Home Blog Page 23

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมแสดงพลังวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2568

0

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ พร้อมผู้บริหารและพนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงพลังในกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชันประจำปี 2568” สะท้อนเจตนารมณ์ในการเป็นองค์กรที่ต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน มุ่งเน้นการดำเนินงานโดยยึดหลักบรรษัทภิบาลที่ดี รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน  

ทั้งนี้ กิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชันประจำปี 2568” จัดโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568

ไข่ไก่ กินทุกวัน สุขภาพดีทุกวัย

0

งานวิจัยยืนยันว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีสามารถรับประทานไข่ไก่ได้ 1-2 ฟองต่อวัน ด้านนักกำหนดอาหารวิชาชีพ ย้ำ ไข่ไก่ มีประโยชน์ ช่วยบำรุงสมอง ดวงตา และร่างกาย

ดร.วนะพร ทองโฉม นักสุขศึกษา (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ) งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ไข่ไก่ เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ราคาเข้าถึงได้ง่าย เมื่อเทียบกับโปรตีนชนิดอื่น สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน

ดร.วนะพร ทองโฉม

ด้านสุขภาพสมอง: โคลีนซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการส่งสัญญาณประสาท การพัฒนาสมอง และการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์

ด้านสุขภาพดวงตา: ลูทีนและซีแซนทีน ช่วยปกป้องดวงตาและสามารถลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม

ด้านสุขภาพกล้ามเนื้อ: ไข่ไก่ มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ช่วยสนับสนุนการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อ ช่วยสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ

ด้านการควบคุมน้ำหนัก: ไข่ไก่ โปรตีนคุณภาพสูงช่วยเพิ่มความอิ่ม ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น สามารถช่วยลดปริมาณแคลอรี่โดยรวมได้ โดยไข่ไก่ จัดอยู่ในกลุ่มเนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 1 ฟอง ให้พลังงานเพียงแค่ 75 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 7 กรัม ไขมัน 5 กรัม แม้ว่ามีไขมันต่ำ แต่ควรเน้นการปรุงประกอบที่ไม่ใช้น้ำมัน

ด้านการป้องกันโลหิตจาง: ธาตุเหล็กมีความจำเป็นในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเม็ดเลือดแดง และวิตามินบี 12 มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีขนาดที่เหมาะสม

ด้านเสริมสร้างภูมิต้านทาน: แร่ธาตุซีลิเนียม ช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันโดยช่วยกระตุ้นและปกป้องเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยผ่านโปรตีนที่มีซีเลีเนียมเป็นองค์ประกอบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบ

สำหรับการรับประทานไข่ไก่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด แนวทางหนึ่ง คือ ในแต่ละวันรับประทานให้เหมาะสมกับช่วงวัย

วัยทารก 6 เดือน สามารถรับประทานไข่แดงต้มสุกได้ครึ่งฟอง
วัยทารก 7-12 เดือน เพิ่มปริมาณเป็นวันละครึ่งฟองถึง 1 ฟองได้
วัยเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ถึงวัยผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ทั้งฟองได้วันละ 1 ฟอง

ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี มีระดับคอเลสเตอรอลปกติ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด จากผลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าการรับประทานไข่ 1-2 ฟองต่อวัน ถือว่าปลอดภัย ในขณะที่ผู้ป่วยโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน และมีไขมันในเลือดสูง ปริมาณไข่แดงที่บริโภคไม่ควรเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์

สำหรับผู้ที่กังวลว่า ไข่ไก่ จะมีคอเลสเตอรอลในอาหารสูงนั้น งานวิจัยจากต่างประเทศเรื่องการบริโภคไข่ไก่กับการส่งผลต่อสุขภาพ กลับพบว่าการรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำทุกวันจะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ อีกทั้งการส่งผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล.

ออมสินช่วยลูกหนี้ผ่อนบ้านดี สินเชื่อบ้านเติมตังค์ ให้กู้เพิ่มสูงสุด 10 ล้าน ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธ.ค.68

0

บ้านหลังเดิม เติมเงินได้ กับสินเชื่อบ้านเติมตังค์ (GSB PLUS)
สำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะปัจจุบันของธนาคาร
สมัครเลย คลิก > https://to.gsb.or.th/p89mm

✅️ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.99% ต่อปี (3 ปีแรก)
✅️ วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท
✅️ ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี
✅️ สนับสนุนค่าประเมินหลักทรัพย์ สูงสุด 5,000 บาท

หมายเหตุ

  • ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.295% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) อยู่ระหว่าง 5.353% – 5.526% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด
  • กรณีสนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ เฉพาะกรณีเงินกู้ระยะยาว (LT) วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ให้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินรายละ 5,000 บาท ลูกค้าจะต้องสำรองจ่ายค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วัน นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ
  • ลูกค้าสินเชื่อเคหะของธนาคารที่สนใจ สินเชื่อบ้านเติมตังค์ (GSB PLUS) สามารถยื่นคำขอกู้ได้ที่ธนาคารออมสินสาขาที่ใช้บริการสินเชื่อเคหะเท่านั้น
  • หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
  • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th

ตั้งแต่วันที่ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 30 ธันวาคม 2568
*รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว



สิงห์อาสา ร่วมหน่วยซีล ฝึกหนักกู้ภัย 5 วัน 5 คืน เพื่อช่วยชีวิตประชาชน

0

หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (หน่วยซีล) ร่วมกับ สิงห์อาสา โดยมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จัดอบรม “หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ ประจำปี 2568” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 กับภารกิจเพื่อประชาชน เพิ่มทักษะและศักยภาพการกู้ภัยทางน้ำให้แก่อาสาสมัครกู้ภัย ที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 40 คน จาก 28 จังหวัดที่เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยมีการฝึกฝนจำนวน 5 วัน 5 คืนภายใต้เหตุการณ์จำลองอย่างเข้มข้น ณ ศูนย์ฝึกสงครามพิเศษทางเรือ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ สัตหีบ จ.ชลบุรี

คุณรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา สิงห์อาสาได้ทำงานร่วมกับหน่วยซีล พัฒนาหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ จากบทเรียนสถานการณ์จริงและความต้องการของเครือข่ายอาสาสมัครกู้ภัยทั่วประเทศ ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตประชาชนในทุกเคสอุบัติเหตุทางน้ำ เพื่อให้ทุกคนที่เข้าอบรมมีทักษะที่ถูกต้อง มีความมั่นใจ สามารถช่วยชีวิตผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและฝึกปฏิบัติจริงผ่านสถานการณ์จำลองที่เข้มข้น พร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์จริงเพื่อดูแลพี่น้องประชาชน”

พลเรือตรี อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ อธิบายว่า “กองทัพเรือมุ่งมั่นดูแลประชาชนในทุกมิติ โดยหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำถือเป็นภารกิจสำคัญที่ร่วมกับสิงห์อาสาอย่างต่อเนื่อง เพื่อถ่ายทอดทักษะกู้ภัยและการช่วยชีวิตทางน้ำซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะของหน่วยซีลสู่เหล่าตัวแทนอาสาสมัครกู้ภัยทั่วประเทศ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถเข้าถึงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้เร็วที่สุด หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำปีที่ 7 จึงถูกออกแบบให้เข้มข้นและสมจริงที่สุด อาสาสมัครต้องฝึกฝนภายใต้สถานการณ์จำลองที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ทั้งฝึกประเมินสถานการณ์ วางแผนการช่วยเหลือ และเข้าช่วยเหลือตามแผนที่วางไว้ โดยมีทีมหน่วยซีลคอยสอนอย่างใกล้ชิด ภายใต้การดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้อาสาสมัครมีความพร้อมสูงสุดในการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพิ่มอัตราการรอดชีวิตและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บอีกด้วย”

ทั้งนี้ หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ ประจำปี 2568” อาสาสมัครกู้ภัยที่เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ ฝึกภาคปฏิบัติดำน้ำในสระน้ำ การฝึกดำน้ำในทะเล ฝึกการกู้ภัยทางทะเลโดยใช้เรือยาง และฝึกประเมินสถานการณ์ วางแผนการช่วยเหลือในสถานการณ์จำลองการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพื่อให้มีทักษะ สามารถปฏิบัติงานกู้ภัยทางน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยทั้งผู้ประสบเหตุและทีมงานกู้ภัย

