Home Blog Page 30

AIS ตอกย้ำเครือข่ายที่ซัพพอร์ตคุณเสมอ พร้อมถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่เชื่อมทุกความห่วงใยในครอบครัว ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

0

AIS ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ให้คุณติ่งเขา ให้เราติ่งคุณ” หยิบประเด็นการเป็น ‘แฟนคลับ’ มาถ่ายทอดผ่านเรื่องราวสุดอบอุ่นที่สะท้อนความผูกพันในครอบครัว และพลังของการสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ตอกย้ำตัวตนของ AIS ในการเป็นเครือข่ายที่ช่วยเชื่อมโยงทุกความสัมพันธ์ พร้อมซัพพอร์ตและอยู่เคียงข้างลูกค้าทุกเจเนอเรชัน

โฆษณาชุดนี้บอกเล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ลูกสาวเป็นแฟนคลับศิลปินอย่างสุดหัวใจ ขณะที่พ่อแม่แม้อาจไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกชอบ แต่ก็พร้อมซัพพอร์ตความชอบของลูกอย่างเต็มที่ โดยได้ผู้กำกับมากฝีมือ เต๋อ–นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ มาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของครอบครัวได้อย่างลึกซึ้ง สร้างความรู้สึกเชื่อมโยงให้ผู้ชมอินไปกับตัวละคร ราวกับได้สัมผัสความรู้สึกที่คุ้นเคยในครอบครัวของตัวเอง

เรื่องราวอบอุ่นนี้ไม่เพียงแต่พูดถึงการเป็นแฟนคลับของศิลปินเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความจริงที่ว่า เราทุกคนต่างเป็น “ติ่ง” ของใครบางคน และการได้รับการสนับสนุนคือพลังที่มีความหมาย แคมเปญนี้สะท้อนจุดยืนของ AIS ในฐานะแบรนด์ที่พร้อมเข้าใจและสนับสนุนลูกค้าในทุกช่วงเวลาสำคัญ เชื่อมต่อทุกที่ ทุกเวลา ด้วยศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะที่มีทั้งความเร็ว แรง และเสถียร เหมือนกับการเป็นติ่งที่คอยให้การซัพพอร์ตลูกค้าในทุกมิติของชีวิต

รับชมภาพยนตร์โฆษณา “ให้คุณติ่งเขา ให้เราติ่งคุณ” ได้แล้ววันนี้ผ่านทุกช่องทางของ AIS หรือทาง YouTube: https://www.youtube.com/watch?v=C_c3g9Mufx4

เงินฝากเลือกได้ รับดอกดี๊ดี จากออมสิน เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 4 เดือน และ 8 เดือน ฝากได้ถึง 31 พ.ค.68

0

ฝากเงินอุ่นใจ ได้ดอกเบี้ยโตดี๊ดี จากธนาคารออมสิน
กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 4 เดือน และ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://to.gsb.or.th/Xz7yG

เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 4 เดือน
อัตราดอกเบี้ย 1.30% ต่อปี
(เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.52% ต่อปี)

เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน

  • ฝากต่ำกว่า 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.37% ต่อปี
    (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.61% ต่อปี)
  • ฝากตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี
    (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.76% ต่อปี)
    หมายเหตุ : อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามยอดเงินฝากแต่ละรายการไม่ใช่จากยอดเงินฝากรวมสะสม

⚠️ เงื่อนไข
✔️ เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
✔️ ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท
✔️ รับฝากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด
✔️ บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย
ถอนหรือปิดบัญชีก่อนครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ยเผื่อเรียก
ฝากได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พ.ค. 68 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

รู้เก็บรู้ออม : ธรรมะ ทำดี ครั้งที่ 2

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การทำความดีนั้นแม้จะเป็นการกระทำในเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่กลับถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และควรสนับสนุนส่งเสริมให้มีการกระทำอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำดีไม่ใช่เรื่องที่ทำแล้วครั้งเดียวก็จบไป หรือทำแบบประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องอาศัยความตั้งใจ หมั่นเพียรทำความดีอย่างสม่ำเสมอ

กิจกรรมที่เชิญชวนให้คนมาร่วมทำดีใน “ธรรมะ ทำดี” ในโอกาสครบรอบการดำเนินการ 50 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เฉกเช่นเดียวกัน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดกิจกรรม “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 1 ปรากฏว่ากิจกรรมครั้งแรกได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมากอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จึงเดินหน้าจัดงาน “ธรรมะ ทำดี” ต่อเป็นครั้งที่ 2 และขอเชิญชวนผู้สนใจเรื่องการทำดี มาเข้าร่วมงานครั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการทำความดีอย่างต่อเนื่อง

