Home Blog Page 34

รู้เก็บรู้ออม : สแกนหุ้นปันผลด้วย Stock Screening

0

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“หุ้นปันผล” ยังคงรักษาตำแหน่งเป็นหุ้นปลอดภัยของนักลงทุนทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่า สำหรับมือใหม่ที่คันไม้คันมืออยากลงสนามลงทุน การเลือกซื้อหุ้นปันผล ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นหุ้นที่มีกำไรและให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

ขณะเดียวกัน ในสภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หุ้นปันผลก็ยังทำหน้าที่เป็นหลุมหลบภัย เพราะเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติ ทั้งอึด ถึก และทนต่อทุกสถานการณ์ และมีความเสี่ยงน้อย

หุ้นปันผล จึงเป็นทางเลือกที่สร้าง passive income ระหว่างที่ถือหุ้นอยู่ และยังอาจมีโอกาสได้โชคเด้งที่สองจากส่วนต่างของราคาหุ้นอีกด้วย ถือว่าเหมาะกับนักลงทุนที่พร้อมลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี ทีนี้เราจะมีวิธีส่องหุ้นยังไงว่าตัวไหนเป็นหุ้นปันผล เทคนิคพื้นฐานในการเลือกหุ้นปันผล คือให้พิจารณาจากผลประกอบการและผลกำไรของบริษัท โดยผลประกอบการ หรือยอดขายดี จะสะท้อนให้การเติบโตของรายได้และส่งผลต่อกำไรของบริษัท ส่วนผลกำไรที่ต่อเนื่อง ย้อนหลัง 3-5 ปี ก็ยิ่งทำให้หุ้นตัวนั้นน่าสนใจ

เว็บไซต์ Settrade มีเครื่องมือที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้ดี นั่นคือ ฟังก์ชัน Stock Screening ที่เป็นตัวช่วยเลือกและคัดกรองหุ้นปันผล และนักลงทุนยังสามารถปรับแต่งเงื่อนไขได้แบบตามใจ ตามสไตล์ลงทุนของแต่ละคนได้

นักลงทุนสามารถใช้งาน โดยเข้าเว็บ settrade.com แล้วเลือกเมนู “คัดกรองหุ้น (Stock Screening)” แล้วคลิกที่ “ปันผลเด่น” ซึ่งจะเป็นการค้นหาหุ้นที่จ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง

โดยบนหน้านี้จะแสดงวิธีค้นหา 2 แบบให้นักลงทุนเลือกใช้ แบบแรก คือ “Guideline by IAA” โดยใช้เกณฑ์คัดกรองตามแนวทางของสมาคมนักวิเคราะห์ (IAA) โดยดูจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลย้อนหลัง 3 ปี ต้องไม่ต่ำกว่า 5% และเงินปันผลต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน

กับ แบบที่สอง “กำหนดค่าด้วยตัวเอง” นักลงทุนสามารถกำหนดเกณฑ์คัดกรองตามแนวทางที่ตัวเองต้องการผ่านเครื่องมือนี้ โดยสามารถปรับเปลี่ยนค่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลย้อนหลัง 3 ปี ให้มากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากับ 5% ได้ตามความต้องการ

เมื่อเลือกวิธีค้นหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ กดปุ่มคัดกรองหุ้น จากนั้นรายชื่อหุ้นตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็จะแสดงเป็นรายการออกมา ซึ่งนักลงทุนสามารถกดที่ชื่อหุ้นแต่ละตัว เพื่อเข้าไปดูข้อมูลหุ้นแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นราคาปัจจุบัน ราคาเป้าหมาย กราฟเทคนิค มุมมองนักวิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

จะเห็นได้ว่าการใช้งานทำได้สะดวกและง่าย กดแค่ไม่กี่คลิกก็จะช่วยให้นักลงทุนเจอหุ้นปันผลที่ชอบและใช่ นักลงทุนหรือผู้สนใจสามารถเข้าไปลองใช้งานที่ https://www.settrade.com/th/equities/stock-screening เพื่อช่วยจุดประกายไอเดียลงทุนที่ใช่ และสร้างการลงทุนในแบบของตัวเอง.

