Home Blog Page 47

จ.ตราดสุดมั่น ปลอดปลาหมอคางดำ ติดตามสำรวจใกล้ชิด รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

0

ประมงจังหวัดตราดมั่นใจยังไม่พบปลาหมอคางดำในพื้นที่ ยังคงร่วมมือกับชาวประมงในท้องถิ่นติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดปลาชนิดนี้ในทุกแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง และการสำรวจครั้งล่าสุดยืนยันจังหวัดตราดยังคงปลอดปลาหมอคางดำ ทั้งนี้ จังหวัดตราดยังคงดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ
เมื่อเร็วๆ นี้ (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568) นายกุณสมบัติ ศิริสมบัติ ประมงจังหวัดตราด มอบหมายให้นายชัชวาล วุฒิเมธี หัวหน้ากลุ่มพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการประมง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานประมงจังหวัดตราด ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งตราด ตัวแทนสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ 3 แห่งไม่พบปลาหมอคางดำแต่อย่างใด

นายกุณสมบัติ ศิริสมบัติ ประมงจังหวัดตราด ได้นำทีมสำรวจการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ โดยมอบหมายให้นายชัชวาล วุฒิเมธี หัวหน้ากลุ่มพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการประมง พร้อมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งตราด และตัวแทนสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจปลาด้วยวิธีการทอดแหในคลอง 3 แห่ง ได้แก่ คลองท่าน้ำ ตำบลแหลมกลัด คลองประทุน ตำบลแหลมกลัด และคลองบ้านแตง ตำบลชำราก จากการทอดแหไม่พบปลาหมอคางดำแต่อย่างใด พบปลาท้องถิ่น อาทิ ปลากระบอก ปลาขี้จีน และปลาแป้น

นายกุณสมบัติ กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้ จังหวัดตราดยังไม่พบปลาหมอคางดำในพื้นที่ และประมงตราดมีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยเฝ้าระวังและแจ้งการพบ ตามแนวทาง “เจอ แจ้ง จับ” และมีแผนที่สำรวจเพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทุกอำเภออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจังหวัดตราดปลอดปลาหมอคางดำ

นอกจากการติดตามเฝ้าระวัง ที่ผ่านมา จังหวัดตราดได้มีการปล่อยปลากะพงขาวลงในแม่น้ำเวฬุ เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นปลานักล่าช่วยควบคุมจำนวนตัวอ่อนของปลาหมอคางดำ ช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำของตราด นอกจากนี้ ปลากะพงขาวยังถือเป็นปลาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านสามารถจับไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ จังหวัดตราดให้ความสำคัญกับการป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและรักษาสมดุลของระบบนิเวศในจังหวัด.

AIS ผนึก กสทช. ตำรวจไซเบอร์ เจาะพื้นที่สงขลา คุมเข้มเสาสัญญาณแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

0

เอไอเอส เดินหน้าสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ แก้ไขและควบคุมเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการใช้สัญญาณก่ออาชญากรรมข้ามแดนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดวันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) AIS โดยทีมผู้บริหารและวิศวกรภูมิภาค ร่วมกับ กสทช., ตำรวจไซเบอร์ ลงพื้นที่ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 อยู่ห่างจากเขตแดน ไม่เกิน 1 กิโลเมตร) โดยเอไอเอสได้ดำเนินการปรับทิศทางการส่งสัญญานให้อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว และควบคุมกำลังส่งไม่ให้กระจายออกไปนอกประเทศ รวมถึงปรับลดระดับสายอากาศลงมาที่ 15 เมตร เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ AIS ยังดำเนินการติด Tag ชื่อเครือข่ายที่สายสื่อสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตามมาตรการของภาครัฐ เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามเชิงรุก ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ลงพื้นที่กวดขัน และปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ อย่างเคร่งครัดในพื้นที่เสี่ยง บริเวณชายแดน 7 จังหวัด 11 อำเภอ เสร็จสิ้นเรียบร้อยตั้งแต่กลางปี 2567 รวมถึงดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมในอีก 10 จังหวัด โดยมีกำหนดตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตลอดจน ยืนยันการเชื่อมต่อจุดสัญญาณกับผู้ให้บริการในประเทศเพื่อนบ้านต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ชายแดน AIS ได้เตรียมดูแลเครือข่าย อาทิ ติด Small Cell, นำรถสถานีฐานเคลื่อนที่มาให้บริการประชาชนให้สามารถติดต่อสื่อสารได้