“ธรรมะ ทำดี” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ “50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” นั้น จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และส่งเสริมสุขภาวะทางใจ โดยสนับสนุนและสร้างกำลังใจในการดำเนินงานด้วยความเพียรและซื่อตรงตามแนวทางธรรมาภิบาล ภายในงานจะมีการจัดบรรยายธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจ ภาคตลาดทุน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเข้าใจหลักธรรมอย่างถูกต้อง สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการเจริญสติและดำเนินชีวิตอย่างมีสัมมาทิฏฐิ สร้างสังคมที่มีศีลธรรมและคุณธรรม 

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการทำความดี ด้วยการเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานบริจาคเงินเพื่อการสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์

นับเป็นโอกาสดีที่จะได้รับฟังการบรรยายธรรมจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ในหัวข้อธรรม “วันนี้คือวันดีของชีวิต” เพื่อเป็นการตระหนักรู้คุณค่าของทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยฝึกการวางใจและขัดเกลาของตัวเองให้พร้อมทำสิ่งต่างๆ ด้วยความตั้งใจและมีสติ เพื่อให้วันนี้เป็นวันดีของชีวิตสมดั่งปรารถนา เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

กิจกรรม “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-14.00 น. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกเหนือจากฟังบรรยายธรรมแล้ว ยังจะมีกิจกรรมย่อย “ทำดี” ในการร่วมสนับสนุนองค์กรสาธารณสุขและสาธารณประโยชน์ รวมทั้งร่วมอุดหนุนสินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจชุมชน

นอกจากนี้ ยังจะได้ฟังดนตรีพร้อมกับรับพลังบวกจากวงปล่อยแก่ที่กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดเพลงประสานเสียงจากผู้สูงอายุ ภายใต้มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข อีกเช่นเคย

ใครที่พลาดบ่นเสียดายไม่ได้ทำบุญร่วมกันในกิจกรรมครั้งที่แล้ว  สามารถลงทะเบียนร่วมกิจกรรม ธรรมะ ทำดี ครั้งที่ 2 ได้แล้วตามลิงก์นี้ https://set.group/dharma2 หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SET Contact Center โทร. 0-2009-9999.

คุณนายพารวย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชิญร่วมงาน “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 2  6 มิ.ย. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญผู้ลงทุน ประชาชน และผู้สนใจร่วมงาน “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ “50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” รับฟังการบรรยายธรรมจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล หัวข้อธรรม “วันนี้คือวันดีของชีวิต” เพื่อการตระหนักรู้คุณค่าของทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยความตั้งใจและมีสติ เพื่อให้วันนี้เป็นวันดีของชีวิตสมดั่งปรารถนา

ภายในงานยังมีกิจกรรม “ทำดี” เชิญร่วมสนับสนุนองค์กรเพื่อการสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์ รวมทั้งอุดหนุนสินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจชุมชนรวม 10 บูธ และกิจกรรม “สร้างพลังบวก” รับชมการแสดงดนตรีจาก “วงปล่อยแก่” ภายใต้โครงการดนตรีพลังบวกของมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข

งาน “ธรรมะ ทำดี” ครั้งที่ 2 กำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 – 14.00 น. ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://set.group/dharma2 หรือสอบถามข้อมูล
SET Contact Center 0 2009 9999

ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่ง EE ชี้แจงกรณีไม่มีรายได้และอยู่ระหว่างหาธุรกิจใหม่ เตือนนักลงทุนศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม กรณีบริษัทไม่มีรายได้ดำเนินงานและอยู่ระหว่างหาธุรกิจใหม่ โดยขอให้ผู้ลงทุนติดตามคำชี้แจงและศึกษาข้อมูลของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน

ตามที่บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน) (EE) นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยไม่ปรากฏรายได้จากการดำเนินงานในงบการเงินดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้ชี้แจงว่า  บริษัทชะลอการประกอบธุรกิจการปลูกพืชกัญชง-กัญชาชั่วคราว เนื่องจากไม่คุ้มค่าในการลงทุนเพาะปลูก และ  อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) (รายละเอียดข้อมูลตามงบการเงินและคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของ EE    วันที่ 15 พฤษภาคม 2568)

การชะลอการประกอบธุรกิจหลักและพิจารณาธุรกิจใหม่ เป็นข้อมูลที่สำคัญต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ในส่วนความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบขอให้ชี้แจงภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ดังนี้                    

