Home Blog Page 176

หนุนบริโภคโปรตีนจากเนื้อปลา ย่อยง่าย มีโอเมก้า-3 เหมาะทุกเพศทุกวัย

0
นักวิชาการประมง ชี้ เนื้อปลามีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผู้บริโภคควรสังเกตเครื่องหมายรับรองการผลิตที่รับประกันคุณภาพและความปลอดภัย เลือกซื้อจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลดเสี่ยงจากการปนเปื้อน เน้นปรุงสุกด้วยวิธีที่คงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี

ผศ.ดร.จุฑา มุกดาสนิท หัวหน้าภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “เนื้อปลา” เป็นแหล่งของโปรตีนที่ร่างกายต้องการครบถ้วน ย่อยง่าย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะกรดอะมิโนที่จำเป็นที่ร่างกายนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย มีแร่ธาตุสำคัญ เช่น สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน และ ธาตุเหล็ก แร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง

นอกจากนี้ เนื้อปลามีกรดโอเมก้า-3 โดยมีงานวิจัยยืนยันว่าการรับประทานกรดโอเมก้า- 3 อย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ ทั้งโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด ซึ่งปลาแต่ละชนิดมีโอเมก้า-3 แตกต่างกัน ปลาทะเลที่มีโอเมก้า-3 มาก อาทิ ปลาทู ปลาอินทรี ปลากะพงแดง ปลากะพงขาว ส่วนปลาน้ำจืด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย เป็นต้น และในประเทศไทยมีปลาหลายชนิดที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ปลาทู ปลาดุก ปลาช่อน ปลากะพง

อย่างไรก็ตาม การบริโภคโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเพศ ช่วงวัย และภาวะสุขภาพของแต่ละคน สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว ให้รับประทานเฉลี่ย 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือรับประทานเนื้อปลาให้ได้อย่างน้อย 3 มื้อต่อสัปดาห์ หรือมื้อละ 100 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่แนะนำ

ผศ.ดร.จุฑา แนะนำวิธีการเลือกซื้อปลาสด ให้เลือกซื้อที่มีป้ายสัญลักษณ์ GAP (Good Aquaculture Practice) รับรองมาตรฐานและหลักเกณฑ์ในกระบวนการเลี้ยงจากกรมประมง ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากเลี้ยงอย่างถูกต้อง ไม่ใช้ยาหรือสารต้องห้ามที่ก่อให้เกิดอันตราย นอกจากนี้ผู้บริโภคสามารถสังเกตความสดของปลาได้จากลักษณะภายนอก เช่น ดวงตาต้องนูน เหงือกต้องมีสีแดงสดตามธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เนื้อบริเวณครีบหลังต้องแน่น เมื่อใช้นิ้วกดลงไปบริเวณท้องต้องไม่ยุบตัวหรือนุ่มเละ เมื่อซื้อปลาสดทั้งตัวและยังไม่ได้รับประทานในทันที ให้นำอวัยวะภายใน ทั้งไส้ กระเพาะ รวมไปถึงเหงือกออกให้หมดเพราะในส่วนนั้นมีเอ็นไซม์ที่จะทำให้เน่าเสียเร็ว ทั้งยังทำให้เนื้อปลาเละและเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ จากนั้นล้างน้ำให้สะอาด ใส่ภาชนะที่ความเย็นผ่านได้ดี ปิดฝาให้มิดชิด สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ให้เก็บปลาในตู้เย็นช่องแช่เยือกแข็งที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาความสด ส่วนผู้ประกอบการ ร้านค้าพาณิชย์ หรือร้านอาหาร ที่มีความพร้อมหรือมีตู้แช่ขนาดใหญ่ ให้เก็บรักษาที่อุณหภูมิ -40 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาคุณภาพของปลาสดให้ดีและมีระยะเวลาการเก็บรักษาได้นานขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อปลาที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เช่น ปลาแช่เยือกแข็ง ปลาแล่เป็นชิ้น หรือ ลูกชิ้นปลา ให้สังเกตตราสัญลักษณ์ GMP (Good Manufacturing Practice) แสดงถึงมาตรฐานควบคุมการผลิตอาหารอย่างปลอดภัย อยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข สามารถทวนสอบย้อนกลับได้ทั้งกระบวนการผลิต และให้สังเกตเครื่องหมาย HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันและลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจัดจำหน่ายและการเก็บรักษา รับรองได้ว่าผู้บริโภคจะได้ปลาที่ สด สะอาด ปลอดภัย