รู้เก็บรู้ออมฯ : New Breed 2025

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะยังมีความผันผวน แต่ความต้องการแรงงานสายอาชีพด้านการเงินก็ยังอยู่ในระดับสูง และมีการผลิตบุคลากรด้านนี้ป้อนเข้าสู่ตลาดทุนเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งที่ผ่านมา “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการผลิตและยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทยมาโดยตลอด

เราจึงได้เห็นโครงการต่างๆมากมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาหลักสูตรด้านการวิเคราะห์การเงินการลงทุน, โครงการเชื่อมโยงหลักสูตร CISA เข้ากับหลักสูตรของมหาวิทยาลัย, โครงการห้องเรียนนักลงทุน, พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน โดยจัดการศึกษา การอบรม และกิจกรรมต่างๆครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงกลุ่มคนที่สนใจวิชาชีพการเงิน ทั้งหมดนี้เพื่อผลิตและเตรียมบุคลากรด้านการเงินการลงทุนรองรับกับระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยได้อย่างยั่งยืน

รวมถึงโครงการล่าสุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ “New Breed Capital Market Financial Professionals 2025” ที่อยากเชิญชวนนิสิตนักศึกษา และวัยเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ให้มาร่วมค้นหาศักยภาพด้านการเงินการลงทุนของตัวเอง ติดอาวุธความรู้ เพิ่มทักษะในสายอาชีพการเงินและการลงทุน พร้อมกับโอกาสคว้าทุนสอบ CISA ระดับ Foundation Knowledge (AISA) 2 ครั้ง มูลค่า 14,000 บาท จำนวน 250 ทุน

นอกจากเป็นการเปิดประตูสู่อาชีพสายการเงินการลงทุนแล้ว ยังเป็นการสร้างความพร้อมและความมั่นใจในการก้าวสู่เส้นทางอาชีพสายนี้ โดยผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนจะได้เรียนรู้หลักสูตร e-Learning AISA 9 วิชา และได้รับ e-Book AISA สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้ไม่จำกัดเวลา และยังได้เข้าร่วม Live Training ตะลุยโจทย์เพื่อเตรียมความพร้อมสอบ AISA

ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทุนสอบ AISA ซึ่งเป็นคุณวุฒิความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุนที่มีมาตรฐาน ได้รับการยอมรับจากสำนักงาน ก.ล.ต. สามารถนำไปใช้ขึ้นทะเบียนนักวิเคราะห์การลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนได้ นอกจากนี้ยังได้โอกาสสำคัญเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ Exclusive Financial Career Camp ช่วยพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ เป็นการเตรียมพร้อมและติดอาวุธความรู้สู่ความเป็นมืออาชีพบนเส้นทางวิชาชีพด้านการเงินให้กับตัวเอง

คุณสมบัติของผู้สมัครคือ เป็นนักศึกษาที่อยู่ในระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป ระดับปริญญาโท–เอก อายุไม่เกิน 35 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2533 เป็นต้นไป), ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2543 เป็นต้นไป) สามารถดูรายละเอียดและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 ก.พ.2568 ทาง https://www.set.or.th/th/newbreed2025

คุณนายพารวย

AIS ชวนส่งต่อความรัก “เปลี่ยน E-Waste เป็นเน็ตให้น้อง” ช่วยโลกยั่งยืนสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