  1. แผนการศึกษาธุรกิจใหม่ (ธุรกิจ Tech) กรอบเวลาที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุน ทั้งนี้ ขอให้รายงานความคืบหน้าต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญ หรือเมื่อมีการนำส่งงบการเงิน แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะถึงก่อน จนกว่าจะลงทุนแล้วเสร็จและมีรายได้จากธุรกิจใหม่นี้ พร้อมทั้งแผนการดำเนินการในช่วงที่ธุรกิจใหม่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้
  2. สถานะปัจจุบันของธุรกิจการปลูกพืชกัญชง-กัญชา เช่น ที่ดิน เครื่องจักรอุปกรณ์ สินค้าคงเหลือ ลูกหนี้ เจ้าหนี้บุคลากร เป็นต้น รวมถึงแผนการดำเนินการต่อสินทรัพย์ หนี้สิน และบุคลากรดังกล่าวและผลกระทบกับฐานะการเงินของบริษัท
  3. การชะลอการประกอบธุรกิจหลักซึ่งทำให้บริษัทไม่มีรายได้จากการดำเนินงานในงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เป็นข้อมูลสำคัญซึ่งบริษัทมีหน้าที่ต้องเปิดเผยทันทีตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงขอทราบวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติให้ชะลอการประกอบธุรกิจดังกล่าว พร้อมระบุเหตุผลที่ไม่เปิดเผยมติทันที  และความเห็นของคณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบต่อการที่บริษัทไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวทันที  

พร้อมนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของบริษัทด้วยความระมัดระวังรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น งบแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน ความเห็นผู้สอบบัญชี ข่าวย้อนหลัง เป็นต้น  ตลอดจนความเสี่ยงและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งติดตามความคืบหน้าการสรรหาธุรกิจใหม่ของบริษัทอย่างใกล้ชิดต่อไป

เนื้อหมูกินได้ ไม่มีแอนแทรกซ์ อย่าเข้าใจผิด

0

สัตวแพทย์ยืนยันว่า เนื้อหมูปลอดภัยสำหรับการบริโภค และไม่ใช่พาหะของโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ผู้บริโภคควรปรุงสุกทุกเมนูและเลือกซื้อจากร้านจำหน่ายที่ถูกสุขอนามัยได้การรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อความมั่นใจ

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) สมาคมฯ ขอชี้แจงว่า แอนแทรกซ์เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis สามารถพบได้ในดินและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เชื้อดังกล่าวมักจะส่งผลกระทบต่อสัตว์กินพืชและเคี้ยวเอื้อง สัตว์พาหะหลัก เช่น วัว ควาย แพะ แกะ และอูฐ แต่ ไม่แพร่ระบาดในหมู

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์

“ประชาชนสามารถบริโภคเนื้อหมูได้อย่างปลอดภัย หากปรุงสุกอย่างทั่วถึงที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป ซึ่งจะสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ควรรับประทานเนื้อหมูที่ ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อน” นายสัตวแพทย์วรวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อจากแหล่งที่ถูกสุขลักษณะและได้รับการรับรองคุณภาพ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน การบริโภคเนื้อหมูจากร้านที่มีมาตรฐานและสุขลักษณะที่ดี จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหมูมีความสะอาดและปลอดภัย ที่สำคัญการปรุงสุกที่อุณหภูมิดังกล่าวข้างต้นเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อาจตกค้างได้

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ กล่าวย้ำว่า ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ติดเชื้อหรือซากสัตว์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาด หากจำเป็นต้องสัมผัสเนื้อสัตว์ ควรสวมถุงมือ หน้ากาก และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อหมูดิบ หรือเมนูที่ปรุงไม่สุกทั่วถึง เช่น ลาบดิบ ก้อย หรือต้มสุก ๆ ดิบ ๆ

นอกจากนี้ การรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงไม่สุก ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อ Streptococcus Suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ (Streptococcal meningitis) ที่ทำให้เกิดอาการไข้สูง ปวดเมื่อย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการได้ยินถาวร หรือเสียชีวิตได้ ดังนั้น การปรุงสุกอย่างทั่วถึงจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด”

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติขอเน้นย้ำว่า ประชาชนไม่ต้องตระหนกกับข่าวสาร แต่ควรศึกษาข้อเท็จจริงและปรุงสุกเนื้อหมูก่อนบริโภคทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของทุกคน.

