Home Blog Page 44

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก กสิกรไทย เสิร์ฟ 2 โปรสุดคุ้ม รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000  บาท หรือแบ่งจ่าย 0% นาน 6เดือน พร้อมรับ K Point สูงสุด 50,000 คะแนน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แก่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต หรือเบี้ยปีต่ออายุกรมธรรม์ ที่สามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยและบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด      มี 2 โปรโมชันให้เลือก ได้แก่

โปรโมชันที่ 1  แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน พร้อมรับ K Point สูงสุด 50,000 คะแนน*  สำหรับลูกค้าที่ซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัยเมืองไทยประกันชีวิต ผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกใช้บริการ แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน ผ่าน KBank Smart Pay เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป โดยทุก ๆ ยอดใช้จ่าย 10,000 บาท รับ K Point 1,000 คะแนน สูงสุด 20,000 คะแนน/ท่าน/รายการ/วัน  จำกัดการรับ K-Point สูงสุด 50,000 คะแนน ต่อท่านตลอดรายการ   วิธีลงทะเบียน  พิมพ์ ML2 [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิตกสิกรไทย 12 หลักสุดท้าย ส่ง SMS มาที่ 4545888 ก่อนทำรายการ ระยะเวลาโปรโมชัน  21 เมษายน 2568 –                   30 มิถุนายน 2568

โปรโมชันที่ 2 “คุ้ม 2 ต่อ” สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย และบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต (ยกเว้น Unit Linked) ทั้งเบี้ยประกันภัยใหม่ และ    เบี้ยประกันภัยปีต่ออายุ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 31 กรกฎาคม 2568 รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ดังนี้

คุ้มต่อที่ 1  รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000 บาท*

ยอดชำระเบี้ย 10,000-19,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 60 บาท

ยอดชำระเบี้ย 20,000-49,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 120 บาท

ยอดชำระเบี้ย 50,000-99,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 350 บาท

ยอดชำระเบี้ย 100,000-499,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 800 บาท

ยอดชำระเบี้ย 500,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 4,000 บาท

โดยทุกการใช้จ่าย ยังได้รับคะแนนสะสม K Point และพิเศษยิ่งขึ้น สำหรับผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับเครดิตเงินคืนเพิ่มอีก 0.25% จากยอดชำระเบี้ยโดยไม่จำกัดจำนวนเงินคืน ร่วมรายการโดยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียวภายในระยะเวลารายการ : พิมพ์ INS [เว้นวรรค] ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545888

คุ้มต่อที่ 2  แลกคะแนน K Point เท่ายอดใช้จ่าย รับเครดิตเงินคืน 10%** หรือแลกทุก 1,000 คะแนน เพื่อรับเครดิตเงินคืน 100 บาท  โดยต้องแลกคะแนนไม่น้อยกว่ายอดชำระเบี้ยประกันเพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% (จำกัดการแลกสูงสุด 500,000  คะแนน/ท่าน ตลอดรายการ)  ลงทะเบียนทุกครั้งที่ต้องการแลก พิมพ์ KIR  [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย [เว้นวรรค] จำนวนยอดใช้จ่ายที่ต้องการแลก (ไม่ใส่จุดทศนิยม) ส่งมาที่ 4545888

โดยทั้ง 2 โปรโมชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการบริหารค่าใช้จ่ายและการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดสามารถศึกษา เงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่  เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ทุกวัน  ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888

เอไอเอส เปิดตัว “AIS Infinite SMEs” เสริมแกร่ง ปลุกพลัง SMEs ไทย

0


AIS เปิดตัว “AIS Infinite SMEs” ก้าวใหม่แห่งความร่วมมือในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ Startup และ SMEs ไทยให้เชื่อมต่อทุกความเป็นไปได้ ผ่านกลยุทธ์ “3 ส” เพื่อเสริม สร้าง และพาผู้ประกอบไทยสยายปีกอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ด้วยองค์ความรู้และโซลูชันอัจฉริยะ ขยายโอกาสการสร้างพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายระดับโลก ผ่านหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมทักษะและสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมผลักดัน SMEs ไทยสู่มาตรฐานระดับสากล เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “AIS ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น แต่เราเริ่มวางรากฐาน มาตั้งแต่วันที่ “ดิจิทัล” ยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย หรือกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ AIS The StartUp โครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับชาติครั้งแรกของไทยที่จุดประกายความเคลื่อนไหวในวงการ Startup จนถึงทุกวันนี้ เราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งมอบสินค้าและบริการของสตาร์ทอัพมากกว่า 100 รายออกสู่ตลาด พร้อมผลักดันผู้ประกอบการให้สามารถต่อยอดและขยายธุรกิจไปสู่ภาคส่วนใหม่ ๆ ที่ตอบรับกับแนวโน้มของโลกยุคใหม่ อาทิ การเปลี่ยนผ่านจากระบบขนส่งในเมือง (Urban Mobility) ไปสู่ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Mobility) โดยอาศัยเทคโนโลยีสีเขียวเป็นตัวขับเคลื่อน ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และ Digital Infrastructure ที่มีศักยภาพ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นหลายภาคส่วนเดินหน้าร่วมกัน เพื่อปลุกพลังผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ขับเคลื่อนอนาคตของภาคเศรษฐกิจไทย