0

AIS ชวนคนไทยร่วมส่งต่อความรักและโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล เนื่องในเดือนแห่งความรัก ผ่านแคมเปญ “เปลี่ยน E-Waste เป็นเน็ตให้น้อง” ส่งต่ออินเทอร์เน็ตจากพลังงานสีเขียวเพื่อการศึกษา โดยทุกๆ การทิ้ง E-Waste 1 ชิ้น จะถูกเปลี่ยนเป็นอินเทอร์เน็ต 1GB มอบให้กับโรงเรียนในชุมชนห่างไกล ภายใต้โครงการ Green Energy Green Network for THAIs เพื่อช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่นักเรียนบนพื้นที่สูง โดยสามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งได้ที่ AIS Shop ทุกสาขา และองค์กรพันธมิตรกว่า 235 องค์กร รวมทั้งสิ้น 2,700 จุดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “AIS ให้ความสำคัญกับภารกิจการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นระบบ พร้อมสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมาย ‘Hub of E-Waste’ หรือศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยแคมเปญ ‘เปลี่ยน E-Waste เป็นเน็ตให้น้อง’ ที่เป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เชิญชวนทุกคนนำขยะ E-Waste มาเปลี่ยนเป็นอินเทอร์เน็ตให้แก่เด็กๆ ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การทิ้ง E-Waste ที่นอกเหนือจากการทิ้งอย่างถูกวิธี ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยสนับสนุนโอกาสทางการเรียนรู้ ให้นักเรียนบนพื้นที่สูงสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา ตามเจตนารมณ์ส่งมอบโครงข่ายไปยังชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ภายใต้นโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้าน Digital Inclusion สร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม”

ทั้งนี้ แคมเปญ “เปลี่ยน E-Waste เป็นเน็ตให้น้อง” จะเริ่มนำร่องใน 6 โรงเรียนพื้นที่ห่างไกลที่อยู่ภายใต้โครงการ Green Energy Green Network for THAIs ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง AIS, GULF และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) โดยจะเปลี่ยน E-Waste ที่ได้รับเป็นอินเทอร์เน็ตให้แก่ โรงเรียนบ้านหนองบัว สาขาบ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง  จ.ตาก, ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านมอโก้โพคี  อ.ท่าสองยาง จ.ตาก, ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านขุนก๋อง จ.ลำพูน, โรงเรียนบ้านแม่โขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่, โรงเรียนบ้านแม่โมงเย้า อ.แม่สรวย จ.เชียงราย และโรงเรียนบ้านแม่ตอละ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อให้โรงเรียนนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และส่งเสริมการอ่านของนักเรียนผ่าน E-Book บนแพลตฟอร์มห้องสมุดดิจิทัล AIS ReadDi Digital Library ทั้งนี้ AIS ยังมีแผนขยายการส่งเสริมไปยังพื้นที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป

เมืองไทยประกันชีวิต เชิดมังกรชมพูฉลองตรุษจีน 687 พร้อมสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้ามังกรเขียว

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  โดยนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ นางยุพา ล่ำซำ  นายสาระ  ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นางสลิล ล่ำซำ นายภูมิชาย  ล่ำซำ  ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี  โมกขะเวส  กรรมการผู้จัดการ  พร้อมด้วยบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด โดยนางสาวกฤษณา อัมพุช รองประธานกรรมการ นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด  และนายอิทธิฤทธิ์ รัตนทารส อัมพุช ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป Leasing & Business Development The EM District  คณะผู้บริหาร  และพนักงานร่วมจัดพิธีสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม  เทพเจ้ากวนอู  และเทพเจ้ามังกรเขียว พร้อมเชิดมังกรชมพูและสิงโต เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 เพื่อแสดงความเคารพกราบสักการะองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงขอพรเสริมความเป็นสิริมงคลตลอดปี ณ สวนสุขภาพโพธิพงษ์ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ ภายในงานเริ่มลำดับพิธีด้วยคณะผู้บริหารอัญเชิญองค์เทพมา ณ แท่นประทับ ถวายเครื่องสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้ามังกรเขียว ตามด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติร่วมงาน และพนักงาน ร่วมสักการะองค์เทพ  การแสดงเชิดมังกรชมพูและสิงโต ปิดท้ายด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติ และพนักงานร่วมพิธีลอดใต้ท้องมังกรชมพู

โดยในงานปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิต จัดงานภายใต้แนวคิดการร่วมรณรงค์ลดฝุ่นควันและมลพิษ ด้วยการใช้ประทัดไฟฟ้า แทนการจุดประทัดแบบดั้งเดิม รวมถึงการใช้ธูปไร้ควันในพิธีสักการะองค์เทพ ที่ช่วยให้ปลอดภัยต่อสุขภาพและลดมลพิษทางอากาศ ตามความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ใส่ใจด้าน ESG มุ่งสร้างความสุขและรอยยิ้มอย่างยั่งยืนที่แท้จริง. 

CPF ปันน้ำปุ๋ยให้เกษตรกร … ต้นแบบความร่วมมือบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

0

การสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญในการรับมือผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นต้นเหตุของภัยแล้ง น้ำท่วม ฯลฯ และต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน

เป็นเวลามากกว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ความร่วมมือขับเคลื่อน “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งผลเชิงบวกต่อเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในแง่ของผลผลิตที่ดีขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ลดลง จากการลดการใช้ปุ๋ยเคมี

ความสำเร็จของกระบวนการบริหารจัดการน้ำภายในองค์กรของซีพีเอฟ ที่นำน้ำหลังการบำบัดด้วย Biogas ในฟาร์มเลี้ยงสุกร ซึ่งเป็นน้ำที่ยังมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัย ที่พนักงานปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์มไว้เพื่อบริโภค และด้วยสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆปี น้ำปุ๋ยจากฟาร์ม จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรโดยรอบ

สิงห์คำ อินทะ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจอมทอง จ.เชียงใหม่ มาใช้กับไร่ข้าวโพดหวาน มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เริ่มแรกที่ขอใช้น้ำปุ๋ยเพราะต้องการลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุไนโตรเจนสูงเหมาะกับข้าวโพดหวาน ต้นโตไว ฝักใหญ่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จึงเพิ่มตาม และยังลดค่าปุ๋ยได้ถึง 50-70% จากนั้นเกษตรกรรอบข้างก็ชวนกันมาใช้น้ำปุ๋ย ปัจจุบันใช้อยู่ 15 ราย ทั้งปลูกข้าวโพดหวานและผักสวนครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ที่ผ่านมาไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้ง มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี

ด้าน ณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี เล่าว่า รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ซึ่งปัจจุบันปรับปรุงเป็นระบบท่อลำเลียงน้ำที่เปิดใช้วันละ 2-4 ราย ให้เกษตรกร 20 ราย บนพื้นที่ 200 กว่าไร่ ใช้ในสวนผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ กล้วย เฉพาะตนเองใช้ในสวนทุเรียน 10 กว่าไร่ ผลผลิตดีขึ้นมาก ติดผลดี คุณภาพผลผลิตดี เพราะน้ำปุ๋ยมีอินทรีย์วัตถุที่ดีแทนปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ต้นไม้จึงเจริญงอกงาม ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปกว่า 20-30%

จากความสำเร็จของธุรกิจสุกร เป็นแนวทางที่ดีที่ธุรกิจอื่นๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบ อาทิ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ จำนวน 9 แห่ง ที่ส่งต่อน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรใกล้เคียง วิโรจน์ ใจด้วง ปลูกหญ้าเนเปียร์ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ซึ่งการปลูกหญ้าต้องใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก จึงเริ่มรับน้ำตั้งแต่ปี 2564 จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยฟาร์มวางระบบท่อยาว 1 กิโลเมตร ส่งมาให้โดยต้องผสมกับน้ำจากคลองชลประทานอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ตอนหลังเก็บเกี่ยวหญ้าเพื่อปรับสภาพดิน ใช้น้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง หลังใช้พบว่าหญ้าลำต้นอวบใหญ่ใบใหญ่โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรียอีกเลย ช่วยลดรายจ่ายไปถึง 4,000 บาทต่อปี และได้ผลผลิตเพิ่มเกือบ 50%