ปลาหมอคางดำ ต่อยอดโปรตีนสัตว์น้ำเพื่อความมั่นคงทางอาหารในยุคโลกร้อน

0

บทความ โดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้แหล่งอาหารจากธรรมชาติเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแหล่งน้ำจืดและสัตว์-น้ำพื้นถิ่นที่เป็นอาหารหลักของประชาชนในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกัน ความต้องการโปรตีนคุณภาพสูงจากสัตว์น้ำกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องๆ ด้วยปัจจัยด้านประชากร การขยายตัวของเมือง และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่

ในบริบทนี้ “ปลาหมอสีคางดำ” (Sarotherodon melanotheron) ซึ่งเป็นปลาน้ำกร่อยสายพันธุ์จากแอฟริกาตะวันตกกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมไทย ทั้งในมิติของการอนุรักษ์ ความปลอดภัยด้านอาหาร และภาพลักษณ์ต่อสาธารณะ แต่หากพิจารณาโดยใช้หลักวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างรอบด้าน จะพบว่าปลาชนิดนี้อาจเป็นโอกาสใหม่ทางอาหารของไทย หากได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบที่เหมาะสม

จากการศึกษาด้านโภชนาการในแอฟริกา พบว่า เนื้อปลาหมอสีคางดำมีโปรตีนสูง (ประมาณ 17–20%) และไขมันต่ำ เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า-3 วิตามิน B และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ด้วยคุณค่าทางอาหารดังกล่าว หลายประเทศในภูมิภาค Sub-Saharan Africa ได้นำปลาชนิดนี้มาบริโภคในชีวิตประจำวัน ทั้งแบบสด แห้ง หรือหมัก และยังมีการเพาะเลี้ยงในระบบน้ำกร่อยเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์

นอกจากนี้ ด้านความปลอดภัยทางอาหาร ไม่พบหลักฐานว่าปลาหมอสีคางดำเป็นพาหะของสารพิษหรือเชื้อโรคเฉพาะชนิด หากอยู่ภายใต้ระบบการเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน และควบคุมคุณภาพน้ำอย่างเหมาะสม

หากการปฏิเสธปลาหมอสีคางดำเพียงเพราะไม่ใช่สัตว์น้ำพื้นถิ่น อาจเป็นมุมมองเพียงด้านเดียว แต่ในบริบทของโลกที่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องปกติที่พูดถึงทุกวัน การแสวงหาหรือสร้างแหล่งอาหารทางเลือกใหม่สำหรับเลี้ยงประชากรโลกจึงเป็นเรื่องสำคัญในระดับต้น แม้แต่ประเทศที่เคยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของปลาชนิดนี้มาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา หรือบางประเทศในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์และกัมพูชา ท้ายที่สุดก็สามารถจัดการกับปลาหมอคางดำได้อย่างเป็นระบบและใช้ประโยชน์จากปลาอย่างคุ้มค่า

พิจารณาจากข้อเท็จจริง ปลาจำนวนมากในธรรมชาติกำลังลดลง ทั้งจากโลกร้อน น้ำทะเลหนุนและมลพิษ อาหารจากธรรมชาติไม่สามารถรองรับความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวอีกต่อไป นั่นหมายความว่าความมั่นคงอาหารของมนุษย์กำลังถูกสั่นคลอน ดังนั้นเราควรระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการลดภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบวงกว้างทั่วทุกหัวระแหงในโลกนี้ ควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลธรรมชาติใหม่แม้จะไม่เหมือนเดิมก็ควรให้กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะการลดอุณหภูมิโลกลง 1-2 องศา ก็มีผลกระทบเชิงบวกอย่างใหญ่หลวง

ภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรเร่งศึกษาแนวทางการจัดการเชิงวิชาการกับปลาหมอสีคางดำ จัดระบบและระเบียบที่เข้มงวดใช้แนวทาง “ควบคุมเพื่อใช้ประโยชน์” ไม่ใช่ “กำจัดเพื่อหวังให้กลับสู่ธรรมชาติเดิม” เน้นเรื่องการเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ ถึงปลาหมอสีคางดำจะได้ชื่อว่าเป็น “เอเลี่ยนสปีชีส์” แต่คนไทยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มายาวนาน เห็นได้ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์หลายชนิดกลายเป็นอาหารอันโอชะของคนไทยและมีการเลี้ยงเชิงพาณิชย์มานานหลายสิบปี เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาดุกรัสเซีย เป็นต้น และยังสามารถจับปลาเหล่านี้ได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติได้เป็นเรื่องปกติ จึงน่าจะมองปลาหมอสีคางดำในมุมของอาหารมั่นคงเพื่อประโยชน์ในอนาคต น่าจะเป็นไปได้ หากคนไทยจะมอง “ปลาหมอสีคางดำ” เป็นความหวัง ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ศัตรูของระบบนิเวศ หากอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเหมาะสม และสามารถเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกสำหรับคนไทยในยุคที่ “ปลาธรรมชาติ” ไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านอาหารอย่างเพียงพอได้อีกต่อไป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผลักดันให้มีนโยบายจัดการปลาชนิดนี้บนฐานของข้อมูลวิชาการที่แม่นยำ แทนการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบแบบยังไม่มีบทพิสูจน์ที่ชัดเจน น่าจะเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์และยั่งยืนกว่าสำหรับทั้ง ภาคการประมง ชุมชมและผู้บริโภค.

เมืองไทยประกันชีวิต ลุยมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 25 ชูผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเด่น พร้อมแบบประกันพิเศษ โปรฯโดนใจ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต คัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันเด่น เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ        ครั้งที่ 25 “Money Expo 2025 Bangkok” ระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Resilient Wealth การสร้างความมั่งคั่งแบบยืดหยุ่นเพื่อความยั่งยืน”  ซึ่งบริษัทฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการและโปรโมชัน ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างครบถ้วน พร้อมด้วยกิจกรรมมากมาย

โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายพิชัย  ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง  นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย นายสันติ  วิริยะรังสฤษฎ์  ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo  พร้อมด้วยนายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ผู้บริหาร ตัวแทนนักวางแผนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมในพิธีเปิดบูธเมืองไทยประกันชีวิต

ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรง  ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ในแคมเปญ ShieldLife  ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป    ด้วยการวางแผนสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) 

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส,  อีลิท เฮลท์ พลัส  และซี ไอ เพอร์เฟค แคร์  รวมไปถึงแบบประกันภัยพิเศษ  7 แบบประกัน ประกอบด้วย โครงการเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global), ออมทรัพย์ 20/14, โครงการเมืองไทย สไมล์ เซฟเวอร์ 20/16, โครงการเมืองไทย แฮปปี้ รีเทิร์น 80/4, เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5 ดี55, ดี60, ดี65 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ

พร้อมโปรโมชันจัดเต็มสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัย รวมถึงลูกค้าที่ชำระเบี้ยประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน  ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต และพบกับบริการด้าน          การวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพที่ออกแบบได้ตามความต้องการ  โดยนักวางแผนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน จากเมืองไทยประกันชีวิต

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับพบกับสิทธิพิเศษมากมาย ภายในจุดบริการสไมล์คลับ สำหรับท่านสมาชิกฯ สามารถแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกช่วงอายุ หลากหลายไลฟ์สไตล์ อาทิเช่น

● เมืองไทย Smile Society 2025 : ผ่าตัดหัวใจแก่ผู้ยากไร้ เชิญชวนสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ร่วมส่งต่อความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับสังคม โดยการบริจาคคะแนนสะสม Smile Point 1 Smile Point เท่ากับมูลค่าเงิน 5 บาท เพื่อสมทบทุนโครงการ “ผ่าตัดหัวใจแก่ผู้ยากไร้” สนับสนุนเงินบริจาคให้แก่มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

● เมืองไทยสไมล์มอบโชค 2568 พอยต์น้อยก็แลกได้ เพียง 2 Smile Points แลกคูปองชิงโชค 1 ใบ โดยลุ้นรถจักรยานยนต์ Honda Giorno+ จำนวน 3 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 220,000 บาท

● กิจกรรมเมืองไทยสไมล์ฟุตบอลคลินิค โดยน้องๆ จะได้พบกับการฝึกสอนโดยโค้ชเอ็กซ์ วสพล แก้วผลึก โค้ชระดับโปรไลเซนส์ อดีตผู้ช่วยทีมชาติไทย  และพบกับแขกรับเชิญพิเศษ โค้ช มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชทีมชาติไทย  เพียงแลกคะแนนสะสม 250 Smile Points จำกัดเพียง 35 ท่านเท่านั้น

● กิจกรรมคอนเสิร์ตจากกลุ่มศิลปิน อาทิ คอนเสิร์ต HER VERSE & HIS VOICE CONCERT Written by AMP ACHARIYA , PIANO&i On The Rock Concert

