Home Blog Page 31

ครม. ไฟเขียวร่างประกาศกระทรวงการคลัง เสนอขายโทเคนดิจิทัลของรัฐบาลไทย (G-Token)

0

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2568 ได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ซึ่งจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างที่ประเทศพัฒนาแล้วต่างๆ กำลังจะดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน อันเป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการระดมทุนและขยายฐานนักลงทุนให้มีความหลากหลายและครอบคลุมอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของโลกปัจจุบันมากยิ่งขึ้นการพัฒนา G-Token ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของกระทรวงการคลังในการนำเทคโนโลยีประยุกต์ใช้กับเครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มศักยภาพการระดมทุน เพิ่มความคล่องตัว และความโปร่งใสส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion) ตลอดจนเพิ่มช่องทางของโอกาสและทางเลือกในการกระจายการลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศให้เป็นแหล่งระดมทุนที่ยั่งยืน ส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับภูมิภาคของประเทศ

กระทรวงการคลัง โดย สบน. ได้กำหนดคุณลักษณะของ G-Token ให้เป็นแหล่งลงทุนศักยภาพสูงให้กับประชาชน กล่าวคือ มีความเสี่ยงต่ำ รวมทั้งการกำหนดอัตราผลตอบแทนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจน ภายใต้การกำกับดูแลตามกฎหมายและประกาศของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อขายในตลาดรอง (Secondary Market) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารจัดการทางการเงินและสภาพคล่องเป็นการเฉพาะได้ดียิ่งขึ้น

สบน. จะได้กำหนดแผนการเสนอขาย G-Token ให้กับประชาชนครั้งแรกภายในปีงบประมาณ 2568 โดยเป็นการกู้เงินภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ปรับปรุงครั้งที่ 1 ผลตอบแทนของ G-Token จะเบิกจ่ายจากงบชำระหนี้ในกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะเช่นเดียวกับเครื่องมือระดมทุนอื่นๆ ของ สบน.

ทั้งนี้ สบน. มีแผนที่จะเสนอขาย G-Token อย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีความต่อเนื่อง ซึ่ง สบน. จะพิจารณากำหนดรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงต้นทุน ความเสี่ยง สภาวะตลาด และวิธีการลงทุนของผู้ลงทุน รวมถึงแผนการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล โดยจะได้ประชาสัมพันธ์แผนการดำเนินการที่ชัดเจนให้ผู้ลงทุนรับทราบในโอกาสแรกต่อไป

CIMB THAI ประกาศรับสมัครตำแหน่ง ที่ปรึกษาการเงินอิสระ 500 คนทั่วประเทศ 

0

ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดโอกาสใหม่ในสายการเงิน เปิดรับ Independent Financial Advisor ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการเป็นฟรีแลนซ์

น.ส.กษิรา คล่องอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริหารทีมที่ปรึกษาการเงินอิสระ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเดินหน้ารุกธุรกิจ Wealth Management ต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนดีๆ ราคาดี โดยเฉพาะหุ้นกู้ตลาดรองที่ธนาคารเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้ให้บริการที่แอคทีฟที่สุดในตลาด ปัจจุบัน ลูกค้าลงทุนหุ้นกู้ได้ด้วยตัวเองผ่าน Wealth Platform ที่แข็งแกร่งของธนาคารได้แก่ แอป CIMB THAI ขณะเดียวกัน ธนาคารต้องการขยายช่องทางนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนคุณภาพถึงมือลูกค้าในวงกว้าง โดยเฉพาะขยายฐานลูกค้าใหม่ที่สนใจกระจายการลงทุนจากเงินฝาก กองทุน ประกัน และขยับมาลงทุนหุ้นกู้ และต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ธนาคารจึงขยายฐานจำนวนเจ้าหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ โดยเปิดรับสมัครที่ปรึกษาการเงินอิสระ (Independent Financial Advisor – IFA)    