เมื่อผนวกกับวิสัยทัศน์ AI for Sustainable Nation ที่เป็นหมุดหมายหลักของ AIS ในปีนี้ ที่จะนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะและ AI มายกระดับให้ทุกภาคส่วนของประเทศ รวมไปถึงภาคธุรกิจ SMEs เติบโตไปอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการทรานส์ฟอร์มสู่ AIS Infinite SMEs กับพันธกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้สู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมยกระดับมาตรฐาน SMEs ไทยสู่ระดับสากล ผ่านการเชื่อมโยงทุกมิติ ทั้งเทคโนโลยีดิจิทัล ตลาด และคู่ค้าพันธมิตร เพื่อมุ่งสร้างระบบนิเวศแบบเติบโตร่วมกัน ภายใต้กลยุทธ์ “3 ส” ประกอบด้วย เสริม ทักษะที่ใช่สำหรับ SMEs ที่จะทำธุรกิจในโลกดิจิทัลที่ทำให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและแตกต่าง – สร้าง ระบบหลังบ้านที่เข้มแข็ง ได้มาตรฐานระดับสากลอย่าง ISO ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและนักลงทุน และเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตในระยะยาว เป็นอีกหนึ่ง “ใบเบิกทาง” สำคัญให้กับธุรกิจ SMEs – สยายปีก ด้วยการนำศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ AIS มี มาช่วยขยายโอกาสในการเติบโตได้ไกลยิ่งขึ้น เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs เข้ากับกลุ่มลูกค้าจำนวนมากทั่วประเทศ เปิดประตูสู่โอกาสเติบโตใหม่ๆ อีกมากมาย”

สำหรับพันธกิจของ AIS Infinite SMEs จะดำเนินการภายใต้แนวคิด “Transformation และ Standardization” ซึ่งประกอบด้วย 3 หลักการใหญ่ ได้แก่
· Infinite Skills เปิดประตูความรู้เพื่อการเติบโตของ SMEs ไทยทั่วประเทศ ซึ่งมี AIS Academy ที่ได้รับการรับรอง ISO 30401 (Knowledge Management Systems) ในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการ เนื้อหาครอบคลุมทั้ง 3 แกน ได้แก่ Information Technology, Marketing และ Entrepreneurship พร้อมด้วยความร่วมมือกับ F11/Wecosystem จัดทำคอนเทนต์ที่ย่อยง่ายบนออนไลน์ เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการเติบโต ให้เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีในโลกจริง
· International Standards ยกระดับ SMEs ไทยสู่มาตรฐานสากล ผ่านความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ depa ในการผลักดันมาตรฐาน ISO 29110 ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะทางสำหรับ Software SMEs พร้อมเดินหน้าริเริ่ม ISO Marketplace for SMEs เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
· Infinite Scales จัดทำหลักสูตร Transformative Infinite SME เพื่อตอบโจทย์ SMEs ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังขยายตัว (Scale-up) และกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ ที่สืบทอดและยกระดับกิจการของครอบครัว โดยร่วมมือกับพันธมิตรจากทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน และผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA), สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว (AFBE), และ F11/Wecosystem

ด้าน นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิต ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดแนวโน้มใหม่ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะแนวทาง ESG ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันบนเวทีโลกในปัจจุบัน

ท่ามกลางบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ กว่า 99% ของภาคธุรกิจไทยยังคงเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย การเสริมสร้างขีดความสามารถและยกระดับมาตรฐานให้กับ SMEs จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงร่วมมือกับ AIS ในการสนับสนุนและพัฒนา SMEs ไทยในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 29110:2018 การจัดตั้งสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI: Small & Medium Industrial Institute) เพื่อยกระดับ SMEs ไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงการผลักดันให้ธุรกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงภายใต้แนวทาง “4 Go” ได้แก่ Go Digital & AI, Go Innovation, Go Global และ Go Green นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Made in Thailand (MiT)” – ไทยซื้อไทย ใช้ของไทย ไม่แพ้ใครแน่นอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของไทย เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยสามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศและตลาดโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง และเสริมสร้างความภาคภูมิใจในสินค้าฝีมือคนไทยอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงความร่วมมือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับภาคธุรกิจ แต่คือ พันธสัญญาร่วมกันในการสร้างโอกาสใหม่ และวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต”

