที่ก่อตั้งสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทยฯ ภายใต้แนวคิด “ประสานศาสตร์สุขภาพหนึ่งเดียวกับการสัตวบาลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรโลก (Bridging One-health and Animal Science for Global Well-being)” เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่โดยวิทยากรชั้นนำจากทั้งมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมราว 3,000 คน

สำหรับ 4 ประเด็นหลัก ที่จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันในที่ประชุมและการบรรยายครั้งนี้ ประกอบด้วย

  1. สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) การเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพและความกังวลด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมบรรยายในหัวข้อ “โรคไวรัสในคนและสัตว์ โรคติดต่อสัตว์สู่คน และการเตรียมตัวสำหรับอนาคต”
  2. สวัสดิภาพและการจัดการสุขภาพสัตว์ (Animal welfare and health) การสำรวจความก้าวหน้าด้านสุขภาพสัตว์ มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก ซึ่งจะสร้างการยอมรับการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของไทยในระดับสากล และข้อพิจารณาด้านจริยธรรมในการวิจัย ตลอดจนการผลิตสัตว์ในห่วงโซ่ ตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม สู่โรงชำแหละ โรงงานแปรรูปอาหาร
  3. เทคโนโลยีการสัตว์สมัยใหม่ (Emerging technologies) นำเสนอความก้าวหน้าเทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพดิจิทัลที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพของทั้งมนุษย์และสัตว์ ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสัตว์โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) and เกษตรแม่นยำ (Precision Farming) และบทบาทของเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อการวินิจฉัยโรคและผลิตยา ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อความยั่งยืน
  4. การเกษตรยั่งยืน (Sustainable agriculture) การลดภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย การใช้ by-products ในท้องถิ่นสำหรับเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้อง เป็นต้น

นายสุเทพ วงศ์รื่น นายกสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ที่ได้เชิญสมาคมสัตวบาลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ICVS 2024 ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวใหม่ของวงการปศุสัตว์ไทยที่ทั้งสองสมาคมผนึกกำลังกันเพื่อยกระดับบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตปศุสัตว์ไทย เพื่อรองรับการขยายตัวและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากล โดยปรับปรุงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงดูและจัดการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง การสุขาภิบาล สุขอนามัย การปรับปรุงโรงเรือน อุปกรณ์ ตลอดจนการป้องกันและควบคุมโรคสัตว์ ตามหลักการสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ คือ ไม่หิวกระหาย อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เจ็บป่วย ไม่หวาดกลัว ได้แสดงออกตามธรรมชาติของสัตว์ ให้สัตว์มีสุขภาพดีซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพเนื้อด้วย

ภายในงาน ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานด้านโรค พิษสุนัขบ้าระหว่าง กรมปศุสัตว์, สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

ศาสตราจารย์ สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ ประธานจัดงานในครั้งนี้ ขอเชิญชวน นักวิชาการทางด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล คณาจารย์ นิสิต นักศึกษาของทั้งสองวิชาชีพ ตลอดจนประชาชนผู้สนใจ เข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติในครั้งนี้ เพื่อรับทราบ เรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียน-การสอนและการปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนการบริหารจัดการฟาร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่ เพื่อส่งต่ออาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทุกคน.

AIS – กสทช. ส่งความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ระดมทีมวิศวกรลงพื้นที่ พร้อมขยายวันใช้งาน ขยายเวลาชำระค่าบริการ มือถือ เน็ตบ้าน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ และเริ่มส่งผลกระทบให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง AIS และ กสทช. มีความห่วงใยประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานซึ่งกำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยในขณะนี้ โดยพร้อมอยู่เคียงข้างดูแลจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ด้วยมาตรการดังนี้

การเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง

AIS ร่วมกับ กสทช. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.  นำเทคโนโลยี Location Base SMS – LBS ส่งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแบบเจาะจง ถึงระดับตำบล/หมู่บ้านต่อเนื่อง โดยเตือนสภาวะน้ำล้นตลิ่ง ให้เตรียมรับสถานการณ์ ขนย้ายสิ่งของ/เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปที่ปลอดภัย  เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด  โดยข้อความ SMS ใช้ชื่อผู้ส่งคือ “DDPM” ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

การดูแลให้ใช้งานสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง

ขยายระยะเวลาการชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ามือถือรายเดือนและลูกค้า AIS – 3BB FIBRE 3 พร้อมขยายวันใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ประสบอุทกภัย  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ  จ.สงขลา จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส เป็นต้น โดยลูกค้าจะได้รับ SMS แจ้งการมอบการดูแลดังกล่าว

การดูแลระบบสื่อสารมือถือและเน็ตบ้าน

เปิด War Room ตรวจสอบ เฝ้าระวังสถานีฐานในพื้นที่ประสบภัยอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกระจายทีมวิศวกร ไปยังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ตอนล่าง และจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องปั่นไฟและน้ำมันให้พร้อมสำหรับการดูแลสถานีฐานในจุดเสี่ยง รวมถึงเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ (COW) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการสื่อสารได้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด

AIS และ กสทช. อยู่ในระหว่างการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังและดูแลให้มั่นใจว่า เครือข่ายสื่อสารจะสามารถใช้งาน ส่งต่อความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่องต่อไป

CPF พร้อมหนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัวในโครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนที่ตกต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้ ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนหลายพื้นที่ จากเหตุท่วมฉับพลันบางพื้นที่ไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านเรือนได้ บางพื้นที่ขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่า ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัว ในโครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม ตลอดจนเจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากหน่วยงานต่างๆ ผ่านเครือข่ายความดี ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และองค์กรจิตอาสา

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

ล่าสุด ทีมงาน CPF จิตอาสา โดยคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ จะนะ จังหวัดสงขลา ร่วมสนับสนุนไข่ไก่ แก่ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมตำบลตลิ่งชัน ขององค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ เพื่อใช้ประกอบเป็นเมนูอาหาร แจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ ที่ไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านเรือนได้ ขณะเดียวกัน ได้สนับสนุนไข่ไก่ แก่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้จัดตั้งศูนย์เพื่อช่วยเหลือ และโรงครัวเพื่อนำอาหารปรุงสุกแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร

นอกจากนี้ โรงเพาะฟักลูกกุ้งสิงหนคร CPF กำลังเร่งภารกิจร้อยเรียงความดีให้ความช่วยเหลือแก่ศูนย์ช่วยเหลืออำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เบื้องต้นจะมอบน้ำดื่มและไข่ไก่เพื่อปรุงอาหารแจกจ่ายชาวชุมชน โดย CPF จะให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนทีมงานจิตอาสาต่างๆ เพื่อกระจายความช่วยเหลือถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเร็วที่สุด.

เฝ้าระวังเข้มข้น ประมงสงขลา – พัทลุง ส่งปลานักล่าช่วยพิทักษ์ทะเลสาบสงขลาปลอดปลาหมอคางดำ

0

ประมงจังหวัดสงขลา และ ประมงจังหวัดพัทลุง ยืนยันทะเลสาบสงขลายังไม่พบปลาหมอคางดำ ไม่นิ่งนอนใจจับมือเอกชนและชุมชนปล่อยลูกปลากะพงขาวลงแหล่งน้ำ ด้วยแนวทางเชิงป้องกัน สร้างแนวกันชนด้วยการปล่อยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวลงในแหล่งน้ำ ป้องกันปลาหมอคางดำรุกเข้าไปในทะเลสาบสงขลา พร้อมผนึกพลังชุมชนและชาวประมงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

นายภูษิต จันทร์เพชร ประมงจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ที่ผ่านมาประมงจังหวัดพัทลุงบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ชาวประมง และภาคเอกชนจัดการปัญหาปลาหมอคางดำ ทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับชุมชนในจังหวัด และชาวประมงที่อยู่รอบทะเลสาบเพื่อสร้างการรับรู้ปลาชนิดนี้ให้ช่วยกันสอดส่อง ยับยั้ง ป้องกัน เฝ้าระวังในพื้นที่บริเวณทะเลสาบสงขลา และรอยต่อระหว่างจังหวัดสงขลา และจัดชุดปฏิบัติการชาวประมงสำรวจปลาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังไม่พบปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา

ทั้งนี้ พัทลุงไม่เคยนิ่งนอนใจให้ความสำคัญกับการดำเนินการเชิงป้องกัน ติดตามสำรวจปลาหมอคางดำในพื้นที่ ไม่รอให้เกิดการแพร่ระบาดไปในหลายพื้นที่ และในช่วงที่มีฝนตกชุกในพื้นที่ จังหวัดพัทลุงได้ปล่อยปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้ว จำนวน 8,000 ตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงในแหล่งน้ำที่พบปลาหมอคางดำ รวมทั้งแหล่งน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา เป็นรอยต่อกับอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อสร้างแนวกันชน หากมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในช่วงที่น้ำหลาก นอกจากนี้ ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจให้ชาวประมงในพื้นที่จับมาจำหน่าย ช่วยสร้างแรงจูงใจให้มีการติดตามเฝ้าระวังปลาหมอคางดำ

ด้านจังหวัดสงขลา สำนักงานประมงจังหวัดสงขลา โดยนายเจริญ โอมณี ประมงจังหวัดสงขลา ได้มอบหมายให้นายยุคล เหมบัณฑิต หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง นายชูศักดิ์ บริสุทธิ์ ประมงอำเภอสทิงพระ นายศุภโชค เกื้ออรุณ ประมงอำเภอระโนด ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสงขลา ชมรมกุ้งอำเภอระโนด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และตัวแทนจากซีพีเอฟ ดำเนินการปล่อยปลากะพงขาว ขนาด 4 นิ้ว จำนวน 10,000 ตัว ลงในแหล่งน้ำเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำ ในแหล่งน้ำ 3 จุดในพื้นที่อำเภอระโนด ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำขนาดเล็กที่อยู่ในแหล่งน้ำ และเป็นปราการป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำแพร่กระจายออกไปที่ทะเลสาบสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงอย่างยั่งยืน

การปล่อยปลากะพงขาว หรือ ปลานักล่า เป็นการดำเนินการภายใต้โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำของกรมประมงเพื่อช่วยจำกัดพื้นที่ไม่ให้ปลาหมอคางดำขยายวงไปพื้นที่อื่น ขณะเดียวกัน ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่ชุมชนสร้างเป็นรายได้ให้ชาวประมงอีกด้วย

ห้าดาว ส่ง ‘โฆษณาที่คุ้มที่สุด’ กวาด 5 รางวัลใหญ่เวที AdPeople Awards 2024

0

ห้าดาว (Five Star) ผู้นำแบรนด์ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ผู้สร้างความอร่อยแก่คนไทยมากว่า 40 ปี สร้างความประทับใจในวงการโฆษณาอีกครั้ง ด้วยการคว้า 5 รางวัลใหญ่ บนเวที AdPeople Awards & Symposium 2024 ซึ่งจัดโดย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) โดยมี นายอังคาร เหลืองนิมิตรมาศ รองผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เป็นผู้แทนรับมอบ ด้วยผลงานโฆษณาที่สะท้อนถึงความสร้างสรรค์และจุดยืนด้านความคุ้มค่าอันเป็นสิ่งที่แบรนด์ห้าดาวคำนึงถึงมาโดยตลอด รวมถึงการถ่ายทอดหนังโฆษณาที่มีหลากหลายอารมณ์ สร้างตื่นเต้นครองใจผู้ชมอย่างล้มหลาม

ปีนี้ ห้าดาว สามารถคว้ารางวัล Gold Award ในหมวด Creative Strategy และรางวัล Bronze Award ในหมวด Ad People from Real People จากผลงานแนวคิด Chicken That Connects Generation ขณะเดียวกันยังได้รับรางวัล Silver Award 2 รางวัล และ Bronze Award อีก 1 รางวัล ในหมวด Craft จาก ‘โฆษณาที่คุ้มที่สุด’ ภายใต้แนวคิดของงานในปีนี้คือ Creativity for Peoplekind ที่ให้ความสำคัญด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม

สำหรับผลงาน ‘โฆษณาที่คุ้มที่สุด’ แสดงถึงพลังความคิดสร้างสรรค์และจุดยืนของแบรนด์ได้อย่างลงตัว สร้างปรากฎการณ์ 4 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์ ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุก ชวนติดตาม น่าจดจำในทุกฉาก อาทิ ฉากหนีจากซอมบี้ด้วยเอฟเฟกต์ระดับหนังฟอร์มยักษ์ ฉากต่อสู้ในแบบ “300” และหนังหลอนแบบไทยๆ ที่สร้างความตื่นเต้นจนผู้ชมต้องดูจนจบ ควบคู่ไปกับการเน้นย้ำความโดดเด่นของห้าดาวในเรื่องปริมาณ รสชาติ ตลอดจนคุณภาพที่ดี เพื่อส่งเสริมผู้บริโภคทุกกลุ่มวัยเข้าถึงอาหารปลอดภัยในราคาที่เหมาะสม จึงทำให้แบรนด์ห้าดาวยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งมายาวนานกว่า 40 ปี และพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของคนไทยต่อไป

ห้าดาว ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ คุ้มค่าความอร่อย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการสื่อสารผ่านโฆษณาและแคมเปญที่สร้างแรงบันดาลใจในทุกย่างก้าว การคว้ารางวัลจากเวที AdPeople Awards 2024 ในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ห้าดาวยังคงเป็นร้านอาหารที่คนไทยไว้วางใจ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงพัฒนาการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ๆ เพื่อสร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ห้าดาว เป็นเจ้าแรกในการนำบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FSC® (Forest Stewardship Council) มาใช้ยกระดับกลยุทธ์ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและสากล

รับชมโฆษณา ‘โฆษณาที่คุ้มที่สุด’ ได้ที่ YouTube : Five Star Chicken Thailand ลิ้งก์ https://youtu.be/AyZ8AumTlfc?si=cBe2XARZ8_wOz75q และติดตามเรื่องราวดีๆ จากห้าดาวได้ที่ Official Website : fivestar.in.th รวมถึงช่องทาง Facebook : Five Star Chicken หรือ Social Media ทุกช่องทาง .

AWC ทุบสถิติ คว้า 47 รางวัลอาคารปลอดภัยจาก BSA Building Safety Awards 2024 และรางวัลระดับ Diamond และ FM Diamond สูงสุดเป็นครั้งแรก

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย BSA Building Safety Awards 2024 จากสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร ทุบสถิติสูงสุดด้วย 47 รางวัล ในปี 2567 รวมถึงสามารถคว้ารางวัลอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัยระดับ Diamond ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับสูงสุดเป็นครั้งแรกในกลุ่มโรงแรม จากโรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ และรางวัลระดับ Platinum ในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงานจากอาคารอินเตอร์ลิ้งค์ ทาวเวอร์ บางนา และอาคาร “เอ็มไพร์” กลุ่มศูนย์การค้าจากศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ และกลุ่มโรงแรม จากโรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ พร้อมรับรางวัลอาคารที่มีการบริหารงานเพื่อความยั่งยืน (Thailand Facility Management Association หรือ TFMA) โดดเด่นด้วยรางวัลระดับ FM Diamond จากโรงแรม เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล และรางวัลประกวดงานติดตั้งและบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (GENTHAI AWARDS 2024) เป็นปีแรก

AWC สร้างสถิติใหม่คว้า 47 รางวัลจากโครงการประกวดอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย ประจำปี 2567 หรือ “BSA Building Safety Awards 2024” แบ่งเป็น

• รางวัลอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย (BSA Building Safety Awards 2024) จำนวน 22 รางวัล จากสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร (The Building Inspectors Association หรือ BSA) ประกอบด้วย Diamond 1 รางวัล, Platinum 4 รางวัล, Gold 7 รางวัล, Silver 6 รางวัล และ Bronze 4 รางวัล

• รางวัลอาคารที่มีการบริหารงานเพื่อความยั่งยืน จำนวน 23 รางวัล จากสมาคมวิชาชีพบริหารทรัพยากรอาคาร (Thailand Facility Management Association หรือ TFMA) ประกอบด้วย FM Diamond 1 รางวัล, FM Gold 2 รางวัล, FM Silver 3 รางวัล และ COA 17 อาคาร

• รางวัลประกวดงานติดตั้งและบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (GENTHAI AWARDS 2024) จากสมาคมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไทยในระดับ Bronze อีก 2 รางวัล

การได้รับรางวัลจากทั้งสามหมวดหมู่ ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ในการ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” ของ AWC ที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามกรอบการดำเนินงาน 3BETTERs คือ Better Planet กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Better People ความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารและชุมชน และ Better Prosperity การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย AWC มุ่งพัฒนาอาคารและสถานประกอบการ ตั้งแต่เริ่มกระบวนการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการรับรองอาคารสีเขียว การพัฒนาด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้ใช้อาคารและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ตลอดจนร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

ความสำเร็จในการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวของ AWC เป็นผลมาจากการให้ความสำคัญในการบริหารจัดการอาคารและสถานประกอบการที่เป็นเลิศตามมาตรฐานสากล ประกอบไปด้วย การให้ความสำคัญกับอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์การป้องกันและระงับอัคคีภัยตามข้อกำหนด และพร้อมในการใช้งานได้ตลอดเวลา รวมถึงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยของอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงยังให้ความสำคัญกับเรื่องของการบริหารจัดการพลังงานภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการดำเนินงานอย่างยั่งยืน พร้อมให้ความสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการอนุรักษ์พลังงาน (Energy Saving Initiatives : ESI) และมาตรการอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP)

สำหรับรางวัลอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย (BSA Building Safety Awards) เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่ยกย่องอาคารที่มีการบริหารและการกำหนดมาตรการทางด้านความปลอดภัยชัดเจน จากการตรวจสอบของสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร โดยจัดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2567 มีอาคารที่ได้รับรางวัลอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัยทั้งสิ้น 56 อาคาร ขณะที่รางวัลอาคารที่มีการบริหารงานเพื่อความยั่งยืน เป็นรางวัลพิเศษที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 โดยมีอาคารที่ได้รับรางวัลจำนวนทั้งหมด 34 อาคาร จากการคัดเลือกของสมาคมวิชาชีพบริหารทรัพยากรอาคารที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาและการบริหารจัดการอาคารเพื่อความยั่งยืนตามหลักการสากล โดยให้ความสำคัญกับการจัดตั้งนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยง รวมถึงการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการบริหารทรัพยากรอาคาร และการจัดกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ใช้อาคารเพื่อพัฒนาการจัดการทรัพยากรอาคารอย่างยั่งยืน

แม็คยีนส์ เปิดตัว Mc X’mas Series ไอเท็มสีสันสดใส ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี

0

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เผยว่าบริษัทฯ ได้เปิดตัว “Mc X’mas Series” พบกับไอเท็มสีสันสดใสต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข ที่ถูกรังสรรค์เพื่อมอบให้แก่ทุกๆ ท่านในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ เติมเต็มความสนุกสุขสันต์ให้คุณเพลิดเพลินไปกับหลากหลายไอเท็มยอดนิยม และสร้างสรรค์ลุคที่ดีที่สุดในแบบฉบับของตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ จากแม็คยีนส์

“Mc X’mas Series” สีสันของความสนุกสดใส ที่สื่อถึงความสุข สนุกสนาน และการเฉลิมฉลอง กับไอเท็มยอดนิยม จากแม็คยีนส์ อาทิ เช่น เสื้อยืด โทนสีเขียว สีแดง และสีดำ ผลิตจากผ้าคอตตอน 100% พิมพ์ลายกราฟฟิคตัวอักษร Mc JEANS ผสมผสานกับลวดลายสนุกๆ เทคนิคการพิมพ์สีฉาบบนผิวผ้า ทำให้มีชั้นความหนาของลวดลาย ช่วยเพิ่มเทกเจอร์ให้ดูโดดเด่นอย่างมีสไตล์ หนุ่มสาวสตรีทสไตล์ห้ามพลาด กับเสื้อยืดทรงโอเวอร์ไซส์ พิมพ์โลโก้ Mc และลายถักนิตติ้งโทนสีเขียว แดง ขาว ให้ลุคสตรีทคูลๆ ดูสนุกกว่าที่เคย

อีกหนึ่งไอเท็มไฮไลท์ พบกับเสื้อฮู้ดดี้สุดเท่ โทนสีดำ พิมพ์ลายกราฟฟิคซานตาสีสันสดใส สวมใส่ง่ายดูดี ลงตัวไปกับทุกทริปและทุกไลฟ์สไตล์ แอ็คเซสซอรี่ ที่จะช่วยคอมพลีททุกลุคให้ดูดี กับหมวกแก๊ปทรงเบสบอล ที่สามารถปรับระดับของหมวกได้ตามความต้องการ

“ความพิเศษของ “Mc X’mas Series” จากแม็คยีนส์ พบกับไอเท็มสีสันสดใส ที่พร้อมมอบความสุขต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลองให้แก่ทุกๆ ท่าน จะมอบให้ตัวเอง สวมใส่ทั้งครอบครัว หรือจะมอบเป็นของขวัญก็ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างแน่นอน” นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าว

พบกับ “Mc X’mas Series” ที่ร้านแม็คยีนส์ทุกสาขา และเว็บไซต์ www.mcshop.com สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/mcjeans

AIS คว้ารางวัล Creative Equality Award จากเวที Creative Excellence Awards 2024 ตัวจริงส่งต่อพลังสร้างสรรค์เพื่อสังคม

0

AIS ตอกย้ำความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ คว้ารางวัล Creative Equality Award Creative ประเภท Social Impact Awards จากเวที Creative Excellence Awards 2024 ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของโครงการ Jump Thailand Hackathon 2024 ที่เอไอเอสได้ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนและเฟ้นหาไอเดียนวัตกรรมใหม่ๆ จากนิสิต นักศึกษา ทั่วประเทศ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานที่นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการ ตอกย้ำเป้าหมายการเดินหน้าสู่ Cognitive Tech-Co ที่พร้อมขับเคลื่อนสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างยั่งยืน

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS กล่าวว่า “การได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ เอไอเอส และ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ได้ร่วมกันจัดโครงการ Jump Thailand Hackathon 2024 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เชิงบวก และการมีส่วนร่วมจากทั้งพนักงานในองค์กร หน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ และต่อยอดเป็นเครื่องมือที่ใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ พร้อมเสริมสร้างความเท่าเทียม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จนเป็นที่มาของการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้”

รางวัล Creative Excellence Awards 2024 หรือ รางวัลความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ จัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์กรมหาชน) หรือ CEA องค์กรภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มอบให้กับบุคคลหรือองค์กรที่สร้างสรรค์ผลงานหรือกิจกรรมที่สร้างคุณค่าและก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างยั่งยืน

“ขอขอบคุณ CEA ที่มอบรางวัลอันน่าภาคภูมิใจนี้ให้แก่เรา รางวัลดังกล่าวไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพของ AIS ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการดิจิทัลที่มีความเป็นเลิศด้านความคิดสร้างสรรค์ เราเชื่อมั่นว่าไอเดียนวัตกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้จากโครงการ Jump Thailand Hackathon 2024 จะสามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน และนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง”

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า “ขอขอบคุณ CEA ที่มอบรางวัลนี้ให้แก่โครงการ Jump Thailand Hackathon 2024 ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมร่วมกับ AIS ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะส่งต่อไปสร้างประโยชน์และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และ คนพิการ  รางวัลนี้ก็จะเป็นกำลังใจและส่งต่อความชื่นชมไปสู่ผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่านที่ร่วมกันระดมไอเดีย พร้อมผสมผสานเข้ากับนวัตกรรม  ที่จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาสังคมในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”