“เรามองว่า IFA ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนยุคใหม่ที่มองหาอาชีพอิสระ เลือกเวลาทำงานเองได้ ปัจจุบัน IFA กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง ผลิตภัณฑ์ลงทุนส่วนใหญ่ที่ IFA นำเสนอกันตอนนี้ มี กองทุน และประกัน การมาเข้าร่วมเป็น IFA กับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นการเติมเต็ม เพราะเรามีจุดเด่นเรื่องหุ้นกู้ ตลาดแรกและตลาดรองให้คุณออกไปนำเสนอ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญหลังบ้านที่พร้อมสนับสนุน IFA ที่ออกไปพบลูกค้า และลูกค้าของ IFA จะได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกค้าธนาคาร อีกทั้งเรายังมีจัดอบรมติดปีกความรู้ เรียกว่า IFA ที่มาอยู่กับเราจะได้รับประโยชน์แบบจัดเต็ม” น.ส.กษิรา กล่าว

ทั้งนี้ IFA สามารถยกระดับการขายไปอีกขั้น กับสิทธิพิเศษสมาชิก CIMB Preferred ให้ลูกค้าคนสำคัญของ IFA โดยลูกค้าจะได้รับ แพ็กเกจตรวจสุขภาพ, Airport Fast Track และรถกอล์ฟไฟฟ้า, บริการห้องพักรับรอง Miracle Lounge ในสนามบิน, ผู้ช่วยส่วนตัวตลอด24ชม.

สิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ IFA จะได้รับ ได้แก่ ทีมดูแลตัวแทนอิสระโดยเฉพาะ พร้อมหัวหน้าทีมมากประสบการณ์กว่า 20 ปี คอยให้คำแนะนำ, โปรแกรมพัฒนาที่ปรึกษาทางการเงิน, สิทธิการใช้สาขา Wealth Center ของธนาคารทั้ง 13 แห่ง สำหรับการนัดคุยกับลูกค้า

คุณสมบัติของ IFA เป็นที่ปรึกษาการเงินอิสระทีมีใบอนุญาตตัวแทน สามารถนำเสนอการลงทุนแก่ลูกค้าได้ โดยไม่ได้สังกัดสถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือบริษัทประกัน แห่งใดแห่งหนึ่ง ธนาคารเปิดโอกาสให้ทุกคน ตั้งแต่คนรุ่นใหม่ ไปถึงคนวัยเกษียณที่ยังมีไฟและมีความหลงใหลในงานแนะนำการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายรับสมัคร IFA 500 ตำแหน่ง ผู้ที่สนใจร่วมงานกับ ซีไอเอ็มบี ไทย สมัครได้ที่นี่ https://bit.ly/3YXgKwI Moving Forward With You.

ซีพีเอฟ เดินหน้ามอบอาหารน้ำดื่ม หนุนภารกิจอาสาสมัครป้องกันไฟป่าเชียงใหม่

0

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รับมอบผลิตภัณฑ์อาหารและน้ำดื่ม CP จากซีพีเอฟ เพื่อสนับสนุนภารกิจอาสาสมัครป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าเชียงใหม่ ของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ (ปภ.จ.เชียงใหม่) หนุนนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศสะอาดปราศจากมลพิษ

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการคุมเข้มป้องกันไฟป่าในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับแผนการทำงานให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายการเผา มุ่งเน้นลดแหล่งกำเนินไฟในทุกทาง ทั้งในพื้นที่ป่าที่มีการลาดตระเวนคุมเข้มไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปกระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า เคาะประตูบ้านขอความร่วมมือประชาชนหยุดเผาทุกชนิดในที่โล่ง โดยจัดหาทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีการเผา การตรวจจับควันดำรถ และตรวจสอบภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด การที่ซีพีเอฟมอบอาหารและน้ำดื่มในครั้งนี้ ถือเป็นการสนับสนุนภารกิจดับไฟป่าและเติมเต็มกำลังใจในการทำงานของทีมอาสาสมัคร

ด้าน นายดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้า ปภ.จ.เชียงใหม่ กล่าวขอขอบคุณซีพีเอฟที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับไฟป่าทุกคน ที่เสียสละในการเดินหน้าภารกิจการป้องกันและแก้ไขหมอกควันไฟป่า ด้วยการมอบผลิตภัณฑ์อาหารทั้ง ไข่ไก่สด เนื้อหมูสด หมูคูโรบูตะพร้อมทาน น้ำดื่ม CP และผลิตภัณฑ์อาหารห้าดาว ที่ซีพีเอฟนำมามอบให้ทั้งหมดนี้ ทางจังหวัดเชียงใหม่ จะนำไปจัดสรรมอบให้กับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครผู้ปฏิบัติงานดับไฟป่าในแต่ละพื้นที่ต่อไป