“AIS เชื่อมั่นเสมอว่า ธุรกิจและประเทศไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ทุกภาคส่วนต้องเติบโตเคียงข้างกัน เพราะทุกคนเปรียบเสมือนฝูงปลาที่แหวกว่ายเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อสร้างคลื่นเศรษฐกิจไทยที่มั่นคงและแข็งแรง ดังนั้น AIS Infinite SMEs จึงเกิดขึ้นมาเพื่อส่งพลังและแรงว่ายให้กับ SMEs ไทย เป็นพันธมิตรคนกลางที่ช่วยเชื่อมโยงทุกโอกาส ร่วมสร้าง ร่วมโต และร่วมเปลี่ยนอนาคตเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด” นายสมชัย กล่าวเสริม ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AIS Infinite SMEs ได้ที่ https://www.ais.th/infinite-smes

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สตช. และส.แม่บ้านตำรวจ ส่งเสริมความรู้ทางการเงินแก่ตำรวจและครอบครัว

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ Happy Money in Action “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ภายใต้โครงการ Money Management & Investment ส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงิน การออมและการบริหารจัดการหนี้ ให้แก่ข้าราชการตำรวจและคู่สมรส 60 คน โดยมี พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย ณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และ เศรษฐพล ธรรมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 28 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา

ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนองค์ความรู้ และพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างตรงจุด เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานการวางแผนการเงินผ่าน SET e-Learning 3 หลักสูตร ได้แก่ เงินทองต้องวางแผน รู้ก่อนเป็นหนี้ จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง และเป็นหนี้แล้วจัดการยังไง พร้อมต่อยอด Workshop ลงมือปฏิบัติจริง ผ่าน Life Coach วาดเส้นชัย ก่อนพาใจ เข้าสู่เส้นทาง ค้นหาและปรับความคิดด้านการเงินของตนเอง รวมถึงฝึกใช้เครื่องมือจัดการเงินและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินผ่านกรณีศึกษา การใช้ Happy Money App ตัวช่วยในการบริหารจัดการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมอบรมเกิดองค์ความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม องค์กรที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.set.or.th/happymoney

ก.ล.ต. กล่าวโทษ แอนจักรพงษ์-JKN ต่อ DSI กรณีตกแต่งงบการเงินบริษัท

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (JKN) (2) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ (3) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ และ/หรือทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงต่อความเป็นจริงในงบการเงินประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 ของ JKN เพื่อลวงบุคคลใด ๆ และนำส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่มีงบการเงินเท็จ

จากกรณีผู้สอบบัญชีของ JKN ได้ปฏิบัติตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ) โดยแจ้งให้คณะกรรมการตรวจสอบทราบข้อสังเกตเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อลิขสิทธิ์รายการ (content) ที่ไม่สมเหตุสมผลทางการค้าหลายประเด็น ได้แก่ การซื้อลิขสิทธิ์ในปี 2567 ซ้ำกับลิขสิทธิ์เดิมที่มีอยู่แล้วและยังไม่หมดอายุสิทธิ์ การซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มจำนวนมากทั้งที่มีลิขสิทธิ์เดิมและ JKN ขาดสภาพคล่อง การสั่งซื้อบางรายการอาจไม่มีจริง เอกสารการบันทึกบัญชีไม่สมบูรณ์ และเอกสารการสั่งซื้อลิขสิทธิ์ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้สอบบัญชีได้มาจากการตรวจสอบ เป็นเหตุให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการประจำปี 2566 ของ JKN

ก.ล.ต. ได้ตรวจทานข้อมูลในงบการเงินประจำปี 2563 – 2566 ของ JKN พบว่า สินทรัพย์ประเภทลิขสิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ของ JKN และยอดลูกหนี้การค้า ณ สิ้นปีมีมูลค่าใกล้เคียงหรือสูงกว่ารายได้ค่าลิขสิทธิ์ น่าเชื่อว่า การขายลิขสิทธิ์ในแต่ละปี JKN ไม่สามารถเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าได้ หรือเก็บเงินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงมีประเด็นสงสัยความสมเหตุสมผลของการซื้อลิขสิทธิ์และความมีอยู่จริงของลิขสิทธิ์รายการ รวมทั้งความมีตัวตนอยู่จริงของลูกหนี้การค้าและการขายลิขสิทธิ์ให้ลูกหนี้การค้า