“กรณีผู้บริโภคที่มีความกังวลว่าปลาจะมีการปนเปื้อนของสารปรอท ขอให้ผู้บริโภคอย่าได้ตระหนก ให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาที่ผ่านการรับรองด้วยระบบ HACCP เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนสารปรอท อย่างไรก็ตามในส่วนของปลาสดนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น อย. และกรมประมง ควรมีการตรวจเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสิ่งที่กำลังเป็นข้อกังวลของผู้บริโภคเป็นระยะๆ และสื่อสารข้อมูลที่เป็นจริงและเพียงพอ ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.จุฑา กล่าว

ส่วนวิธีการบริโภค ควรปรุงให้สุก เพื่อทำลายพยาธิและจุลินทรีย์ก่อโรค ที่สำคัญการรับประทานเนื้อปลาสุกร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้ดีกว่าการรับประทานแบบดิบ วิธีการปรุง เน้นเป็นการต้ม หรือ นึ่ง หลีกเลี่ยงการปิ้งย่างหรือทอด เนื่องจากการใช้อุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 100 องศาเซลเซียส จะทำให้โอเมก้า -3 สลายตัวส่งผลให้ปริมาณโอเมก้า-3 ลดลง อีกทั้งการทอดในน้ำมันบางชนิดจะทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัว ควรหลีกเลี่ยงเพื่อสุขภาพ./

เกษตร จ.นครสวรรค์ หนุนกลุ่มเกษตรกรศาลเจ้าไก่ต่อ ปลูกข้าวโพดหลังนาที่ยั่งยืน

0


สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ ชูกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ต.ศาลเจ้าไก่ต่อ อ.ลาดยาว เป็นต้นแบบการรวมกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพดหลังนาที่โดดเด่นด้านการผลิตที่ทันสมัย และผลิตด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่บุกรุกตัดไม้ทำลายป่า ใช้วิธีไถกลบหลังเก็บเกี่ยวแทนการเผา ตอบโจทย์ตลาดที่ต้องการผลผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจมีตลาดรับซื้อแน่นอน ได้ราคารับซื้อดีขึ้น หนุนสิ่งแวดล้อมยั่งยืนไปด้วยกัน

นายสมควร ไชยมหา เกษตรจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรศาลเจ้าไก่ต่อ และภาคเอกชน ส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ต.ศาลเจ้าไก่ต่อซึ่งมีสมาชิกประมาณ 200 ครัวเรือนปลูกข้าวโพดหลังนาบนพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง ได้เข้าถึงปัจจัยการผลิตคุณภาพสูง ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดค่าใช้จ่ายและใช้วิธีไถกลบแทนการเผา ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวรอบแรกในเดือนมีนาคม 2566 มีผลผลิตเป็นไปตามเป้าหมาย และเป็นที่ต้องการของตลาดรับซื้อผลผลิตจากผู้รับซื้อที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ ได้ราคารับซื้อสูงขึ้น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และยังมีส่วนช่วยปรับปรุงให้ดินมีธาตุอาหารสูงขึ้น ควบคู่ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

“ผลสำเร็จของการปลูกพืชแบบแปลงใหญ่ ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรมีขีดความสามารถสูงขึ้น จากการมีองค์ความรู้และเทคนิคการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่แน่นอน มีคุณภาพ และมีส่วนช่วยแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างยั่งยืน” นายสมควรกล่าว

นางยุพิน ชาญถิ่นดง หนึ่งในเกษตรกรคนดี คนเก่งของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ต.ศาลเจ้าไก่ต่อ กล่าวว่า การรวมกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาในรูปแบบแปลงใหญ่ เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในทุกมิติ มีส่วนช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีความรู้ เทคนิคการเพาะปลูก ปัจจัยการผลิตและเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัย ลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ การผลิตสินค้าที่ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับเกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ และสหกรณ์การเกษตรศาลเจ้าไก่ต่อ ร่วมมือกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส และ บริษัทสวนสมบูรณ์ จำกัด จัดกิจกรรมรณรงค์และแปลงสาธิตการเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แบบปลอดการเผา ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดหลังนาตามหลักวิชาการ เพิ่มคุณภาพและปริมาณ พร้อมรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ ยกระดับอาชีพเกษตรกรปลูกข้าวโพดหลังนาที่มั่นคงและยั่งยืน

เซเว่นฯ เปิด “ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME” เดินหน้านโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน”

0
เซเว่นฯ เดินหน้าตอกย้ำนโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” ประกาศติดอาวุธผู้ประกอบการไทย ปั้น "ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME" ที่ร้านเซเว่นฯ สาขาธารา สแควร์ สู่แหล่งรวมข้อมูล ความรู้ และเครือข่ายพันธมิตรระดับแถวหน้าของประเทศ แบบเข้าถึงได้ง่าย พร้อมช่องทางจำหน่ายสินค้าหลากหลาย โดดเด่นด้วย 7 บริการ SME Service Solution ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน SME ไทย สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า “ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME” จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวคิด “SME โตไกลไปด้วยกัน” เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย โดยให้การสนับสนุน ส่งเสริม และอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มธุรกิจ SME ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ งานวิจัย ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนให้กับ SME ผ่าน 7 บริการ SME Service Solution ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของ SME