ภูเมฆ ถ้ำขี้นาค เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ต.หนองเสาเล้า อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เล่าว่า ปี 2565 ในพื้นที่มีปัญหาภัยแล้ง ตนเองมีไร่อ้อยติดกับฟาร์มไก่ไข่ขอนแก่น จึงขอน้ำมาทดลองใช้ปลูกอ้อย 30 ไร่ ทางโรงงานต่อท่อน้ำให้ใช้โดยตรง เมื่อใช้ช่วงเตรียมดินสังเกตว่าดินคืนสภาพดี ต้นอ้อยเจริญเติบโตดีลำใหญ่ยาว ได้ผลผลิตไร่ละ 21-22 ตัน จากเดิมได้เพียง 15 ตันต่อไร่ และยังลดค่าปุ๋ยเคมีจากเดิม 9 หมื่นบาทต่อปี หลังใช้น้ำปุ๋ยก็ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีและไม่เคยประสบปัญหาแล้งอีกเลย ส่วนไร่อ้อยอีก 10 ไร่ ในอีกพื้นที่เลือกใช้ปุ๋ยกากไบโอแก๊สที่คอมเพล็กซ์ต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ โดยนำไปใส่รองพื้นก่อนปลูกอ้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้ 60-70% ผลผลิตเพิ่มกว่า 30%

เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ไม่เพียงเกิดประโยชน์กับองค์กร แต่ยังมองรวมไปถึงความมั่นคงด้านน้ำตลอดห่วงโซ่คุณค่าอีกด้วย./

คลิกชมคลิป TikTok >>
https://www.tiktok.com/@cpf.journey/video/7471119244432837896?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7416584634233243154

AIS ลุยรืัอถอนสัญญาณ ปิด IP Address จ.ชายแดน สกัดแก๊งคอลฯ

0

AIS ผนึก ภาครัฐ ยกระดับความเข้มข้น สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามพรมแดน รื้อถอนสัญญาณแนวชายแดนสระแก้ว พร้อมเดินหน้าแก้ไขเสาส่งสัญญาณตามมาตรการภาครัฐเพิ่มอีก 9 จังหวัด

AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เดินหน้าสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดำเนินการรื้อถอนสัญญาณบริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบาย เพื่อสนับสนุนแผนการแก้ไขเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณแนวชายแดนที่มีความเสี่ยง ภายใต้ยุทธการอรัญ 68 ระเบิดสะพานโจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทลายสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมเดินหน้าปฏิบัติการแก้ไขเสาส่งสัญญาณเพิ่มเติมในพื้นที่ 9 จังหวัด ตามมาตรการของ กสทช.

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการระบบสื่อสาร เอไอเอสพร้อมสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ และกสทช. อย่างเข้มงวดเสมอมา ในประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขและควบคุมเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยงนั้น

ที่ผ่านมา เอไอเอสได้ดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบกวดขัน และปฏิบัติตามมาตรการของ กสทช. อย่างเคร่งครัดในพื้นที่เสี่ยง บริเวณชายแดน 7 จังหวัด 11 อำเภอ เสร็จสิ้นเรียบร้อยตั้งแต่กลางปี 2567 รวมถึงยืนยันการเชื่อมต่อจุดสัญญาณกับผู้ให้บริการในประเทศเพื่อนบ้านต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเช่นกัน เพื่อป้องกันการใช้สัญญาณก่ออาชญากรรมข้ามแดนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามที่ กสทช. ได้ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อยกระดับเพิ่มความเข้มงวดไปอีกขั้น ขอให้ดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อได้รับคำสั่งเพิ่มเติมดังกล่าว AIS ได้ดำเนินการทันที ได้แก่ พื้นที่ตลาดเบญจวรรณ (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 1 ภายในระยะ 50 เมตรจากเขตแดน) AIS ดำเนินการตามมาตรการเรียบร้อยแล้ว โดยรื้อถอนตัวกระจายสัญญาณทั้งหมดออกแล้ว และพื้นที่บ้านโคกสะแบง (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 อยู่ห่างจากเขตแดน 300 เมตร) AIS ดำเนินการปิดสัญญาณทั้งหมดแล้ว และดำเนินการรื้อถอนตัวสายอากาศ (Antenna) ทั้งหมดออกแล้ว โดย AIS ได้เตรียมดูแลเครือข่ายการใช้งานให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยได้เตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่และติด Small Cell เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้