โดยปรากฏข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ว่าผู้กระทำความผิด 2 ราย ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (2) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ ได้ร่วมกันสั่งการหรือกระทำการสร้างรายการเจ้าหนี้ปลอมและลูกหนี้ปลอม เพื่อนำไปบันทึกในสมุดบัญชีและงบการเงินงวดประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 และเอกสารหรือรายงานอื่นที่เกี่ยวข้องของ JKN ส่งผลให้งบการเงินของ JKN แสดงยอดรายได้และหนี้สินสูงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังพบการบันทึกบัญชีเจ้าหนี้ค่าลิขสิทธิ์ไม่ถูกต้องตามงวดที่เกิดขึ้นจริง การกระทำดังกล่าวส่งผลให้งบการเงินปี 2566 ของ JKN แสดงยอดหนี้สินและสินทรัพย์น้อยกว่าความเป็นจริง แต่นำเจ้าหนี้การค้ามาบันทึกบัญชีในปี 2567 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ ว่าในปี 2567 JKN มีเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น และนำเจ้าหนี้การค้าดังกล่าวไปใช้สิทธิออกเสียงเพื่อเลือกผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนี้ JKN โดยนายจักรพงษ์ ได้ส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีที่มีงบการเงินเท็จดังกล่าว ต่อ ก.ล.ต. จึงเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 281/10 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ

การกระทำของบุคคลรวม 3 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แล้วแต่กรณี) ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 3 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI

นอกจากกรณีที่กล่าวโทษในครั้งนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีข้อสงสัย โดยจะประสานความร่วมมือกับ DSI ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการเปิดเผยให้ทราบต่อไป

ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

ดีเดย์ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” AIS ร่วมกับสมาชิกของกลุ่ม Singtel เปิดแคมเปญภูมิภาค “สัญญาณยืดเวลาโลก” ชวนทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ร่วมปกป้องโลกอย่างยั่งยืน

0

เมื่อโลกกำลังส่ง “สัญญาณเตือน” มาที่เรา ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงของเสียที่ถูกลืม แต่คือภัยเงียบที่กำลังทำให้โลกนับถอยหลัง AIS ในฐานะ “HUB of E-Waste” จึงเดินหน้าภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเข้าใจถึงปัญหาและผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือสมาชิกกลุ่ม Singtel จากหลากหลายประเทศ ร่วมกันเปิดแคมเปญระดับภูมิภาค “สัญญาณยืดเวลาโลก – Signals of Sustainable Future” ต้อนรับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก World Environment Day” 5 มิถุนายน เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน และสร้างแรงบันดาลใจในการตระหนักรู้ให้กับผู้คนกว่า 1.9 พันล้านคนทั่วโลก

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ AIS ก็คือ การยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภคและสังคม จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ AIS ริเริ่มโครงการ AIS E-Waste ขึ้น เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ผลเสียที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหากมีการทิ้งและกำจัดอย่างไม่ถูกวิธี เปิดจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 235 องค์กรที่ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะ “HUB of E-Waste” ศูนย์กลางด้านองค์ความรู้และจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอย่างยั่งยืน”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม

ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 ขยะอิเล็กทรอนิกส์จะล้นโลก โดยโลกจะมีซากขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเป็น 111 ล้านตัน และขณะนี้โลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะ “วิกฤตขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นเมือง” เพราะทุกชิ้นส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกทิ้งอย่างไม่เหมาะสม จะมีสารพิษสะสมอยู่ในระบบนิเวศไม่ว่าจะเป็นอากาศ น้ำ ดิน อาหาร และสิ่งของรอบตัวเรา

AIS จึงถือโอกาสเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของ แคมเปญ “สัญญาณยืดเวลาโลก” ที่จะชวนทุกคนมาฟัง “สัญญาณของโลก” และลุกขึ้นมา “ยืดเวลาให้โลก” อยู่กับเราได้นานขึ้น โดยชวนทุกคนมาช่วยกันทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ทุกการทิ้ง 3 ชิ้นต่อ 1 เดือน จะช่วยยืดเวลาให้โลกได้ 1 วัน อ้างอิงจากข้อมูลปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ 62 ล้านตันทั่วโลกในปี 2022 ในรายงานของ UNITAR (Global E-Waste Monitor 2024) โดยคำนวนจากประชากรโลกประมาณ 8 พันล้านคน เทียบกับน้ำหนักขยะ E-Waste เฉลี่ย 200 กรัมต่อ 1 ชิ้น

ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมกัน “ยืดเวลาให้โลก” เพียงนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก สายชาร์จ และหูฟัง ที่หมดอายุการใช้งานแล้วมาทิ้งที่จุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีถึงกว่า 2,700 จุดทั่วประเทศ หรือฝากทิ้งกับบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายหรือพัสดุที่บ้าน เพื่อร่วมขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนทั่วประเทศไปด้วยกัน