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

“บริษัท ตระหนักเป็นอย่างดีว่ากลุ่มธุรกิจ SME เป็นฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งยังต้องการการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง เซเว่นฯในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SME มาอย่างใกล้ชิด จึงได้จัดตั้ง ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME ขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการช่วยขับเคลื่อน SME ให้ประสบความสำเร็จ นับตั้งแต่เริ่มมีไอเดียอยากทำธุรกิจ จะมีสินค้าหรือไม่มีสินค้าเป็นของตัวเองก็ได้ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงพันธมิตรให้กับ SME รวมทั้งเปิดโอกาสให้ทดลองขายผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ ผ่านตลาด e-commerce ตลาด Traditional Trade ทั้งนี้ เพื่อให้ SME สามารถพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

สำหรับ 7 บริการ SME Service Solution ประกอบด้วย 1.บริการให้คำปรึกษา : โดยให้คำแนะนำเบื้องต้นในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ 2.บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ : ตรวจเช็คระบุ (Check List) มาตรฐานขั้นต้นที่ต้องมี รวมถึงสนับสนุนแนะนำแหล่งบริการตรวจเชื้อในอาหาร 3.ปรับปรุงกระบวนการผลิต : ให้ความรุ้และเชื่อมโยงกับภาครัฐเพื่อขอรับบริการด้านกระบวนการหรือปรับปรุงการผลิตในโรงงาน 4.พัฒนาบรรจุภัณฑ์ การตลาดและประชาสัมพันธ์ : แนะนำเรื่องความเหมาะสมของบรรจุภัณฑ์ , ฉลากสินค้า , ความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการใช้สื่อที่เหมาะสมกับช่องทางขาย 5.Macthing Supplier / OEM : สร้าง Connection และเชื่อมต่อองค์ความรู้ระหว่างคู่ค้า 6.จัดหาแหล่งเงินทุน : ให้การเชื่อมโยงและคำปรึกษาเกี่ยวกับการยื่นแผนธุรกิจ , Matching กับแหล่งทุน และ 7.อบรมให้ความรู้คอร์สพิเศษเฉพาะสมาชิกศูนย์ฯ : Design Thinking & Branding ,Customer Insights , การปรับเปลี่ยนด้านแนวโน้ม และมาตรฐานสินค้า

นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 บริษัทมีแผนที่จะเพิ่ม SME Shelf จากปัจจุบันมีอยู่กว่า5,800 สาขา เป็นกว่า 7,500 สาขา รวมถึงพัฒนา SME Shelf ในบางสาขาให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ อาทิ สาขา Flagship สาขาสนามบินต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบของ Shelf SME–ของฝากและของที่ระลึก

ทั้งนี้ ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME ตั้งอยู่ภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาธารา สแควร์ ถนนแจ้งวัฒนะ นอกจากจะรวบรวมสินค้า SME ที่น่าสนใจมาให้ลูกค้าได้เลือกช็อป ได้แก่ สินค้าที่ได้รับรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน, สินค้าแนะนำ, Local Products, ขนม , เครื่องดื่ม , ของใช้ เช่น เครื่องสำอาง รวมกว่า 500 รายการ แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ที่มีคอยให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการรายย่อยที่สนใจจะเป็นคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น

สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสามารถนัดหมายขอเข้ารับคำปรึกษาได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1.ผ่านช่องทาง Call Center เบอร์ 02-826-7750 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น.หรือ Email : [email protected] 2.ผ่านทาง www.7smesupportcenter.com ตลอด 24 ชั่วโมง และ 3.Walk In : ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาติดต่อโดยตรงที่ศูนย์ฯ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น.

รู้เก็บรู้ออม : รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุนหุ้นโลก

0

ปัจจุบันโลกของการลงทุนเปิดกว้างมากขึ้น เห็นได้จากการมีผลิตภัณฑ์และเครื่องมือการลงทุนใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์ ก็คือ นักลงทุน นั่นเอง โดยเฉพาะการซื้อหุ้นต่างประเทศ เป็นที่สนใจและนิยมของนักลงทุนสูงขึ้น เพราะมีอัตราการเติบโตที่สูง มีเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจและหลากหลาย นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงและโอกาสจากการลงทุนอีกด้วย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวทางสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสกระจายการลงทุน และทางเลือกในการลงทุน ทำให้เดี๋ยวนี้นักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นไทยสามารถใช้บัญชีของตัวเองซื้อหุ้นต่างประเทศผ่านผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนรวมดัชนี ETF, ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ DR และ DRx