ทั้งนี้ กสทช. ได้กำหนดให้ดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมใน 9 จังหวัด ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์/พุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี แม่สอด/พบพระ/แม่ระมาด จ.ตาก อรัญประเทศ/บ้านโคกสะแบง จ.สระแก้ว แม่สาย/เชียงของ/เชียงแสน จ.เชียงราย กาบเชิง จ.สุรินทร์ บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร เมืองหนองคาย จ.หนองคาย โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี และเมืองระนอง จ.ระนอง โดยมีกำหนดตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ประกอบด้วย การรื้อถอนเสาสัญญาณที่อยู่ในระยะไม่เกิน 50 เมตรจากชายแดน กรณีเสาที่อยู่ในระยะ 1 กม. จากชายแดน ให้ลดกำลังส่ง และปรับเสาให้สูงไม่เกิน 15 เมตร และเสาที่อยู่ในระยะไม่เกิน 3.5 กม. ให้ตั้งเสาอากาศความสูงไม่เกิน 30 เมตร”

นอกจากนี้ เอไอเอสยังได้ร่วมมือกับ กสทช. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตำสวจสอบสวนกลาง ทำการปิด IP Address ที่คนร้ายใช้ในการกระทำผิดอีกด้วย“การควบคุมโครงข่ายสื่อสารในพื้นที่เสี่ยงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการใช้งานในลักษณะที่ผิดกฎหมาย สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ

เอไอเอส ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนทุกภารกิจของภาครัฐ เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามกลุ่มขบวนการผิดกฎหมาย พร้อมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประเทศและประชาชนทุกคน”

กรมพัฒนาธุรกิจฯ เปิดตัว ระบบเช็ค ‘ที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล’ ชวนปชช.ร่วมปราบบริษัทผี ขโมยที่อยู่ไปหลอกตั้งธุรกิจ

0

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ฯ เปิดระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล คลายข้อกังวลของประชาชนกรณีสงสัยว่าถูกมิจฉาชีพนำที่อยู่ไปแอบจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหรือไม่ พร้อมขอความร่วมมือให้ประชาชนเข้ามาช่วยตรวจสอบ หากพบว่าที่อยู่ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับทราบหรือยินยอมมาก่อน สามารถส่งเรื่องให้กรมฯ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรวจสอบได้เพื่อป้องปรามการกระทำของมิจฉาชีพที่ทำลายความน่าเชื่อถือของนิติบุคคล และสร้างความเสียหายต่อเงินทองและทรัพย์สินของประชาชน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและประเด็นมิจฉาชีพหลอกลวงเงินผู้เสียหายให้โอนไปยังบัญชีธนาคารชื่อนิติบุคคลแห่งหนึ่งตามที่ปรากฎตามในหน้าข่าวสื่อมวลชนช่วงที่ผ่านมา และตรวจสอบพบว่านิติบุคลรายนั้นไม่มีที่ตั้งตรงกับที่แจ้งไว้ตอนจดทะเบียนกับกรมฯ รวมถึงเจ้าของที่อยู่นั้นไม่ได้ยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งเป็นสถานประกอบการแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำลายความเชื่อมั่นของนิติบุคคลและระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า “กรมฯ ไม่นิ่งนอนใจและได้เร่งดำเนินมาตรการทุกด้านเพื่อป้อมปรามการกระทำของมิจฉาชีพดังกล่าว ล่าสุดได้เปิดให้บริการ ‘ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล’ ซึ่งระบบนี้ประชาชนทุกท่านสามารถเข้ามาใช้งานเพื่อตรวจเช็คที่อยู่ของตนเองว่าถูกมิจฉาชีพนำไปจัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่ได้ยินยอมหรือไม่ โดยวิธีการใช้งานมีดังนี้ เข้าไปที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th >> Hot Service >> ตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล >> กรอกข้อมูลที่อยู่ให้ครบถ้วนและกดค้นหาข้อมูล หากที่อยู่ที่กรอกไปนั้นได้ใช้จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ระบบจะแสดงข้อมูลรายละเอียดเบื้องต้นของนิติบุคคล ได้แก่ เลขทะเบียนนิติบุคคล ชื่อนิติบุคคล และที่ตั้งสำนักงาน