พรบ.หวยเกษียณ ผ่านสภาฉลุย คาดเริ่มขายได้ไตรมาส 4 ปีนี้

0

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (8 กันยายน 2568) ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในวาระที่ 2 และ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้อำนาจกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สามารถออกและจำหน่าย “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการออมสำหรับประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ

​“ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ กอช. มีเครื่องมือใหม่ในการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยออมเงินได้ง่ายขึ้น ผ่านการออกและจำหน่ายสลาก กอช. ที่สร้างแรงจูงใจในการลุ้นรางวัลเข้ากับการออมในระยะยาว ภายใต้แนวคิด ศุกร์ได้ลุ้น – สุขได้ออม เงินทุกบาทที่ซื้อจะไม่หาย แต่จะกลายเป็นเงินออมของท่านทั้งหมด ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มอาชีพเข้าถึงการออมได้สะดวกขึ้น แต่ยังช่วยเสริมฐานะการเงินของครัวเรือน และลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระยะยาวของประชาชน”

​สำหรับการลงมติวาระที่ 3 หรือการลงมติทั้งฉบับ ที่ประชุมวุฒิสภามีผลการลงคะแนน จากจำนวน ผู้ลงมติ 118 เสียง ดังนี้ เห็นด้วย 108 เสียง ไม่เห็นด้วย 2 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง ซึ่งสะท้อนถึงการเห็นพ้องร่วมกันในแนวทางการขยายโอกาสการออมผ่านรูปแบบใหม่ ขั้นตอนถัดไปคือ นายกรัฐมนตรี จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และกฎหมายจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้น 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่า “สลาก กอช.” จะสามารถจำหน่ายได้ไตรมาส 4 ของปีนี้

​สำหรับ “สลาก กอช.” เป็น สลากขูดดิจิทัล จำหน่ายในราคา 50 บาทต่อฉบับ เปิดโอกาสให้ ผู้มีสัญชาติไทยทุกคนอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อได้สูงสุด 3,000 บาทต่อเดือน (60 ใบ) ออกรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น. โดยมีรายละเอียดรางวัล ดังนี้ รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 5 รางวัล, รางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล และหากในงวดใดที่รางวัลออกไม่หมด จะถูกทบยอดเป็นรางวัลพิเศษในงวดถัดไป

​นอกจากนี้ คนไทยทุกคน อายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถซื้อสลาก กอช. แต่ต้องออมไว้ 5 ปี หลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี หากเสียชีวิต เงินออมที่ซื้อหวยเกษียณทั้งหมดจะตกสู่ทายาทตามกฎหมายหรือบุคคลที่ผู้ซื้อระบุไว้

​ส่วนวิธีการซื้อ “สลาก กอช.” สามารถซื้อผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรที่จะเข้าร่วมโครงการในอนาคต รายละเอียดจะมีการประกาศแจ้งให้ทราบต่อไป การสมัครทำได้ง่าย เพียงใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และเลขหลังบัตรประชาชน สำหรับการรับเงินรางวัลนั้น ผู้ถูกรางวัลจำเป็นต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์กับธนาคารที่ใช้บริการ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการโอนเงินรางวัล

​อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อสลากจะได้รับเงินต้น รวมผลตอบแทนในคราวเดียว 4 กรณี คือ 1. อายุครบ 60 ปี 2. เสียสัญชาติไทย 3.ทุพพลภาพ และ 4. อายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินคืนเมื่อครบกำหนด 5 ปี

ฟันธง ราคาทองปีนี้ขึ้นต่อ มีโอกาสเห็นทองแตะสูงสุด 5.6 หมื่นบาท แนะลงทุนซื้อสะสม

0

นายกส.ค้าทองคำ มองราคาทองในประเทศมีโอกาสขึ้นสูงสุดบาทละ 56,000 บาท ฟันธงราคาทองปีนี้ปรับขึ้นได้ต่อ หลังราคาทองคำโลกทำนิวไฮแตะ 3,600 เหรียญต่อออนซ์ แนะลงทุนยาวเข้าซื้อสะสมได้ ชี้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง 1 บาท มีผลต่อราคาทองคำบาทละ 1,600 บาท  โดยทองคำได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยโลกและสหรัฐฯลดลง  สงครามการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์  

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ธนาคารกลางทั่วโลก มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลง หลังเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวโดยวันที่ 17 ก.ย.นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดภัย กระตุ้นแรงซื้อทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมราคาทองในประเทศยังติดเรื่องเงินบาทแข็งค่าประมาณ 32 บาท/ดอลลาร์ ส่งผลให้กรอบราคา ยังไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านเดิมช่วงเดือนเม.ย.68 ที่ระดับ 54,800 บาทได้ แต่มองว่าจากราคาทองโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมองเป้าหมายสิ้นปี 68 มีโอกาสเห็นระดับสูงสุดที่ 3,800 ดอลลาร์/ออนซ์ จึงคาดว่าราคาทองในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเห็นระดับสุดสูงสุดที่บาทละ 56,000 บาท ได้

โดยกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ถือครองระยะยาวยังสามารเข้าซื้อสะสมได้ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นแนะเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง 1 บาท มีผลต่อทองคำเปลี่ยนแปลงประมาณ 1,600 บาททองคำ

ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งทะลุระดับฐาน (Baseline) ที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในช่วงกลางปี 69 และอาจพุ่งแตะ 5,000 ดอลลาร์ หากนักลงทุนย้ายเงินออกจากพันธบัตร หันมาถือครองทองคำมากขึ้นเพื่อกระจายการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน

โดยราคาทองคำ ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความคาดหวังว่า เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทั่วโลก ยังหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ราคาทองคำจะขึ้นไปอยู่ที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐฯภายในสิ้นปี 68 และแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯภายในช่วงกลางปี 69 ภายใต้สมมติฐานว่า บรรดาธนาคารกลางทั่วโลก ยังคงแห่เข้าซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่ง และราคาอาจดันขึ้นไปถึง 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากภาคเอกชนมีการปรับพอร์ตออกจากสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มาถือทองคำแทนอย่างต่อเนื่อง

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนสิงหาคม 2568

0

ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ส่งสัญญาณถึงโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน 2568 ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและหุ้นไทย ท่ามกลางส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยและสหรัฐที่กว้างขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.5% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของงาน Thailand Focus 2025 และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนสิงหาคม 2568

  • ณ สิ้นเดือนสิงหาคม SET Index ปิดที่ 1,236.61 จุด ปรับลดลง 0.5% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับลงเล็กน้อยหลังปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.7% จากสิ้นปีที่ผ่านมา
  • เดือนสิงหาคม กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร
  • ในเดือนสิงหาคม มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 43,011 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.47% ของมูลค่าการซื้อขายรวม แต่มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาขายสุทธิหลังจากซื้อสุทธิในเดือนก่อนหน้า
  • มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล (HANN)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.4 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 3.99% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.08%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนสิงหาคม 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 369,772 สัญญา เพิ่มขึ้น 4.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Options ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 419,267 สัญญา ลดลง 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึก ทีทีบี ปลุกธุรกิจไทยวัดคาร์บอน เพิ่มโอกาสเติบโตจากสินเชื่อยั่งยืน

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ผนึกกำลังเพื่อขยายระบบนิเวศการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) มุ่งสนับสนุนธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว ด้วยการใช้ข้อมูล ESG พิจารณาสินเชื่อ และส่งเสริมให้ลูกค้าธนาคารมีระบบช่วยจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบ SETCarbon ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “พาสปอร์ต” ให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าสินเชื่อทั่วไป ความตั้งใจร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ทีทีบี จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และเติบโตไปพร้อมกับการสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) โดยเฉพาะข้อมูลการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนและกำหนดนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของธุรกิจที่พร้อมปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้พัฒนาระบบ SETCarbon เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียน กว่า 300 แห่ง หรือคิดเป็น 33% ที่ใช้ระบบ SETCarbon ในการเปิดเผยข้อมูลด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนขยายการให้บริการดังกล่าวไปยังผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาดนอกตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง SME ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

“ความร่วมมือกับทีทีบีครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของประเทศในระยะยาว ภายใต้แผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขยายโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกขนาดรวมถึง SME ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน ได้ใช้ระบบ SETCarbon ในการจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เสมือนเป็น “พาสปอร์ต” ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าสินเชื่อทั่วไปของทีทีบีได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันทีทีบีจะมีข้อมูลเพียงพอในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้ธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายอัสสเดช กล่าว

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ทีทีบียึดมั่นในพันธกิจการดำเนินธุรกิจสู่การธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ตามกรอบ B+ESG ที่ผสานธุรกิจและความยั่งยืนเป็นเนื้อเดียวกัน และพร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจและ SME ปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในกติกาใหม่ของโลก เพราะการมีข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้อง โปร่งใส มีมาตรฐาน จะเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนการลดคาร์บอนของธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะสร้างข้อได้เปรียบให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสเข้าถึงทั้งเงินทุนและตลาดใหม่ ๆ สร้างความมั่นใจให้คู่ค้าและผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อยอดขายและความสามารถในการเติบโตระยะยาว โดยทางธนาคารได้ช่วยลูกค้าตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบทางธุรกิจ และสนับสนุนให้คำปรึกษาด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านธุรกิจ

ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ทีทีบีได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปแล้วกว่า 78,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 35,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังมอบองค์ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงผลกระทบเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับปรับตัวและเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ด้วยการจัดสัมมนาและการอบรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขั้นตอนและวิธีการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรให้กว่า 500 บริษัทในปีที่ผ่านมา ซึ่งแพลตฟอร์ม SETCarbon จะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยให้ลูกค้าธุรกิจของธนาคารที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถคำนวณและจัดเก็บคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยในการเปลี่ยนผ่านให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยทีทีบี ในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่เข้าร่วม ได้ช่วยขยายเครื่องมือนี้ไปยังลูกค้าในเครือข่ายของธนาคาร ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการนำข้อมูล ESG ไปใช้ประกอบในการพิจารณาสินเชื่อ โดยคัดเลือกกลุ่มลูกค้าให้เข้าร่วมโครงการ จำนวนกว่า 1,000 รายจากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุตสาหกรรมเคมี การขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม การโรงแรม เป็นต้น     

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสององค์กรเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสนับสนุนด้านความยั่งยืน พร้อมร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงิน ตลอดจนสิทธิประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้จะต่อยอดและพัฒนาระบบนิเวศด้านความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินงาน ปรับปรุง และพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนวางแผนการจัดการด้านการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อขับเคลื่อนผู้ประกอบการและประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบคอมพิวเตอร์ ฟื้นฟูโอกาสทางการศึกษา ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจ.น่าน

0

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่จำเป็น จำนวน 22 ชุด รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท แก่ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดน่านที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยพายุ “วิภา” เพื่อเร่งให้ศูนย์ทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบกลับมาจัดสอบเทียบวุฒิการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อการศึกษาของประชาชนในพื้นที่และลดจำนวนผู้รอสอบสะสมซึ่งอาจส่งผลให้เสียโอกาสด้านการศึกษาและอาชีพ โดยมี ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมในพิธีส่งมอบ

ทั้งนี้ นับเป็นการสานต่อการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ก่อนหน้านี้ได้จัดส่งถุงยังชีพช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดน่าน

TSD ชวนบจ. ใช้ QR Code Sealer ส่งเอกสารประชุมผู้ถือหุ้น พร้อมรับส่วนลดค่าบริการนายทะเบียนรายปี 10%  

0

บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เปิดโครงการ TSD e-Services for Net Zero  โดยเชิญชวนบริษัทจดทะเบียนส่งหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบ QR Code Sealer เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนและดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษ ลดโลกร้อน และลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว บริษัทที่เข้าร่วมโครงการใช้บริการ QR Code Sealer จะได้รับส่วนลดค่าบริการนายทะเบียนหลักทรัพย์รายปี 10% ติดต่อกันตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ 3 ปี (ปี 2569-2571)

หากทุกบริษัทร่วมใช้ QR Code Sealer จะสามารถลดการใช้กระดาษได้รวมกว่า 3,817 ล้านแผ่นต่อปี และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 53 ตันคาร์บอน เทียบเท่าการดูดซับ CO2 ของต้นไม้กว่า 5.6 ล้านต้นต่อปี นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทจดทะเบียนได้เฉลี่ยปีละกว่า 25%

บริษัทจดทะเบียนสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 ดูรายละเอียดโครงการได้ที่ https://media.set.or.th/set/Images/2025/Aug/Info-graphic-QR-final.jpg สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ SET Contact Center 0 2009 9999