นายนันทพล วิชัยดิษฐ ผู้บริหารอาวุโส งานปฏิบัติการด้านความยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในฐานะผู้แทนของบริษัทที่นำทีมซีพีเอฟจิตอาสาจากทุกกลุ่มธุรกิจร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนภารกิจอาสาสมัครดับไฟป่าในกรร่วมเป็นด่านหน้าในการป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าเชียงใหม่ ที่ทุกคนทุ่มเทในการทำงานเพื่อร่วมกันต่อสู้กับปัญหาฝุ่น PM2.5 มาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากผลิตภัณฑ์อาหารที่มอบในครั้งนี้แล้ว ซีพีเอฟ ยังให้ความร่วมมือกับ นายอำเภอสันกำแพง ที่ริเริ่มโครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ชวนชาวสันกำแพงนำใบไม้แห้งมาแลกกับไข่ไก่ CP เพื่อเป็นแนวทางลดการเผาที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 และประชาชนยังได้ไข่ไก่กลับไปบริโภค ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน บ้านเรือนและชุมชนสะอาดขึ้น ตลอด 14 สัปดาห์ที่ผ่านมาโครงการฯ นี้ สามารถรวบรวมใบไม้ได้ถึง 25,000 กก. โดยบริษัทฯสนับสนุนไข่ไก่แก่โครงการฯ รวม 17,800 ฟอง มีส่วนช่วยลดปริมาณใบไม้ในบ้านเรือน ไร่ สวน พร้อมมอบเครื่องเป่าลม 2 เครื่อง สำหรับใช้เป่าใบไม้และทำแนวกันไฟเพื่อดับไฟป่า.

AIS ร่วมกับปภ. ทดสอบระบบเตือนภัยCell Broadcast ระดับใหญ่สำเร็จตามเป้าพร้อมลงพื้นที่แนะนำกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงข้อมูลฉุกเฉินอย่างทั่วถึง

0

AIS และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปภ. ทดสอบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านระบบ Cell Broadcast ต่อเนื่องครั้งที่ 3 ระดับใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่, จ.อุดรธานี, จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร โดยจากการทดสอบพบว่าประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดได้รับข้อความแจ้งเตือนตรงเวลา 13.00 น. ทั้งสมาร์ทโฟนระบบ Android และ iOS นับเป็นการทดสอบระดับใหญ่ที่ประสบความสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย

พร้อมกันนี้ AIS ยังได้นำทีมวิศวกรลงพื้นที่ให้คำแนะนำกลุ่มเปราะบางในการทดสอบรับข้อความ Cell Broadcast อาทิ ผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินหรือการมองเห็น เพื่อป้องกันการตื่นตระหนกและยืนยันว่าประชาชนทุกกลุ่มได้รับข้อความแจ้งเตือนอย่างทั่วถึง และสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและราบรื่น

โดยจากการทดสอบระบบ CBS ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันอย่างสอดประสาน ระหว่างภาครัฐและโอเปอเรเตอร์ ในการเดินหน้าปรับปรุงและพัฒนาระบบให้มีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเร่งยกระดับการแจ้งเตือนภัยของประเทศที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาชาติ โดยแผนงานต่อจากนี้ เอไอเอสพร้อมให้การสนับสนุน ปภ. ในการทดลองทดสอบระบบ CBE (Cell Broadcast Entities) ของภาครัฐต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ไม่ได้รับข้อความ Cell Broadcast ขอแนะนำให้ท่านอัพเดทเวอร์ชั่นโทรศัพท์มือถือ โดยเข้าไปที่เมนูตั้งค่า และทำการอัพเดทซอฟแวร์ของเครื่องทันที! โดยแอนดรอยส์ต้องอัปเดตให้เป็นเวอร์ชัน 12 ขึ้นไป และไอโฟนต้องอัปเดตให้เป็น iOS 18 เท่านั้น (หมายเหตุ มือถือที่ไม่สามารถรับ Cell Broadcast ได้ คือ มือถือระบบ 2G 3G และไอโฟน 10 ลงมา ที่อัพเดท iOS 18 ไม่ได้)   

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย “THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7

