Home Blog Page 173

‘ซีพีเอฟ ทั่วไทย’ ส่งความสุขจุดบริการประชาชน เสริมความปลอดภัย ช่วง 7 วันอันตราย เทศกาลสงกรานต์ ปี 66

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้แก่ สถานประกอบการ โรงงาน และฟาร์มทั่วประเทศไทย ร่วมรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย 7 วัน ป้องกันอันตรายและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน” ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 มอบอาหารและน้ำดื่ม หนุนภารกิจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ณ จุดพักและบริการประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ชูกิจกรรมให้ความรู้กฎจราจร การขับขี่ พร้อมบริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์และจักรยานยนต์ฟรี ร่วมสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมแก่พนักงานที่กลับภูมิลำเนาให้มีความพร้อมสำหรับการเดินทาง ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขปีใหม่ไทย

ซีพีเอฟ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยการจราจรบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย โดยสถานประกอบการซีพีเอฟ ในเขตภาคกลาง อาทิ ‘โรงงานผลิตอาหารสัตว์ราชบุรี’ มอบน้ำดื่มคลายร้อน และข้าวสารตราฉัตร ผ่านหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ณ จุดบริการประชาชน ในพื้นที่ ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ด้าน ‘โรงงานผลิตอาหารสัตว์บก บางนา กม.21’ มอบน้ำดื่มซีพี เกลือแร่ และกาแฟ หนุนจุดบริการประชาชน ในเขต จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ ‘โรงงานแปรรูปเนื้อไก่-เป็ดบางนา และธุรกิจห้าดาว’ ผนึกกำลัง มอบน้ำดื่มซีพีและหน้ากากอนามัยซีพี ให้สำนักงานเขตบางนาและสถานีตำรวจบางนา ร่วมรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย ลดเสี่ยงโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมทาง

ด้าน ‘โรงงานผลิตอาหารสัตว์ท่าเรือ’ ส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละ ณ จุดพักและบริการประชาชน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ ทีมงานจิตอาสา ‘โรงงานซอส ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ’ (CPF RD CENTER) ร่วมมอบน้ำดื่มซีพีแทนความห่วงใย ให้เจ้าหน้าที่ บริเวณจุดบริการประชาชน เส้นทางไปพื้นที่ภาคเหนือ

ขณะที่ ถนนมิตรภาพ เส้นทางสู่ภาคอีสาน “กลุ่มธุรกิจสระบุรี” ได้แก่ ‘โรงงานแปรรูปเนื้อไก่สระบุรี’ มอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพจากซีพีเอฟ ทั้งไก่สด ไก่ปรุงสุกพร้อมทาน และน้ำดื่มซีพี เสริมทัพเจ้าหน้าที่ พร้อมกันนี้ ‘โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค’ มอบน้ำดื่มและเงินสนับสนุนหน่วยงานท้องถิ่น และวัด ในพื้นที่ จ.สระบุรี พร้อมรณรงค์ให้ความรู้การขับขี่รถและกฎจราจร การตรวจเช็คสภาพรถยนต์และจักรยานยนต์ฟรีแก่ชาวซีพีเอฟให้มีความพร้อมสำหรับการเดินทาง ขณะที่ ‘โรงงานแปรรูปเนื้อไก่นครราชสีมา’ ร้อยเรียงใจ มอบไก่สดปลอดสารและน้ำดื่มซีพี แก่จุดบริการประชาชน รวม 5 จุด ได้แก่ สี่แยกไฟแดงอำเภอโชคชัย สี่แยกอวยชัย อำเภอปักธงชัย เทศบาลท่าเยี่ยม ทั้งหน้าสถานประกอบการซีเอฟและบ้านดอนไพล และ สภ.หนองบุญมาก

สำหรับการเดินทางสู่ภาคตะวันออก ‘โรงเพาะฟักลูกกุ้ง JR’ ส่งอาหารและน้ำดื่มซีพี สนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร จ.ตราด ‘ศูนย์ปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งปะทิว’ มอบเงินและน้ำดื่ม หนุนจุดบริการประชาชน จ.ชุมพร ด้าน ‘โรงเพาะฟักลูกกุ้งตะวัน’ ร่วมกับ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 จัดกิจกรรมเก็บขยะชายหาดบางสัก คืนความสวยงามให้ทะเลพังงา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว ด้าน ‘โรงงานผลิตอาหารสัตว์ศรีราชา’ ส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ด้วยน้ำดื่มซีพีและกาแฟ ณ จุดบริการประชาชนกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 12 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมจัดกิจกรรม “เดินทางปลอดภัย…อุ่นใจตลอดเส้นทาง” แก่เพื่อนพนักงาน สร้างความตระหนักเรื่องการใช้รถใช้ถนนตามกฎจราจร เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน

ทั้งนี้ หากเดินทางล่องใต้ สถานประการของบริษัทในพื้นที่ ระดมสรรพกำลังมอบอาหารคุณภาพปลอดภัย น้ำดื่มซีพี และสิ่งของจำเป็น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สร้างความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนถนน ในช่วง 7 วันอันตรายช่วงสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน 2566

ภาครัฐ -สว. ถอดบทเรียนต้นแบบระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดของซีพี จัดการปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยั่งยืน

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมจัดทำระบบฐานข้อมูล PM 2.5 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2566 ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
อาทิ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)กรมวิชาการเกษตร นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) สำนักงานสถิติแห่งชาติ GISTDA เครือซีพี

ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียมของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์และบูรณาการฐานข้อมูล นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างเป็นระบบและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อต่อยอดความร่วมมือจัดการปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา และสปป.ลาว

ที่ประชุมได้ยกระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดที่ซีพีพัฒนาขึ้นและนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการจัดหาวัตถุดิบข้าวโพดอย่างยั่งยืน ปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่า และปลอดการเผา พร้อมนำเทคโนโลยีบล็อกเชน และภาพถ่ายดาวเทียม (จีพีเอส) มาช่วยการเก็บและตรวจสอบข้อมูลอย่างโปร่งใสและแม่นยำ ซีพียังได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น ฟ.ฟาร์ม เพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรในการปลูกข้าวโพดตามหลักวิชาการ เพิ่มประสิทธิภาพกาเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต

นอกจากนี้ ที่ประชุมจะถอดบทเรียนระบบการตรวจสอบย้อนกลับเพื่อนำไปเป็นแนวทางการบริหารจัดการเพาะปลูกเพื่อลดการเผาหลังเก็บเกี่ยวให้กับเมียนมาและสปป.ลาวในการประชุมร่วมกันในปลายเดือนเมษายนนี้

ทั้งนี้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของจิสด้า ใน 17 จังหวัดภาคเหนือต้นปีนี้ พบว่า จุด hot spot เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์สูงถึง 95.6% พื้นที่ชุมชน 75.4% ส่วนพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะนาข้าวมีการเผา 56.6% ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวโพดมีการเผาเพียง 10.7% พื้นที่ปลูกอ้อย10.8% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมจะต้องรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์และขยายผลการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมไปถึงการปรับปรุงมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะกำหนดให้การไม่เผาหลังการเก็บเกี่ยวเป็นเงื่อนไขสำคัญในโครงการประกันราคาและประกันรายได้พืชเกษตรหลักในอนาคต

เปิดวิสัยทัศน์ 2023 ของเอไอเอส

0


CEO AIS ประกาศก้าวสู่การเป็นผู้นำบทใหม่ตัวจริง สร้างเศรษฐกิจแบบเติบโตร่วมกัน ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ, เดินหน้าขยายความร่วมมือแบบข้ามอุตสาหกรรม และการพัฒนาศักยภาพคนไทย

พร้อมพิสูจน์ให้เห็นความสามารถที่จะก้าวข้ามทุกความท้าทาย เพื่อดำเนินตามแนวทางการดำเนินงานของ AIS ภายใต้วิสัยทัศน์ Cognitive Tech

ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ ไม่ใช่เวลาหา “แพะ”