ก่อนจะลุยลงทุนหุ้นต่างประเทศ นักลงทุนจึงควรทำความรู้จักเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์แต่ละตัวว่าแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้ทราบว่าเราเหมาะกับเครื่องมือประเภทไหน

เริ่มจากวิธีดั้งเดิม คือ การซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง นักลงทุนจะต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ แล้วแลกเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ การซื้อขายต้องทำในเวลาทำการของตลาด หลักทรัพย์ของประเทศนั้น วิธีนี้ นอกจากจะใช้เงินลงทุนที่สูง ยังจะมีเรื่องภาษีจากการลงทุน โดยหากกำไรจากการขายหุ้นแล้วนำกลับเข้าประเทศภายในปีภาษีเดียวกัน ก็ต้องถูกนำมาคำนวณเพื่อจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย

ส่วน กองทุน ETF เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบกระจายลงทุน สามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ปกติที่มีอยู่ ข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมถูก และได้รับยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ ปัจจุบัน กองทุน ETF มีนโยบายลงทุนในกลุ่มหุ้นต่างประเทศให้เลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็น กองทุน CHINA ของ บลจ.กรุงไทย ลงทุนในหุ้นจีนที่อยู่ในดัชนี CSI300 Index, กองทุน UHERO ลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้จัดจำหน่ายหรือพัฒนาเกม, กองทุน UBOT ที่ลงทุนในอุตสาหกรรม Robotics & AI ชั้นนำทั่วโลก

ต่อด้วย DR เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้น โดยผู้ออก DR ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้นต่างประเทศมา แล้วเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยเป็นสกุลเงินบาท มีจุดเด่น คือ นักลงทุนที่มีเงินน้อยก็สามารถซื้อหุ้นต่างประเทศได้ โดยมีสัดส่วน 1 DR = หุ้นต่างประเทศ 1 หลักทรัพย์ และได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆเหมือนซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง ส่วนการซื้อขายทำในเวลาทำการของตลาดหุ้นไทย โดยไม่พักในช่วงกลางวัน และใช้บัญชีซื้อขายหุ้นที่มีอยู่กับโบรกเกอร์ซื้อขายได้

และตัวสุดท้าย คือ DRx เป็น DR อีกประเภทหนึ่งที่มีจุดเด่นที่พิเศษและแตกต่างตรงที่นักลงทุนใช้เงินลงทุนน้อยกว่า และไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเป็นจำนวนหลักทรัพย์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อ 1 หน่วย (เริ่มต้นที่ 0.0001 หน่วย) ซื้อขายผ่านบัญชีหุ้นที่มีอยู่แล้วเช่นกัน แต่ต้องแจ้งความต้องการซื้อขาย DRx เพิ่มเติม เหมือนเปิดเป็นบัญชีย่อย และนักลงทุนต้องฝากเงินเข้าบัญชีก่อนส่งคำสั่งซื้อ cash balance (pre-paid) เท่านั้น ส่วนเวลา ซื้อขายจะสอดคล้องกับเวลาการซื้อขายของหลักทรัพย์ในต่างประเทศ เปิดเป็น 2 ช่วง คือ Asia Time Zone 07.00-17.00 น. และ US Time Zone 20.00-04.00 น.

สนใจศึกษาหาข้อมูลแบบละเอียด เรียนรู้หาโอกาสเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนใหม่ๆ กดไปที่ www.setinvestnow.com

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เกษตรกรทวงถามกรมศุลฯ ผลสอบตู้ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาว พร้อมขอฟังมาตรการป้อง “หมูเถื่อน” หลังถูกเบียดตลาดยับเยิน

0

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่าได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการรับสินค้าจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อขอทราบผลการตรวจสอบตู้ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาวหลังเปิดไปเพียง 5 ตู้จาก 331 ตู้ ณ วันแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หวั่นยังมีหมูเถื่อนคงค้างรอการระบายอีกหลายตู้ พร้อมขอเข้าฟังขั้นตอนและพิธีการศุลกากรอันรัดกุม เพื่อความมั่นใจในมาตรการป้องกันหมูเถื่อน เนื่องจากผู้เลี้ยงหมูไทยได้รับผลกระทบหนักจากปริมาณหมูส่วนเกินที่นำเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25,000 เมตริกตัน/เดือน

“หมูเถื่อนจากต่างประเทศไม่ว่าจะจากยุโรปหรืออเมริกาใต้จะผ่านเข้ามาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับด่านกรมศุลกากร ซึ่งเกษตรกรทุกคนเชื่อมั่นว่าพิธีการทางศุลกากรของไทย มีมาตรการที่เข้มงวดรัดกุม ยากที่สิ่งของผิดกฏหมายจะผ่านด่านเข้ามาได้ แต่น่าแปลกที่ปริมาณหมูเถื่อนกระจายอยู่ในท้องตลาดทั่วประเทศมากเหลือเกิน คณะกรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เลี้ยงสุกรจากทุกภูมิภาค จึงทำหนังสือขอเข้าพบท่านอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อขอรับฟังนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่กรมฯ ดำเนินการในการป้องกันไม่ให้สินค้าผิดกฏหมายเข้ามาสู่ราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจในการประกอบอาชีพเลี้ยงสุกรต่อไป” นายสุรชัยกล่าว

นอกจากนี้ นายสุรชัย ยังแสดงความกังวล กับจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาวของกรมศุลกากร ที่มีการแถลงข่าวไปเมื่อช่วงกุมภาพันธ์ 2566 ว่ามีตู้ตกค้างมากถึง 331 ตู้ และมีการสุ่มเปิดตู้ต่อหน้าสื่อมวลชนเพียง 5 ตู้ พบเป็นหมูเถื่อนถึง 3 ตู้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบข่าวตรวจสอบตู้ตกค้างอีก จึงขอเรียนถาม ผลการตรวจสอบตู้ทั้งหมดจากกรมศุลฯอีกครั้ง เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นหมูเถื่อนลักลอบนำเข้าผิดกฏหมายอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักทำลายตลาดให้เกษตรกรไทยเดือดร้อนเรื่อยมา

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา ปรากฏชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำเข้าจากหลายประเทศเข้าสู่ประเทศไทย โดยสันนิษฐานว่าไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ ตามอำนาจของพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.๒๕๕๘ และกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรฯได้ติดตามการจับกุมปราบปรามหมูเถื่อนของภาครัฐ พบว่ามีปริมาณเพียงเล็กน้อยไม่ถึง 5% ของการลักลอบทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งคำนวณได้จากปริมาณหมูเถื่อนในท้องตลาดที่มีอยู่ถึง 25,000 เมตริกตัน/เดือน ส่งผลกดดันราคาหมูหน้าฟาร์มในประเทศให้ตกต่ำ นำไปสู่ภาวะขาดทุนของเกษตรกรไทย

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติกล่าวอีกว่า “ต้นทุนการผลิตหมูของไทย สูงกว่าในต่างประเทศถึง 30% เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบ้านเรามีราคาสูงกว่ามาก จึงไม่สามารถแข่งขันด้านราคาขายกับหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ปนเปื้อนสารตกค้าง ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และอาจมีเชื้อโรคระบาดสัตว์ ASF เข้ามาซ้ำเติมหมูไทย เมื่อหมูเถื่อนมีจำนวนมาก เกษตรกรก็มักถูกกดราคาหน้าฟาร์มจากผู้ซื้อ กลายเป็นวังวนปัญหาไม่รู้จบ จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากกรมศุลากร ในการป้องกันที่ต้นทางตั้งแต่ก่อนหมูเถื่อนจะเข้าประเทศ”

“ทรีนีตี้” ให้กรอบดัชนีหุ้นเดือนเม.ย. แนวต้าน 1640 และ 1690 จุด แนวรับ 1580 -1600 จุด และ 1550-1560 จุด แนะขึ้นขาย-ลงซื้อ

0

“ทรีนีตี้”  ให้กรอบดัชนีหุ้นเดือนเม.ย. แนวต้าน 1640 และ 1690 จุด  แนวรับ 1580 -1600 จุด และ 1550-1560 จุด                 เชิงกลยุทธ์ แนะขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดังกล่าว มองตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการลดกำลังการผลิตน้ำมันของโอเปก ระยะสั้นจึงเน้นกลุ่มที่อิงกับภาคบริการ เลือก โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก สื่อฯ แนะ BDMS, BH, CENTEL, ERW, AU, ZEN, CRC, DOHOME, และ PLANB

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนเมษายน 2566 ว่า  ประเมินตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นในเดือนเมษายน จากตอนแรกที่เคยมองไว้ว่าหนทางค่อนข้างสะดวก เพราะมีทั้งปัจจัยผลักดันเม็ดเงิน Fund flow และปัจจัยดึงดูดในส่วนของธีมการเลือกตั้งบ้านเรา อย่างไรก็ดี ด้วยการประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันขนานใหญ่ของกลุ่ม OPEC+ เมื่อสุดสัปดาห์     

ที่ผ่านมา มองว่าหากเกิดขึ้นจริง ปัจจัยนี้อาจเป็นจุดพลิกเกมส์ที่สำคัญของการลงทุนทั่วโลกในช่วงถัดไป และจะทำให้สมมติฐานการลงทุนเดิมหลายๆอย่างจะต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน  

ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวต้านแรกของ SET เดือนนี้ที่ 1640 จุด ส่วนกรอบแนวต้านสำคัญที่ไม่น่าทะลุได้แก่ระดับสูงสุดเดิมของปีที่ 1690 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่ตึงตัวในแง่ของ Valuation แล้ว ในทางกลับกัน ให้กรอบแนวรับแรกไว้ที่ 1580-1600 จุด แต่อาจต้องแบ่งไม้ในการเข้าซื้อ เผื่อดัชนีมีการ Price in ปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้น โดยมองกรอบแนวรับสำคัญเดือนนี้ที่บริเวณ 1550-1560 จุด   

ในเชิงกลยุทธ์ แนะขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดังกล่าว ส่วนในแง่ของกลุ่มหุ้นนั้น จากความเสี่ยงทางด้านต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านสูง และการเข้มงวดนโยบายการเงินในช่วงถัดไป แต่ในระยะสั้นอาจมีธีมการเลือกตั้งช่วยหนุนภาคการบริโภคภายในอยู่ได้บ้าง จึงขอโฟกัสไปยังกลุ่มบริการเป็นหลัก เนื่องจากดูแล้วค่อนข้างปลอดภัยที่สุดจากเหตุการณ์ต่างๆตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก สื่อฯ  เป็นต้น โดยมีหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ BDMS, BH, CENTEL, ERW, AU, ZEN, CRC, DOHOME, และ PLANB

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม จับตาการตอบรับเชิงบวกในระยะสั้นของราคาน้ำมันดิบ หลังซาอุฯและประเทศสมาชิกในกลุ่ม OPEC+ ประกาศหั่นกำลังการผลิตน้ำมันรวมกันราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเป็นสัดส่วนของซาอุฯ เอง 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเมื่อมารวมกับการลดกำลังการผลิตเดิมของรัสเซียที่ระดับ 5 แสนบาร์เรลต่อวันที่มีการต่ออายุเพิ่มเติมออกไปอีกจนกระทั่งถึงสิ้นปีนี้ จะทำให้กำลังการผลิต       ที่หายไปทั้งสิ้นรวมเป็น 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากเกิดขึ้นจริงจะถือว่าเป็นระดับที่มีนัยสำคัญมากต่อสมดุล Demand-Supply ในตลาดพลังงานโลกได้

นายณัฐชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า  ได้สรุป 11 ผลกระทบสำคัญต้องรู้ จากการประกาศปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ ล่าสุดไว้ดังต่อไปนี้ 1. เป็น Sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อกลุ่ม Commodity เช่นกลุ่ม E&P                 และ Refinery 2. กลุ่ม Anti-commodity พลิกกลับมามีความเสี่ยงขึ้นมาทันที แนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น เช่น กลุ่ม Utilities 3. เพิ่มความเสี่ยงของแรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกและเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะนำมาสู่ความเสี่ยง Stagflation ที่มากขึ้น 4. เพิ่มความเสี่ยงทางด้านดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในโหมด Higher for Longer 5. เพิ่มความเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ PE contraction 6. เพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุนในพันธบัตร จากการที่ Yield มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง 7.ลดความน่าสนใจของตลาดหุ้นลง ผ่านมาตรวัด Earning yield gap ที่ปรับลดลง 8. เพิ่มความเสี่ยงต่อหุ้นกลุ่ม Growth และ Technology 9. เพิ่มความเสี่ยงต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าน้ำมันดิบของไทย 10. เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น และ 11. เพิ่มความเสี่ยงด้านอ่อนค่าของเงินบาท

AIS ผนึก GC ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวคิด ESG

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อตวามร่วมมือที่จะสร้างต้นแบบองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่การนำโครงข่ายอัจฉริยะ ด้วยระบบ IoT และ 5G โซลูชัน มาเพิ่มขีดความสามารถยกระดับกระบวนการทำงานเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่การเป็น Smart Operations และโรงงานอัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การการแบ่งปันองค์ความรู้การบริหารจัดการขยะทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพลาสติกใช้แล้วผ่านแพลตฟอร์มที่จะทำให้การสร้างการตระหนักรู้กับผู้บริโภค รวมถึงกระบวนการจัดการขยะมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า AIS มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแกร่งด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการสื่อสารและบริการดิจิทัลใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าทั้งในด้านการนำดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้ทุกคนในสังคม พร้อมดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบกับการที่ AIS เรามีความเชื่อในเรื่องของการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ ทำให้วันนี้ AIS ยังคงสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน ภายใต้การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์โดยมุ่งใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาสร้างประโยชน์ในด้านต่างๆ ให้แก่คนไทยและประเทศ