0

เมืองไทยประกันชีวิต  ตอกย้ำความเป็นองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรมประกันชีวิต ด้วยการคว้ารางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย “THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2025” จัดโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่บริษัทได้รับเกียรติอันทรงคุณค่านี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นเลิศและสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ลูกค้าและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็นอีกหนึ่งของความภาคภูมิใจของบริษัทฯ กับการได้รับรางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2025″ ในสาขาอุตสาหกรรมประกันชีวิต  ซึ่งได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ในโอกาสนี้ บริษัทได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย  องคมนตรี เป็นประธานในการมอบรางวัลในครั้งนี้   โดยมาตรฐานการคัดเลือกองค์กรที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมในแต่ละอุตสาหกรรม

รางวัลนี้พิจารณาจากองค์กรที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม โดยมีเกณฑ์สำคัญ ได้แก่ ด้านผลประกอบการทางธุรกิจ อาทิ รายได้ กำไรสุทธิ การเติบโต และความมั่นคงทางการเงิน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการและสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย  ด้านกลยุทธ์การบริหารองค์กร ที่มีประสิทธิภาพ ปรับตัวได้ดีตามสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคม พร้อมแผนธุรกิจที่รองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  ด้านการนวัตกรรมและการพัฒนา การใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและยกระดับการบริการ ซึ่งแอปพลิเคชัน MTL Click ของบริษัทฯ สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า และสร้างความแตกต่างในตลาด  ด้านนโยบายด้านความยั่งยืนและ CSR มุ่งเน้น ESG และการดำเนินโครงการเพื่อสังคมที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน   และด้านความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมาเมืองไทยประกันชีวิตมีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานธุรกิจประกันชีวิตไทย ด้วยความน่าเชื่อถือและแนวคิดที่เป็นต้นแบบในการดำเนินธุรกิจ

นายสาระ กล่าวเพิ่มเติมว่า “รางวัลนี้ถือเป็นเกียรติสูงสุดของบริษัทฯ และเป็นผลจากความทุ่มเทของพนักงานทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าที่ดีต่อสังคมและเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับความสำเร็จที่ตอกย้ำความภาคภูมิใจ การได้รับรางวัลนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิตในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจที่มีความโปร่งใส มีบรรษัทภิบาล และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ  อีกทั้งยังมุ่งเน้นนโยบายในการเติบโตอย่างมั่งคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน  โดยการได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเมืองไทยประกันชีวิตในตลาดประกันภัย โดยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ความมั่นคง และการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่มอบ “ความสุข ทุกช่วงชีวิต” ให้กับลูกค้า  มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี และสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนที่ไว้วางใจเมืองไทยประกันชีวิต” นายสาระกล่าวสรุป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ Nasdaq เสริมศักยภาพตลาดทุนไทยด้วยเทคโนโลยี

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Nasdaq ลงนาม MOU ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาด้านกำกับดูแลการซื้อขายและบริหารความเสี่ยง พร้อมต่อยอดสู่การนำเทคโนโลยี AI มาใช้

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนไทยต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาเพิ่มศักยภาพ เสริมความเข้มแข็ง สร้างความโปร่งใส และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือกับ Nasdaq ครั้งนี้มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ ครอบคลุมพฤติกรรมซื้อขายที่ไม่เหมาะสม ธุรกรรมซื้อขายที่มีความถี่สูง (HFT) และการขายชอร์ต รวมทั้งส่งเสริมให้บริษัทสมาชิกร่วมใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงและการลงทุนที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เชื่อมั่นว่าการพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย และตอกย้ำการเป็นหนึ่งในผู้นำของภูมิภาคอาเซียน

นายทาล โคเฮน กรรมการผู้จัดการ Nasdaq (Tal Cohen, President of Nasdaq) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและดึงดูดการลงทุนสู่ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขยายความร่วมมือทางเทคโนโลยีระหว่าง Nasdaq และตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้จะสนับสนุนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนภายใต้ระบบนิเวศตลาดทุนไทย ทั้งนี้ Nasdaq ยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมศักยภาพตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมและศูนย์กลางการเงินในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Nasdaq ยังมีความร่วมมือในการค้นหาโอกาสทางนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการนำโซลูชันที่พัฒนาโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเสนอให้แก่ลูกค้าของ Nasdaq ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้งาน ซึ่งจะเป็นการย้ำความแข็งแกร่งในความสามารถทางเทคโนโลยีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Nasdaq อีกด้วย