0
บทความโดย ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เป็นประเด็นที่วิพากย์กันอย่างกว้างขวางทุกภูมิภาคของไทยและทุกช่องทางสื่อสาร เพราะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของคนไทย ตลอดจนสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะทางภาคเหนือตอนบนเรียกได้ว่าสาหัสมาก คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย ที่เจอควันพิษ 2 เด้ง ทั้งที่ข้ามแดนมาจากเมียนมาและที่เกิดขึ้นในประเทศ จากฝีมือมนุษย์ เช่น การเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว ข้าว อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือแม้แต่การเผาป่า เพื่อหาของป่าสร้างรายได้ และที่เกิดจากธรรมชาติเหนือการควบคุม เช่น ไฟป่า ถ้าเราแยกต้นเหตุออกเป็น 2 ทางเช่นนี้ การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจะรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ส่วนการแก้ปัญหา มีการนำเสนอกันไปตามความเห็นส่วนตัวและหลักฐานที่หามาสนับสนุน เช่น การเผาป่าโดยมนุษย์ หรือ เกษตรกรเผาตอซังพืชเพื่อลดต้นทุน ตลอดจนบริษัทที่นำเข้าพืชเกษตรมาเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ให้หยุดนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีการเผาตอซัง ทั้งที่ผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการและมีราคาสูง เหล่านี้กลายเป็น “แพะรับบาป” เฉพาะกิจทันที เพราะทางออกแบบบูรณาการยังไม่คลอด

จากการวิพากย์สาธารณะ นำไปสู่การระดมสมองทั้งจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ภาคเอกชน ตลอดจนนักการเมือง เพื่อยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เป็น “วาระแห่งชาติ” หาแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลในอนาคตอันใกล้ ได้บทสรุปเบื้องต้น ว่า ต้องดำเนินการคู่ขนานกัน 2 ด้าน คือ 1. การแก้ปัญหาในประเทศ และ 2. การแก้ปัญหาในต่างประเทศ หรือระดับภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วนและทันที

สำหรับข้อที่ 1. การแก้ปัญหาในประเทศ คือการผ่าน “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” โดยมีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่กฎหมายดังกล่าวที่มีการนำเสนอทั้งหมด 5 ฉบับ ถูกปัดตกในรัฐบาลชุดปัจจุบัน เหลือเพียง 2 ฉบับเท่านั้น โดยมีเนื้อหาหลักในการควบคุมและดูแล ให้ประชาชนได้มีอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์สำหรับใช้หายใจ รวมไปถึงการควบคุมและเอาผิดตลอดจนบทลงโทษกับต้นเหตุของการปล่อยให้มลภาวะออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ และจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องวางแผนแก้ปัญหาแบบบูรณาการ มีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคการเกษตรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว รวมถึงการมีมาตรการสนับสนุนภาคประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้า พลังงานจากแสงอาทิตย์ (solar cell) และต้องมีมาตรการลดปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นควันจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรม

ส่วนข้อที่ 2. การแก้ปัญหาในต่างประเทศ หรือระดับภูมิภาค จำเป็นต้องมีการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน หรือในระดับ Asean เรื่องฝุ่นควันข้ามแดน เพื่อหารือแนวทางในการแกัปัญหาร่วมกัน หรือ ไทยควรกำหนดเงื่อนไขห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ตรวจสอบย้อนกลับถึงต้นทางการผลิตที่ปราศจากการเผา เพราะต่อให้ไทยมีมาตรการป้องกันในประเทศที่มีประสิทธิภาพและเข้มงวดเหนือคนอื่นก็ตาม หากประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีการ “เผา” ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ฝุ่นควันจะปลิวมาในอากาศข้ามแดนมาไทย และไม่อาจหลีกเลี่ยงจากผลกระทบจากฝุ่นควันได้ ที่สำคัญการห้ามนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลมีหลักประกันอะไรให้ภาคปศุสัตว์ ให้มีวัตถุดิบสำคัญเพียงพอต่อการผลิตและหลักประกันให้กับผู้บริโภค สามารถหาอาหารได้ในราคาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าว นำเสนอว่า “การเผา” คือ เหตุผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลต้องมีมาตรการทางภาษีมาสกัดกั้นการนำเข้า หรือ การออกพันธบัตรป่าไม้ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกป่าแทนปลูกพืชที่ต้องเผาตอซัง หรือทำให้เกิดมลพิษกับคนไทย ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ข้อมูลว่า การห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรใดๆ ผิดกฎ AFTA ซึ่งไทยต้องทำตามข้อตกลง หากไทยจะมีข้อยกเว้นต้องเจรจากับประเทศสมาชิก