นอกจากนี้ ขอเชิญร่วมกิจกรรม “สัญญาณยืดเวลาโลก” ในแบบของคุณ โดยถ่ายคลิปหรือภาพเชิญชวนทุกคนมาทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่จุดทิ้งทั่วประเทศ โดยโพสต์ในช่องทางโซเชียลมีเดียพร้อมติดแฮชแท็ก #สัญญาณยืดเวลาโลก #AISHUBofEWaste #AISEWaste เพื่อร่วมกันส่งสัญญาณยืดเวลาโลกไปพร้อมๆ กัน ตั้งแต่ 5 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และติดตามภารกิจยืดเวลาได้ที่ https://www.facebook.com/ais.sustainability/?locale=th_TH

วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ถูกมองข้าม อย่าโหน กระแสปัญหาเสี้ยวเดียว “จัดการได้ง่าย”

0

บทความโดย ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม

ภาพน้ำกำลังท่วมบ้านเรือนจมชุมชนหลายแห่งในไทยและหลายประเทศ สวนทางกับผู้คนบางส่วนยังขาดน้ำกินน้ำใช้ และพื้นที่การเกษตรแตกระแหงเพราะภัยแล้งทำลายโอกาสของเกษตรกร และแผ่นดินไหวพร้อมเขย่าความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนแบบไม่สามารถคาดการณ์ได้ สังคมกลับเลือกที่จะหมุนเข็มทิศไปพูดเรื่องที่เป็นกระแส เช่น ปลาหมอคางดำ ราวกับว่าเป็นภัยพิบัติอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งที่อาจเป็นเพียงกระแสที่ถูกกระพือให้ดูใหญ่เกินจริง การเบี่ยงเบนความสนใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เรามองข้ามภัยพิบัติที่แท้จริง แต่ยังเป็นการถ่วงรั้งการแก้ไขที่เร่งด่วนและจำเป็น

เมื่อเร็วๆ นี้ งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยพรีมัธ ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า มหาสมุทรของโลกกำลัง ‘มืดลง’ อย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและแหล่งอาหารขนาดใหญ่ของมนุษยชาติ ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบอีกว่ามหาสมุทรทั่วโลกประมาณ 21% ซึ่งรวมถึงบริเวณชายฝั่งขนาดใหญ่และมหาสมุทรเปิดกลายเป็นสีเข้มมากขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำลายห่วงโซ่อาหารในทะเล เปลี่ยนแปลงการกระจายพันธุ์ และทำให้ความสามารถของมหาสมุทรในการรองรับความหลากหลายทางชีวภาพกับการควบคุมสภาพอากาศ อ่อนแอลง

คนไทยอาจกำลังหลงประเด็นพุ่งเป้าไปที่ปัญหาที่ “จัดการได้ง่าย” หรือ “เป็นกระแส” มากกว่าจะมองว่าเป็นภัยคุกคามที่กัดกร่อนชีวิต ความมั่นคง และอนาคตของประชาชนอย่างต่อเนื่องๆ ภาวะโลกร้อนไม่ใช่แค่เรื่องของโลก แต่คือ “เรื่องของคนไทย” ทุกคน ในช่วงปี 2567 และต้นปี 2568 ประเทศไทยประสบกับสภาพอากาศสุดขั้วหลายระลอก ฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้น อุณหภูมิแตะ 45 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ ฝนตกหนักกระจุกตัวจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือและอีสาน รวมถึงพายุไซโคลนรุนแรงในภาคใต้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามวงจร แต่มันคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มนุษย์มีส่วนเร่งเร้า

หลายวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รอวันปะทุ

ภัยแล้ง : เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจน้อยจนน่าใจหาย หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางกำลังเผชิญกับระดับน้ำในเขื่อนลดต่ำลงจนใจหายใจคว่ำ แหล่งน้ำธรรมชาติแห้งขอด พื้นดินแตกระแหง เกษตรกรหลายหมื่นรายกำลังดิ้นรนเพื่อหาแหล่งน้ำมาหล่อเลี้ยงพืชผลและปศุสัตว์ ได้แต่หวังว่าฝนจะมาเร็วเติมน้ำให้ทุกหย่อมหญ้า แต่หากฝนมาช้านั่นคือความสูญเสียของพวกเขา โดยเฉพาะชาวบ้านที่ต้องพึ่งพาน้ำจากแหล่งธรรมชาติ การขาดน้ำไม่ใช่แค่ความไม่สะดวก แต่มันคือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดเพราะ “น้ำคือชีวิต”

น้ำท่วม: น้ำท่วมยังเป็นภัยคุกคามที่กลับมาซ้ำเติมผู้คนทุกปี ความรุนแรงและความถี่ของน้ำท่วมในจังหวัดอุบลราชธานี นครสวรรค์ สุโขทัย และเชียงราย เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ หลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในรอบไม่ถึง 12 เดือน กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็เช่นกัน ภาพของถนนที่กลายเป็นแม่น้ำกลายเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ความเสียหายต่อเกษตรกรรายย่อยนับแสนรายกลับถูกมองข้ามราวกับเป็นเพียงตัวเลขในข่าวเศร้า

แผ่นดินไหว: เมื่อต้นปี 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5-5 ริกเตอร์ หลายครั้งในเชียงรายและลำปาง โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาระดับ 8.2 ริกเตอร์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายจังหวัดในประเทศไทยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ถ้วนหน้า นักวิชาการเตือนว่าความถี่ของการเกิดแผ่นดินไหวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่ไม่เคยสงบ หากเกิดขึ้นในพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานอ่อนแอ ผลลัพธ์จะรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด

เป็นความจริงที่ปลาหมอคางดำอาจเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนิเวศของแหล่งอาหาร ทำลายที่อยู่อาศัย และคุกคามความมั่นคงทางการเกษตรแล้ว ปลาหมอคางดำไม่สามารถทำให้คนไทยขาดน้ำ ไม่ทำให้ดินถล่ม หรือทำให้บ้านเรือนจมหายไปในน้ำ แต่มันกลับได้รับการจัดอันดับเป็นภัยคุกคามสำคัญ ทั้งที่วิกฤตที่แท้จริงกำลังลุกลามอย่างไร้การยับยั้ง สังคมจำเป็นต้องตื่นรู้และยกระดับการรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างบูรณาการ ต้องมีระบบเตือนภัยและระบบฟื้นฟูที่เข้าถึงทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่ แต่ลงลึกถึงทุกชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และการใช้พลังงานสะอาดไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอด หากเรายังมัวแต่หลงประเด็นกับปัญหาที่จัดการง่ายและเป็นกระแส สุดท้าย…วิกฤตตัวจริงจะมาถึงโดยไม่มีใครพร้อมรับมือ

เมืองไทยประกันชีวิต ฉลองเทศกาล Pride Month 2025 เสิร์ฟไอศกรีมจาก iberry ให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย “เมืองไทยสไมล์คลับ” เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาล Pride Month 2025 สนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลาย  ล่าสุดจับมือ iberry เสิร์ฟความสุขให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ รับความอร่อยจากไอศกรีมโฮมเมดฉ่ำชื่นใจตลอดเดือนมิถุนายน 2568 นี้  

โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ เพียงใช้คะแนนสะสม 5 Smile Points แลกรับ ไอศกรีม  iberry 1 สกู๊ป    ทุกรสชาติ (มูลค่าสูงสุด 89 บาท) ที่ร้าน iberry icecream ทุกสาขา จำกัดการแลกรับสิทธิ์ 1 ท่าน / 4  สิทธิ์ / สัปดาห์ รวม 2,400 สิทธิ์ ตลอดโครงการ แลกรับสิทธิ์ทางแอปพลิเคชัน  MTL Click  แสดงรหัสรับสิทธิ์  ณ เคาน์เตอร์ชำระเงิน ภายในระยะเวลา 30 นาที แลกรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 –  30 มิถุนายน 2568

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถติดตามกิจกรรมและสิทธิประโยชน์สุดพิเศษตลอดทั้งปี ได้ที่เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th  หรือดาวน์ โหลดแอปพลิเคชัน MTL Click ได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766 ตลอด 24 ชั่วโมง

“สวัสดี หนีห่าว” AIS ผนึก ททท. พานักท่องเที่ยวจีนเข้าสนามมวยราชดำเนินสัมผัสซอฟต์พาวเวอร์มวยไทย รับประสบการณ์สุดพิเศษจาก AIS LUCKY TOURIST SIM CARD 

0

AIS เดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พานักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง ครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ภายใต้โครงการ “สวัสดี หนีห่าว” เปิดประสบการณ์สัมผัสศิลปะมวยไทยอย่างใกล้ชิด ณ สนามมวยราชดำเนิน ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษจาก AIS LUCKY TOURIST SIM CARD SIM ซิมการ์ดแบบเติมเงินที่ออกแบบมาเพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง อำนวยความสะดวกให้ทุกการเชื่อมต่อสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมมอบสิทธิประโยชน์อีกมากมาย

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “เพื่อผลักดันศิลปะมวยไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล นักท่องเที่ยวจีนจะได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยผ่านประสบการณ์สุดทันสมัยและน่าประทับใจ พร้อมรับสิทธิพิเศษที่คัดสรรมาเพื่ออำนวยความสะดวกตลอดการท่องเที่ยวในประเทศไทย เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนในครั้งนี้ และหวังว่าทุกท่านจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงโลกได้อย่างไร้รอยต่อ”

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้ AIS LUCKY TOURIST SIM สามารถแชร์ทุกความประทับใจแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อไม่มีสะดุดบนเครือข่าย 5G พร้อมรับสิทธิพิเศษ เปิดประสบการณ์สัมผัส Soft Power ไทยอย่างใกล้ชิด รับทันทีส่วนลด 10% สำหรับบัตรเข้าชมการแข่งขันมวยไทยรายการ RAJADAMNERN WORLD SERIES (RWS) ทุกวันเสาร์ สำหรับการซื้อบัตรออนไลน์ เพียงนำโค้ดส่วนลดกรอกผ่านเว็บไซต์ RAJADAMNERN.COM สำหรับการซื้อบัตรที่หน้า Ticket Office กด *545# เพื่อยืนยันสิทธิรับส่วนลดหน้างาน ตั้งแต่วันนี้ – 11 ตุลาคม 2568

นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากมาย ทั้งส่วนลดเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียว, รับฟรีประกันภัยการเดินทาง, รับเครื่องดื่ม และใช้ห้องรับรองพิเศษฟรีกับเซ็นทรัล และส่วนลดช้อปปิ้งกับ King Power สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ AIS LUCKY TOURIST SIM Website, AIS eSIM TOURIST Website และ AIS 5G Official Account on Weibo platform  

เปลี่ยนบ้านเป็นเงิน กับ ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’ ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาท ผ่อนนาน 30ปี วันนี้ – 15 ส.ค.68

0

ออมสินเปิดโปรโมชัน แค่มีบ้านก็เหมือนมีเงินก้อน เปลี่ยนบ้านเป็นเงินกับ ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’
สมัครเลยตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 68 – 15 ส.ค. 68
คลิก > https://to.gsb.or.th/VfCSCQf4

✔ อัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก)
✔ วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท
✔ ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี
✔ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์
✔ สนับสนุนค่าประเมินหลักทรัพย์ สูงสุด 5,000 บาท *

หมายเหตุ :

  • อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.545% (ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) อยู่ระหว่าง 3.590% – 6.295% ต่อปี
  • กรณีใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือห้องชุดเป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR)
  • กรณีวงเงินกู้ ไม่เกิน 5 ล้านบาท อยู่ระหว่าง 6.135 %-6.249% คำนวณจาก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี
  • กรณีวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป / กลุ่มรายได้ประจำตั้งแต่ 75,000 บาทขึ้นไป/ กลุ่มรายได้อิสระตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป
    อยู่ระหว่าง 6.010%-6.150% คำนวณจาก วงเงินกู้ 5 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี
  • กลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์ (ทั้งกรณีใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุด ที่ดิน หรือที่สวน เป็นหลักประกัน) อยู่ระหว่าง 5.965%-6.032% คำนวณจาก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี
  • กรณีใช้หลักประกันเป็นที่ดินหรือที่สวน อัตราดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 1% ต่อปี (ยกเว้น กลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR)
  • กรณีวงเงินกู้ ไม่เกิน 5 ล้านบาท อยู่ระหว่าง 7.130%-7.247% คำนวณจาก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี
  • กรณีวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป / กลุ่มรายได้ประจำตั้งแต่ 75,000 บาทขึ้นไป/ กลุ่มรายได้อิสระตั้งแต่ 100,000 บาท ขึ้นไป อยู่ระหว่าง 6.999%-7.144% คำนวณจากวงเงินกู้ 5 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี
  • *กรณีสนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ สำหรับลูกค้าที่วงเงินกู้ตั้งแต่ 3 ล้านบาท ขึ้นไป ธนาคารสนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ให้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินรายละ 5,000 บาท ยกเว้นกลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์ โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ไปก่อนเมื่อจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ ธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝาก เผื่อเรียกของผู้กู้ภายใน 30 วัน
  • หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
  • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th

⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
*รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

“Pride Month 2025”  สะท้อนพลังความหลากหลายทางเพศขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต ในวันที่โลกเปิดกว้าง

0

ในปี 2025 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความเปิดกว้างและการยอมรับของสังคมไทยที่มีต่อชาว LGBTQ

เอกภพ พันธุรัตน์ นักประชาสัมพันธ์ ที่โลดแล่นอยู่ในวงการพีอาร์มาอย่างยาวนาน ร่วมงานกับธุรกิจ องค์กร และบุคคลมีชื่อเสียงมากมาย ได้รับขนานนามว่า “ Princess of PR ” กล่าวถึงกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ว่า “สังคมไทยเปิดกว้างและยอมรับกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น ส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถแสดงศักยภาพในแวดวงธุรกิจ การตลาด และการสร้างอาชีพได้อย่างเต็มที่  จึงจะเห็นได้ว่าในทุกๆ ผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

เอกภพ พันธุรัตน์

เมื่อโอกาสเปิดกว้าง ผู้มีความหลากหลายทางเพศคือพลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในยุคเปลี่ยนผ่าน เลยยิ่งต้องทำให้ทุกเพศสภาพตื่นตัวกับการใช้ทักษะความสามารถอย่างเต็มกำลัง ควบคู่การปรับตัวเข้าสู่บริบทต่างๆ ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และนี่คือความชำนาญพิเศษของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะเผชิญความท้าทายนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัดจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แฟชั่น และความบันเทิง ซึ่งกลุ่ม LGBTQ+ มีบทบาททั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่เพียงแต่สร้างสีสันให้กับอุตสาหกรรม หากแต่ยังนำเสนอมุมมองใหม่ๆที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมีวิสัยทัศน์ จึงทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศคือกลุ่มบุคคลที่มีประกายของความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่แฝงอยู่ในตัวตนเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ ความสามารถเฉพาะตัว และการปรับตัวที่รวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกก็ตาม

“เราคือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยไอเดีย กล้าในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ และเข้าใจบริบทธุรกิจได้อย่างลึกซึ้ง และพร้อมปรับตัวให้สอดรับกับทุกความเปลี่ยนแปลง เราคือส่วนสำคัญ
ในการขับเคลื่อนให้แบรนด์เกิดกระแส สินค้าขายได้ และตลาดมีชีวิต”

อย่างไรก็ตาม แม้ความหลากหลายทางเพศจะเบ่งบานในประเทศไทยแล้ว แต่ในมุมธุรกิจก็ยังถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกเยอะ ในฐานะนักประชาสัมพันธ์ที่ทำงานกับธุรกิจ องค์กร และผู้มีชื่อเสียง เอกภพ ให้ความเห็นว่า

“ในมุมของการเป็นผู้บริโภค การที่ธุรกิจออกมาสื่อสารให้การสนับสนุนความหลากหลายทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศของสังคมมีความเข้มข้นและมีความสำคัญมากขึ้น แต่อาจไม่ใช่ทุกธุรกิจจะสามารถยกระดับความพิเศษของสินค้าได้มากนัก เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตอบสนองต่อความหลากหลายอยู่แล้ว กลุ่มธุรกิจที่คิดว่าสามารถต่อยอดเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้มากขึ้น คือ เสื้อผ้าและแฟชั่น ซึ่งน่าสนใจว่าแฟชั่นสตรี จะตอบโจทย์สตรีข้ามเพศได้อย่างไร หรือแฟชั่นบุรุษจะต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้เข้าถึงบุรุษข้ามเพศมากขึ้น เช่น ในกลุ่มสาว LGBTQ+ ซึ่งมีร่างกายบางอย่างที่ยังคงเป็นตามเพศสภาพ เช่น ไซส์เท้าที่ใหญ่ แต่ใจมุ่งไปที่รองเท้าส้นสูง ส้นเข็ม ตรงนี้ก็หายากมากเราก็จะมีร้านลับเฉพาะกลุ่มที่คอยซื้อหาผลิตภัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้มีหลากหลายมากนัก หรืออย่างกลุ่มสตรีที่มีความเป็นบุรุษ ก็จะเจอกับปัญหาเสื้อผ้า ร้องเท้า ที่หาเข้ากับสรีระยากเช่นเดียวกัน อีกธุรกิจที่น่าต่อยอดคือกลุ่มเครื่องสำอาง เนื่องจากกลุ่มคนข้ามเพศที่ใช้ฮอร์โมน จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิว ซึ่งยังมีสินค้าที่ตอบโจทย์อยู่น้อยมาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่อยากส่งเสียงสะท้อนออกไปให้กับกลุ่มธุรกิจ เพราะกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้เป็นเพียงพลังแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นพลังแห่งการเป็นผู้บริโภค ซึ่งมองว่า คงเป็นเรื่องดีหากในอนาคตเราจะมีโอกาสเห็นแบรนด์ต่างๆ ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์มาเพื่อเรา เมื่อถึงวันนั้น คงจะมีโอกาสได้สัมผัสโลกธุรกิจในมุมมองใหม่ ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งคงมีสีสันและน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว”

“การเฉลิมฉลอง Pride month จึงไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงตัวตน แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการยืนยันว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศคือพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงในสังคมและเศรษฐกิจระดับโลก หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมและทำให้ยั่งยืนได้” เอกภพ กล่าวเสริม