หากประชาชนพบว่าที่อยู่ของตนเองถูกนำไปใช้จัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่ได้รับทราบมาก่อนหรือไม่ยินยอม สามารถส่งหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งนั้นได้ โดยผู้ที่ขอตรวจสอบจะต้องเป็นเจ้าบ้าน หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือเจ้าของสถานที่ พร้อมแนบเอกสารดังนี้1) สำเนาทะเบียนบ้าน (เจ้าบ้าน) /สำเนาโฉนดที่ดิน (เจ้าของกรรมสิทธิ์) 2) สำเนาบัตรประชาชน 3) สัญญาเช่า และหนังสือยกเลิกสัญญาเช่า (ถ้ามี) 4) แผนที่สถานที่ตั้ง 5) ผู้ประสานงาน/เบอร์โทรศัพท์/ที่อยู่ในการติดต่อ และ 6) ข้อมูลอื่นๆ (ถ้ามี) ทั้งนี้ หากที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลที่ร้องขอให้ตรวจสอบอยู่พื้นที่กรุงเทพมหานครให้ส่งหนังสือและเอกสารมาถึงผู้อำนวยการกองธรรมาภิบาลธุรกิจ ที่อยู่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 และกรณีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ส่วนภูมิภาคหรือต่างจังหวัดให้ยื่นต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดที่นิติบุคคลนั้นตั้งอยู่ หรือส่ง e-Mail มาที่ [email protected]

สำหรับนิติบุคคลที่กรมฯ ตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีที่ตั้งตามที่จดทะเบียนอยู่จริง กรมฯ จะดำเนินการหมายเหตุไว้ในระบบจดทะเบียนว่านิติบุคคลดังกล่าวว่า ‘ไม่มีที่ตั้งตามที่จดทะเบียนไว้’ และส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีฐานแจ้งข้อความเท็จ พร้อมหมายเหตุบนหน้าหนังสือรับรอง และระบบ DBD Datawarehouse+ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบด้วย

ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานิติบุคคลบัญชีม้าและนอมินี ซึ่งขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม เรื่อง การเรียกเอกสารยินยอมให้ใช้สถานที่เป็นที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสีย แสดงความเห็นผลดี-ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะนำมาปรับขั้นตอนการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลได้อย่างรัดกุมต่อไป คาดว่าจะผลได้รับทราบประชาพิจารณ์ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2568 นี้” อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย

ก.พาณิชย์ฯ เผยตัวเลขปราบนอมินี 820 ราย ออกม.ป้องกัน ใช้ระบบติดตามธุรกิจ-ตรวจสอบที่อยู่ ตัดวงจรสวมรอยจดทะเบียนนิติบุคคล

0

เผยตัวเลขการปราบปรามผู้กระทำผิดในรูปแบบนอมีนี รวม 820 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12,495 ล้านบาท เร่งพัฒนาระบบ IBAS ที่ใช้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของธุรกิจ และเปิดระบบการตรวจสอบที่อยู่เพื่อป้องกันการใช้ที่อยู่ประชาชนมาสวมรอยในการจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมชงเพิ่มฐานความผิดนอมินีในกฎหมาย ป.ป.ง. เตรียมจัดชุดสายตรวจปูพรมลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจนอมินีและสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ 