คุณนายพารวย

AIS ผนึก ปภ. ยืนยันความพร้อมระบบเตือนภัยฉุกเฉิน เตรียมส่งข้อความทดสอบผ่านระบบ Cell Broadcast ถึงประชาชนทั่วประเทศ

0

AIS สนับสนุนภารกิจเตือนภัยฉุกเฉินของประเทศ เดินหน้าผนึกกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการยกระดับการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast (CBS) โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. และกรมประชาสัมพันธ์ เตรียมส่งข้อความทดสอบผ่านระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ Cell Broadcast ที่จะสามารถส่งข้อมูลสำคัญไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนได้โดยตรง รวดเร็ว และครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ

การทดสอบระบบ Cell Broadcast จะมีขึ้นทั้งหมด 3 รอบ 3 วัน ใน 15 พื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับเล็ก (ภายในอาคารราชการ 5 พื้นที่), วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับกลาง (ระดับอำเภอ/เขต 5 พื้นที่) และวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด 5 พื้นที่) โดยข้อความที่ใช้ในการทดสอบจะระบุว่า “ทดสอบการแจ้งเตือน Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก” “This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required” ซึ่งภายหลังจากการทดสอบ ในแต่ละระดับ จะมีประเมินประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยเพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงการทำงานต่อไป

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายอัจฉริยะ เราขอยืนยันความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภารกิจของ ปภ. ในการยกระดับระบบการแจ้งเตือนภัยของประเทศ โดยได้นำเทคโนโลยี Cell Broadcast (CBS) ซึ่งสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังคนไทย และลูกค้า AIS กว่า 45 ล้านรายที่อยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยระบบ CBS พร้อมรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป และ iPhone ที่อัปเดตเป็น iOS 18 แล้ว ซึ่งสามารถแจ้งเตือนแบบเฉพาะเจาะจงพื้นที่หรือทั่วประเทศได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา และปฏิบัติตัวได้อย่างปลอดภัย

AIS ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายดิจิทัลให้ครอบคลุมพื้นที่ประชากรทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ระบบการแจ้งเตือนภัยสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างเท่าเทียม พร้อมร่วมเป็นกลไกสำคัญของประเทศในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านความปลอดภัยผ่านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย”

ด้าน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวเสริมว่า “นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) เพื่อใช้เป็นช่องทางในการแจ้งเตือนภัยไปยังประชาชนอย่างรวดเร็ว โดย ปภ. ได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัล DE, กสทช. และกรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงโอเปอเรเตอร์ เตรียมความพร้อมในการใช้งานระบบการแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast ซึ่งได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน (SOP) และข้อความในการแจ้งเตือนภัยที่กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย ประชาชนอ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรให้ปลอดภัยจากสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้ มีความพร้อมในการให้บริการแล้ว โดยจะทำการทดสอบการแจ้งเตือนภัยในพื้นที่จริงนอกห้องปฏิบัติการ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบการแจ้งเตือนภัยให้สามารถแจ้งเตือนภัยไปยังประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างทั่วถึง ครอบคลุม และแม่นยำ”

ทั้งนี้ ระหว่างที่ทาง ปภ. กำลังพัฒนาระบบ Cell Broadcast Entity (CBE) หรือศูนย์สั่งการของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 นั้น ทาง ปภ. จึงได้ร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์ ให้ดำเนินการส่งข้อความทดสอบการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ CBS (Cell Broadcast Service) โดยโอเปอเรเตอร์ หรือที่เรียกว่า Virtual CBE ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนระบบ Android และ iOS โดยผู้ใช้งานต้องอัปเดตเวอร์ชันระบบปฏิบัติการให้เป็นปัจจุบัน ในการนี้ ปภ. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประชาสัมพันธ์แจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้าถึงการทดสอบที่จะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการรับมือภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง

JAS จับมือ AIS เซ็น MOU ดึงคอนเทนต์ลีกฟุตบอลระดับโลก เสิร์ฟตรงแฟนบอลไทยผ่านแพลตฟอร์ม AIS PLAY และ Monomax

0

บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ผู้คว้าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ อังกฤษ สำหรับฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป ซึ่งได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) จาก The Football Association Premier League Limited หรือ FAPL ในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา โดยได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในการเป็น Strategic Partnership นำคอนเทนต์กีฬาฟุตบอลลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกมาให้แฟนบอลชาวไทย และลูกค้า AIS ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเร็วๆ นี้

โดยการผนึกกำลังในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมวงการสตรีมมิ่งกีฬาของไทย ผ่านสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง AIS PLAY และ Monomax ที่รวบรวมคอนเทนต์กีฬา และความบันเทิงระดับโลกไว้มากที่สุด เพื่อตอบโจทย์ครบทุกไลฟ์สไตล์ความบันเทิงให้ผู้ชมและคอบอลชาวไทยในยุคดิจิทัล โดยมี ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) JAS, นางสาวหทัยทิพย์ หมัดจุ้ย ผู้อำนวยการธุรกิจดูหนังออนไลน์ บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด หรือ Monomax และ นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้

สำหรับความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้บริการผ่านลูกค้า AIS มือถือและเน็ตบ้าน AIS 3BB Fibre3 รวมถึงเป็นการยกระดับประสบการณ์การรับชมการถ่ายทอดสดกีฬาฟุตบอลลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ พร้อมรูปแบบการให้บริการและแพ็กเกจราคาที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมชาวไทยทุกกลุ่ม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มใช้ Auto Pause รายหลักทรัพย์ 6 พ.ค. นี้ ยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขายหุ้น

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มใช้มาตรการหยุดการซื้อขายโดยอัตโนมัติ (Auto Pause) รายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการตามแผนที่กำหนดและได้ทยอยดำเนินการไปแล้วในปี 2567 ทั้งนี้ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนมีเวลาในการตรวจสอบและจัดการคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขาย ด้วยการขึ้นเครื่องหมาย Pause (P) กับหลักทรัพย์ที่มีคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายที่สูงกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการจับคู่การซื้อขายที่ผิดปกติและลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน
สรุปแนวทางการใช้มาตรการ Auto Pause ดังนี้

• ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์ โดยหยุดการซื้อขายโดยอัตโนมัติเป็นเวลา 60 นาที เมื่อพบว่าหลักทรัพย์ใดมีจำนวนรวมของปริมาณคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายของหลักทรัพย์ในทุกระดับราคามากกว่า 15% ของจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนนั้น ด้วยการขึ้นเครื่องหมาย Pause (P) เป็นเวลา 40 นาที และ Pre-Open เป็นเวลา 20 นาที ก่อนกลับเข้าสู่การจับคู่ซื้อขายตามปกติ

• การใช้มาตรการ Auto Pause จะใช้ไม่เกิน 1 ครั้ง/วัน/หลักทรัพย์ โดยจะใช้กับหุ้นสามัญ, REIT, Property Fund และ Infrastructure Fund ซึ่งเมื่อหลักทรัพย์ใดถูก Auto Pause แล้ว จะมีผลให้หลักทรัพย์อื่นที่ใช้หลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อ้างอิง เช่น Warrant, DW, Single Stock Futures เป็นต้น ถูกหยุดการซื้อขายด้วย ทั้งนี้ ยกเว้นไม่ใช้มาตรการ Auto Pause กับหลักทรัพย์ที่มีเหตุที่อาจทำให้มีปริมาณการซื้อขายสูงกว่าปกติ เช่น หลักทรัพย์ที่เริ่มซื้อขายในวันแรก (New Listing) หลักทรัพย์ที่เปิดให้ซื้อขายชั่วคราวก่อนถูก SP เป็นเวลานานหรือก่อนถูกเพิกถอน เป็นต้น

• ในระหว่างการขึ้นเครื่องหมาย P ผู้ลงทุนยังคงสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งซื้อขายได้

ทั้งนี้ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์ที่ปรับปรุงดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์”

37 ปี โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน น้อมนำแนวพระราชดำริ ‘สร้างความมั่นคงทางอาหาร’

0

การที่เด็กๆ ได้รับประทานอาหารที่ดี มีสารอาหารครบถ้วน เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อาจเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดีได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเติบโต และพัฒนาการทางสมองของเด็กๆ ด้วย

ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา เครือซีพี ร่วมกับ CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการ ริเริ่ม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532 ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เพื่อโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

ขณะเดียวกัน นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการด้านการเกษตรครบวงจรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

นอกจากจะได้อิ่มท้อง จากผลผลิตไข่ไก่ที่พวกเขาช่วยกันดูแลด้วยตนเองแล้ว โรงเรือนเลี้ยงไก่จึงกลายเป็นห้องเรียนอาชีพ ที่ทำให้พวกเขาได้ลงมือทำจริงทุกขั้นตอน ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ และยังกลายเป็นทักษะติดตัวนำไปใช้ต่อในอนาคต

ไข่ไก่ที่ผลิตได้ ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบสำคัญในโครงการอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ไข่ส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองและคนในชุมชน กลายเป็นคลังอาหารของชุมชนแบบยั่งยืน ถือเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้ทั้งโรงเรียนและชุมชน ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วถึง 988 แห่ง ทั่วประเทศ เด็กๆ กว่า 223,000 คน และคุณครูอีก กว่า 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ

โรงเรือนเลี้ยงไก่ พันธุ์ไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยสอนเทคนิคการเลี้ยงไก่ให้ถูกวิธีแบบมืออาชีพ มีซีพีเอฟที่ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือโรงเรียน รวมไปถึงการให้ความรู้ เรื่องการจัดการฟาร์ม การตลาด การแปรรูปอาหาร และการจัดการของเสียจากฟาร์มด้วย เรียกได้ว่า เด็กๆ ไม่ได้แค่เลี้ยงไก่ แต่ได้เรียนรู้แบบครบวงจร

ที่สำคัญยังยกระดับโรงเรียนให้เป็น Action Learning Base ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพของชุมชน ต่อยอดสร้างคลังอาหารที่มั่นคงในระดับท้องถิ่น และขยายองค์ความรู้สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ทุกวันนี้ โครงการฯ ผลิตไข่ไก่ได้มากกว่า 27.6 ล้านฟองต่อปี เลยทีเดียว และมีเป้าหมายขยายไปให้ครบ 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศภายในปี 2573 เพื่อให้น้องๆ กว่า 300,000 คน ได้บริโภคไข่ไก่อย่างทั่วถึง

โครงการฯนี้ นอกจากจะทำให้น้องๆนักเรียนและชุมชนได้รับประโยชน์แล้ว CPF ยังได้จัดจ้างคนพิการในชุมชนเพื่อช่วยทำงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ตามศักยภาพของพวกเขา อาทิ ช่วยดูแลความสะอาดบริเวณโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ทำความสะอาดภายในโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ และปลูกผักสวนครัว จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการรวม 503 คน

CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ มุ่งมั่นเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อช่วยเติมเต็มโภชนาการดีๆ ให้เด็กๆ สร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนในโรงเรียน ด้วยตระหนักดีว่าการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ การสร้างทุนมนุษย์ ที่จะไปสู่อนาคตที่ดีอย่างยั่งยืน ./

🎥 ไปดูความน่ารัก + ความภูมิใจของเด็กๆ กันเลย >> https://youtu.be/pqX7yow1D6o

เมืองไทยประกันชีวิต มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับThe Ultimate และ Beyond Prestige ประจำปี 2568

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า   เมืองไทยประกันชีวิต โดย “เมืองไทยสไมล์คลับ” เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับพร้อมเพิ่มประสบการณ์สุดพิเศษ สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับสถานะ The Ultimate และ Beyond Prestige ด้วยเอกสิทธิ์พิเศษประจำปี 2568 กับการมอบสิทธิพิเศษด้านสุขภาพ ด้านการเดินทางท่องเที่ยว  ด้าน Lifestyle กิจกรรมสุด Exclusive และ Smile Birthday Gift ภายใต้คอนเซป Your Pleasure, Your Design เลือกอิ่มเอม เหนือระดับในแบบคุณ

โดยสิทธิพิเศษที่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับสถานะ The Ultimate และ Beyond Prestige จะได้รับประจำปี 2568  ประกอบด้วย 

• Smile Birthday Gift ส่งมอบของขวัญที่คัดสรรพิเศษในเดือนเกิด ให้กับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

• Special Lounge at the airport มอบสิทธิพิเศษเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษที่สนามบิน สะดวกสบายในการเดินทาง ที่ The Coral Executive Lounge

• Exclusive Limousine Services มอบสิทธิพิเศษบริการรถลีมูซีน รับ หรือ ส่งสนามบิน

• Smile Exclusive Health หรือ Smile Healthy Plus แพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี สิทธิพิเศษการตรวจสุขภาพและบริการทางการแพทย์ สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ระดับสถานะ The Ultimate และ Beyond Prestige ตามลำดับ

โดยเมืองไทยสไมล์คลับ มอบสิทธิพิเศษเพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพให้กับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับ The Ultimate และ Beyond Prestige ได้เลือกการดูแลสุขภาพที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้นด้วยโปรแกรมการดูแลด้านทันตกรรม สูงสุด 10,000 บาท หรือเลือกการดูแลสุขภาพผ่าน โปรแกรม Anti-Aging โปรแกรมตรวจเลือดเพื่อวิเคราะห์ปริมาณวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมรับวิตามินเฉพาะบุคคลสำหรับรับประทาน 1 เดือน หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ จะเลือกรับบริการโปรแกรมการตรวจสุขภาพโดยแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมตรวจระดับฮอร์โมนเพศ หรือตรวจฮอร์โมนด้านความเครียด (ฮอร์โมนความสุข) และตรวจระดับฮอร์โมนที่แสดงอายุจริงของร่างกายได้ หรือดูแลสุขภาพผิวให้ดีขึ้น ด้วยโปรแกรมฟื้นฟูชะลอความเสื่อม บำรุงสุขภาพผิว ด้วยระดับวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถเลือกเข้ารับบริการได้ตรงความต้องการที่หลากหลายและดูแลคุณด้วยความเชี่ยวชาญ  โดยสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาล และคลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ และสถานบริการสุขภาพชั้นนำกว่า 100 แห่งทั่วประเทศกับการบริการเหนือระดับ เพื่อการดูแลสุขภาพของสมาชิกฯ คนสำคัญ

อ.สันกำแพง จับมือ CPF ชวนชาวสันกำแพงเดินหน้า “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ต่อเนื่อง

0

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แล้วสำหรับโครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ที่อำเภอสันกำแพง กับ CPF ร่วมมือกันจัดขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนชาวอำเภอสันกำแพง รวบรวมเศษใบไม้แห้งจากบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา นำมาแลกกับไข่ไก่ CP สอดรับกับนโยบายของ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เพื่อให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศสะอาดและปราศจากมลพิษ โดยเฉพาะการหยุดเผาทุกชนิดในที่โล่ง

“ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนชาว อ.สันกำแพง งดการเผาเศษใบไม้แห้ง ที่แต่ละบ้านมีอยู่ เพื่อช่วยลดปัญหาหมอกควัน แถมยังได้ไข่ไก่กลับบ้าน ช่วยให้อิ่มท้อง ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน บ้านเรือนและชุมชนสะอาดขึ้น ถือว่าได้ประโยชน์รอบด้าน ภายใต้สโลแกน “สันกําแพงเราไม่เผา เอาเศษใบไม้มาแลกไข่ หมอกควัน ไฟป่าห่างไกล หายใจ โล่งกันทุกคน”

โดยเปิดที่ว่าการอำเภอสันกำแพง ให้ชาวสันกำแพง นำใบไม้แห้งมาแลกไข่ได้ทุกวันพฤหัสบดี เศษใบไม้แห้ง 1 กก. แลกไข่ไก่ได้ 1 ฟอง ไก่ สูงสุดแลกได้ถึง 30 กิโลกรัม หรือได้ไข่ไก่คนละ 1 แผง (30 ฟอง) โครงการนี้ดำเนินการทุกสัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จังหวัดเชียงใหม่ประกาศห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง รวมเป็นเวลา 15 สัปดาห์

ตลอด 9 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนนำใบไม้แห้ง 13,000 กก. มาแลกไข่แล้ว 13,000 กก. คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมจะรวบรวมใบไม้ได้ถึง 20,000 กิโลกรัม โดยเทศบาลตำบลต่างๆ มารับใบไม้นำไปผลิตปุ๋ยหมักให้เกษตรกรใช้แทนปุ๋ยเคมี ช่วยลดต้นทุน และบำรุงดินได้เป็นอย่างดี

สุนีย์ ศรีอร นำใบไม้ 10 กิโลกรัม มาแลกไข่ไก่ไปรับประทานได้ 10 ฟอง บอกว่า ก่อนหน้านี้เก็บใบไม้กองไว้ที่บ้านและที่สวน บางทีก็ทำเป็นปุ๋ยหมักเล็กๆน้อยๆ แต่พอมีโครงการนี้ก็เข้าร่วมในทันที เพราะเห็นประโยชน์ทั้งเรื่องการจัดการกับเศษใบไม้โดยไม่ต้องเผา และยังได้ไข่ไก่ไปบริโภค

ส่วน อุดม คีรีอร นำใบไม้มาแลก 13 กิโลกรัม ได้ไข่ไก่ 13 ฟอง เสริมว่า นำไข่ไก่ที่ได้ไปทำอาหารทานได้ตลอด ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ดี พอไม่ได้ซื้อไข่ก็ทำให้ครอบครัวประหยัดขึ้น โครงการนี้ช่วยชาวบ้านได้ดีมากๆ

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง ครอบครัว หรือในชุมชนของเรา “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ของชาวสันกำแพง จึงถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นๆ ให้หันมาร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน ไม่ทิ้งใบไม้แห้ง ไม่เผา แต่นำมาสร้างประโยชน์จากเศษวัสดุแทน./

🎥 ชมคลิปเลย >> https://youtube.com/shorts/4EtkxoRi1_k

โรคระบาดในสุกร ต้นทุนเงียบที่ต้องจัดการจริงจัง เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร

0

บทความ โดย เอมอร อัมฤก นักวิชาการอิสระ

แม้เทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์จะพัฒนาไปมากเพียงใด แต่ “โรคระบาดในสุกร” ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ยังบั่นทอนความมั่นคงของอุตสาหกรรมสุกรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์โรคระบาดทั้งในฟาร์มขนาดใหญ่และฟาร์มรายย่อยกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงพุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การป้องกันโรคสุกรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคของสัตวแพทย์อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ความจำเป็นพื้นฐาน” ที่เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหารต้องตระหนักรู้ร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดส่งผลกระทบต่อการผลิต การตลาด และความปลอดภัยของอาหารที่เราบริโภคในแต่ละวัน

สำหรับโรคระบาดในสุกรที่เป็นความเสี่ยงในประเทศไทยยังมีอีกหลายโรคและบางโรคยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการส่งออก เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease : FMD) โรคอหิวาต์สุกร (Classical Swine Fever : CSF) โรคอหิวาต์สุกรแอฟริกัน (African Swine Fever : ASF) โรคติดเชื้อ PRRS (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome) โรคติดเชื้อ E.coli (Colibacillosis) และโรคพยาธิในกล้ามเนื้อ (Trichinosis) ซึ่งโรคเหล่านี้ก่อให้เกิดความสูญเสียโดยตรง ทั้งด้านการเจริญเติบโต อัตราการรอดชีวิต ไปจนถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจของเกษตรกร และระบบอาหารของประเทศ

หลายคนมองว่าการลงทุนในระบบป้องกันโรค เช่น การติดตั้งรั้ว ระบบฆ่าเชื้อ ควบคุมคนเข้าออก การฝึกอบรมพนักงาน หรือจ้างสัตวแพทย์ประจำฟาร์ม เป็นภาระหรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง นี่คือ “ต้นทุนที่จำเป็น” เพื่อป้องกันไม่ให้โรคเข้าฟาร์ม ซึ่งเมื่อเทียบกับความเสียหายหากเกิดการระบาดแล้ว ถือว่า “คุ้มค่ากว่ามาก” เพราะเป็นการป้องกันโรคเพื่อความปลอดภัยของอาหาร

ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) จึงเป็นหัวใจหลักของการเลี้ยงสุกรยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มขนาดเล็กหรือใหญ่ การป้องกันโรคต้องเริ่มตั้งแต่การออกแบบฟาร์มให้ปลอดภัย มีระบบรั้ว ประตู และทางเข้าออกที่ควบคุมได้การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เปลี่ยนชุด-รองเท้า ก่อนเข้าเขตเลี้ยงสัตว์ การควบคุมรถขนส่ง อุปกรณ์ และสัตว์พาหะ การจัดการน้ำใช้ อาหาร และของเสียในฟาร์ม

นอกจากนี้ การติดตามและตรวจประเมินฟาร์มอย่างสม่ำเสมอยังเป็นแนวทางปฎิบัติที่สำคัญ โดยมี สัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เป็นผู้ดูแลระบบ ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง ให้คำแนะนำ และตรวจสอบสุขภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของเนื้อสุกรมากขึ้น ทั้งด้านกายภาพ (ไม่มีสิ่งแปลกปลอม เช่น เข็มฉีดยา เศษโลหะ) ด้านเคมี (ไม่มีสารตกค้าง) และด้านชีวภาพ (ปลอดเชื้อโรค)
ซึ่งการทำฟาร์มสุกรหรือฟาร์มปศุสัตว์จะเริ่มต้นไม่ได้เลย หากฟาร์มต้นทางยังมีการระบาดของโรคอยู่ ดังคำกล่าวฟาร์มไร้โรค คือพื้นฐานของ “อาหารปลอดภัย”

การผลิตเนื้อสุกรปลอดภัยต้องวางแผนตั้งแต่ต้นทาง มีการควบคุมการใช้ยา วัคซีน การหยุดยาอย่างถูกต้อง ตลอดจนการดูแลสุขลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อแทรกซ้อน หรือการปนเปื้อนในกระบวนการผลิต ซึ่งจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหยุดวงจรโรคระบาด เริ่มที่เกษตรกร ต้องตื่นตัวและยกระดับการจัดการฟาร์มให้ปลอดโรค ภาครัฐ ต้องสนับสนุนความรู้ การเฝ้าระวัง และการควบคุมโรคเชิงรุก และผู้บริโภค ควรเข้าใจที่มาของอาหาร และสนับสนุนฟาร์มที่ผลิตอย่างปลอดภัย เพราะการแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกรไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เราต้องร่วมมือกันทั้งระบบ เพื่อให้การผลิตอาหารของประเทศไทย “ปลอดภัย และยั่งยืน” อย่างแท้จริง./

ก่อนจะโทษใคร…ปลาหมอคางดำต้องพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง และชี้ขาดจาก “ศาล” ไม่ใช่ความเชื่อ

0

บทความ โดย อัยย์ วิทยาเจริญ นักวิชาการอิสระด้านสัตว์น้ำ

ในช่วงปีที่ผ่านมา “ปลาหมอคางดำ” (Blackchin tilapia) หรือที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanothedon ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย หลังมีการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำหลายพื้นที่ของประเทศ ประเด็นนี้ก่อให้เกิดกระแสสังคมและความวิตกกังวลถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ รวมถึงคำถามถึงต้นตอของการนำเข้าสายพันธุ์ปลาต่างถิ่นชนิดนี้และชนิดอื่นๆ เข้ามาในประเทศไทย

กรณีนี้ มีความเห็นหลากหลายและข้อกล่าวหาจากหลายฝ่าย มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สังคมควรตั้งหลักและพิจารณาเรื่องนี้อย่างมีสติ โดยอาศัยข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการยุติธรรม มากกว่าการด่วนสรุปตามกระแสสังคมหรืออารมณ์

ปลาหมอคางดำ เป็นปลาน้ำจืดต่างถิ่นที่มีต้นกำเนิดจากแอฟริกา ซึ่งมีผู้นำเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงรายเดียวและได้ยกเลิกการทำวิจัยไปเมื่อ 14 ปีแล้ว ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดขึ้น การสืบค้นหลักฐานและพยานทั้งทางวิทยาศาสตร์และบุคคลจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ให้ถ่องแท้

กรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และรายงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ ชี้ชัดว่าปลาชนิดนี้ได้แพร่ระบาดในบางพื้นที่ของอ่าวมะนิลา ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการแพร่กระจายที่มีปัจจัยมากกว่าการนำเข้าอย่างถูกกฎหมายในประเทศใดประเทศหนึ่ง การที่ประเด็นนี้ถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับความสนใจในบริบทภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่ายังมีช่องว่างด้านข้อมูลและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่สังคมควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ก่อนจะสรุปต้นตอสาเหตุอย่างเร่งรีบ

ในความเป็นจริง ตลาดปลาภายในประเทศมีมูลค่าการค้าขายสูงถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปี และยังมีการพบปลาต่างถิ่นจำนวนไม่น้อยที่ถูกลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบของรัฐ ซึ่งนับเป็นช่องโหว่สำคัญที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำในธรรมชาติ การลักลอบนำเข้าปลาต่างถิ่นผิดกฎหมายเป็นข้อสังเกตสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ยังไม่มีคำอธิบายจากหน่วยงานภาครัฐที่ชัดเจนหรือหลักฐานที่เพียงพอในเวลานี้

ในสังคมที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ความเชื่อและอคติสามารถเปลี่ยนเป็นคำตัดสินได้ก่อนที่ข้อเท็จจริงจะได้รับการพิสูจน์ น่าเสียดายที่กระบวนการยุติธรรมในกรณีนี้ถูกเพิกเฉยด้วยกระแสโจมตีฝ่ายเดียว จนบางครั้งมองข้ามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและศาล แต่เป็นการตัดสินด้วยกระแสแทน

สิ่งสำคัญคือสังคมควรปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบและพิจารณาทางกฎหมายเป็นไปอย่างโปร่งใส และให้เกียรติกับความจริงที่ปรากฏผ่านหลักฐานและพยาน มากกว่าการตัดสินจากความคิดเห็นที่ยังไม่มีความชัดเจน

การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาด้วยข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่เพียงความเชื่อหรืออารมณ์สังคม การตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อกระบวนการนำเข้า การลักลอบค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย และการจัดการแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน ควรได้รับความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการหาคนผิด

สุดท้ายแล้ว หน้าที่ของสังคมไม่ใช่การตัดสินล่วงหน้า แต่คือการรับฟังและตรวจสอบอย่างเที่ยงตรง เพื่อให้ความจริงและความยุติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน.

AIS แนะลูกค้า iPhone อัปเดต iOS 18 ให้พร้อมรับการแจ้งเตือนภัย ยืนยันความพร้อมระบบ Cell Broadcast บน Android และ iOS 

0

AIS ร่วมกับ กสทช. ทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ “Cell Broadcast” ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนระบบ Android และ iOS โดยผลการทดสอบสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนได้ทั้ง 2 ระบบ ภายหลังจากที่ Apple ได้เปิดอัปเดตระบบ Cell Broadcast ให้ผู้ใช้ไอโฟน iOS 18 ในไทยใช้งานได้แล้ว จึงขอแนะนำให้ประชาชนที่ใช้มือถือไอโฟนรีบอัปเดตเป็น iOS 18 โดยเร็วที่สุด

นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับความพร้อมของระบบเตือนภัยฉุกเฉินของประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลสำคัญได้ทันท่วงที โดยการทดสอบดังกล่าวมี นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. , นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส และนายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส เข้าร่วม ณ หอประชุมสำนักงาน กสทช. เมื่อวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ระหว่างที่ทาง ปภ. กำลังพัฒนาระบบ Cell Broadcast Entity (CBE) หรือศูนย์สั่งการของภาครัฐ นั้น ทาง ปภ. ได้ขอความร่วมมือมายังโอเปอเรเตอร์ ให้ช่วยดำเนินการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่าน 2 ระบบ ดังนี้

1. ระบบ CBS (Cell Broadcast Service) โดยโอเปอเรเตอร์

  • ใช้ได้บนมือถือแอนดรอยด์ เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป
  • ใช้ได้บนมือถือไอโฟน iOS 18

** หมายเหตุ : มือถือที่ไม่สามารถรับ CBS ได้แก่

  • มือถือระบบ 2G 3G
  • iPhone X (10) ลงมา ที่ยังอัปเดต iOS 18 ไม่ได้

2. ระบบ SMS

  • ยังจำเป็นต้องส่ง SMS เพื่ออุดช่องโหว่ของ CBS ที่ไม่สามารถใช้งานกับมือถือ 2G 3G และ iPhone X (10) ลงมา
  • โดย ปภ. จะเป็นผู้กำหนดการส่งข้อความแจ้งเตือน พร้อมระบุพื้นที่ โลเคชั่น และจังหวัดที่จะส่ง มายังโอเปอเรเตอร์ โดยใช้ SMS Sender Name เป็น DDPM ย่อมาจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วน TMD ย่อมาจาก กรมอุตุนิยมวิทยา