เทคโนโลยีของ Nasdaq เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการทั่วโลก โดยมีสถาบันการเงินที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินโลก ใช้บริการถึงร้อยละ 97 และราวครึ่งหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำระดับโลก 25 แห่งใช้บริการ รวมถึงธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแล 35 แห่ง ตลอดจนองค์กรกว่า 3,800 แห่งในอุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน นอกจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแล้ว Nasdaq ยังมีประสบการณ์ที่กว้างขวางในด้านธุรกิจและการให้บริการคลาวด์ พร้อมด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจบริการด้านการเงินและรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ใช้ระบบซื้อขายที่พัฒนาร่วมกับ Nasdaq มาตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมาตรฐานสากล

เมืองไทยประกันชีวิต ประกาศตัวบ.ประกันชีวิตแห่งแรกของไทย ร่วมลงนาม UN-supported Principles for Responsible Investment (PRI)

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างรอยยิ้มและความสุขที่ยั่งยืนในทุกมิติ ล่าสุด เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกในประเทศไทย ที่เข้าร่วมลงนาม Principles for Responsible Investment (PRI Signatory) ซึ่งเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบในระดับสากลที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations)


นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายการลงทุนที่มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อ   ตอบโจทย์การเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีความมั่นคง แข็งแกร่งทั้งด้านการเงิน การบริการ และภาพลักษณ์ ดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG) เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย


โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าหลักการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ ที่คำนึงถึงหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของกิจการที่เข้าไปลงทุน นอกเหนือจากการคำนึงถึงด้านผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนแล้วนั้น จะช่วยส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ลงทุน และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวต่อตลาดทุนโดยรวมได้


นายสาระ กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมลงนามรับหลักการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (PRI Signatory) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามหลักการลงทุนอันเป็นที่ยอมรับและใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ และมุ่งหวังที่จะได้ร่วมมือกับผู้ลงนามอื่นๆ ในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการลงทุนที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืนต่อไป”

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดทำนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สำหรับการลงทุนมาตั้งแต่ ปี 2562 และพัฒนาเป็นนโยบายการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบในปี 2567 โดยมีการนำหลักการลงทุน  ที่มีความรับผิดชอบมาใช้ในกระบวนการลงทุน ตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์ การวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อการสร้างพอร์ตโฟลิโอการลงทุน รวมไปถึงการมีส่วนร่วม (Engagement) กับกิจการที่เข้าไปลงทุน และ   การดำเนินการร่วมกับผู้ร่วมตลาดเพื่อพัฒนาการลงทุนของบริษัท และมีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดทุนโดยรวม


นายเดวิด แอทกิน CEO PRI  กล่าวว่า “เรายินดีต้อนรับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทประกันชีวิตไทยแห่งแรกที่ลงนามใน PRI เนื่องจากอุตสาหกรรมประกันภัยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนาแนวทางแบบองค์รวมที่รวมประเด็นด้านความยั่งยืนในการประเมินความเสี่ยง และเราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต เพื่อช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนอย่างรับผิดชอบในภูมิภาคนี้”


สำหรับ PRI เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ก่อตั้ง ในปี 2006 ที่นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งให้หลักปฏิบัติเรื่องหลักการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ โดยมี การผนวกประเด็นเรื่อง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้าด้วยกัน และนำไปใช้ในกระบวนการตัดสินใจลงทุนตลอดจนการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้น (Active Ownership)  ความร่วมมือของทั้งสามฝ่ายจากทั้ง UN Global Compact UNEP Finance Initiatives และผู้เข้าร่วมโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน       จะช่วยเสริมสร้างความมั่งคง ความยั่งยืนในระยะยาวให้กับตลาดทุน สังคมและเศรษฐกิจของโลก ปัจจุบันมีสถาบันที่เข้าร่วมลงนามกว่า 5,000 รายทั่วโลก ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกว่า 128 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งผู้ที่ร่วมลงนามตกลงที่จะปฏิบัติตามหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ ทั้ง 6 ประการ ดังต่อไปนี้


หลักปฏิบัติที่ 1: พึงนำประเด็นด้าน ESG มาประกอบการวิเคราะห์และการตัดสินใจลงทุน

หลักปฏิบัติที่ 2: พึงใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นอย่างจริงจัง และนำประเด็นด้าน ESG เป็นส่วนหนึ่งของการ กำหนดนโยบายและหลักปฏิบัติการใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น

