Home Blog Page 32

AIS – ปภ. ทดสอบระบบเตือนภัย Cell Broadcast ครั้งที่ 2 ระดับกลาง 

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เดินหน้าสนับสนุนภารกิจของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปภ. ในการยกระดับระบบการแจ้งเตือนภัยของประเทศอย่างต่อเนื่อง จัดทดสอบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านระบบ Cell Broadcast ครั้งที่ 2 ในระดับกลาง โดยดำเนินการใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลการทดสอบประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและเป็นไปอย่าง ราบรื่น ทั้งในแง่ของความถูกต้อง ความครอบคลุม และความพร้อมของระบบ ขณะเดียวกัน ทีมวิศวกร AIS ยังได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและยืนยันว่า นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ใช้ซิมโรมมิ่งมาจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในไทย และอยู่ในพื้นที่ทดสอบก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนเช่นเดียวกัน

โดย ปภ. และโอเปอร์เรเตอร์เตรียมทดสอบ CBS ต่อเนื่องในระดับใหญ่ อีกครั้งในวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่, จ.อุดรธานี, จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร โดยข้อความที่ใช้ในการทดสอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีเนื้อหาว่า “ทดสอบการแจ้งเตือน Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก” “This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required” หลังจากการทดสอบแต่ละระดับจะมีการประเมินประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงระบบให้มีความพร้อมสูงสุดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจริงต่อไป

ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยี Cell Broadcast (CBS)พร้อมรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป และ iPhone ที่อัปเดตเป็น iOS 18 แล้ว โดยสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังคนไทย และลูกค้า AIS กว่า 45 ล้านรายที่อยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อแจ้งข้อมูลสำคัญให้ประชาชนรับรู้อย่างถูกต้อง แม่นยำ พร้อมรับมือต่อทุกสถานการณ์

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวที “International Finance Awards 2024”

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำองค์กรคุณภาพอย่างต่อเนื่อง คว้า 2 รางวัลใหญ่ “Best Customer Service Life Insurance Company สุดยอดองค์กรประกันชีวิตที่ให้บริการลูกค้าด้วยมาตรฐานดีเยี่ยมระดับสากล ” และ “สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร “Best Life Insurance CEO” เป็นปีที่ 3 จากงาน International Finance Awards 2024  

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เข้ารับ 2 รางวัลใหญ่ จากงาน International Finance Awards 2024  ประกอบด้วย รางวัล Best Customer Service Life Insurance Company  รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างสรรค์บริการที่สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่าย ตอกย้ำแนวคิด “Happiness Means Everything: เพราะความสุขคือทุกอย่าง” ที่มุ่งมั่นส่งมอบความคุ้มครองและความสุขให้แก่ลูกค้าอย่างแท้จริง 

ในโอกาสนี้ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ได้รับรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร  Best Life Insurance CEO – Mr. Sara Lamsam –Thailand 2024  เป็นปีที่ 3  ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้นำขององค์กรที่มีความสามารถอันโดดเด่น ทั้งในฐานะผู้นำที่เป็นที่ยอมรับและมีคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และเป็นผู้ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล

โดยงานประกาศรางวัล International Finance Awards  จัดขึ้นเพื่อเชิดชูความเป็นเลิศขององค์กรและรางวัลสำหรับผู้นำองค์กรด้านการเงินทั่วโลก โดยมีการมอบรางวัลในหลากหลายสาขา ครอบคลุมทั้งธนาคาร การลงทุน การประกันภัย และอื่น ๆ  จัดโดยนิตยสาร International Finance ซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเงินที่มีชื่อเสียง  ภายในงานมีนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับรางวัล

สำหรับเกณฑ์การพิจารณารางวัล International Finance Awards 2024 จะเน้นไปที่ 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ ผลการดำเนินงาน นวัตกรรม ความเป็นผู้นำ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรม  ซึ่งด้านผลการดำเนินงาน (Performance)  พิจารณาจากบริษัทที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน  ความมั่นคงแข็งแกร่งในทุกมิติ   ตลอดจนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน  ด้านการบริหารความเสี่ยง การบริหารงานลูกค้า  การบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่ายขององค์กร  ด้านนวัตกรรม (Innovation)  พิจารณาจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า  นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 

ด้านความเป็นผู้นำ (Leadership) ดูจากการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถในการนำองค์กร  การกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ขององค์กร  การสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ยังต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีในอุตสาหกรรม เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอุตสาหกรรม  พร้อมแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ  และด้านการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรม (Contribution to Industry Development) พิจารณาจากการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ  การลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนา การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการสร้างงานและโอกาสทางเศรษฐกิจ  พร้อมมีความรับผิดชอบต่อสังคม  มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณและโปร่งใส  การสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม  และนำพาองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง 

ทั้งนี้ International Finance Awards เป็นรางวัลระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดย International Finance Magazine สื่อชั้นนำด้านการเงินและธุรกิจระดับโลก ซึ่งมีเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มข้นเพื่อยกย่องผู้บริหารและองค์กรที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทั่วโลก   รางวัลดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของเมืองไทยประกันชีวิตที่สะท้อนถึงการบริหารงานภายใต้ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ  แสดงถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้า ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ประกันชีวิตที่มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า  พร้อมมุ่งมั่นให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน.

เอไอเอสแจ้งผลดำเนินการไตรมาสแรกปี 68 รายได้รวม 5.6 หมื่นล.

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 โดยยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ทำรายได้รวมอยู่ที่ 56,311 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 10,584 ล้านบาท เป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับคุณภาพและการส่งมอบบริการดิจิทัลที่หลากหลายและตรงตามความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ท่ามกลางความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศที่ผันผวน และสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกในมิติต่างๆ โดยในปี 2568 AIS ยังคงมุ่งปรับตัวการดำเนินธุรกิจให้สอดรับการเปลี่ยนแปลง และเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรง ทั้งโครงข่ายมือถือ 5G และเน็ตบ้าน ระบบคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการมุ่งเน้นคุณภาพ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ในไตรมาสแรกของปีบริษัทฯ ยังสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 45.7 ล้านเลขหมาย โดยผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 12.7 ล้านเลขหมาย เติบโตขึ้น 708,500 เลขหมายจากไตรมาส 4/2567 โดยพื้นที่ให้บริการ 5G มีความครอบคลุมมากกว่า 95% ของประชากรไทย จากการขยายโครงข่ายอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องและมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่ลูกค้า

ธุรกิจบรอดแบนด์ มีจำนวนลูกค้าเน็ตบ้าน AIS 3BB FIBRE3 เติบโตขึ้น 59,700 ราย ทำให้มีผู้ใช้บริการรรวม อยู่ที่ 5.1 ล้านราย โดยยังคงมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบรอดแบนด์ไฟเบอร์ให้ครอบคลุมการใช้งานในทุกบ้าน ทุกธุรกิจ ที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่า อาทิ แพ็กเกจ Super FAST, แพ็กเกจ Home FibreLAN รวมถึงขีดความสามารถจากนวัตกรรมเน็ตบ้านที่จะยกระดับบ้านให้เป็น Smart Home ด้วยอุปกรณ์ IoT อาทิ Smart Sound Bar และ IP Cloud Camera

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร มีอัตราการเติบโตรายได้อยู่ที่ 12% ซึ่งวันนี้มีความพร้อมรองรับการขยายตัวของการลงทุนด้านดิจิทัลในไทย ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริการ Ai และคลาวด์ รวมถึงการเตรียมเปิดบริการผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Oracle Cloud, GSA Data Center ภายในครึ่งปีแรก

รู้เก็บรู้ออม : Thai ESGX พร้อมเสนอขาย

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ถึงตอนนี้ นักลงทุนและคนที่วางแผนภาษีน่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่องกรอบเวลาของกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX หลังกระทรวงการคลัง, ก.ล.ต., สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดแถลงข่าวร่วมถึงความพร้อมสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ซึ่งจะเริ่มเปิดขายตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกอง LTF มาอยู่ใน Thai ESGX นักลงทุนแจ้งความต้องการได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2568

ผู้สนใจมีเวลาที่จะลงทุนในกอง Thai ESGX และย้ายหน่วยลงทุน เป็นเวลา 2 เดือน คือ ตั้งแต่เดือน พ.ค. จนถึง มิ.ย.68 เท่านั้น โดยกำหนดให้วันที่ 30 มิ.ย.68 เป็นวันสุดท้ายของการซื้อและย้ายหน่วยลงทุน!!

ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เตรียมอำนวยความสะดวกให้นักลงทุน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2568 นักลงทุนสามารถใช้บริการเช็กข้อมูลการถือครองกองทุน LTF ทั้งหมดของตัวเอง และทุก บลจ. ได้ทางเว็บ www.set.or.th/ltf สำหรับตรวจสอบและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษี ได้ง่ายและรวดเร็ว

การเช็กข้อมูลการถือครอง LTF ทำเพียง 3 ขั้นตอน คือ 1.ล็อกอินเข้าใช้งาน www.set.or.th/ltf  โดยใช้ SET Member ถ้าใครยังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ให้กดที่ “สมัครสมาชิก” 2.สแกน QR Code เพื่อยืนยันตัวตนบนแอป ThaID ในครั้งแรกที่ใช้บริการ โดยผู้ใช้งานต้องดาวน์โหลดแอป ThaID และลงทะเบียนให้เรียบร้อยก่อน 3.ผู้ลงทุนสามารถเข้าดูข้อมูลการถือหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดจากทุก บลจ.ได้ในที่เดียวแบบครบถ้วน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ ทั้ง RMF, SSF และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากขึ้น

“คุณนายพารวย” ขออธิบายเรื่องกอง Thai ESGX ให้คนที่เตรียมวางแผนภาษีได้เข้าใจอีกครั้ง ว่า สิทธิประโยชน์ภาษีของกอง Thai ESGX นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป เริ่มซื้อกอง Thai ESGX ได้ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.-30 มิ.ย.2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน)

ส่วนที่ 2 สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF ณ วันที่ 11 มี.ค.2568 ที่แจ้งความต้องการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท ตั้งแต่ปีภาษี 2568-2572 โดยปี 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท และปี 2569-2572 ให้ได้รับลดหย่อนเป็นจำนวนเท่าๆกันในแต่ละปีภาษี

เข้าไปดูรายชื่อกองทุน Thai ESGX ได้ทางเว็บไซต์ http://www.thailandesg.com/thaiesgx ซึ่งมีจำนวนมากถึง 37 กองทุน จาก 19 บลจ.

คุณนายพารวย

ยังคลุมเครือ 320,000 ตัว ส่งออกได้อย่างไร? “ปลาหมอคางดำ” ไร้แหล่งที่มารอคำตอบชัดๆ

0
บทความ โดย สินี ศรพระราม นักวิชาการอิสระ

การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ในแหล่งน้ำธรรมชาติของประเทศไทย กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในปีที่ผ่านมาทั้งในแวดวงวิชาการ สิ่งแวดล้อม และสังคมในวงกว้าง ด้วยลักษณะเป็นปลาต่างถิ่นที่มีพฤติกรรมรุกรานระบบนิเวศของไทย และอาจเผชิญความเสี่ยงหากไม่จัดการอย่างเป็นระบบ รอบคอบและรัดกุม

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาด กลับมีคำถามสำคัญที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน นั่นคือ “ปลาหมอคางดำกว่า 320,000 ตัว ที่ส่งออกจากประเทศไทยไปยัง 17 ประเทศในช่วงปี 2556–2559 นั้นมาจากไหน?”

เอกสารการส่งออกที่กรมประมงจัดเก็บไว้ระบุชัดว่า มีการส่งออกปลาชนิดนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ไม่มีหลักฐานการนำเข้าอย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่า “ไร้แหล่งที่มา” ขัดกับหลักเกณฑ์ตาม พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดไว้ว่า การส่งออกสัตว์น้ำต้องมีการแจ้งแหล่งที่มาอย่างโปร่งใส