ไม่ว่าข้อเสนอจากภาคส่วนใด ขอให้มีการกลั่นกรองให้เกิดการแก้ปัญหาฝุ่นควันอย่างบูรณาการ โดยไม่ต้องหา “แพะ” เช่นนี้ แต่ต้องยกระดับการแก้ปัญหาให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง มีแผนดำเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ มีหน่วยงานรับผิดชอบที่สนับสนุนการแก้ปัญหา เพื่อให้คนไทยมีอากาศบริสุทธิ์หายใจและใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

เมืองไทยประกันชีวิต – ช้อปปี้ มอบความอุ่นใจผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)”

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และนางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ร่วมมอบความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองเพื่อความอุ่นใจ นับเป็นการส่งมอบความสุขและความห่วงใยให้กับลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต และ ช้อปปี้ เพียงเข้าไปซื้อความคุ้มครองที่ร้าน “Muang Thai Life Official” บน Shopee Mall หรือ คลิกที่ www.shopee.co.th/muangthailife

นายสาระ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการขานรับนโยบายของ คปภ. ในการส่งเสริมให้ประชาชน          มีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว พร้อมเพิ่มความอุ่นใจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2566 โดยความคุ้มครองที่ลูกค้าจะได้รับประกอบด้วย

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 

– ผลประโยชน์ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย  (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 14 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท   

– ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วยอวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็มสูงสุด 5,000 บาท

โดยกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2566 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2566

ด้านนางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต และชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ในโอกาสเทศกาลมหาสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ที่คนไทยหลายคนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปใช้เวลากับคนในครอบครัว ช้อปปี้ จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมส่งมอบความคุ้มครองผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตรคนสำคัญอย่างเมืองไทยประกันชีวิตอีกครั้ง ในการเปิดตัว “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้พี่น้องชาวไทยได้รับความอุ่นใจจากการเลือกซื้อกรมธรรม์ได้อย่างง่ายดาย ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านร้าน “Muang Thai Life Official” บน Shopee Mall และสุดท้ายนี้ ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย ช้อปปี้ขอส่งต่อความปรารถนาดีให้กับพี่น้องชาวไทยตลอดช่วงเวลาเทศกาลสงกรานต์นี้”

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ ชโย กรุ๊ป มอบ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” รับเทศกาลสงกรานต์ 2566

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จับมือกับ     นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมส่งมอบความสุข ความอุ่นใจไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2566 เพื่อสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัย เพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครอง   เพื่อมอบความอุ่นใจ

สำหรับลูกค้าของบริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับสิทธิพิเศษเมื่อมีการทำธุรกรรมปิดบัญชีหนี้ช่วงระยะเวลาของโครงการคือตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2566 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 มีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครอง กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) (จำนวน 1,000 สิทธิ์)สำหรับข้อตกลงความคุ้มครองที่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปจะได้รับประกอบด้วย

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 

– ผลประโยชน์ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย  (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 14 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท   

– ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วยอวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็มสูงสุด 5,000 บาท

โดยกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย

นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เข้าร่วมโครงการกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) กับทางบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของกลุ่มชโยเป็นอย่างมากเพื่อให้การเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์เดินทางได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น ที่สามารถช่วยคุ้มครองอุบัติเหตุวงเงินสูงสุดถึง 100,000 บาท โดยลูกค้าของกลุ่มชโยที่มีการปิดบัญชีลูกหนี้หรือทำปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว โดยความร่วมมือดีๆนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต โดย ชโย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมงานกันอีกในโปรเจคต่อๆไป ในอนาคต

เชสเตอร์ เปิดตัวเมนูใหม่ ‘ไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน’ ตัวตึงสายแซ่บต้องลอง

0

ซัมเมอร์นี้มีกรี๊ด เชสเตอร์ (Chester’s) จัดเต็มเมนูใหม่สุดซี้ด! เอาใจคนรักมะม่วงน้ำปลาหวาน รังสรรค์เมนูใหม่ด้วยรสชาติที่คนไทยคุ้นเคย อย่าง ‘ไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน’ ไก่ทอดกรอบๆ ไร้กระดูกชิ้นใหญ่ เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมท็อปปิ้งมะม่วง ราดด้วยซอสน้ำปลาหวานรสแซ่บ หวานอมเปรี้ยว และหอม อร่อยลงตัว ในราคาเพียง 125 บาท ต้องรีบมาลอง! เพราะมีจำหน่ายเฉพาะช่วงซัมเมอร์นี้เท่านั้น

เชสเตอร์ ยังจัดชุดสุดคุ้มมาให้อร่อยซี้ดแบบไม่ยั้ง ได้แก่ ชุดไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน 1 เพียง 159 บาท (จากปกติ 214 บาท) อร่อยซี้ดกับไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน 5 ชิ้น คู่เฟรนช์ฟรายส์ขนาดปกติ พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว หรือจะชุดไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน 2 เพียง 259 บาท (จากปกติ 353 บาท) ฟินแซ่บด้วยไก่กรอบมะม่วงน้ำปลาหวาน 5 ชิ้น มาคู่กับเมนูสุดฮิตอย่างข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ พร้อมเฟรนช์ฟรายส์ขนาดปกติ และเป๊ปซี่ 16 ออนซ์อีก 2 แก้ว ราคานี้เฉพาะทานที่ร้านหรือนำกลับเท่านั้น หรือสามารถสั่งผ่านเดลิเวอรี่ได้ทุกแอปพลิเคชัน บริการจัดส่งฟรี เมื่อสั่ง 200 บาทขึ้นไป พร้อมโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2566 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

เชสเตอร์ มุ่งมั่นพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้า สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/ และ www.chesters.co.th หรือ โทร. 1145 หรือแอดไลน์เป็นเพื่อนกับเชสเตอร์ได้ที่ @chestersthai

“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม” เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 21 มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ผนึกกำลังมูลนิธิแคร์ฟอร์ชิลเดรน เสริมแกร่งแนวทางขับเคลื่อนโครงการฯ

0

“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม” ที่เกิดขึ้นจากมุ่งมั่นตั้งใจของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในการหล่อหลอมเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะเด็กกำพร้า ที่แม้จะได้รับการเลี้ยงดูให้เจริญเติบโตตามวัยในสถานสงเคราะห์ แต่พวกเขายังขาด “ครอบครัว” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำหน้าที่ดูแลให้พวกเขามีพัฒนาการ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และสังคมไปพร้อม ๆ กัน

เครือซีพีและมูลนิธิฯ ริเริ่มดำเนินโครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม ตั้งแต่พ.ศ.2545 เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา กล่อมเกลา ให้เด็กกลุ่มนี้เป็นคนดี พลเมืองดีที่มีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการหนึ่งของการร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดี และร่วมแก้ไขปัญหาระยะยาวของประเทศชาติอย่างมีเป้าหมายต่อไป โดยมุ่งหวังให้เด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่นจาก “ครอบครัวอุปการะ” ที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนอันดีงาม ทำหน้าที่เป็นครอบครัวทดแทนให้กับพวกเขา ในสภาพแวดล้อมของชุมชนวัฒนธรรมอีสาน เพื่อให้พวกเขามีพัฒนาการสมวัย มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ โดยเด็กๆ จะได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพ

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันโครงการฯ เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ผนึกกำลังกับ มูลนิธิแคร์ฟอร์ชิลเดรน ในการเสริมความแข็งแกร่งสำหรับแนวทางขับเคลื่อนโครงการฯ ด้วยการจัดอบรมปฐมนิเทศครอบครัวใหม่ ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากโครงการฯ และผ่านเกณฑ์การประเมินจากหน่วยงานภายใต้กรมกิจการเด็กและเยาวชน จำนวน 8 ครอบครัว โดยมี นางสาววราลักษณ์ วงศ์กา ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม มูลนิธิแคร์ฟอร์ชิลเดรน ร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่พ่อแม่อุปการะใหม่ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการฯ และมีองค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทการเป็นครอบครัวอุปการะ ตามหลักแนวคิด Secure Based Approach 5 ข้อ พร้อมทั้งแนะแนวทางการสร้างความรักและความผูกพันให้กับเด็กอุปการะ เพื่อให้พ่อแม่อุปการะเตรียมความพร้อมก่อนรับเด็กๆ จากสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต และสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด เข้ามาอุปการะเลี้ยงดูในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้

นางสมหมาย มุ่งดี หนึ่งในครอบครัวอุปการะฯ ที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ กล่าวว่า หลังทราบข่าวจากผู้ใหญ่บ้านว่า มูลนิธิฯ เปิดรับสมัครครอบครัวจิตอาสา เข้าร่วมโครงการครอบครัวอุปการะฯ จึงปรึกษาสมาชิกในครอบครัวทันที ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปรึกษากับสามีว่าอยากมีเด็กมาเลี้ยงดู เนื่องจากตนเองไม่มีลูกจึงอยากมีลูกเพื่อเติมเต็มความผูกพันและความสุข ที่ผ่านมาได้รับเลี้ยงดูหลานสาวตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้หลานสาวโตแล้วและกำลังวางแผนไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา หากหลานสาวไม่อยู่บ้านคงเงียบเหงา จึงไม่รอช้าที่จะสมัครเข้าโครงการฯนี้ และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ให้ความสำคัญกับการให้โอกาสแก่เด็กๆ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาส ให้ได้รับความรักและความอบอุ่น ช่วยอบรมสั่งสอนให้เขาได้มีโอกาสและอนาคตที่ดีด้วย

นอกจากนี้ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ยังจัดค่ายเสริมทักษะและการเรียนรู้ สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนแก่เด็กและเยาวชนภายใต้โครงการครอบครัวอุปการะฯ เพื่อปลูกฝังความรู้และฝึกทักษะในการดำรงชีวิต ควบคู่ไปกับการตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนได้เปิดโลกทัศน์ เสริมสร้างจินตนาการ และสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้เกิดการวางแผนและมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ตลอดจนสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต

ตลอดระยะเวลา 21 ปี โครงการครอบครัวอุปการะ ยังคงเดินหน้าดำเนินการต่อไป เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ด้วยการมอบโอกาสให้แก่เด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ได้สัมผัสกับความรักความอบอุ่นอย่างแท้จริงจากพ่อแม่อุปการะ ที่ให้การอบรมเลี้ยงดู บ่มเพาะด้วยความเอื้ออาทร โดยเด็กๆได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะทำให้เขาเติบโตมาเป็นคนดีของสังคม และพัฒนาชุมชนตนเองต่อไป

บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่าเยาวชนที่ได้เรียนรู้ถึงความรัก ความผูกพัน การเกื้อกูล และมีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีคุณค่า กลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองดีที่มีประสิทธิภาพที่มุ่งมั่นสร้างความดีเพื่อครอบครัวและชุมชน และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ดีต่อไป โครงการฯนึ้จึงถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบของสังคมที่มีต่อเด็กอย่างแท้จริง

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ข้อสังเกตก่อนคลิก ลิงก์ไหนจริงลิงก์ไหนปลอม”

0

“อาซี” พุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด
กูรูไฮเทค บอกว่า อย่างแรกเลยให้ดูว่าเราได้ลิงก์นั้นมาจากไหน เชื่อถือได้หรือไม่ เช็กตัวสะกดให้ถูกต้อง

การให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับใคร ต้องระมัดระวังให้มาก
__

AIS โชว์แกร่ง หนึ่งเดียวกวาด 2 รางวัลใหญ่ “CEO แห่งปี” และ “สุดยอดเน็ตบ้าน” จาก Asian Telecom Awards 2023

0
AIS ยืนหนึ่งบนเวทีระดับภูมิภาคเอเชียสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย คว้า 2 รางวัลใหญ่ได้แก่ “CEO of the Year” และ “Broadband Telecom Company of the Year” จากเวที Asian Telecom Awards 2023 จัดโดยนิตยสาร Asian Business Review จากประเทศสิงคโปร์ ผู้เชี่ยวชาญในการจัดอันดับธุรกิจและองค์กรด้านเทเลคอมที่ได้รับการยอมรับจากแวดวงโทรคมนาคมของผู้ประกอบการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มอบให้บริษัทโทรคมนาคมในภูมิภาคเอเชียที่มีผลงานความสำเร็จยอดเยี่ยม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และเป็นผู้นำตลาดที่สามารถรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AIS นับเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายเดียวของไทยที่ได้รับคัดเลือกจาก 49 ประเทศให้ได้รับรางวัลนี้ สะท้อนความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่มีมาตรฐานการให้บริการเทียบชั้นองค์กรเทเลคอมระดับโลก

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “การปรับตัวจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมสู่ผู้นำด้าน Digital Life Service Provider และล่าสุด AIS ก็ได้ยกระดับตัวเองอีกครั้งกับการเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ผ่านการทำงานที่พวกเรามุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแกร่งและพร้อมต่อการเสริมขีดความสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกภาคส่วน ประกอบกับการปรับตัวควบคู่ไปกับการทำ Digital Transformation ภายในองค์กรตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อให้บุคลากรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก พร้อมเปิดรับองค์ความรู้ทักษะใหม่ๆ ที่จะนำมาพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและคนไทย”

“การได้รับรางวัลจาก Asian Telecom Awards 2023 จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นพลังของพวกเราชาว AIS ที่ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับคนไทยมาโดยตลอด ผมขอเป็นตัวแทนของบริษัทและบุคลากรทุกคน ขอบคุณนิตยสาร Asian Business Review ที่มองเห็นถึงความตั้งใจและวิสัยทัศน์ของ AIS ที่จะนำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีมายกระดับการใช้งานของลูกค้าและเสริมขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป”

สำหรับรางวัล Asian Telecom Awards เป็นรางวัลที่มอบให้บริษัทโทรคมนาคมในภูมิภาคเอเชีย ที่มีผลงานความสำเร็จยอดเยี่ยม ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าและบริการผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ สอดรับกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงยังต้องเป็นองค์กรที่สามารถรับมือกับสถานการณ์การการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจัดขึ้นโดย นิตยสาร Asian Business Review จากประเทศสิงคโปร์ หลังจากที่สามารถได้รับไปถึง 3 สาขา ได้แก่ Mobile Operator of the Year, Telecom Company of the Year และ Digital Initiative of the Year ในปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ AIS ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้ามาได้ 2 รางวัลใหญ่ ประกอบด้วย

รางวัลสุดยอด CEO แห่งปี CEO Of the Year โดย AIS เป็นองค์กรเดียวจาก 49 ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับรางวัลนี้ ที่มอบให้แก่ผู้นำองค์กรโทรคมนาคมในภูมิภาคเอเชียที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน มีผลงานผ่านการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นยอดเยี่ยม ทั้งในเรื่องการส่งมอบนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการนำพาองค์กรให้สามารถรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันและความท้าทายจากสถานการณ์โลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การโชว์ศักยภาพในการให้บริการ 5G รายแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2563 และสามารถขยายเครือข่ายครบ 77 จังหวัดในปีเดียวกัน รวมถึงการขับเคลื่อนองค์กรผ่านการพัฒนาบุคลากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงผ่าน AIS Academy for Thais เพื่อเชื่อมต่อองค์ความรู้ด้านทักษะดิจิทัลให้กับพนักงานและคนไทย

รางวัลสุดยอดผู้ให้บริการเน็ตบ้านแห่งปี Broadband Telecom Company of the Year ที่ AIS Fibre เป็นผู้ให้บริการเน็ตบ้านรายเดียวในไทยที่ได้รับรางวัลในปีนี้ โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของนวัตกรรมและการให้บริการที่ยอดเยี่ยม โดยได้สร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเน็ตบ้านไทย ยกระดับการให้บริการที่พร้อมดูแลแก้ไขปัญหาด้านการใช้งานใน 24 ชั่วโมง พร้อมนวัตกรรมความเร็วเน็ตบ้านสูงสุด 2Gbps รายแรกในไทย รวมทั้งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ร่วมกับเราท์เตอร์ เสริมศักยภาพและความสามารถในการส่งสัญญาณ รวมไปถึง WiFi อัจฉริยะ ที่สามารถจัดสรรความเร็วการใช้งานให้สอดรับกับพฤติกรรมที่หลากหลากหลายของผู้บริโภคในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสมชัย กล่าวตอนท้ายว่า “รางวัลที่เราได้รับทั้ง 2 รางวัลในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์และความพร้อมขององค์กรในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า คนไทย และประเทศได้ในทุกมิติ นับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะตัวแทนประเทศไทย และจะเป็นกำลังใจให้กับพวกเราชาว AIS ทุกคนมุ่งมั่นในการทำงาน พร้อมเป็นต้นแบบให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมมาร่วมกันส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีเยี่ยมให้กับผู้บริโภคต่อไป”