ทั้งนี้ ความร่วมมือ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากลและมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ด้วยการใช้ศักยภาพของ Digital Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีความแข็งแรง มาขับเคลื่อนแผนการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนในแกนด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องของการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี IoT&5G Solutions มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของ GC Group อาทิ โซลูชันที่ช่วยบริการจัดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอน โดยใช้ข้อมูลแบบ Real-time จากอุปกรณ์ IoT เพื่อให้สามารถตัดสินใจวางแผนการทำงานและกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากนี้เรายังพัฒนาความร่วมมือในการบริหารจัดการวัสดุใช้แล้ว หรือแม้แต่ขยะทั้ง E-Waste และ พลาสติกใช้แล้วด้วยเครื่องมือด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ผ่านกิจกรรมที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคอย่าง Green University ทิ้งเทิร์นให้โลกจำ ที่กำลังดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือกับ GC ในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่จะต่อยอดแนวทางการดำเนินเพื่อความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมของทั้งสององค์กรให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า GC มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างสมดุล ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี (ESG) มาอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ Low Carbon & High Value Business เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน วันนี้ GC จับมือกับ AIS เพื่อนำจุดแข็งจากทั้ง 2 องค์กร มาร่วมกันต่อยอดธุรกิจและพัฒนาด้านความยั่งยืน ภายใต้การศึกษาการดำเนินงานร่วมกันในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับด้านการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร GC มี YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ที่สามารถช่วยส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการวัสดุใช้แล้วอย่างถูกวิธีผ่านแคมเปญความร่วมมือในการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วและขยะอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รีไซเคิลและสินค้าอัพไซคลิ่งผ่านช่องทาง Online Platform เพื่อขยายผล สร้างการรับรู้สู่สังคมวงกว้าง สร้างความตระหนักรู้ พร้อมกระตุ้นจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนในการคัดแยกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะประเภทต่างๆ อีกด้วย

การจับมือกันในครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 บริษัทฯ สามารถร่วมกันพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ในฐานะ Good Corporate Citizen เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดชื่อ บจ. ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เข้าชิงรางวัล SET Awards 2566

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร เตรียมจัดงาน SET Awards ซึ่งจะครบรอบ 20 ปี ในปี 2566 พร้อมประกาศรายชื่อ 721 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์คัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้น ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและมอบรางวัลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 โดยปีนี้ได้เพิ่มรางวัล Supply Chain Management Awards สำหรับกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับวารสารการเงินธนาคารจัดงาน SET Awards เพื่อยกย่องบริษัทที่มีความโดดเด่นเป็นองค์กรต้นแบบในตลาดทุนทั้งด้านการดำเนินงานและด้านคุณภาพ สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพตลาดทุนไทย ควบคู่การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยในปี 2566 มี บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ผ่านเกณฑ์คัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นทั้งสิ้น 721 บริษัท ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา รางวัล SET Awards นับเป็นกลไกสำคัญในการวางรากฐานและยกระดับมาตรฐานความเป็นเลิศของตลาดทุนไทย จนเป็นที่ยอมรับในแวดวงตลาดทุนไทยและสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล ซึ่งในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มรางวัลสำหรับกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence คือรางวัล Supply Chain Management Awards โดยจะมอบให้แก่ บจ. ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นความท้าทายที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายภากรกล่าว

นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร ผู้ร่วมจัดงาน SET Awards และคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาตัดสินรางวัล SET Awards กล่าวว่า การมอบรางวัล SET Awards ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ถือเป็นการจัดงานเป็นปีที่ 20 คณะทำงานฯ จะมีการประชาสัมพันธ์ตอกย้ำถึงความสำเร็จของผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ทั้ง บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านต่างๆ และได้รับรางวัล SET Awards ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

รางวัล SET Awards แบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล ได้แก่ 1) กลุ่มรางวัล Business Excellence มอบให้แก่ บริษัทจดทะเบียน ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ 2) กลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ซึ่งมอบให้แก่ บจ. ที่มีการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างโดดเด่น ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มรางวัลมีสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SASIN) เป็นผู้ทำการประมวลผลรางวัล

นอกจากนี้ ทั้งกลุ่มรางวัล Business Excellence และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ยังมีรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ หรือ SET Awards of Honor สำหรับบริษัทหรือบุคคลที่สามารถรักษาความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเกณฑ์พิจารณารางวัล SET Awards และรายชื่อ บจ. ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นได้ที่ www.set.or.th/setawards สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มรางวัล Business Excellence ติดต่อฝ่ายผู้ออกหลักทรัพย์ 0 2009 9768 และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ติดต่อฝ่ายพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน 0 2009 9886