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ครั้งที่ 3 ว่า เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานภายใต้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าวอย่างจริงจัง เพราะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาด ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมการจัดหางาน กรมการท่องเที่ยว กรมที่ดิน และกรมสรรพากร จับกุมและดำเนินคดีกับนอมินีที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 820 ราย มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12,495 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 – 31 มกราคม 2568) 

image

แบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจ 1.ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง จำนวน 104 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 596 ล้านบาท  2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง จำนวน 228 ราย มูลค่าความเสียหาย 8,890 ล้านบาท 3. ธุรกิจขนส่งทางบก จำนวน 11 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 32 ล้านบาท และ 4.ธุรกิจอื่นๆ จำนวน 477 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 2,976 ล้านบาท 
 
นายนภินทร กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้พัฒนาระบบติดตามตรวจสอบธุรกิจที่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของธุรกิจ ได้แก่ ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคล Intelligence Business Analytic System (IBAS) ซึ่งขณะนี้ กรมฯ ได้เร่งพัฒนาและจะแล้วเสร็จใช้งานได้ในไม่ช้า พร้อมกันนี้ สำนักงาน ปปง. จะเร่งปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้ความผิดนอมินีเป็นมูลฐานความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อีกด้วย
         
ที่ประชุมยังได้เตรียมจัดตั้ง ‘คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย’ ขึ้น เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจนอมินีและสินค้าที่ไม่มีคุณภาพร่วมกัน และเตรียมตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจเพื่อร่วมกันสืบสวน สอบสวน จับกุม และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในพื้นที่ทั่วประเทศร่วมกันต่อไป  

กระทรวงพาณิชย์ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนช่วยกันตรวจสอบที่อยู่ของท่าน โดยปัจจุบันท่านสามารถนำที่อยู่ของตนเองไปตรวจสอบการสวมรอยแอบอ้างไปจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อไปกระทำความผิด โดยตรวจสอบได้ทาง Website กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากพบความผิดปกติ ขอให้ท่านแจ้งไปยังสายด่วน 1570 
ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะได้เร่งดำเนินการต่อไปเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้” นายนภินทร กล่าวทิ้งท้าย

ห้าดาว เปิดตัว ‘หนังไก่กร๊อบบบ’ 2 รสชาติใหม่ เคี้ยวเพลิน อร่อยเกินต้าน

0

กรอบซี้ด สะเทือนโลกต้องลอง มาถึงแล้ว.. ห้าดาว (FIVE STAR) เขย่าวงการของทานเล่นด้วยการเปิดตัวเมนู ‘หนังไก่กร๊อบบบ’ 2 สูตร ได้แก่ ‘หนังไก่กร๊อบ รสต้นตำรับ’ และ ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสรสเผ็ด’ คิดค้นและพัฒนาสูตรอย่างลงตัว ด้วยความกรอบแบบพรีเมียมจากหนังไก่คุณภาพ ทอดในน้ำมันคุณภาพดีกับอุณหภูมิอย่างเหมาะสม เพื่อให้หนังไก่กรอบนานและไม่อมน้ำมัน คงคุณค่าทางโภชนาการ เลือกรับประทานรสไหนก็อร่อยเพลินจนวางไม่ลง พร้อมแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ได้ร่วมความสนุกทุกที่ทุกเวลา

เริ่มที่ ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสต้นตำรับ’ ที่จะนำพาทุกคนย้อนกลับสู่วัยเด็กด้วยหนังไก่ทอดบางกรอบที่กล่อมกล่อมแบบคลาสสิก แค่เคี้ยวก็สัมผัสถึงความสนุก ถัดมาที่สูตรเผ็ดแบบต๊าชชช จาก ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสเผ็ด’ ที่ผสมผสานเครื่องปรุงแซ่บซี๊ดถึงใจ ปลุกความท้าทายในตัวคุณ

หนังไก่กร๊อบบบจากห้าดาว พร้อมวางจำหน่ายทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มาร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่กับความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร ที่จะทำให้ทุกมื้อของคุณกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความฟิน! .