หลักปฏิบัติที่ 3: พึงสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ที่เข้าไปลงทุน เปิดเผยข้อมูลด้าน ESG

หลักปฏิบัติที่ 4: พึงส่งเสริมประเด็นด้าน ESG ให้เกิดการยอมรับและการปฏิบัติในอุตสาหกรรมการลงทุนหลักปฏิบัติที่ 5: พึงให้ความร่วมมือในการนำหลักปฏิบัติการลงทุนที่รับผิดชอบมาใช้ปฏิบัติ

หลักปฏิบัติที่ 6: พึงรายงานข้อมูลข่าวสารความคืบหน้าในการดำเนินงานตามหลักปฏิบัติการลงทุนที่รับผิดชอบ 

รู้เก็บรู้ออม : SET Zooom in

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปี 2568 นี้เป็นปีที่ครบรอบการดำเนินงาน 50 ปีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำหรับนักลงทุนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เห็นหน้าค่าตาและเติบโตมาด้วยกัน ได้มีเวลาทำความรู้จักกันจนเกิดมิตรภาพที่ดีมาเป็นเวลายาวนาน ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็ต้องการใช้โอกาสนี้มอบสิ่งดีๆ ตอบแทนให้กับนักลงทุน และสังคม ผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ สำหรับก้าวต่อไปสู่อนาคต

ช่องยูทูบใหม่แกะกล่อง “SET Zooom in” จึงเป็นความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการขยายช่องทางติดตามข้อมูลการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ

นักลงทุนทุกเพศทุกวัยในยุคดิจิทัล ผู้ชมช่อง SET Zooom in จะได้รับข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว แม่นยำ เชื่อถือได้ ส่งตรงจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรในตลาดทุน จัดเต็มข้อมูลความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมการลงทุนได้เป็นอย่างดี

คอนเทนต์ในช่องนี้ จะครอบคลุมเนื้อหาทุกมิติการลงทุน ตั้งแต่ความรู้การลงทุน ผลิตภัณฑ์การลงทุน แนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืน (ESG) ตลอดจนประเด็นตลาดทุนที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนและผู้คนทั่วไป เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ ผ่านหลากหลายรายการที่น่าสนใจแบบอัดแน่นเต็มผังรายการตลอดวัน

ยกตัวอย่างเช่นรายการ SET Navigator เจาะลึกทุกความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ไทยและทั่วโลกแบบเรียลไทม์ตั้งแต่ก่อนเปิดตลาดจนถึงปิดตลาด อัปเดตข่าวด่วนข่าวเตือนที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย แนะกลยุทธ์การลงทุนจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างเจาะลึกและการประเมินมูลค่าหุ้นรายตัวโดยนักวิเคราะห์มืออาชีพ เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ รวม 3.5 ชั่วโมง เวลา 10.00 น. 14.00 น. และ 16.00 น.

รายการ Financial Lens เจาะลึกงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน ผ่านการใช้โปรแกรมวิเคราะห์งบการเงินใน www.set.or.th เพื่อให้นักลงทุนเห็นความจริงเบื้องหลังตัวเลข และนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการวิเคราะห์อย่างละเอียดในทุกบรรทัดของงบการเงิน เพื่อหาสัญญาณที่แสดงถึงปัญหาหรือโอกาสในการลงทุน ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 15.00-16.00 น. และรายการ ESG Go Grow มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง ESG ผ่านการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้นำไปต่อยอดการลงทุนได้อย่างยั่งยืน ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 11.30-12.00 น.

นอกจากนี้ยังมีคอนเทนต์อื่นๆที่น่าติดตามอย่าง Happy Money ให้ความรู้วางแผนการเงินให้ได้รับชมอีกด้วย แฟนรายการลงทุนสามารถดูสดได้ตลอดวัน ตั้งแต่เวลา 09.15-18.00 น. ทุกวันทำการ เพื่ออัปเดตข่าวสารตลาดทุน แบบไม่ตกเทรนด์

พร้อมเรียนรู้เรื่องลงทุนไปด้วยกัน โดยกดติดตาม “SET Zooom in” และกดกระดิ่งไว้สั่นแจ้งเตือนได้แล้ววันนี้ทาง www.youtube.com/@SETZooomin รับรองว่าจะไม่พลาดทุกสตอรีในตลาดทุนแน่นอน.

คุณนายพารวย

AIS ผนึกพลังภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน ตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทางปักหมุดประเทศไทยสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”

0

AIS เดินหน้าภารกิจป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ โดยร่วมกับ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. ประกาศความร่วมมือ รวมพลังเครือข่ายปลอดภัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” มุ่งเชิญชวนหน่วยงานทุกภาคส่วนรวมกว่า 100 องค์กร ผสานพลังตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ตอกย้ำการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและปลอดภัยในการใช้งานดิจิทัลทุกมิติ   

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า “รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน ที่ผ่านมาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินหน้าทำงานเชิงรุกผ่าน 3 แกนหลัก ทั้งการกำหนดและพัฒนากฎหมาย สร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์  ผ่านการดำเนินการทั้งในเชิงนโยบาย เชิงปฏิบัติ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้ปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ตลอดจนมาตรการซีลชายแดน ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์, การแก้ไขกฎหมายควบคุมบัญชีม้า-ซิมม้า รวมถึงบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐอย่าง กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง. และกระทรวงดิจิทัลฯ รวมถึงภาคเอกชน ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัล 

รัฐบาลยังคงเดินหน้ายกระดับนโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์สู่ระดับชาติ และบูรณาการกับทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นภารกิจร่วมของทุกๆ คนในประเทศ ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมกันในวันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราทุกภาคส่วน ได้ร่วมมือกันผลักดัน “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ให้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในการสร้างประเทศไทยที่ปลอดภัยในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง” 

ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า “ในวันนี้ สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือภัยไซเบอร์ที่ถูกพัฒนาโดยกลุ่มมิจฉาชีพในหลายรูปแบบและทวีความรุนแรงมากขึ้น นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งด้านข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินเป็นมูลค่ามหาศาล จากสถิติการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 30 เมษายน 2568 มีคดีออนไลน์ 887,315 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยความเสียหาย 77 ล้านบาทต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันปลอม ถูกดูดเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่ถูกล้วงข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับมาตรการป้องกันและแก้ไขในทุกมิติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยเร็ว 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเชิงรุก ทั้งในด้านการป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาโครงสร้างการทำงานให้สอดรับกับพฤติกรรมอาชญากรรมยุคใหม่ ซึ่งได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเปิดปฏิบัติการเชิงรุก พร้อมใช้เทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ธุรกรรม เพื่อติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการอาชญากรเหล่านี้ และยังได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS เพื่อเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันและขยายผลสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าการยกระดับความร่วมมือสู่ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ปลอดภัยจากภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน” 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานสู่โลกออนไลน์ เรามุ่งมั่นเดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และทักษะออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ภารกิจ “Cyber Wellness for THAIs” เพื่อเสริมสร้างการใช้งานที่ปลอดภัย ทั้งการปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ ควบคุมระดับเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดน ปฏิบัติการร่วมกับตำรวจลงพื้นที่ปราบปรามมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์  พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ อาทิ บริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center และ บริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชนผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ และการสร้างตัวชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัล 

การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย ความร่วมมือภายใต้ภารกิจ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ในครั้งนี้เป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่ เรียนรู้ (Educate) สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem เพื่อยับยั้งปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง, ร่วมแรง (Collaborate) ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม และ เร่งมือ (Motivate) รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมดิจิทัลที่มั่นคงและปลอดภัยอย่างยั่งยืน” 

 “ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของก้าวสำคัญในวันนี้ เราเชื่อมั่นใจว่าเมื่อทุกภาคส่วนมีความรู้ ความเข้าใจ และจุดมุ่งหมายร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างสังคมดิจิทัลที่มีคุณภาพและปลอดภัยในทุกมิติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เดินหน้าร่วมกันต่อไป เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของประชาชนคนไทยทุกคน” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย 

หมอแนะหยุดกินหมูดิบ ป้องโรคไข้หูดับ ชวนคนไทยกินหมูปรุงสุกเท่านั้น

0

แพทย์ แนะ ไข้หูดับ ป้องกันได้ เพียงกินหมูต้องปรุงสุก และแยกอุปกรณ์เนื้อหมูสุก-ดิบ เลือกซื้อเนื้อหมูที่มีคุณภาพ จากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ พร้อมย้ำ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การบีบมะนาว และการกินยาถ่ายพยาธิ ไม่สามารถป้องกันและฆ่าเชื้อโรคในอาหารได้

พญ. นวรัตน์ เจริญถาวรโภคา แพทย์เฉพาะทางสาขาวิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า “ไข้หูดับ” เป็นโรคติดต่อจากหมูสู่คน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis: S. suis) ที่พบเฉพาะในหมู โดยไม่พบในสัตว์ชนิดอื่นๆ และไม่มีรายงานพบการติดเชื้อจากคนสู่คน

พญ. นวรัตน์ เจริญถาวรโภคา

ผู้ป่วยที่พบส่วนมากได้รับเชื้อจากการรับประทานเนื้อหมูดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ และ เลือดหมู ที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกอย่างถูกลักษณะ และปนเปื้อนเชื้อ หรือติดเชื้อจากการสัมผัสทางผิวหนังที่มีแผล รวมถึงผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงหรือจัดการหมู ทั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และ พ่อค้าแม่ค้าเนื้อหมู โดยการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 14 วันหลังการรับประทานหมูดิบ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะมีระยะฟักตัว 3-4 วัน จึงเริ่มแสดงอาการ ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มีจุดเลือดออกหรือจ้ำเลือดที่ผิวหนัง คอแข็ง ชักเกร็ง ซึมลง หมดสติ เมื่อเชื้อผ่านระบบภูมิคุ้มกันของระบบประสาทเข้าสู่สมอง เกิดการติดเชื้อบริเวณเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหูชั้นใน เชื้อสามารถลุกลามไปบริเวณหูชั้นในบริเวณปลายประสาทรับเสียง และปลายประสาททรงตัว ทำให้มีอาการหูได้ยินลดลง อาจไปถึงเกณฑ์หูหนวก หรือเกิดสูญเสียการทรงตัว

ทั้งนี้ หากเข้ารับการรักษาไม่ทัน อาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับวิธีการรักษาจำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ให้ยาฆ่าเซื้อทางหลอดเลือดดำ และให้ยารักษาอาการของผู้ป่วย เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาหายแล้ว แต่หากกลับไปกินหมูดิบ หรือสัมผัสเชื้อจนได้รับเชื้อก็สามารถกลับมาติดโรคนี้ได้อีกครั้ง

สำหรับพฤติกรรมการบริโภคเมนูเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ ส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมในการบริโภค โดยประเทศไทยพบมากที่ภาคเหนือและอีสาน ที่ชื่นชอบการบริโภคเนื้อหมูดิบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเกิดโรค

อีกทั้งยังมีความเชื่อในกลุ่มนักดื่ม ที่เชื่อว่าแอลกอฮอลล์ในเครื่องดื่มจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง การดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่อาจเพิ่มทวีคูณความรุนแรงของโรคได้ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นประจำจนถึงขั้นเป็นโรคตับแข็ง จะมีภูมิคุ้มกันไม่ดี การรับเชื้อเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้การติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดและไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หูดับ เช่น การกินยาถ่ายพยาธิ จะช่วยป้องกันโรคนี้ได้ ความจริงแล้ว ยาถ่ายพยาธิไม่สามารถป้องกันหรือขับเชื้อแบคทีเรียออกจากร่างกายได้ ขณะที่ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่าการบีบมะนาว จะช่วยฆ่าเชื้อโรค แต่ความจริงคือเป็นเพียงการบีบกรดลงบนเนื้อสัตว์ทำให้เนื้อสัตว์เปลี่ยนสีไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้

พญ. นวรัตน์ ย้ำถึงผู้บริโภคว่า โรคไข้หูดับ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ด้วยการรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุก และมาจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน แยกอุปกรณ์ที่ใช้กับเนื้อหมูดิบ เช่น เขียง มีด ตะเกียบ ส่วนอาชีพที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสหมู เช่น เกษตรกร โรงชำแหละ ผู้จำหน่าย รวมถึงผู้ประกอบอาหาร แนะนำให้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นถุงมือ หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหมูที่ป่วยหรือตาย และหลังทำงานเสร็จทุกครั้งต้องล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่

ทั้งนี้ เพียงผู้บริโภคตระหนักถึงอันตรายของโรค สาเหตุการเกิดโรค และการป้องกันโรค จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ ส่วนอาชีพที่ต้องทำงานเกี่ยวกับหมู ควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการและให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคมากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้.