AIS ประกาศศักยภาพ ทำความเร็วทะลุ 3Gbps บนคลื่น 26 GHz ผ่านสมาร์ทโฟนระดับโลก

0

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศ AIS จึงเดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายที่มีในมือให้มีความพร้อม ด้วยงบลงทุนในปีนี้กว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดและครบทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low Band) ย่านความถี่กลาง (Mid Band) และ ย่านความถี่สูง (High Band) หรือ mmWave ซึ่งโดดเด่นในด้านการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วและความหน่วงต่ำ เราจึงไม่เคยหยุดยั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับเครือข่ายทุกย่านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 5G NSA/ SA, VoNR, 5G CA หรือ NRDC เป็นต้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่คนไทย ตามความตั้งใจตั้งแต่การเข้าร่วมประมูลคลื่น”

“ดังนั้น เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและมอบสุดยอดประสบการณ์ การใช้งานของ Smart Device ต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องทั่วโลกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ล่าสุดจึงร่วมมืออีกครั้งกับ Qualcomm Technologies Inc., ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก หลังจากประสบความสำเร็จจากการทดลอง ทดสอบ NRDC (New Radio Dual Connectivity) บนคลื่นความถี่ 2.6GHz (2600MHz) และ 26GHz ในปีที่ผ่านมาบนอุปกรณ์ต้นแบบ โดยวันนี้เครือข่าย AIS 5G mmWave บนคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz สามารถรองรับการใช้งานของ Smart Phone ระดับโลกที่ใช้ชิปเซ็ตของ Qualcomm Technologies ได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 3 Gbps ครั้งแรกในเมืองไทย”

นายวสิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า “การทำงานร่วมกันกับ Qualcomm Technologies ในครั้งนี้ ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้บริโภคและการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อาทิ การสตรีมเกมส์ออนไลน์ (Cloud Game) การควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนการบังคับหุ่นยนต์ระยะไกลที่ทำได้อย่าง real time มากไปกว่านั้นการทดสอบนี้ยังสามารถรองรับการพัฒนาของชิปเซ็ตมือถือรุ่นใหม่ๆ ในอนาคตที่จะทำให้การรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อได้รวดเร็วอีกด้วย”

ด้าน นายเอส ที เลียว, รองประธาน, ควอลคอมม์ ซีดีเอ็มเอ เทคโนโลยี เอเชีย-แปซิฟิก จำกัด และ ประธาน, ควอลคอมม์ ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้ 5G mmWave ในประเทศไทย ที่ Qualcomm Technologies เชื่อว่า 5G mmWave จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ 5G อย่างเต็มที่ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดและเราภูมิใจที่ได้ก้าวแรกร่วมกับพันธมิตรหลักของเราในการนำประโยชน์ทั้งหมดของ 5G mmWave มาสู่ประเทศไทย”

“ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ว่า AIS มุ่งมั่นที่จะนำคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของประเทศ มาพัฒนาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ รวมถึงประโยชน์แก่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือในครั้งนี้เรามี Qualcomm Technologies ผู้พัฒนาชิปเซ็ตระดับโลก มาร่วมอยู่ในการทำสอบ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและสนับสนุนการใช้งานของดีไวซ์ต่างๆ ที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ซึ่งกำลังทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างแน่นอน” นายวสิษฐ์ กล่าว

ธนาคารออมสิน ออก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน” ฉลองก้าวสู่ปีที่ 111

0
ฉลองก้าวสู่ปีที่ 111 ธนาคารออมสิน…เตรียมตัวให้พร้อม! พบกับเงินฝากดอกเบี้ยสูงแห่งปี ""เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน"" เปิดรับฝากเพียง 11 วันเท่านั้น ไม่อยากให้คุณพลาด แล้ววันที่ 1 เมษายน 2566 นี้ มาฝากกันที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 1 – 11 เม.ย. 2566

?อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได สูงสุด 5.99% ต่อปี
? เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.60% ต่อปี
? อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.36% ต่อปี
?ได้ดอกเบี้ยเต็มๆ ไม่เสียภาษี

เงื่อนไขการฝาก

  • เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  • ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท
  • เมื่อฝากครบ 11 เดือนนับตั้งแต่วันที่ฝาก ธนาคารจะโอนยอดเงินฝากและดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนที่ผู้ฝากแจ้งไว้
  • ไม่สามารถใช้สมุดฝากเงินประเภทเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน เล่มเดิมมาฝากเพิ่มได้

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน

ระยะเวลาฝากอัตราดอกเบี้ยร้อยละต่อปี (Step Up)
เดือนที่ 1 – 70.80
เดือนที่ 8 – 101.15
เดือนที่ 115.99
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย1.36
เทียบเท่าเงินฝากประจำ1.60

▶อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > http://bit.ly/3zk7hSi

?เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด