Home Blog Page 56

ประมงจ.ตราดชวนเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างปราการป้องกันปลาหมอคางดำ และปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม 

0

อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด และ สำนักงานประมงจังหวัดตราด โดยมี นายพงษ์พัฑฒ์ สินราย นายอำเภอเขาสมิง นายชัชวาลย์ วุฒิเมธี หัวหน้ากลุ่มพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการประมงจังหวัดตราด นำคณะผู้นำชุมชน ครูและนักเรียนจากโรงเรียนวัดสลัก พร้อมกับผู้แทนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)​ หรือ ซีพีเอฟ ปล่อยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวจำนวน 5,000 ตัวลงสู่แหล่งน้ำในชุมชนบ้านสลัก ตำบลท่าโสม กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเสริมแนวกันชนด้วยปลานักล่า ปกป้องระบบนิเวศจังหวัดตราดปลอดจากปลาหมอคางดำ ตลอดจนเพื่อปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่

จังหวัดตราดได้ดำเนินการสำรวจแหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอเขาสมิง อำเภอแหลมงอบ และอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน “ยังไม่พบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ”​ ในจังหวัดตราด  อย่างไรก็ตาม ประมงจังหวัดตราดดำเนินการมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันปลาหมอคางดำรุกล้ำเข้ามาในแหล่งน้ำของจังหวัดอย่างเข้มแข็ง

การปล่อยลูกพันธุ์ปลานักล่าในแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นหนึ่งในมาตรการของกรมประมงเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัตราดกับจังหวัดอื่นที่พบปลาหมอคางดำ โดยการเพิ่มจำนวนปลานักล่าที่เป็นปลาพื้นถิ่นลงในแหล่งน้ำธรรมชาติในจำนวนที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เพื่อสร้างปราการปกป้องระบบนิเวศและสัตว์น้ำพื้นถิ่น รักษาความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากนี้ ปลากะพงขาวยังเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ชาวประมงพื้นบ้านสามารถจับมาจำหน่ายได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ประมงจังหวัดตราดและคณะทำงานฯ ยังไม่นิ่งนอนใจ โดยจัดให้มีการสำรวจและเฝ้าระวังปลาหมอคางดำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้เรื่องปลาหมอคางดำ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนช่วยกันเป็นเครือข่ายสอดส่องหากพบปลาหมอคางดำเร็ว จะสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว นอกจากนี้ การชักชวนให้น้องๆ นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมปล่อยปลานักล่า ยังช่วยปลูกจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนเห็นความสำคัญของความหลากหลายของระบบนิเวศ และร่วมเป็นพลังช่วยรักษาความสมดุลในระบบนิเวศ.

บริหารเงินวัยทำงาน!!

0
บทความ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

สำหรับคนวัยทำงานแล้ว ชีวิตช่วงนี้จะเป็นช่วงการสร้างเนื้อสร้างตัว เมื่อเริ่มมั่นคงชีวิตเข้าที่เข้าทาง ก็จะขยับไปสู่การเริ่มต้นชีวิตคู่ สร้างครอบครัว ซึ่งแปลว่าเราต้องแบกภาระความรับผิดชอบที่หนักขึ้นตามจำนวนสมาชิกที่ต้องดูแล เรียกว่าทำงานหาเงินจนเกษียณกันเลยทีเดียว

สิ่งที่ต้องเริ่มลงมือตอนนี้คือ การบริหารเงิน ยิ่งมีภาระเยอะ ก็จำเป็นต้องบริหารเงินให้เป็น!!

“คุณนายพารวย” ขอนำวิธีบริหารจัดการเงินของตัวเองแบบง่ายๆ มาเล่าสู่กันฟังเริ่มด้วย 1.การจดบันทึกรายรับรายจ่าย ช่วยทำให้เรารู้จักตัวเอง เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายว่า แต่ละเดือนเราต้องเสียเงินไปกับค่าอะไรบ้างที่จำเป็น และไม่จำเป็น เพื่อที่เราจะได้ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยลง

2.บริหารความเสี่ยง เพราะชีวิตไม่มีความแน่นอน เราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 3-6 เดือน และพิจารณาเรื่องทำประกันคุ้มครองความเสี่ยงด้วย เช่น ประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ 3.บริหารภาษี คนในวัยทำงานมีหน้าที่ต้องเสียภาษี จึงต้องมีการวางแผนภาษีให้ดี รู้จักค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหัก และลดหย่อนภาษีได้ เพื่อช่วยประหยัดภาษี ทำให้มีเงินออมเหลือเก็บเพิ่มขึ้น

4.บริหารเงินลงทุน ศึกษาข้อมูล และกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างเงินออมให้เติบโต เป็นตัวช่วยเพิ่มพลังเงินออมให้กับวัยทำงาน 5.บริหารเงินเพื่อเกษียณ หลายคนอาจมองว่าไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาเหลือเฟือ แต่ขอเตือนว่าข้อนี้แหละสำคัญที่สุด คนหนุ่มสาวมีข้อได้เปรียบเรื่องเวลา จึงควรต้องตั้งเป้าหมายหลังเกษียณว่าต้องการใช้เงินเท่าไหร่ แหล่งรายได้มาจากไหน แล้วเริ่มต้นออมให้ไวในตอนที่ยังมีเรี่ยวแรงทำงานหาเงินอยู่ ยิ่งลงมือทำเร็วเท่าไรยิ่งดีกับตัวเอง

เห็นได้ว่าการวางแผนการเงินที่ดี ไม่ได้มีแค่การออมเงินอย่างเดียว แต่รวมถึงการลงทุน เพื่อให้เงินทำงานให้เราด้วย เคล็ด (ไม่) ลับที่ช่วยตอบโจทย์ทั้งเรื่องการลงทุน และประหยัดภาษีสำหรับคนวัยทำงาน นั่นคือกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ได้ลงทุน และลดหย่อนภาษีในเวลาเดียวกัน อย่างกองทุน RMF หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เหมาะกับผู้ที่อยากมีเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้หลังเกษียณ

และกองทุนน้องใหม่อย่าง กองทุน ThaiESG หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวในธุรกิจไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล โดยเพิ่งมีการปรับเกณฑ์ใหม่ เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการออมในระยะยาว

ผู้สนใจอยากลงทุนอย่างยั่งยืน พร้อมได้คืนภาษี สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.ThailandESG.com

คุณนายพารวย

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2567 ถึง 28 ก.พ. 2568

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานงานเปิดตัวโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs โดยมีนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและหนังสือแสดงเจตนารมณ์ระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย (TBA) และสมาคมธนาคารนานาชาติ (AIB) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567

โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด สามารถฟื้นตัวและกลับมาชำระหนี้ได้หลังสิ้นสุดโครงการ นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างบูรณาการต่อไป โดยลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ ลูกหนี้จะต้องลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการและชำระหนี้ตามเงื่อนไข ขณะที่ภาครัฐและสถาบันการเงินจะร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง (50%) เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ร่วมโครงการ

โครงการประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่

มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่สูงมาก ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักภาระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (ชำระเงินตรงเวลาและไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกของการเข้าโครงการฯ) มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” มีวัตถุประสงค์หลักในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้กับลูกหนี้ โดยค่างวดที่ลดลงจะทำให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเหลือสำหรับดำรงชีพเพิ่มเติมระหว่างอยู่ในมาตรการ ขณะที่ดอกเบี้ยที่ได้รับยกเว้นจะช่วยให้ภาระหนี้โดยรวมของลูกหนี้ลดลง

มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง (ไม่เกิน 5,000 บาท) โดยลูกหนี้จะต้องเข้ามาเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้บางส่วนซึ่งมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น

รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวว่า “รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นภาครัฐและเอกชนจึงร่วมกันออกโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้ การแก้หนี้ที่ยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับการเพิ่มทักษะ (upskill/reskill) และเสริมสร้างรายได้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งเป็นอีกด้านที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาและยกระดับรายได้ของครัวเรือนให้ดียิ่งขึ้น”

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นงานที่ ธปท. ให้ความสำคัญและผลักดันมาต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจเติบได้อย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้มี 2 จุดสำคัญที่ต่างจากที่ผ่านมา คือ (1) การปรับโครงสร้างหนี้ที่เน้นตัดเงินต้น และลดภาระผ่อนในช่วง 3 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ (2) การร่วมสมทบเงิน (Co-payment) จากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อช่วยลดภาระจ่ายของลูกหนี้

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า คาดว่าโครงการนี้จะสามารถให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มได้ราว 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ และยังมีการออกแบบกลไกการส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่กับการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ด้วย ทั้งนี้ สถาบันการเงินของรัฐอยู่ระหว่างการหารือกับ ธปท. และกระทรวงการคลัง ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้ของกลุ่ม Non-bank รวมถึงการพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะไม่ทับซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ของโครงการนี้ ทั้งนี้ คาดว่ามีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ทั้ง 2 มาตรการของสถาบันการเงินของรัฐ จำนวนประมาณ 6 แสนบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4.5 แสนล้านบาท

ประมงพัทลุง-ประมงสงขลา รวมพลังเฝ้าระวังปลาหมอคางดำ ปกป้องทะเลสาบสงขลา

0

ประมงจังหวัดสงขลา และ ประมงจังหวัดพัทลุง ตระหนักถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ประมงทั้งสองจังหวัดลงพื้นที่ดูแลเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และชาวประมงพื้นบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย พร้อมกับตรวจติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา สร้างการรับรู้ และร่วมมือกับชาวประมงพื้นบ้านจัดชุดปฏิบัติการสำรวจปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลาหลังน้ำท่วมคลี่คลาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นวาไม่พบปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา

นายภูษิต จันทร์เพชร ประมงจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ประมงจังหวัดพัทลุงตระหนักดีถึงความกังวลใจของประชาชนและชาวประมงพื้นบ้านว่าสถานการณ์น้ำท่วมอาจเป็นปัจจัยให้เกิดการพัดพาปลาหมอคางดำลงสู่ทะเลสาบสงขลา โดยฝั่งจังหวัดพัทลุงได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ประมงบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดดูแลเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว พร้อมกับประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักว่ามีโอกาสที่ปลาหมอคางดำหลุดเข้าทะเลสาบสงขลา ประมงจังหวัดจัดชุดปฏิบัติการสำรวจปลาหมอคางดำ และขอความร่วมมือกับชาวประมงพื้นบ้านช่วยกันสอดส่องในพื้นที่บริเวณทะเลสาบสงขลา หากพบให้ดำเนินการตามมาตรการ “เจอ แจ้ง จับ จบ” ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งพบปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา

ก่อนหน้านี้ในช่วงฝนตกชุก ประมงจังหวัดพัทลุงปล่อยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้ว จำนวน 8,000 ตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงในแหล่งน้ำที่พบปลาหมอคางดำ รวมทั้งแหล่งน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา เป็นรอยต่อกับอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นการสร้างแนวกันชนเชิงป้องกันหากมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในช่วงที่น้ำหลาก ขณะเดียวกัน ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชาวประมงพื้นบ้าน เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมในการติดตามเฝ้าระวังปลาหมอคางดำอีกทางหนึ่ง

ด้านจังหวัดสงขลา นายเจริญ โอมณี ประมงจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยครอบคลุมหลายอำเภอ ประมงจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่กองตรวจการประมงออกปฏิบัติหน้าที่เพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและอาสาสมัครตั้งจุดประกอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสัตว์น้ำชายฝั่ง รวมทั้งแจกจ่ายอาหารปรุงสุก และน้ำดื่มเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ ประมงจังหวัดสงขลาไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องปลาหมอคางดำ โดยร่วมมือกับประมงอำเภอระโนด และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสงขลา ชมรมกุ้งอำเภอระโนด ผู้นำชุมชนเฝ้าระวังแหล่งน้ำในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือกับผู้นำชุมชนดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำตามมาตรการ “เจอ แจ้ง จับ จบ” พร้อมกับส่งเสริมการนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นอาหาร โดยก่อนเกิดอุทกภัย ประมงอำเภอระโนดร่วมกับซีพีเอฟ ปล่อยปลากะพงขาว ขนาด 4 นิ้ว จำนวน 10,000 ตัว ลงในแหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอระโนด เพื่อควบคุมปลาหมอคางดำในพื้นที่และเป็นแนวกันชนป้องกันปลาหมอคางดำขยายวงออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา

นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประมงอำเภอระโนดยังได้สนับสนุนกากชาแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อนำไปกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นแนวทางป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำหลุดออกไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในช่วงที่ฝนตกชุก ระดับน้ำในลำคลองเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

ประมงจังหวัดพัทลุงและสงขลาได้ดำเนินการมาตรการเชิงป้องกันการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น โดยมีการติดตามเฝ้าระวังเป็นประจำ พร้อมกับสร้างการรับรู้ว่าปลาหมอคางดำมีประโยชน์สามารถนำมาใช้บริโภคได้ และใช้ประโยชน์ได้ โดยประมงจังหวัดมีแผนที่จะรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำมาทำน้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ยแจกให้เกษตรกร รวมทั้งหาแนวทางส่งเสริมจับปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์และจัดการที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรักษาความหลากหลายของระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืนต่อไป

AIS ร่วมปลุกกระแสสังคม ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต เดินหน้าองค์กรด้วยความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ปี 2567

0

AIS ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชัน เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลปี 2567 สะท้อนจุดยืนองค์กรโปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมด้วยการมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการต่อต้านการทุจริต โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และภาคีเครือข่าย แสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด “Fight Against Corruption สู้ให้สุด หยุดการโกง” ควบคู่กับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมองค์กรที่ดีสู่สังคม ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา AIS ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและโปร่งใส ภายใต้แนวคิดสร้างการเติบโตร่วมกันของคนและสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล ตามหลักการกำกับกิจการที่ดี ทั้งด้านขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ สร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้ทุกคนในสังคม และยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่สามารถสร้างการเติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีนโยบายและแนวปฏิบัติในการต่อต้านการให้หรือรับสินบนและการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ (Anti-bribery and Corruption Policy) ควบคู่กับการสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่ดี โดยสนับสนุนให้บุคลากรมีจิตสำนึกที่ดีและความซื่อตรงในการทำงาน และส่งต่อแนวคิดนี้ไปยังผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และสังคม”

สำหรับกิจกรรมวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ในปีนี้ ได้รับเกียรติจากนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมตรี ในฐานะผู้แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานฯ ประกาศเจตจำนงในการต่อต้านการทุจริต โดยชาว AIS ทั้งผู้บริหารและพนักงานทั่วประเทศ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังต่อต้านการคอร์รัปชัน ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรอย่างโปร่งใส แสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การยกระดับคุณภาพสังคมและประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

AIS ปูพรมโครงข่ายครอบคลุมภาคเหนือ เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ รับเทศกาลท่องเที่ยวหน้าหนาว

0

AIS โชว์ศักยภาพการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ ย้ำเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารที่มีความครอบคลุมมากสุดในพื้นที่ภาคเหนือทั้ง 5G และ 4G สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานที่ท้าทายของทีมวิศวกรในด้านภูมิศาสตร์ ข้อจำกัดด้านพลังงาน และภัยธรรมชาติ โดยใช้นวัตกรรมโครงข่ายและความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมโครงข่ายมาตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในพื้นที่ภาคเหนือทุกกลุ่ม ทั้ง ผู้บริโภคทั่วไป คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการเดินทางพร้อมทำงานได้ทุกที่ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือ Digital Nomad กลุ่มชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมือง แรงงานต่างชาติ และภาคธุรกิจบริการ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารในพื้นที่สูงหรือพื้นที่ห่างไกล ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ เดินหน้าผสานพลังร่วมกับทุกภาคส่วนนำศักยภาพด้านโครงข่ายอัจฉริยะปูพรมทุกพื้นที่ยืนยันความพร้อมต้อนรับช่วงพีคการท่องเที่ยวของภาคเหนือในช่วงฤดูหนาว

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “แม้ว่าในวันนี้ AIS จะมีโครงข่ายสัญญาณทั้ง 5G และ 4G ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร แต่เรายังคงเดินหน้ายกระดับความแข็งแกร่งของโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นตัวนำนวัตกรรมและโซลูชัน InnoVis Network มาพัฒนาคุณภาพการให้บริการและขยายเน็ตเวิร์คอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งยังนำ AI และ Autonomous Network เข้าเสริมศักยภาพของโครงข่ายสื่อสารเพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีความท้าทายอย่างมาก ทั้งในด้านทางภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูง มีทิวเขา เทือกเขา ภูเขา รวมถึงยังมีข้อจำกัดด้านแหล่งพลังงาน และปัญหาภัยทางธรรมชาติ แต่ AIS ก็ยังคงเป็นผู้นำที่สามารถส่งมอบประสบการณ์การดิจิทัลที่ตอบโจทย์ทั้ง ลึก สูง กว้าง ไกล ที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือ”

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวเสริมว่า “สำหรับพื้นที่ภาคเหนือค่อนข้างมีความท้าทายอย่างมากในการวางแผนและออกแบบโครงข่ายให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ด้วยพื้นที่สูง ทิวเขา หรือดอยต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแหล่งพลังงาน ทำให้ทีมวิศวกรต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากในการทำงาน ประกอบการใช้พลังงานธรรมชาติอย่างโซลาร์เซล กังหันลม และไฮโดรเจน และผสมผสานระบบการกระจายสัญญาณและไมโครเวฟ ด้วย Super Cell LINK ที่จะเป็นการขยายระยะการส่งสัญญาณเพื่อเชื่อมโยงจากจุดต่อจุด ทั้งจากพื้นที่ราบและพื้นที่หลังทิวเขามาสู่พื้นที่ร่องเขาด้านล่าง เพื่อยกระดับ Digital Inclusion ในพื้นที่ห่างไกลหรือในมุมอับสัญญาณที่อาจจะถูกบดบังจากภูเขาและพื้นที่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นการบริหารจัดการคุณภาพโครงข่ายสัญญาณของภาคเหนือจึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ AIS ที่พวกเราทุ่มเทสรรพกำลัง เพื่อให้คนไทยในพื้นที่ภาคเหนือทุกกลุ่มสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความแข็งแรง อันจะนำไปสู่การสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือได้ในทุกมิติ”

นายอาทยา หยู่เย็น หัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคเหนือ AIS กล่าวต่อไปอีกว่า “วันนี้ความพร้อมโครงข่ายสื่อสารของ AIS ภาคเหนือมีความพร้อมมากกว่าการเป็นระบบสื่อสาร ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่ม ผู้บริโภคทั่วไป กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการเดินทางและทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือ Digital Nomad กลุ่มชาติพันธ์ ชนเผ่าพื้นเมือง แรงงานต่างชาติ และภาคธุรกิจบริการ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารในพื้นที่สูงหรือพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีความครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อาทิ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา, อุทยานแห่งชาติแม่ปิง, ห้วยกุ๊บกั๊บ, ทุ่งเกี๊ยะ, บ้านป่าข้าวหลาม, และดอยม่อนล้าน เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวให้มีความสะดวกสบาย พร้อมส่งต่อคอนเทนต์ผ่านโลกออนไลน์ได้แบบไร้ขีดจำกัด

นอกจากนี้เรายังมุ่งสร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้คนไทย ด้วยการเดินหน้าขยายโครงข่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้กับผู้คน และสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วน อาทิ การขยายเครือข่ายสัญญาณและอินเทอร์เน็ตโรงเรียน ตชด. ในพื้นที่ห่างไกล, การนำ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการเครือข่ายในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเครือข่ายสื่อสารจะสามารถใช้งานได้ และส่งต่อความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที, สนับสนุนโครงข่ายดิจิทัลเพื่อระบบโทรมาตรอัตโนมัติ, การทำงานร่วมกับ GULF และ สวพส. ในโครงการ Green Energy Green Network For Thais พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและโครงข่ายดิจิทัลในพื้นที่ห่างไกล

AIS เชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งลึกสุด สูงสุด กว้างสุด และไกลที่สุดในไทยและที่ 1 ตัวจริงในภาคเหนือ จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว นำไปสู่การสร้างรายได้ สร้างเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวหน้าหนาวได้อย่างแน่นอน”

นายกฯ อิ๊งค์ แจงด่วน ยันไม่ขึ้น vat เป็น 15%

0

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กภายหลังการประชุมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ โดยมีเนื้อหาพูดถึงประเด็นการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนี้

“จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT15% วันนี้ ดิฉันได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับท่านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อความชัดเจน ดิฉันขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้ค่ะ

1. ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15%

2. กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

3. การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่นๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี

4. นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทยค่ะ

ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจค่ะว่า การทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคนค่ะ

AIS กวาด 3 รางวัลเวที Thailand Corporate Excellence Awards 2024 ตอกย้ำเป็นเลิศด้านบริหารจัดการองค์กรในทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

0

AIS การันตีความสำเร็จด้านการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพรอบด้าน พร้อมเดินหน้าธุรกิจสู่การเป็น Cognitive Tech-Co อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการคว้า 3 รางวัล จากเวที Thailand Corporate Excellence Awards 2024 ที่แสดงถึงความพร้อมขององค์กรในทุกมิติ ทั้งด้านการบริหารจัดการเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อพร้อมรับความท้าทายของโลกในด้านต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากภารกิจเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง AIS ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการในด้านต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตให้องค์กรอย่างยั่งยืน รางวัลทั้ง 3 สาขาที่เราได้รับในครั้งนี้นับเป็นอีกบทพิสูจน์ความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการองค์กรที่ครอบคลุมในทุกมิติ และนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS เป็นอย่างยิ่ง รางวัลเหล่านี้จะเป็นพลังสำคัญให้เราทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อนำพาองค์กรให้เติบโตในทุกมิติ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย เพื่อร่วมผลักดันภาคธุรกิจของประเทศไทยต่อไป”

สำหรับรางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2024 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อมอบให้แก่องค์กรที่มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศในด้านต่างๆ ผ่านการสำรวจความคิดเห็นและเสนอชื่อโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำในประเทศไทย โดยในปีนี้ AIS ได้รับรางวัลระดับ Distinguished Awards จากเวที Thailand Corporate Excellence Awards 2024 ใน 3 สาขา ได้แก่

  • สาขาความเป็นเลิศด้านผู้นำ (Leadership Excellence Award) แสดงถึงความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกกลุ่ม ควบคู่กับการสร้างการเติบโตร่วมกันกับทุกภาคส่วน ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจแบบแบ่งปันเพื่อร่วมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ
  • สาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence Award) สะท้อนถึงศักยภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ตลอดจนวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมการเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานทุกคนอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบายที่นำหลัก DEI (Diversity, Equity และ Inclusion) มาประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วนขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการด้านการพัฒนาทักษะ ความรู้ และทัศนคติ
  • สาขาความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Innovation Excellence Award) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและความเป็นนวัตกรให้แก่บุคลากรทุกระดับ ตลอดจนการลงทุนทรัพยากรและบุคลากรในการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพื่อเตรียมพร้อมให้ AIS เดินหน้าสู่อนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ซีพีเอฟ และบริษัทในกลุ่ม รับ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2567 ระดับดีเยี่ยม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2567 ระดับดีเยี่ยม ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 และมีบริษัทในกลุ่มรวม 12 บริษัทร่วมรับรางวัล จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในฐานะองค์กรที่สนับสนุนสร้างความมั่นคงของชีวิตคนพิการให้โอกาสได้ทำงานที่มีคุณค่า พร้อมร่วมแสดงความยินดีกับคนพิการ 2 ท่านที่ทำงานช่วยโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณคนพิการดีเด่นอีกด้วย

วันที่ 4 ธันวาคม 2567 นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบรางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2567 ระดับดีเยี่ยม แก่ซีพีเอฟ และบริษัทในกลุ่ม รวม 12 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ดโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ ไอทีเซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท อินเตอร์เนชันแนล เพ็ท ฟู้ด จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ดแอนด์เบฟเวอร์เรจ จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด และ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้ารับรางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2567 ระดับดีเยี่ยม พร้อมกันด้วย

ปัจจุบัน ซีพีเอฟและบริษัทในกลุ่มจัดจ้างคนพิการรวม 807 คน โดยแบ่งเป็นการจัดจ้างคนพิการทำงาน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย การจัดจ้างคนพิการทำงานในสถานประกอบการของซีพีเอฟ 210 คน การจัดจ้างคนพิการให้ทำงานในชุมชน เช่น เป็นผู้ช่วยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทำงานในวัด รวมทั้งเป็นผู้ดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนของโรงเรียนต่างๆ รวม 581 คน และการให้สัมปทานพื้นที่ในสถานประกอบการให้คนพิการจำหน่ายอาหารในโรงอาหาร 1 คน รวมทั้งสนับสนุนนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติไทย 15 คน เพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการในสังคมได้มีงานและรายได้ที่มั่นคง เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมที่มั่นคงและยั่งยืน

นอกจากนี้ คนพิการที่ซีพีเอฟจ้างงาน 2 คน ได้แก่ นายสมชาย ขุนเจริญ ทำงานเป็นผู้ช่วยโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนบ้านไผ่เจียรวนนท์อุทิศ 7 จ.นราธิวาส และนางนิภารัตน์ พรหมศรี ทำงานเป็นผู้ช่วยโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนบ้านเอราวัณ จ.เลย ยังได้รับรางวัลคนพิการดีเด่น จากการคัดเลือกโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในแต่ละจังหวัด ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จที่ยั่งยืนของความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการสร้างโอกาสให้คนพิการมีรายได้มั่นคง สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี เป็นพลังสำคัญของครอบครัว และยังสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชุมชนอีกด้วย

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย องค์กรคนพิการแต่ละประเภท และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดงาน “วันคนพิการสากล” เพื่อยกย่องหน่วยงาน และที่ร่วมสนับสนุนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และส่งเสริมความเข้าใจในคนพิการ ตามแนวคิดขององค์การสหประชาชาติ “ส่งเสริมการเป็นผู้นำคนพิการเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน” (Amplifying the leadership of persons with disabilities for an inclusive and sustainable future)

ฟังเสียงชาวใตั … CP-CPF หนุนโรงครัวช่วยประชาชนต่อเนื่อง

0

ปัจจุบันสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในหลายจังหวัดเริ่มคลี่คลาย ปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงเริ่มลดลง ประชาชนกลับเข้าบ้านเรือนได้ หากแต่เรื่องอาหารการกินที่เพียงพอยังเป็นสิ่งสำคัญ 

CP – CPF และบริษัทในเครือ CP ยังคงเดินหน้าช่วยสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม องค์กรอาสาต่างๆอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ ตามนโยบาย “ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนทุกโรงครัว” ของนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF

โดยมีชาว CPF จิตอาสาเป็นกำลังสำคัญในการนำความช่วยเหลือไปมอบให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ด้วยวการร่วมส่งมอบวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ทั้งไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ผลิตภัณฑ์กุ้ง น้ำดื่ม และข้าวสาร ให้แก่หน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันส่งความช่วยเหลือถึงมือพี่น้องชาวใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครในพื้นที่ 

ที่ผ่านมาหน่วยงานของ CPF กระจายกำลังช่วยเหลือในหลายพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดที่ประสบอุทกภัย อาทิ สงขลา พัทลุง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส 

นายมนตรี ฤทธิจอม ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอระโนด จ.สงขลา กล่าวว่า ออกมาข้างนอกลำบาก ก็คือปัญหาน้ำท่วมขังอยู่ประมาณเดือนถึงเดือนครึ่ง คือน้ำทะเลสาปจะหนุนยาวเนื่องจากทะเลสาปสงขลาน้ำมาจากเทือกเขาบรรทัดแล้วลงทะเลสาปสงขลาแล้วระโนดคือพื้นที่บนสุดของทะเลสาปสงขลาน้ำทะเลก็จะมาหนุน ในนามของอำเภอระโนด (ตัดที่บอกชื่อออก)..ก็ขอขอบคุณ CP ที่สนับสนุนไม่ว่าจะเป็นอาหารสดไข่ไก่ ให้กับพี่น้องในพื้นที่อำเภอระโนด

นายสุนทร ช่วยแท่น กำนันต.บ้านขาว อ.ระโนด จ.สงขลา กล่าวเสริมว่า พื้นที่ของตำบลบ้านขาวรองรับน้ำจากทั้งหมดจากจังหวัดพัทลุงแม้ฝนหยุดแต่ตอนนี้คือน้ำยังไม่ลดเกิดภาวะท่วมขังการเข้าออกยังลำบาก วันนี้ก็ได้ร่วมกับส่วนจังหวัด หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น CP-CPF มาร่วมกันแจกของและการทำโรงครัวช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ชาวบ้านในพื้นที่สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สภากาชาด มูลนิธิซีพีที่ได้บริจาคของสด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ น้ำ พวกไข่ไก่ มาใช้ใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารกล่อง ขอบคุณหน่วยงานที่ได้เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือชาวบ้านในภาวะที่เกิดอุทกภัย

การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรจิตอาสานี้ สะท้อนความสามัคคีและความช่วยเหลือที่ไม่มีวันหมด เพื่อให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างมั่นคง และการสนับสนุนโรงครัวน้ำใจของ CPF จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย.