Home Blog Page 33

AIS จับมือ กระทรวงพาณิชย์ ขานรับโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้อนรับเปิดเทอม จัดเต็มส่วนลดสินค้าและบริการดิจิทัล ตอบโจทย์วัยทีน

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส นำโดย นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด ร่วมกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” จัดแคมเปญพิเศษ มอบส่วนลดสินค้าและบริการสูงสุด 70% เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาภาระรายจ่ายและค่าครองชีพของผู้ปกครองในช่วงเทศกาลเปิดเทอม พร้อมสนับสนุนสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของเยาวชนไทย ดังนี้

  • AIS ZEED Movie Lover แพ็กเกจดูหนังสำหรับวัยรุ่น ราคาพิเศษ 199 บาท จากราคาปกติ 299 บาท
  • ซิมเบอร์พลิกชีวิต พลังปัญญา เบอร์เสริมดวงเรื่องการเรียนและอนาคตที่มั่นคง ราคาพิเศษ 49 บาท จากปกติ 199 บาท สมัครคู่กับแพ็กเกจรายเดือน ZEED 5G เริ่มเต้นเพียงเดือนละ 299 บาท
  • ส่วนลด imoo Watch Phone นาฬิกาโทรศัพท์สำหรับเด็ก เมื่อสมัครคู่กับแพ็กเกจรายเดือน Kiddy 199 บาท/เดือน ได้รับส่วนลดเพิ่ม 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2568
  • โปรโมชันพิเศษ iPad A16 ซื้อคู่กับ Apple Pencil USB-C เครื่องเปล่าไม่ติดสัญญาและเครื่องพร้อมแพ็ก ลดราคาพิเศษต้อนรับเปิดเทอม ระยะเวลาโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2568 – 28 มิถุนายน 2568

โดยวางจำหน่ายที่ AIS Shop, AIS Telewiz ทุกสาขา และ AIS Online Store สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.ais.th

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดกิจกรรม “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 1 เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการ “50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” โดยมีการบรรยายธรรมจาก พระพรหมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) ในหัวข้อ “มรรคใหญ่ ใฝ่สูง” รับฟังแง่คิดและหลักธรรมที่สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานอย่างมีสัมมาทิฏฐิ พร้อมด้วยศีลธรรมและคุณธรรม อันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทั้งแก่ตนเองและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับความสนใจจำนวนมาก

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานได้ร่วมอุดหนุนสินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจชุมชน และร่วมบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ผู้ที่สนใจสามารถรับชมการบรรยายธรรม ย้อนหลังได้ที่ Facebook และ Youtube: SET Thailand ทั้งนี้ กิจกรรม “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมทาง Facebook: SET Thailand

ให้เลือด = ให้ชีวิตทุกหยดโลหิต…คือหัวใจจิตอาสา CPF ทั่วไทย

0

CPF ผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน รวมใจจิตอาสาทั่วประเทศ เติมเต็มคลังเลือด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง

“โครงการทำความดีบริจาคโลหิต“ คือกิจกรรมที่บริษัทฯ ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนหนึ่งในค่านิยมสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์และซีพีเอฟ ในการ “ตอบแทนคุณแผ่นดิน”

โดยร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนผู้บริหาร พนักงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป มาร่วม “ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ และตอกย้ำคุณค่าของการเป็น “ผู้ให้” ที่แท้จริง

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง CPF และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เหล่ากาชาด ทหาร ตำรวจ โรงเรียน และชุมชน ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน พร้อมปลูกจิตสำนึกถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อส่งต่อชีวิตและความหวังให้แก่เพื่อนมนุษย์

ฟังเรื่องจริงที่อบอุ่นหัวใจได้ที่ >> https://youtube.com/shorts/MlbORapwhAo

เมืองไทยประกันชีวิต มอบเงิน 16 ล้านบาท สมทบทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบริการทางการแพทย์ของ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายการตอบแทนสังคมเดินหน้าโครงการเพื่อมุ่งเน้น    การสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน” โดยล่าสุดได้มอบเงินสนับสนุนจำนวนเงิน 16,110,000 บาท แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อร่วมสมทบทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบริการทางการแพทย์

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 74 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ ยึดมั่นในการดูแลและคุ้มครองประชาชนควบคู่กับการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รวมถึงสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง โดยการสนับสนุน  ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์เจตนารมณ์ของบริษัทในการร่วมเสริมสร้างระบบสุขภาพไทย ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง

โดยมอบเงินสนับสนุนแก่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท  ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูง และเป็นแหล่งวิจัย ฝึกอบรม และเผยแพร่ความรู้ ด้านโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยในวงกว้าง

ทั้งนี้ โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยเงียบที่เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที     อาจส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตผู้ป่วยและครอบครัว ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงมุ่งดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร โดยทีมสหสาขาวิชา ครอบคลุมทั้งการป้องกัน รักษา ฟื้นฟู ติดตามอาการ และดูแลต่อเนื่องที่บ้าน พร้อมเป็นศูนย์กลางฝึกอบรม วิจัย และเผยแพร่ความรู้สู่สังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดอัตราการเจ็บป่วยและภาระต่อระบบสาธารณสุขอย่างยั่งยืน

และบริษัทยังมอบเงินสนับสนุนใน “โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทยให้ครอบคลุม เข้าถึง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังมอบเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาศูนย์ฯ เพิ่มเติมผ่านทางการกิจกรรมการจัดแสดงการเต้นรำระดับโลก “Rhythm Dance by The BYU Ballroom Dance Company”   รวมเป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท เพื่อมอบให้แก่“โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

สำหรับ “โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านการดูแลรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจร โดยมีการปรับปรุงอาคารเดิม 4 อาคาร ได้แก่ อาคารคัคคณางค์, อาคารนวมินทราชินี, อาคารเอลิซาเบธ และอาคารว่องวานิช ให้เป็นอาคารสูง 9 ชั้น เชื่อมต่อกับอาคารนวมินทราชินีซึ่งเป็นอาคารสูง 11 ชั้น เพื่อรองรับการให้บริการผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการวินิจฉัยและรักษาด้วยเครื่องมือทางรังสีวิทยา ซึ่งต้องจัดหาเครื่องมือใหม่ทดแทนของเดิมที่ใช้งานมานาน

นอกจากนี้บริษัทยังมอบเงินสนับสนุนจากโครงการ MTL e-Document หรือ การรับเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทดแทนการรับเอกสารที่เป็นกระดาษ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “Save Paper, Save Life”  เชิญชวนลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่ง  ในการรักษ์โลกด้วยการสมัคร MTL e-Document  และทุกการสมัครยังจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคจำนวน 20 บาทต่อ 1 กรมธรรม์ที่สมัครสำเร็จ และนำไปบริจาคให้แก่สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ   

“แคมเปญ “Save Paper, Save Life” นอกจากเป็นการตอกย้ำนโยบายด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ แล้วนั้น ยังถือเป็นการฉลองความสำเร็จในการผลักดันนโยบายดังกล่าวจนมียอดลูกค้าสมัครรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์กว่า 100,000 ราย รวมกว่า 200,000 กรมธรรม์ ซึ่งช่วยลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 1,700,000 แผ่น  พร้อมกันนี้จึงได้จัดแคมเปญพิเศษเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัยอยู่ในขณะนี้ ทำให้ลูกค้าที่สมัครMTL e-Document  นอกจากจะได้ช่วยกันลดโลกร้อนแล้ว  ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนไปอีกทางหนึ่งด้วย โดยยอดเงินบริจาคจากการกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 110,000  บาท

ในโอกาสนี้บริษัทได้รับเกียรติจาก  นายขรรค์ ประจวบเหมาะ  ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย   รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ฉันชาย สิทธิพันธุ์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รองศาสตราจารย์พิเศษ แพทย์หญิง อรอุมา ชุติเนตร  หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมอง  และ นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย  เป็นผู้รับมอบเงินสนับสนุน รวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน  16,110,000  บาท

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ asava ปรับโฉม “ชุดพนักงานบริการสาขา” ทำจากขวดพลาสติก Upcycling พร้อมเปิดตัว “ชุดสูทเชิดชูเกียรติยศสุดยอดตัวแทนประกันชีวิต”

0

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ asava แบรนด์แฟชั่นชื่อดังของประเทศไทย ร่วมยกระดับภาพลักษณ์ “แบรนด์แห่งความสุขและรอยยิ้ม” ปรับโฉมชุดพนักงานบริการสาขา (CSC) ทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด  Sharp  Modern และ Sustainable พร้อมใส่ใจความยั่งยืนด้วยการเลือกใช้ใยผ้ารีไซเคิลจากขวดพลาสติกที่ผ่านกระบวนการ Upcycling  และได้เปิดตัว “ชุดสูทเชิดชูเกียรติยศสุดยอดตัวแทนประกันชีวิต” เสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ พร้อมดูแลและเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” บูสท์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน  เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันคือ “การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ”

ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ  asava  แบรนด์แฟชั่นดีไซเนอร์ชั้นนำของประเทศไทย โดย คุณหมู พลพัฒน์     อัศวะประภา ปรับโฉมภาพลักษณ์ “พนักงานบริการสาขา (Customer Service Center หรือ CSC)” ของเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ ด้วยยูนิฟอร์มใหม่ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Sharp  Modern และ Sustainable” สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง ร่วมสมัย ใส่ใจต่อการสร้างความยั่งยืน และดูสดใส เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น  โดดเด่นด้วยการเลือกวัสดุจากใยผ้ารีไซเคิล ซึ่งนำมาจากขวดพลาสติก PET ที่ผ่านกระบวนการ Upcycling มาเป็นองค์ประกอบสำคัญ  เส้นใยผ้ารีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดปริมาณขยะขวดพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ ตอกย้ำนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานของบริษัท    พร้อมให้ความใส่ใจต่อพนักงาน ด้วยการให้อิสระในการเลือกสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มใหม่ โดยสามารถมิกซ์ แอนด์ แมทซ์ ชุดได้ในสไตล์ตัวเอง ให้มีความสุขและพร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้เดินหน้ายกระดับและพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศสู่การเป็นที่ปรึกษาประกันชีวิตที่ลูกค้าไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง  โดย asava ได้รังสรรค์ “ชุดสูทเชิดชูเกียรติยศแห่งความสำเร็จ”  ภายใต้แนวคิด Reflection of Success”  ซึ่งจะมอบให้กับตัวแทนประกันชีวิตที่สามารถพิชิตเป้าหมายที่กำหนด  เพื่อเชิดชูความสำเร็จ และเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ ความน่าไว้วางใจ และยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวแทนประกันชีวิตและลูกค้าได้เป็นอย่างดี  ซึ่งชุดนี้ถูกออกแบบด้วยเทคนิคชั้นสูงของการตัดสูท เพื่อสร้างความพรีเมี่ยม และความภาคภูมิใจแก่ผู้สวมใส่

บริษัทฯ ในฐานะผู้นำ “แบรนด์แห่งความสุขและรอยยิ้ม” ที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจและภาพลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์กรให้ทันสมัยสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอด โดยเชื่อมั่นว่า “ภาพลักษณ์” คือกุญแจสำคัญที่จะสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กร การเปิดตัวยูนิฟอร์มใหม่นี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึงตัวตนของบริษัทที่ก้าวสู่ยุคใหม่ทั้งพนักงานและตัวแทนประกันชีวิตที่ไม่ใช่เพียงผู้ขายประกัน แต่คือ “ที่ปรึกษาการประกันชีวิต” ที่เปี่ยมด้วยพลัง ความรู้ ความมั่นใจ และเข้าใจความต้องการของผู้คนในทุกช่วงของชีวิต

“ความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่างเมืองไทยประกันชีวิตและ asava คือการก้าวข้ามกรอบเดิมของคำว่า    “ยูนิฟอร์ม” ไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ทรงพลังจากภายในสู่ภายนอก ไม่เพียงเพื่อปรับรูปลักษณ์ของตัวแทนและพนักงานให้ทันสมัย สะท้อนความเป็นมืออาชีพ และใกล้ชิดกับผู้คนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในบทบาทของตนเอง และปลุกพลังแห่งความมั่นใจให้พร้อมรับบทบาทสำคัญในการดูแลชีวิตและความมั่นคงของลูกค้าอย่างแท้จริง” นายสาระ กล่าวสรุป 

แม่ไก่สู้ไม่ไหว อากาศร้อนสุดไข่ไม่ออก ยันเพียงพอ ราคาไม่แพงเกินจริง

0

บทความโดย ศิระ มุ่งมะโน นักวิชาการอิสระ

ไข่ไก่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีที่มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดของคนไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของราคาจึงเป็นสิ่งที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่มีการปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเข้าใจวัฏจักรปกติของการผลิตและราคาของไข่ไก่ รวมถึงการยืนยันว่าการปรับราคาครั้งนี้มีเหตุผลรองรับอย่างสมบูรณ์ เป็นสถานการณ์ชั่วคราว และไข่ไก่ยังมีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ก็จะช่วยให้การบริโภคเป็นไปตามปกติและลดคำถามเรื่องราคา “ไข่ไก่ราคาแพง” ลงไปได้

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับวัฏจักรการผลิตและราคาไข่ไก่ ว่า มีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ คือ

  1. ผลกระทบจากสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว ที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นต่อเนื่องตาม
    “ภาวะโลกร้อน ส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะการให้ไข่ของแม่ไก่ ทำให้แม่ไก่ออกไข่น้อยลง อีกทั้งขนาดของไข่ที่ผลิตได้มีแนวโน้มเล็กลง และสัดส่วนไข่ขนาดเล็กที่ออกสู่ตลาดมีสูงถึงกว่า 60% ซึ่งไข่เบอร์เล็กนี้มีราคาขายต่ำกว่าเบอร์กลางและใหญ่ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ระบุว่า ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการผลักดันราคาไข่ไก่ในตลาด
  2. การปลดไก่ยืนกรง (culling) ซึ่งเป็นนโยบายที่ภาครัฐนำมาใช้โดยขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงไก่ไข่ เพื่อรักษาสมดุลการผลิต
    และเสถียรภาพราคาให้เป็นไปตามกลไกตลาด ด้วยการลดไก่อายุสูงและรักษาประสิทธิภาพการผลิต ส่งผลให้ไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดไม่ล้นเกิน ปริมาณไข่จึงยังคงสมดุลกับความต้องการในประเทศ
  3. ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าต้นทุนการเลี้ยงเพื่อจัดการกับภาวะอากาศร้อน (ค่าไฟฟ้า) เฉลี่ยที่ 3.40
    บาทต่อฟอง ตลอดจนต้นทุนวัตถุดิบอาหารแม้ที่ยังผันผวน ส่งผลให้เกษตรกรจำเป็นต้องปรับราคาขายไข่ไก่ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สถานการณ์ผลผลิตและความต้องการในตลาด ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่า ในเดือนเมษายนผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดประมาณ 44.5 ล้านฟองต่อวัน ขณะที่ความต้องการบริโภคอยู่ที่ 43.3 ล้านฟองต่อวัน เห็นได้ว่าผลผลิตยังมีเพียงพอรองรับความต้องการโดยรวมได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปิดเทอม ซึ่งความต้องการไข่ไก่จะสูงขึ้นตามธรรมชาติของตลาด จึงเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ราคามีการขยับตัวสูงขึ้นชั่วคราวตามกลไกตลาด

เปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ราคาไข่ไก่คละอยู่ที่ประมาณ 3.80 บาทต่อฟอง จึงเห็นได้ว่าการปรับราคาในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของตลาด แต่เป็นการสะท้อนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล เกษตรกรจำเป็นต้องดำเนินกิจการได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้มีไข่ไก่จำหน่ายอย่างต่อเนื่องในอนาคต

จากข้อมูลดังกล่าว เห็นได้ว่าการปรับราคาไข่ไก่ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนี้เป็นผลจากวัฏจักรปกติของการผลิตและตลาด โดยมีปัจจัยธรรมชาติ ต้นทุนการผลิต และกลไกตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สถานการณ์นี้เป็นเพียง “ภาวะชั่วคราว” ผู้บริโภคจึงไม่ควรวิตกกังวล เพราะไข่ไก่ยังคงมีเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งช่วงนี้หน่วยงานภาครัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ต้นทุนการผลิตและราคาขายเกินกว่าที่กำหนดไว้ และเพื่อให้ไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพสูงที่คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างต่อเนื่อง.

“CPF เคียงข้างยามวิกฤต“ ชวนคนไทยส่งต่อพลังแห่งการให้ รพ.รามาธิบดี

0

เพราะทุกนาทีมีค่าต่อชีวิตผู้ป่วย พื้นที่การรักษาที่สมบูรณ์พร้อม คือ หัวใจสำคัญของโรงพยาบาลที่ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และบริษัทในกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมร้อยเรียงความดี จัดกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือ พลังแห่งการให้” ครั้งที่ 3 เพื่อนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบทุนในการซ่อมแซมและฟื้นฟูอาคารหลักของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้

กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 เมษายน 2568 เวลา 08.00-18.00 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เชิญชวนประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพมาตรฐานสากล พร้อมส่งต่อพลังแห่งการให้ สนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลในการดูแลชีวิตและสุขภาพของคนไทยอย่างเต็มกำลัง ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.แพทย์หญิงอติพร อิงค์สาธิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และ นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ร่วมกิจกรรม

ศ.ดร.แพทย์หญิงอติพร อิงค์สาธิต กล่าวว่า “โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอขอบคุณซีพีเอฟและประชาชนทุกท่านที่ร่วมส่งกำลังใจและสนับสนุนการฟื้นฟูอาคารหลักของโรงพยาบาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้โรงพยาบาลสามารถกลับมาให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มที่”

เครือซีพีและซีพีเอฟ ยืนหยัดเคียงข้างโรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่การรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งการระดมทุนทรัพย์ โดยมอบเงินบริจาค จำนวน 10 ล้านบาท ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ และดำเนินกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” ณ อาคาร ซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อ “พลังแห่งการให้” เคียงข้างโรงพยาบาลรามาธิบดีไปด้วยกัน .

ประมงเพชรบุรี จับมือวิสาหกิจชุมชน แปรรูปปลาหมอคางดำ “ตราใบโพธิ์” ของดีจากโพพระ

0

ประมงจังหวัดเพชรบุรี เดินหน้าแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ต่อเนื่อง พร้อมหนุนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำตำบลโพพระ แปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร “ตราใบโพธิ์” สร้างรายได้ให้ชุมชน ย้ำผู้บริโภคมั่นใจผลิตภัณฑ์ปลาหมอคางดำของวิรสชาติอร่อย คุณภาพได้มาตรฐาน กระบวนการผลิตสะอาดและปลอดภัย

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า ปีนี้ประมงเพชรบุรียังคงเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการควบคุมปัญหาปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งเรื่องการเฝ้าระวังการระบาด และการใช้ประโยชน์ ผ่านการสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำตำบลโพพระ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี นำปลาหมอคางดำที่จับได้มาหมักเป็นปลาร้า และต่อยอดแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เพื่อนำไปจำหน่ายในตลาดชุมชน

“ปลาหมอคางดำมีคุณค่าสามารถแปรรูปเป็นอาหารได้หลายอย่าง การร่วมสนับสนุนและช่วยอุดหนุน ผลิตภัณฑ์ปลาหมอคางดำตรา “ตราใบโพธิ์” ไม่เพียงเสริมสร้างรายได้ให้คนในชุมชน แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศให้ยั่งยืนอีกด้วย” นายประจวบกล่าว

นายอดิเรก แก้วเจริญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำตำบลโพพระ กล่าวว่า กลุ่มได้รับการสนับสนุนความรู้และอุปกรณ์ รวมถึงปลาหมอคางดำจากประมงเพชรบุรี นำส่วนต่างๆ มาหมักเป็นปลาร้า ระหว่างที่รอให้ปลาร้าชุมชนยังนำมาต่อยอดแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ปลาหมอแดดเดียว น้ำพริกแจ่วบอง ปลาร้าปรุงรส เป็นต้น ส่วนหัวปลายังนำมาทำเป็นน้ำหมักชีวภาพสำหรับใช้ใส่แปลงผักอีกด้วย ซึ่งชุมชนนำผลิตภัณฑ์วางจำหน่าย ที่ตลาดเกษตรกรบ้านลาด และตลาดชุมชนหลังเทศบาล

“ชุมชนได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นทำผลิตภัณฑ์ปลาหมอคางดำ “ตราใบโพธิ์” และได้รับคำแนะนำจากกรมประมง ผู้บริโภคมั่นใจ ของดีจากโพพระ ดีทั้งรสชาติ การผลิตที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ได้มาตรฐาน” นายอดิเรกกล่าว

ทั้งนี้ ประมงจังหวัดเพชรบุรี ยังดำเนินมาตรการกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีที่เป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด ประมงเพชรบุรี จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” คลองอีแอด หมู่ 1 ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรือนจำกลางเพชรบุรี คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ประมงอำเภอ เจ้าหน้าที่กรมประมง ผู้นำชุมชน ชาวประมง ผู้แทนบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันจับปลาหมอคางดำได้ 130 กิโลกรัม สำหรับปลาที่จับได้ถูกส่งมอบให้เรือนจำกลางเพชรบุรี เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แปรรูปเป็น “น้ำปลาแท้ชาววัง” เป็นผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ต่อไป.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายเวลาซื้อขาย DR ได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน เริ่ม 6 พ.ค. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมขยายเวลาการซื้อขายสำหรับตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ที่อ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในทวีปอเมริกาและยุโรป ให้สามารถซื้อขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. และ 19.00-03.00 น. (ของวันถัดไป) เริ่ม 6 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ขณะที่ DR เอเชีย ยังคงซื้อขายในเวลากลางวันเช่นเดิมซึ่งสอดคล้องตามเวลาประเทศไทย

สำหรับ DRx (Fractional DR) ซึ่งปัจจุบันมี 20 หลักทรัพย์ เป็น DR ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์ในตลาดอเมริกาทั้งสิ้นนั้น จะถูกย้ายไปซื้อขายรวมกับ DR โดยอัตโนมัติในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และเริ่มซื้อขายตามเวลาใหม่ของ DR ตั้งแต่ 10.00 น. ของวันเดียวกัน ซึ่งการปรับปรุงบริการในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามราคาและส่งคำสั่งซื้อขาย DR ทั้งหมดได้ในทุกแพลตฟอร์มซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์โดยใช้บัญชีซื้อขายหุ้นที่มีในปัจจุบัน

ผลิตภัณฑ์ DR และ DRx ได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 23 เมษายน 2568 มีจำนวน DR และ DRx 89 หลักทรัพย์ ครอบคลุมหลักทรัพย์ชั้นนำทั่วโลก ทั้งทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย และมีผู้ออก DR จำนวน 5 ราย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 140% จากปีก่อนหน้า

การขยายเวลาซื้อขาย DR ครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยให้ผู้ลงทุนไทยเข้าถึงและกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยได้สะดวกมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน และรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะยาว

ผู้ลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านใช้บริการ หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/dr

เตรียมเปิดบริการเช็คข้อมูล LTF ทุกกองทุนผ่านเว็บตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่ม 2 พ.ค. รองรับการลงทุนในกองทุน Thai ESGX

0

กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESGX และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และเปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุน จากทุก บลจ. แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนตั้งเป้าระดมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

ตามที่ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา 2 เดือน คือ พฤษภาคม – มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ในขณะนี้มี Thai ESGX รวม 37 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 19 แห่ง อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้ง

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้เตรียมความพร้อมในการเสนอขาย Thai ESGX พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถดูข้อมูลการถือครองกองทุน LTF ทั้งหมดของตนเองได้ในที่เดียว เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษี ได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/ltf

นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ 1) การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX และ 2) การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ตลอดจนผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว”

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ.”

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โดยตั้งแต่กองทุน Thai ESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่ง ทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทย (252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567) มิติของการเติบโตของขนาดกองทุน (AUM 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568) มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน

สำหรับ Thai ESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือแจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น ทั้ง บลจ. และผู้สนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมแล้วที่จะร่วมมือกันเพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำผู้ลงทุน โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท”

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่น ๆ อาทิ RMF, SSF และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น”