คำชี้แจงจากหน่วยงานรัฐระบุว่า เป็น “ความผิดพลาดในการกรอกเอกสารของบริษัทชิปปิ้ง” ที่ผิดพลาดต่อเนื่องกันนานถึง 4 ปี โดยไม่มีการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ โดยอ้างว่าเกิดขึ้นกับบริษัทั้ง 11 ราย แต่กลับมีการสอบสวนเพียง 6 บริษัท และไม่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายแม้แต่รายเดียว

คำถาม คือ หากเป็นความผิดพลาดทางเอกสาร เหตุใดจึงเกิดขึ้นซ้ำๆ เกิดต่อเนื่อง และในช่วงเวลานานหลายปีและกับบริษัทเดิม เหตุใดถึงไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเอกสารหรือหลักฐานต่อสาธารณะให้ตรวจสอบได้? ทำไมจึงไม่มีการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ว่า ปลาที่ส่งออกมีสายพันธุกรรมตรงกับปลาที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติในไทยหรือไม่?

หลักฐานจากต่างประเทศสะท้อนรูปแบบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่คล้ายคลึงรายงานในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์ พบว่า การระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ มีต้นทางจากตลาดปลาสวยงาม ซึ่งปลาอาจหลุดรอดหรือลักลอบปล่อยลงแหล่งน้ำโดยผู้เลี้ยงที่ไม่ต้องการรับผิดชอบผลกระทบ

ในกรณีของประเทศไทย จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นตลาดปลาสวยงามขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ มีเครือข่ายแหล่งน้ำที่เชื่อมโยงกับจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาครและพื้นที่ใกล้เคียง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานใดพิสูจน์หรือเปิดเผยผลการสืบสวนว่าปลาหมอคางดำที่พบในธรรมชาตินั้น มีความเชื่อมโยงกับแหล่งเพาะเลี้ยงในพื้นที่เหล่านี้หรือไม่

หากมีการลักลอบนำเข้าปลาชนิดนี้เพื่อจำหน่ายในตลาดปลาสวยงาม แต่ภายหลังกลัวความผิดตามกฎหมาย จึงเลือก “ปล่อย” ลงแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อทำลายหลักฐาน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังอาจเป็นต้นเหตุของหายนะต่อระบบนิเวศพื้นถิ่น

การตรวจสอบแหล่งที่มาของการส่งออกจึงไม่ใช่เพียงการหาคนผิด แต่คือการป้องกันไม่ให้ ประเทศไทย ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับประเทศอื่นที่ไม่สามารถควบคุมสัตว์น้ำรุกรานได้ทันท่วงที ที่สำคัญทุกวันนี้ ยังมีการลักลอบนำเข้าสัตว์ต้องห้าม สัตว์แปลกๆ ปลาแปลกๆ ที่ตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่องจับกุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อนิเวศของไทยได้หากไม่มีการควบคุมและจัดการที่เคร่งครัดและเป็นระบบ
การปกป้องระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมงของไทยไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานรัฐเพียงลำพัง แต่คือความรับผิดชอบร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะเมื่อมีข้อเท็จจริงและหลักฐานหลายด้านที่ยังไม่มีคำอธิบายที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ เราไม่ควร “ด่วนสรุป” แต่ควร “ตั้งคำถาม” เพื่อค้นหาความจริง?

ขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลการส่งออกปลาหมอคางดำในช่วงปี 2556–2559 ของทั้ง 11 บริษัทต่อสาธารณะและให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เรื่อง DNA และแหล่งกำเนิดของปลา เพื่อตอบคำถามอย่างจริงจังและโปรงใส แม้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาแต่ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ และควรเดินหน้าแก้ปัญหาตามหลักวิชาการ ไม่เพิกเฉยที่จะร่วมมือกันกำจัดและควบคุมปลาให้อยู่ในพื้นที่จำกัดให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด.

หอการค้าสุราษฎร์ฯ ยื่น 4 ข้อเสนอด่วนถึงหอการค้าไทย เร่งฝ่าวิกฤตภาษี ทวงคืนผู้นำส่งออกกุ้งของโลก

0

หอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นข้อเสนอด่วนถึงประธานกรรมการหอการค้าไทยและกรรมการชุดใหม่ จี้เร่งบูรณาการแก้วิกฤตการส่งออกกุ้งไทย หลังเจอโรคระบาดรุมเร้า ตลาดหลักหดตัวหนัก เหตุภาษีสูงจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ตัดสิทธิ์ GSP ทำสูญเสียตลาดเกือบสิ้นเชิง ขณะที่ศักยภาพการผลิตยังเข้มแข็ง มีมาตรฐานสากลรองรับ พร้อมเปิดช่องเจรจา FTA–ลดภาษีแลกเปิดตลาดอาหารสัตว์ ชี้ถึงเวลาต้องเดินเกมรุก หวังทวงคืนสถานะผู้นำอาหารทะเลโลก

นายเกษียร ไลยโฆษิต ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ส่งสัญญาณถึงหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้เร่งเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมกุ้งไทย เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาอุปสรรคด้านการค้าอย่างหนัก

เกษียร ไลยโฆษิต ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี

อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยมีปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด คือ โรคกุ้ง โดยเฉพาะโรคตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) ขณะที่ราคามีทิศทางตกต่ำ โดยคาดการณ์ตัวเลขส่งออกปี 2568 จะใกล้เคียงปี 2567 ที่ไทยส่งออกกุ้งได้ประมาณ 120,000-130,000 ตัน มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาโรคระบาดกระทบต่อผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ ขณะที่คู่แข่งสำคัญ เช่น เอกวาดอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลก มีผลผลิตเฉลี่ย 1.3-1.4 ล้านตันต่อปี ซึ่งไทยมีเป้าหมายจะเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงให้ผลผลิตกุ้งออกสู่ตลาดให้ได้ 400,000 ตัน ในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อผลักดันส่งออกกุ้งไทยกลับมาโตอีกครั้ง

ทั้งนี้ ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยื่นข้อเสนอ 4 ประการ ต่อหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการผลักดันนโยบายและมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมกุ้งไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาคการเกษตรที่สร้างรายได้หลักให้ประเทศมายาวนาน ได้แก่ 1. แก้ปัญหาโรคระบาดในฟาร์มกุ้ง นับตั้งแต่ปี 2553 อุตสาหกรรมกุ้งไทยได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในวงกว้าง ส่งผลให้การผลิตกุ้งลดลงจากเดิมเกือบ 600,000 ตัน เหลือเพียง 250,000-280,000 ตันต่อปี ทำให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม อินเดีย และเอกวาดอร์

2. ส่งเสริมการตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งไทยจำเป็นต้องรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดเดิม เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเร่งขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ จีน และอาเซียน พร้อมทั้งยกระดับตลาดภายในประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

3. ผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป (Thailand-EU Free Trade Agreement) หลังสินค้ากุ้งของไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) จากอียูในปี 2557 การส่งออกกุ้งลดลงอย่างรุนแรงจาก 60,000 ตัน เหลือไม่ถึง 1,000 ตันต่อปี จึงควรเร่งผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป เพื่อขอลดภาษีนำเข้าสินค้ากุ้ง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการทวงคืนส่วนแบ่งตลาด

4. ลดผลกระทบจากภาษีนำเข้ากุ้งจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกกุ้งใหญ่เป็นอันดับสองของไทย คิดเป็น 21% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมด กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% (Reciprocal Tariffs) แม้สหรัฐฯจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไป 90 วัน ก็ตาม ไทยควรมีมาตรการและแนวทางต่อรองที่ชัดเจนเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการผลิตและส่งออกของประเทศ

“สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่การช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเกษตรกรสุราษฎร์ธานีเท่านั้น แต่ต้องการให้หอการค้าไทยมองปัญหานี้เป็นปัญหาเชิงระบบของอุตสาหกรรมกุ้งทั้งประเทศ เพราะเรามีศักยภาพที่จะกลับมาเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลคุณภาพระดับโลกได้อีกครั้ง หากมีมาตรการสนับสนุนที่ถูกทิศทางและทันเวลา” นายเกษียร กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ ข้อเสนอหนึ่งที่ภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การเปิดตลาดนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และเมล็ดถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้ากุ้งและสินค้าอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อไทย แต่จะต้องกำหนดมาตรการปกป้องเกษตรกรไทยอย่างเหมาะสม นอกจากข้อเสนอเชิงนโยบายแล้ว ล่าสุดกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เปิดฟาร์มต้อนรับคณะทูตจากสหราชอาณาจักร เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพระบบการเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดสารตกค้าง ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในอังกฤษ และจะเป็นประตูสำคัญในการขยายการส่งออกกุ้งเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปอีกทางหนึ่ง.

gettgo จับมือ ทูนประกันภัย เสิร์ฟบริการใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Only at gettgo” กับบริการ Airport Lounge เพิ่มความอุ่นใจอีกขั้นให้คนเดินทาง พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 20%

0

บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo เว็บไซต์เปรียบเทียบและซื้อขายประกันออนไลน์ ได้เปิดตัวแบบประกันเดินทางใหม่ต้อนรับไฮซีซั่นช่วงกลางปี โดยชูจุดเด่น “บริการห้องรับรองสนามบิน (Airport Lounge)” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ พร้อมมอบความอุ่นใจและความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง อีกทั้งยังครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินอย่างครบถ้วน

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด  เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การเดินทางไม่ได้เป็นแค่เพียงการมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางเท่านั้น หากแต่ยังครอบคลุมไปถึงการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างการเดินทาง มีความสะดวกสบายและได้รับความคุ้มครองตลอดเส้นทางอีกด้วย

ในโอกาสนี้ gettgo ร่วมมือกับ ทูนประกันภัย ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันการเดินทางรูปแบบใหม่ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุ การรักษาพยาบาลหรือการเจ็บป่วยระหว่างการเดินทาง รวมถึงบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเสริมความมั่นใจในทุกการเดินทาง เสมือนมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเดินทางไปด้วยในทุกเส้นทาง

 “การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการเพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น  เราจึงมุ่งเน้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในหลากหลายสถานการณ์ เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเมื่อออกเดินทาง” นายวรวัฒน์ กล่าว

แนวคิดของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริงของนักเดินทางจำนวนมาก ที่เคยเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทาง หนึ่งในกรณีตัวอย่างคือ นักธุรกิจที่เดินทางไปยังประเทศในยุโรป และเกิดอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลันในช่วงเวลากลางดึก โชคดีที่แผนประกันของ ทูนประกันภัย มีบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ทำให้ได้รับคำแนะนำเบื้องต้นจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้เคียงได้อย่างทันท่วงที

อีกหนึ่งตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศ และต้องเผชิญกับเที่ยวบินล่าช้าเกินกว่า 2 ชั่วโมง ในกรณีนี้ แผนประกันการเดินทางของ ทูนประกันภัย  สำหรับลูกค้า  gettgo   กับความคุ้มครองสุดเอ็กซ์ คลูซีฟ “Only at gettgo” เท่านั้น มอบสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการห้องรับรองสนามบิน (Airport Lounge) เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยให้ช่วงเวลารอคอยเป็นไปอย่างราบรื่นและผ่อนคลาย ซึ่งถือเป็นบริการพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางในสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

คุณศศิวิมล ช่อลัดดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทูน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปัจจุบัน บทบาทของประกันภัยการเดินทางได้ขยายจากการเป็นเพียงเอกสารประกอบการขอวีซ่า ไปสู่การเป็นเพื่อนคู่ใจที่มอบความอุ่นใจและความมั่นใจให้ผู้เดินทางในทุกเส้นทาง”

อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ใหม่จากทูนประกันภัย ออกแบบมาเพื่อมอบความคุ้มครองที่รอบด้าน และช่วยให้ทุกการเดินทางของลูกค้าเป็นไปอย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น กับความคุ้มครองสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Only at gettgo” เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “รู้จุดเด่น เห็นจุดต่าง” ของ gettgo ที่ ไม่เพียงแค่นำเสนอความคุ้มครองที่หลากหลายและครอบคลุม แต่ยังรวมถึงการที่ลูกค้าสามารถเข้าใจและเข้าถึงบริการได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้ประกันกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและมีความเข้าใจในแผนประกันอย่างชัดเจนและพึงพอใจในทุกมิติของการได้รับบริการ ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจที่บริษัทฯ ยึดมั่นเสมอมา

ทั้งนี้ ทูนประกันภัยและ gettgo ยังพร้อมมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.gettgo.com โดยจัดแคมเปญโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 20% พร้อมของสมนาคุณสุดพิเศษ อาทิ กระเป๋าเดินทางระดับพรีเมียม และแพ็กเกจบริการห้องรับรองพิเศษ ณ สนามบิน (Airport Lounge) อีกด้วย

AIS – ปภ. ร่วมทดสอบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน Cell Broadcast ครั้งแรกระดับเล็ก พร้อมทดสอบต่อเนื่อง ครอบคลุมทั่วประเทศ

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดทดสอบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านระบบ Cell Broadcast ครั้งที่ 1 ในระดับเล็ก โดยดำเนินการภายในอาคารราชการ 5 แห่ง ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย, อุบลราชธานี, สุพรรณบุรี, สงขลา และอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลการทดสอบบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำความพร้อมของระบบในการรองรับการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินอย่างแม่นยำและรวดเร็ว

การทดสอบในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ โดยมีกำหนดส่งข้อความทดสอบในระดับที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับกลาง 5 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เมืองลำปาง, อ.เมืองนครสวรรค์, อ.เมืองนครราชสีมา, อ.เมืองสุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพฯ และวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับใหญ่ 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่, จ.อุดรธานี, จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร

โดยประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ จะได้รับข้อความที่ใช้ในการทดสอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ระบุว่า “ทดสอบการแจ้งเตือน Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก” “This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required” ซึ่งภายหลังจากการทดสอบ ในแต่ละระดับ จะมีประเมินประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยเพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และพร้อมใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดัน 3 โครงการ ชวนทำความดีเพื่อสังคม ในโอกาสครบรอบ 50 ปี

0

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 50 ปีในปี 2568 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับทุกภาคส่วนดำเนิน “โครงการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” ผ่าน 3 โครงการหลัก เน้นย้ำบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน และสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทย

“ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาคตลาดทุน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคสังคม จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สมดุลและยั่งยืนให้สังคมไทย โดยการดำเนิน 3 โครงการในวาระพิเศษนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งหวังว่าจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการส่งเสริมการศึกษา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขเพื่อสุขภาพของคนไทย และการสร้างความเท่าเทียมในโอกาสทางการศึกษา ซึ่งทุกโครงการจะมีส่วนช่วยสร้างพลเมืองคุณภาพและเสริมศักยภาพการขับเคลื่อนประเทศต่อไป” นายอัสสเดชกล่าว

ทั้งนี้ 3 โครงการเพื่อประโยชน์แก่สังคม ที่จะร่วมดำเนินการกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ได้แก่

  1. โครงการ “ผสานพลังแห่งการให้ เพื่อสุขภาพของคนไทย” โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม (SIF) เชื่อมโยงภาคธุรกิจทำความดี ด้วยการบริจาคหรือสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และครุภัณฑ์ที่อยู่ในความต้องการของโรงพยาบาลในกรุงเทพและภูมิภาค เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยภาคธุรกิจที่สนับสนุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
  2. โครงการ “ขยายโอกาสสู่ 50 โรงเรียน เพื่ออนาคตเยาวชนไทย” บ่มเพาะเยาวชนที่เป็นอนาคตของประเทศ ด้วยการปลูกฝังพื้นฐานความรู้การเงินการลงทุนแก่เยาวชนใน 50 โรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านรูปแบบ offline และ online เพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นรากฐานของการเติบโตของประเทศ สอดรับพันธกิจตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการให้ความรู้ทางการเงินแก่คนไทยทุกกลุ่ม
  3. โครงการ “คอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมด้วย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพิ่มทักษะดิจิทัลและปลูกฝังความรู้ด้านการเงิน โดยเชิญชวนภาคตลาดทุนและภาคธุรกิจสนับสนุนคอมพิวเตอร์ ทั้งคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานแล้วคุณภาพดี และคอมพิวเตอร์ใหม่ (มือ1) หรือองค์ความรู้ตามความเชี่ยวชาญของธุรกิจมอบแก่โรงเรียนที่ขาดแคลน โดยมีเป้าหมายบริจาคคอมพิวเตอร์พร้อมติดตั้งชุดความรู้ทางการเงิน 5,000 เครื่อง ภายใน 5 ปี

การดำเนินโครงการดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน มุ่งสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมแก่สังคมไทยที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในหลากหลายมิติ อาทิ ด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การพัฒนาชุมชน เป็นต้น

สำหรับองค์กรและผู้ที่สนใจ 1) โครงการ “ผสานพลังแห่งการให้ เพื่อสุขภาพของคนไทย” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม (SIF) คุณชยุต จินตรัศมี โทร. 061 789 2539 หรือ [email protected] คุณธัญสินี เตรียมอุดมสุข โทร. 094 545 2852 หรือ [email protected] 2) โครงการ “ขยายโอกาสสู่ 50 โรงเรียน เพื่ออนาคตเยาวชนไทย” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2009 9865 หรือ [email protected] และ 3) โครงการ “คอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กสศ. Call Center โทร. 0 2079 5475 ติดตามความคืบหน้าโครงการได้ที่ www.eef.or.th/donate/ และ https://pinhelppoint.com/

ติดตามโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีขึ้นในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 50 ปีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ www.set.or.th www.setfoundation.or.th

สมุทรสงคราม เรียนรู้หมักปลาหมอคางดำเป็น “น้ำปลา” เปลี่ยนปัญหาสู่ผลิตภัณฑ์คู่ครัว

0

สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงครามจับมือ ประมงจังหวัด และซีพีเอฟ จัดคอร์สอบรมทำ “น้ำปลา” จากปลาหมอคางดำ ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและแม่บ้าน เพื่อนำมาใช้สำหรับใช้บริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายเป็นรายได้เสริม เป็นอีกหนึ่งการพลิกปัญหาสู่โอกาสทางเศรษฐกิจขยายผลสอนให้กับชาวสมุทรสงครามที่สนใจ มาร่วมกันเปลี่ยนปัญหาให้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ ร่วมจัดการการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำอย่างยั่งยืน

พันตำรวจเอกสมชาย ขอค้า ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงคราม กล่าวว่า สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงครามต้องการเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาส โดยร่วมมือกับ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คิกออฟฝึกอาชีพบูรณาการช่วยเหลือสังคมกำจัดปลาหมอคางดำ โดยร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่จับปลาหมอคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำ เพื่อนำปลาหมอคางดำมาประกอบอาหารบริโภคในครัวเรือนช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวของข้าราชการตำรวจ พร้อมทั้งฝึกให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มแม่บ้านแปรรูปเป็นน้ำปลา ตั้งแต่การเตรียมปลาหมอคางดำ ใส่เกลือคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนปิดฝาและหมักไว้ประมาณ 12 เดือนจนได้เป็นน้ำปลา เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่เข้าอบรมครั้งนี้ ยังต่อยอดความรู้ไปถ่ายทอดให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการปัญหาปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ
“สมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่ทำนาเกลือ การแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นน้ำปลา เป็นการบูรณาการของดีประจำจังหวัดต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนเติบโต ช่วยกันจัดการปัญหาปลาหมอคางดำที่ชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้ประโยชน์” ผกก.สภ.เมืองสมุทรสงครามกล่าว

ด้านนายนิรัตน สนิทมัจโร ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า การนำปลาหมอคางดำหมักเป็นน้ำปลา เป็นหนึ่งในมาตรการของกรมประมง นอกจากสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงครามแล้ว ก่อนหน้านี้ประมงสมุทรสงครามได้ร่วมมือกับเรือนจำกลางสมุทรสงครามสอนเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังนำปลาหมอคางดำหมักน้ำปลาเป็นทักษะอาชีพ และทำเป็นสินค้าราชทัณฑ์ ตรา “หับเผยแม่กลอง” รวมทั้งสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นปลาร้า และสินค้าอาหารอื่นๆ เพื่อขยายผลให้เกิดการบริโภคอย่างกว้างขวางมากขึ้น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนเติบโตอีกด้วย.