● สิทธิพิเศษด้านสุขภาพสำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ร่วมกับ Care Cover Clinic แลกคะแนน 120 Smile Points รับสิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จำนวน 2 โดส ภายในวันเดียวกัน หรือเลือกรับสิทธิ์ฉีดวัคซีน 1 โดส ณ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพทั่วประเทศ

● แลกคะแนนรับของที่ระลึก หรือบัตรกำนัลต่าง ๆ อาทิเช่น บัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 1,000 บาท, บัตรเติมน้ำมัน ปตท. มูลค่า 500 บาท และบัตรกำนัลสเปเชียลพ้อยท์ (จำนวนจำกัด)

●พิเศษ! สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนน Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท (จากปกติ 100 บาท) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

● พิเศษสุด สำหรับสมาชิกฯ ที่สมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด วันนี้ ใช้จ่ายค่าเบี้ยประกัน เมืองไทยประกันชีวิต แบบเต็มจำนวน รับโปรโมชันสุดคุ้ม

คุ้มที่ 1  รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 4,000 บาท  พร้อมสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด  รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 0.25% จากยอดใช้จ่าย

คุ้มที่ 2 แลกคะแนน K Point รับเครดิตเงินคืน 10%  โดยเปลี่ยนคะแนน K Point เป็นเครดิตเงินคืนได้! แลก 1,000 คะแนน = รับเครดิตเงินคืน 100 บาท หรือแลกคะแนนตามยอดใช้จ่าย เพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% (สูงสุด 500,000 คะแนน)

*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต มหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 25 “Money Expo 2025 Bangkok” ระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ตลท.รับจดทะเบียน 12 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้น Magnificent 7 – Terrific 10 ออกโดย BLS เริ่มซื้อขาย 15 พ.ค. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับจดทะเบียนหลักทรัพย์ใหม่ 7 DR อ้างอิงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ 5 DR อ้างอิงหุ้นบริษัทชั้นนำขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 15 พฤษภาคม 2568 นี้

DR 7 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq หรือ Magnificent 7 พร้อมซื้อขายทั้งได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ได้แก่ AAPL01” อ้างอิงหุ้น Apple, “AMZN01” อ้างอิงหุ้น Amazon, “GOOGL01” อ้างอิงหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google, “META01” อ้างอิงหุ้น Meta Platforms, “MSFT01” อ้างอิงหุ้น Microsoft, “NVDA01” อ้างอิงหุ้น NVIDIA, “TSLA01” อ้างอิงหุ้น Tesla

DR 5 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมสูงและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทชั้นนำขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนหรือ Terrific 10 ได้แก่BABA01” อ้างอิงหุ้น Alibaba Group Holding, “BIDU01” อ้างอิงหุ้น Baidu, “BYDCOM01” อ้างอิงหุ้น BYD Company, “PINGAN01” อ้างอิงหุ้น Ping An Insurance, “XIAOMI01” อ้างอิงหุ้น Xiaomi

ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท สำหรับ DR ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในทวีปอเมริกาและยุโรป ซื้อขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. และ 19.00-03.00 น. (ของวันถัดไป) และ DR ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในทวีปเอเชีย ซื้อขายได้ในเวลากลางวัน

ผู้สนใจศึกษารายละเอียด 12 DR ใหม่ ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) www.bualuang.co.th/dr หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/dr

ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนเม.ย. 2568

0

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลงมาที่ 2.8% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก สวนทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นในกรอบ 4.0-4.5% ขณะที่ผู้ลงทุนเริ่มขายพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงดอกเบี้ยตามคาดที่อัตรา 4.25% ถึง 4.50% นับเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนเมษายน 2568 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า มีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยแล้วประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามาจากความไม่เชื่อมั่นต่อดอลลาร์จากสงครามการค้า ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในวันที่ 10 เมษายน ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บ reciprocal tariff ไปอีก 90 วัน อีกทั้งมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตั้งแต่วันที่ 8-11 เมษายน ช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าหลายตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนี้ หลังวันที่ 16 เมษายน SET Index ปรับเพิ่มขึ้น โดยจำนวนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ขณะที่ Valuation ของหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนเมษายน 2568

  • ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 SET Index ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ปรับลดลง 14.5%
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,410 ล้านบาท หรือลดลง  11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.52% โดยมีสถานะป็นผู้ขายสุทธิ 14,588 ล้านบาท
  • มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอลทีเอ็มเอช (LTMH) และ บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.40%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนเมษายน 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 433,408 สัญญา ลดลง 16.6% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 456,561 สัญญา ลดลง 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures