Home Blog Page 171

GISTDA ชี้ ไฟป่า ต้นตอวิกฤตหมอกควัน ต้องเร่งจัดการรอบด้าน

0

ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 ที่กำลังปกคลุมตลบอบอวลในหลายจังหวัดภาคเหนือของไทย จนถึงช่วงนี้ยังคงอยู่ในสถานะเกินค่ามาตรฐานหลายเท่าตัวจนครองแชมป์โลก และกลายเป็นผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างรุนแรง และมีความเสี่ยงที่จะแย่ลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีการลงมือทำ

ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือมีมานานนับ 10 ปีแล้ว แต่ในปีนี้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากอย่างน่าตกใจ จากข้อมูลดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พบจุดความร้อนส่วนใหญ่มาจาก “ไฟป่า” ทั้งจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมักเกิดขึ้นตอนหน้าแล้ง และในปีนี้แล้งมาเร็วกว่าปกติ และในช่วงเดียวกันนี้ที่เกษตรกรในภาคเหนือมักเลือกใช้วิธีเผาตอซังเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในหน้าฝนที่กำลังจะมาถึง โดยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) โดยเฉพาะ ข้อมูลดาวเทียมของ GISTDA ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นปี 2566 สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า จุดความร้อนส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มาจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวน ล่าสุดข้อมูลของวันที่ 18 เมษายน 2566 พบจุดความร้อนในประเทศไทยสูงถึง 1,328 จุด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์มากที่สุด 501 จุด ตามด้วยป่าสงวนแห่งชาติ 374 จุด รวมแล้ว 875 จุด ขณะที่ จุดความร้อนบนพื้นที่เกษตร 248 จุด พื้นที่เขตสปก. 129 จุด พื้นที่ชุมชนอื่นๆ อีก 64 จุด

แม้ว่า การทำกิจกรรมต่างๆ มีส่วนทำให้เกิดฝุ่นควัน ไม่เพียงภาคเกษตร แต่มาจากควันจากท่อไอเสีย การก่อสร้าง และ ปฎิเสธไม่ได้ ต้นตอใหญ่ของฝุ่นควันที่ปกคลุมทาคเหนือในช่วงนี้มาจาก “ไฟป่า” เป็นสำคัญ เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากจนน่าตกใจ จึงเป็นสาเหตุที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ข้อมูลไฟป่าในปีนี้ที่เกิดเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการนำระบบฐานข้อมูลมาเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงลึกด้านอื่นๆ เช่น พฤติกรรมการหาของป่า นำไปสู่การจัดทำแผนเชิงรุก ควบคุมและป้องกัน “ต้นตอ” ของปัญหาฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ต้องให้ความร่วมมือและทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อลดการเผาเพื่อหาของป่า หรือการเผาพื้นที่การเกษตรโดยขาดการควบคุม

ในส่วนของ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ที่กลายเป็นจำเลยสำคัญของฝุ่นควัน ที่ประชุมภาครัฐ-เอกชนที่ GISTDA จัดขึ้นนำโดย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลแก้ปัญหาฝุ่นควัน ได้มีความเห็นร่วมกันว่าจะนำระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งปลูกข้าวโพดของเครือซีพี ซึ่งมีการขับเคลื่อนการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพื้นที่ถูกกฎหมายและไม่เผาหลังเก็บเกี่ยวมาหลายปีแล้ว เป็นภาคเอกชนที่นำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ปัจจุบัน 100% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่จัดหาโดยซีพีสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงพื้นที่ปลูกที่ระบุได้ว่าไม่รุกป่า และไม่เผา การถอดบทเรียนระบบตรวจสอบย้อนกลับของเครือซีพีเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ในห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อจะร่วมกันปฏิเสธการรับซื้อข้าวโพดจากพื้นที่ผิดกฎหมาย รุกป่า และมีการเผาหลังเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังสรุปว่า ฝุ่นควันข้ามพรมแดน นับเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างประเทศของอาเซียนที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันหาทางออก โดยประเทศไทยเตรียมถอดบทเรียนระบบการตรวจสอบย้อนกลับถึงพื้นที่แหล่งปลูก และเทคโนโลยีดาวเทียมของเครือซีพี เพื่อถ่ายทอดให้แก่ประเทศเมียนมา และสปป.ลาว เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา “ฝุ่นควันข้ามพรมแดน” ได้อย่างยั่งยืน และต้องยอมรับว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย เมียนมา สปป.ลาว และเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของภาคปศุสัตว์ ซึ่งเชื่อมโยงถึงความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน

ขณะเดียวกัน ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาเกือบทั้งหมดส่งออก สัดส่วนที่ส่งออกมายังประเทศไทยนับเป็นส่วนน้อย ประเทศไทยมีเงื่อนไขการตรวจสอบย้อนกลับว่าข้าวโพดทุกเม็ดต้องไม่เผา และมาจากพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำสามฝ่ายระหว่างไทย–สปป.ลาว–เมียนมา ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมหารือแนวทางการจัดการปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดนร่วมกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอยุทธการฟ้าใส (CLEARSky Strategy) เพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน ซึ่งทั้งผู้นำต่างเห็นพ้องเตรียมจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมสามฝ่ายเดินหน้าแก้วิกฤตหมอกควันข้ามแดน โดยประเทศไทยพร้อมจะให้การสนับสนุนองค์ความรู้ด้านวิชาการ ในการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมติดตามตรวจวัดจุดความร้อน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงถ่ายทอดประสบการณ์ในการบริหารจัดการเกษตรในพื้นที่สูง ต่อลาว เมียนมา นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของการผนึกกำลังระดับประเทศแก้ปัญหาเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้างได้โดยเร็ว/

เมืองไทยประกันชีวิต กวาด 3 รางวัลใหญ่เวที 2022-2023 Thailand’s Most Admired Company & 2023 Thailand’s Most Admired Brand

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และนางสาวจิตต์เกษม สุรธรรมานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับ 3 รางวัลเกียรติยศ รางวัล “2023 Thailand’s Most Admired Brand” หมวดธนาคารและบริการทางการเงิน กลุ่มประกันชีวิตดิจิทัล” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 รางวัล “Brand Star Award” กลุ่มประกันชีวิตดิจิทัล จากการที่เป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดและมีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ และรางวัล “2022-2023 Thailand’s Most Admired Company” จากความโดดเด่นสูงสุดด้านภาพลักษณ์แบรนด์ของกิจการ ในกลุ่มธุรกิจประกันชีวิต จากงาน 2022-2023 Thailand’s Most Admired Company & 2023 Thailand’s Most Admired Brand โดยนิตยสาร Brand Age

ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวมาจากการจัดทำผลสำรวจ 2023 Thailand’s Most Admired Brand ความน่าเชื่อถือขององค์กรหรือบริษัท ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัท ทั้งแนวทางในเชิงกลยุทธ์องค์กร รวมทั้งวิสัยทัศน์และทิศทางในการนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย

AWC รวมพลังพันธมิตรธุรกิจอาหาร หนุนไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM

0
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” พร้อมเปิดมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการค้าส่งอาหารของภูมิภาค เปิดตัว “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM (เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ)” ภายใต้แนวคิด “INTEGRATED WHOLESALE PLATFORM FOR NON-STOP OPPORTUNITY” ด้วยแพลตฟอร์มการค้าส่งครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด พร้อมโซลูชั่นที่ครบครันผ่าน Eco-System ที่รวมพลังพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นการนำผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อทั่ว AEC (ASEAN Economic Community) มาไว้ในที่เดียว ตอบโจทย์ทุกความหลากหลายของธุรกิจทั้งในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และราคา ร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการค้าส่งของไทย ก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทาง “การค้าส่งอาหาร” ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคบนทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางเมือง เชื่อมโยงผู้ค้าส่งทั่วโลกกับผู้ซื้อทั่ว AEC โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง

การรวมพลังพันธมิตรในครั้งนี้ประกอบด้วยภาครัฐ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และอี้อู (Yiwu) ผู้พัฒนาและบริหารตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากเมืองอี้อู สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้มีการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง AWC เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และหอการค้าจากประเทศต่างๆ อาทิ สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน หอการค้าออสเตรเลีย-ไทย หอการค้าไทย-แคนาดา หอการค้าไทย-นิวซีแลนด์ หอการค้าสวิส-ไทย สมาคมหอการค้าไทย-สเปน รวมถึงภาคเอกชนผู้นำธุรกิจอาหารชั้นนำของไทย อาทิ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพีเอฟ โกล บอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยว่า “AWC เชื่อมั่นการรวมพลังของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” เชื่อมเครือข่ายค้าส่ง (WHOLESALE ECO-SYSTEM) ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เสริมโอกาสธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มค้าส่งที่เชื่อมโยงออนไลน์-ออฟไลน์ (ONLINE-OFFLINE INTEGRATION) ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้นตลอดกระบวนการตั้งแต่ การสรรหาสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งและชำระค่าสินค้า นอกจากนี้การเปิดตัว “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นประตูเชื่อมของอุตสาหกรรมการค้าส่งในตลาด AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกว่า 10 ประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้วยจำนวนประชากรรวมกว่า 700 ล้านคน อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเชื่อมต่อการค้าส่งไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง”

AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตั้งอยู่ในทำเลเชิงยุทธศาสตร์ ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่กว่า 10 ไร่ โดยมีพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area) กว่า 67,000 ตารางเมตร โดยศูนย์ค้าส่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อทั่ว AEC ให้สามารถเข้าถึงสินค้าจากผู้ประกอบการกลุ่มอาหารชั้นนำทั่วโลกกว่า 600 ราย ได้โดยตรง ด้วยราคาต้นทางและผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือตรงกับความต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อาทิ อาหารแช่แข็ง อาหารแช่เย็นและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องปรุงและวัตถุดิบ ข้าว เครื่องดื่ม กาแฟและชา ขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน และของใช้ในครัวเรือน นอกจากนี้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถพบปะเจรจาธุรกิจกันผ่านออฟไลน์แพลตฟอร์มได้ตลอด 365 วัน และออนไลน์แพลตฟอร์มได้ตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อผู้ซื้อผู้ขายข้ามทวีป ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 6,500 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “INTEGRATED WHOLESALE PLATFORM FOR NON-STOP OPPORTUNITY” AWC ตั้งเป้าให้ “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการค้าส่งอาหารของภูมิภาคที่ครบวงจร พร้อมร่วมสนับสนุนประเทศไทยสู่ประตูเชื่อมการค้าส่งทั่วทุกมุมโลก ผ่าน 3 องค์ประกอบหลัก

  • INTEGRATED BUSINESS PLATFORM: แพลตฟอร์มการค้าส่งแบบบูรณาการที่เชื่อมโยงประสบการณ์การค้าส่งทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ (O2O Integrated) ร่วมสนับสนุนอุตสาหกรรมค้าส่งให้ตอบทุกโจทย์ของผู้ขายและผู้ซื้อ โดยรวมผู้ผลิตจากทั่วโลกมาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อบริการลูกค้าทั่วภูมิภาคให้สามารถสรรหาสินค้าคุณภาพหลากหลายได้ครบในที่เดียว พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการค้าส่งที่ครอบคลุม อาทิ คลังสินค้า พื้นที่ขนถ่ายสินค้า แพลตฟอร์ม Phenix Box สำหรับการทำธุรกรรมด้านสินค้าออนไลน์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจค้าส่ง ทั้งในแง่การบริการจัดการธุรกรรมที่ตรงกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น อาทิ Bulk Purchase, Group Purchase, Multi-Level Procurement และการจัดส่งที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านระบบ Loyalty Program รวมถึงพื้นที่ Food Lounge และ Taste Kitchen สำหรับจัดแสดงหรือสาธิตการปรุงอาหารจากผลิตภัณฑ์ที่มีวางจำหน่าย
  • FULL ASSORTMENT: ครบครันทุกความต้องการในที่เดียวด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการทั้งในด้านคุณภาพ ราคา และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่ส่งตรงจากผู้ผลิตจากทั้งในประเทศและแบรนด์ระดับโลก โดยมีไลน์สินค้าให้เลือกถึง 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักจากพันธมิตรชั้นนำ อีกทั้งมีศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการ (Solution Service Center: SSC) ที่ช่วยให้คำปรึกษาด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงการบริการด้านภาษา การจัดแสดงและนำเสนอผลิตภัณฑ์ เพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ร่วมสนับสนุนอุตสาหกรรมการค้าส่งของไทย พร้อมสร้าง Eco-System ของธุรกิจค้าส่งอย่างต่อเนื่อง
  • NON-STOP OPPORTUNITY: เชื่อมเครือข่ายค้าส่ง (WHOLESALE ECO-SYSTEM) ตอบโจทย์อนาคตครบวงจรกับโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายแบบไร้ขีดจำกัด ผ่านการร่วมรวมพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ หอการค้าจากประเทศต่างๆ และภาคเอกชน รวมถึง อี้อู (Yiwu) ที่พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านกลยุทธ์การตลาดที่ครบครัน อาทิ การจัดกิจกรรม Networking หรือ กิจกรรมสัมมนา ให้ความรู้แก่กลุ่มผู้ประกอบการเพื่อเชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาธุรกิจกันได้โดยตรงไม่ต้องผ่านคนกลาง

“โครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM จะเป็นเสมือนประตูเชื่อมที่จะพาผู้ประกอบการค้าส่งให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดที่เชื่อมต่อโอกาสในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์อนาคตครบวงจร ผ่านเครือข่าย Eco-System ที่มี AWC และพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าส่งของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวเสริม

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อสำรองพื้นที่ภายในเออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ได้ผ่านทาง โทรศัพท์ 062-591-4053, 062-196-1614 หรือตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook AEC Trade Center – Pantip Wholesale Destination หรือที่เว็บไซต์ www.aectradecenter-th.com

เซเว่นฯ ดึง “แจ็คสัน หวัง” โปรโมทสินค้า SME พา Soft Power ไทยดังไกลทั่วโลก

0

เซเว่น อีเลฟเว่น ดึงศิลปินระดับโลก “แจ็คสัน หวัง” โปรโมทสินค้า SME ไทย 4 กลุ่ม ทั้งอาหารไทย-ขนมไทย-เครื่องดื่ม-ของใช้ เป็น Soft Power ของเมืองไทย รวมกว่า 1,000 รายการ ต่อยอดแคมเปญ “เสน่ห์อาหารไทย ที่ใครๆ ก็หลงรัก” ช่วยส่งเสริมสินค้า SME ไทยดังไกลไปทั่วโลก พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยอุดหนุนสินค้า SME

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เอสเอ็มอี ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่บริษัทตระหนักถึงความสำคัญมาโดยตลอด พร้อมสนับสนุนภายใต้นโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” ตามกลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ล่าสุด ได้ดึงศิลปินดังระดับโลก “แจ็คสัน หวัง” ผู้ที่หลงรักในความเป็นไทยและอาหารไทย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมสนับสนุนสินค้า SME ไทยกว่า 1,000 รายการ ภายใต้ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.อาหารไทย 2.ขนมไทย 3.เครื่องดื่ม และ 4.ของใช้ ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก

“สินค้า SME ไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์ไม่แพ้ชาติใดในโลก ถือเป็น Soft Power ที่แข็งแกร่งของประเทศ สิ่งสำคัญที่จะทำให้สินค้า SME ไทยไปต่อได้ คือโอกาสในการได้รับการมองเห็นจากทั้งคนไทยและคนทั่วโลก เซเว่นฯในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ จึงได้ดึง แจ็คสัน หวัง ซึ่งเป็นศิลปินระดับโลกที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น มียอดผู้ติดตาม Instagram มากกว่า 31 ล้านคนทั่วโลก และชื่นชอบอาหารไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้า SME ช่วยทำให้สินค้า SME ไทยเป็นที่รู้จักต่อสายตาชาวโลกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รองรับโอกาสนักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาเที่ยวไทยอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ แคมเปญดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน SME ด้านช่องทางขาย ช่วยทำให้ยอดขายของ SME เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้กลับสู่ชุมชน ตามปณิธานของบริษัท “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” และเป็นการต่อยอดจากแคมเปญ “เสน่ห์อาหารไทย ที่ใครๆ ก็หลงรัก” ที่ได้ปล่อยไปแล้วช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า เบื้องต้น จะมีการดำเนินการ 4 ด้านภายใต้แคมเปญใหม่นี้ ได้แก่ 1.การติดตั้งป้ายรูปแจ็คสัน หวัง พร้อมข้อความสั้นๆ โปรโมทสินค้า SME เช่น อร่อยมาก, ต้องลอง ตามจุดขายของสินค้า และสื่อสนับสนุนสินค้า SME ที่บริเวณ 7-Eleven SME Shelf ชั้นวางสินค้า SME โดยเฉพาะภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 2.เพิ่มจำนวน 7-Eleven SME Shelf อย่างต่อเนื่องเป็น 7,500 สาขา จาก 5,800 สาขาในปัจจุบัน พร้อมทั้งพัฒนา SME Shelf ในบางสาขาให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ เช่น สาขา Flagship สาขาสนามบินต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบของ Shelf SME ของฝากและของที่ระลึก 3.ดึงสินค้า SME มาร่วมโปรโมทในโฆษณาชุดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และ 4.สนับสนุนและส่งเสริม SME ในทุกมิติ ผ่านศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ งานวิจัย ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างการเติบโตให้ SME ไทยเปี่ยมศักยภาพเติบโตในเวทีการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ด้าน นายก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด SME คู่ค้าสำคัญของเซเว่น อีเลฟเว่น มากว่า 10 ปี ที่เติบโตจากแบรนด์ “แม่สุนีย์ ขนมไทย” ปัจจุบันผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET กล่าวว่า ปัจจุบัน ผลิตสินค้าขนมถ้วย ขนมตาล กล้วยปิ้ง วางจำหน่ายใน 7-Eleven และมีความยินดีอย่างยิ่งที่เป็นหนึ่งในสินค้ากว่า 1,000 รายการที่ได้เข้าร่วมแคมเปญนี้ เชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมแคมเปญจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะแจ็คสัน หวัง เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง และชื่นชอบในขนมไทย ขณะที่ขนมไทยเองก็มีเอกลักษณ์ในความเป็นไทย ดังนั้นการได้พรีเซ็นเตอร์ระดับโลกมาช่วยโปรโมตสินค้าไทยจะทำให้ SME ที่ผลิตสินค้าจำหน่ายในเซเว่นฯ มีโอกาสการขายที่ยั่งยืน และพร้อมส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน

“สินค้าของเราเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นหลัก และนำมาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติดั้งเดิม ตามมาตรฐานของเซเว่นฯ เพราะการจะนำสินค้าเข้าจำหน่ายในร้านเซเว่นฯได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานอย่างเข้มงวดในระดับสากล ดังนั้นการได้ขายสินค้าในร้านเซเว่นฯ จึงเป็นเครื่องช่วยการันตีถึงคุณภาพสินค้าของเราว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน” นายก้องปพัฒน์ กล่าว

นายภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด SME ผู้ผลิตขนมไทย ภายใต้แบรนด์ “บ้านทองหยอด” และเป็นที่รู้จักมากว่า 40 ปี กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจอย่างมากที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแคมแปญนี้ เพราะแคมเปญนี้เป็นแคมเปญใหญ่ที่มีพรีเซนเตอร์ระดับโลกมาช่วยโปรโมตให้ SME ที่เข้าร่วมแคมเปญ เพราะเซเว่นฯมีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ที่ช่วยกระจายสินค้าเอสเอ็มอีไปทั่วทุกชุมชน ทำให้หาซื้อได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่ช่วยให้เอสเอ็มอีเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“ธุรกิจห้าดาว” ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ‘ธนะโรจน์ พุฒิเชาว์วัฒน์’ ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ได้ด้วยแฟรนไชส์ห้าดาว

0

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้กระแต่ธุรกิจแฟรนไชส์น้ำซ่า 10 สาขาของ ธนะโรจน์ พุฒิเชาว์วัฒน์ ที่ลงทุนไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เจาะทำเลโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่สถานการณ์โควิดทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องประกาศปิดเรียน ยอดขายของร้านจึงลดลง และยังพบปัญหาใหญ่จากการหาซื้อวัตถุดิบ และการต้องกระจายสินค้าให้แต่ละจุดขายเอง ทำให้รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากเป็นเจ้านายตัวเอง จึงต้องเริ่มมองหาธุรกิจอื่นแทน

“ตอนนั้นมองหลายธุรกิจจนมาเจอธุรกิจห้าดาว ซึ่งน่าสนใจและใกล้เคียงกับโจทย์ที่ตั้งไว้มากที่สุด จึงเริ่มศึกษาลงลึกในรายละเอียด ใช้เวลาพอสมควรก่อนจะเริ่มเปิดสาขาแรกที่ปั๊ม ปตท.สวนสัตว์โคราช ซึ่งได้เจ้าหน้าที่ของห้าดาวหาทำเลให้ โดยลงทุนเปิดเป็นร้านรูปแบบกลาสเฮาส์ (glasshouse) และประสบความสำเร็จตั้งแต่สาขาแรก ใช้เวลาคืนทุนเพียงแค่ 2 เดือน จึงตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้น จนถึงวันนี้ทำธุรกิจแฟรนไชส์กับห้าดาว รวม 11 สาขา ทั้งร้านห้าดาว (Five Star) รวม 10 สาขา และ STAR Coffee ที่โรงพยาบาลครองหลวง อีก 1 สาขา ทุกสาขาได้รับเสียงตอบรับและประสบความสำเร็จดีมาก” ธนะโรจน์ เล่าอย่างภูมิใจ

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจกับห้าดาว ธนะโรจน์ บอกว่า รู้สึกมีความสุขมากและไม่ผิดหวังเลยที่เลือกร่วมงานกับห้าดาว เพราะรู้สึกว่าได้เป็นผู้ประกอบการจริงๆ ได้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ในส่วนของมาตรฐานสินค้าดีมากอยู่แล้ว เนื่องจากธุรกิจห้าดาวมีทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยดูแลและตรวจคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นและบริหารจัดการได้ง่าย เพราะบริษัทมีสินค้าให้พร้อมไม่ต้องวิ่งหาวัตถุดิบและสินค้าต่างๆเอง เหมือนที่ทำกับแบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีบริการส่งสินค้าให้ถึงที่ ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าห้าดาวได้รับการพัฒนาแล้วว่าอร่อยถูกปากผู้บริโภค เถ้าแก่ห้าดาวไม่ต้องมาทำเองหมักเอง มีวิธีมีกระบวนการให้ทุกอย่าง มีระบบฝึกอบรม มีทีมฝึกอบรม (The Training) เป็นเพื่อนคอยแนะนำและหมั่นเข้ามาทบทวนความรู้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นกับครอบครัวห้าดาว

“เรื่องการตลาดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งกับห้าดาวแล้วเถ้าแก่ไม่ต้องคิดแคมเปญการตลาดเองให้ปวดหัวเลย มีบริษัทคิดให้ทั้งหมด และห้าดาวก็เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน คนทั่วไปรู้จักห้าดาวเป็นอย่างดี ผลิตภัณฑ์ติดตลาดอยู่แล้ว ทำให้สินค้าขายได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เปิดมา 11 สาขา ยอดขายดีถึงดีมาก เกินคาดทุกสาขา ทำให้ได้รับผลตอบแทนมากกว่าตอนทำงานกินเงินเดือนหลายเท่า เพียงแค่เราต้องบริหารร้านให้ดี ใส่ใจ และทำให้ได้ตามมาตรฐานที่ดีที่ธุรกิจห้าดาววางไว้ ย่อมสำเร็จได้อย่างแน่นอน” ธนะโรจน์ กล่าว

สำหรับสิ่งที่คาดหวังก่อนทำธุรกิจ คือต้องการให้ธุรกิจเดินหน้าไปเองได้ โดยที่ตนเองไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลที่ร้านทุกวัน ก็ได้ตามที่คาดไว้ เพราะทุกวันนี้ทำงานผ่านออนไลน์ได้ ซึ่งธุรกิจห้าดาวตอบโจทย์ ตั้งแต่การไม่ต้องหาวัตถุดิบเอง ไม่ต้องวิ่งส่งของเอง ไม่ต้องทำการตลาด ไม่ต้องเข้าไปดูความเรียบร้อยในร้านทุกๆวัน เพราะมีทางห้าดาวออกแบบโครงสร้างธุรกิจมาแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มธุรกิจได้ง่าย ตามสโลแกน “ลงทุนน้อย คืนทุนไว กำไรงาม” และยังมีระบบขนส่งที่ดีให้กับเถ้าแก่ สามารถสั่งวัตถุดิบได้ตลอดไม่มีการขาด และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในยุคของสังคมไร้เงินสด ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

สำคัญไปกว่านั้นคือ ธุรกิจห้าดาว เป็น “เพื่อนทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกด้าน สร้างโอกาสที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอนแก่เถ้าแก่ห้าดาวและทีมงานทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาประทับใจว่ามีธุรกิจที่ทำเพื่อสังคมไปพร้อมๆกัน

สุดท้าย ธนะโรจน์ ฝากถึงผู้ที่ต้องการมีอาชีพมีรายได้ อยากเป็นนายตัวเอง และอยากเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทนการรับเงินเดือน หากกำลังมองหาธุรกิจในยุคนี้ อยากเชิญชวนให้ลองมาเป็นหนึ่งในครอบครัวห้าดาว ที่ใช้เงินลงทุนหลักหมื่น รับรายได้หลักแสน และธุรกิจห้าดาวยังเติบโตไปได้อีกไกล เป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไม่ต้องเข้าไปร้านเองทุกวัน ไม่ต้องคิดโปรโมชั่นเอง บริษัทมีการโฆษณาช่องทางต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย ทางเฟสบุ๊ค ยูทูป ฯลฯ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ผู้ประกอบการก็ทำงานง่ายขึ้น มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีใจรักธุรกิจอย่างแท้จริง

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสร้างงานสร้างอาชีพ ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.fivestars-allfranchises.com หรือสอบถามที่ โทร. 02-800-8000

ผงะ!! พบหมูเถื่อน 4 ล้าน กก. คาตู้ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง เกษตรกรเรียกร้องตั้ง “คณะทำงานร่วมกรมศุลฯ”

0

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ นำนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทุกภาคทั่วประเทศและผู้แทนกลุ่มเกษตรกร เข้ารับฟังมาตรการป้องกันหมูเถื่อนของกรมศุลกากร ณ ท่าเรือแหลมฉบัง หลังพบหมูเถื่อนระบาดหนักกระจายขายทั่วไทย และถึงกับตกใจเมื่อรับทราบข้อมูลการเปิดตู้ตกค้างจำนวน 189 ตู้แล้วพบเป็น “หมูเถื่อน” ทั้งเนื้อและชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลถึง 140 ตู้ หรือราว 4 ล้านกิโลกรัม รวมตัวเรียกร้องตั้ง “คณะทำงานร่วมรัฐ-เกษตรกร” แก้ปัญหาด่วน

“ตัวเลขหมูเถื่อนที่ตรวจพบในตู้มีจำนวนมากขนาดนี้ ส่วนที่เล็ดลอดออกสู่ท้องตลาดนั้นย่อมมากมายกว่านี้มาก จึงส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อราคาหมู ทำให้เกษตรกรไทยต้องเดือดร้อนและเข้าสู่ภาวะขาดทุน ทำไมภาครัฐจึงไม่สามารถจัดการปัญหาให้เด็ดขาดได้ ยิ่งได้มาเห็นมาตรการต่างๆที่กรมศุลฯอธิบาย ยิ่งเข้าใจว่าถ้าทำได้ตามนี้จริงๆ ไม่มีทางเลยที่ของผิดกฏหมายจะเข้ามาได้ขนาดนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและน่ากังวลมาก” นายสุรชัยกล่าว

ทั้งนี้ นายสุรชัยเสนอให้มีการตั้ง “คณะทำงานร่วมรัฐ-เกษตรกร” โดยมีกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล บริหารจัดการ และทำงานร่วมกันในการสกัดช่องทางการนำเข้า เป็นการจัดการปัญหาหมูเถื่อนก่อนเข้าสู่ประเทศไทยให้ได้ผลที่สุด ทั้งนี้เพื่อรักษาอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูให้คงอยู่ สร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนไทย เพราะหากหมูเถื่อนยังสามารถลักลอบผ่านช่องทางท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นด่านใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นจำนวนมหาศาลอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ย่อมไม่เป็นผลดีกับเกษตรกรและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างยิ่ง

ด้าน ผู้บริหารส่วนบริการศุลกากร กรมศุลกากร ให้รายละเอียดว่า กรมศุลฯ ทำหน้าที่ป้องกันสินค้าผิดกฏหมาย ไม่ให้เข้ามาในอาณาเขตประเทศไทย โดยมีขั้นตอนและกระบวนการนำเข้า-ส่งออกดังที่ได้อธิบายให้คณะได้รับทราบ ยืนยันว่าระบบตรวจสอบ เข้มงวด มีความรัดกุม อย่างไรก็ตาม แม้กรมศุลกากรจะทราบชื่อของชิปปิ้งหรือผู้นำเข้าตามที่ระบุในเอกสาร แต่ในขั้นตอนกฏหมาย กรมมีหน้าที่เพียงยึดสินค้าผิดกฏหมายไว้เท่านั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีใดๆ และสำหรับของกลางหมูเถื่อน 4 ล้านกิโลกรัมที่อยู่ในตู้ตกค้างนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนของการส่งมอบให้กรมปศุสัตว์รับไปทำลายต่อ นอกจากนี้จะเร่งนำข้อเสนอตั้ง “คณะทำงานร่วมรัฐ-เกษตรกร” ต่ออธิบดีกรมศุลกรกรทันที เพราะเข้าใจในผลกระทบที่เกิดกับเกษตรกร ตลอดจนอุตสาหกรรมสุกรของประเทศ

อนึ่ง ปัญหาการลักลอบนำเข้าสุกรผิดกฏหมายเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปี เป็นหมูแช่แข็งจากประเทศแถบอเมริกาใต้ที่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงได้เสรี รวมถึงเป็นหมูจากประเทศแถบยุโรปที่กำลังเกิดโรคระบาด ASF ลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ไม่มีการตรวจสอบสารปนเปื้อนตกค้าง และไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหารสำหรับผู้บริโภคไทย การระบาดของหมูเถื่อนจำนวนมหาศาลยังเป็นการเบียดเบียนตลาดสุกรในประเทศ บิดเบือนกลไกตลาด และทำให้เกษตรกรไทยถูกกดราคาหน้าฟาร์ม นำไปสู่ภาวะขาดทุนและอาจต้องเลิกอาชีพในที่สุด

ธนาคารออมสินปล่อย “สินเชื่อสุขสันต์” เปลี่ยนสลากออมสินเป็นเงินแถมยังได้ลุ้นรางวัลและรับดอกเบี้ยเหมือนเดิม

0

? เมื่อสลากออมสินไม่ได้เป็นแค่เงินฝาก แต่ยังใช้เป็นหลักประกันขอกู้สินเชื่อได้อีกด้วย ขอกู้แล้ว สลากยังได้ลุ้นรางวัลและได้รับดอกเบี้ยเหมือนเดิม … พิเศษเฉพาะช่วงนี้ รับของสมนาคุณสุดคุ้ม!! ผลิตภัณฑ์​ดี ๆ แบบนี้ต้องรีบบอกต่อ … กับ สินเชื่อชีวิตสุขสันต์ ?


? สุดคุ้มกับโปรโมชันพิเศษ เมื่อใช้สลากออมสินเปลี่ยนเป็นเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 66 – 31 พ.ค. 66 ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดรับของสมนาคุณ ไปเลย ?

  • วงเงินกู้ 500,000 บาท ถึง 999,999 บาท รับบัตร Gift Card Lotus มูลค่า 300 บาท ต่อราย (จำกัด 300 รายแรก)
  • วงเงินกู้ 1,000,000 บาทขึ้นไป รับบัตร Gift Card Lotus มูลค่า 500 บาท ต่อราย (จำกัด 200 รายแรก)
    ✅️ กู้ง่าย
    ✅️ อนุมัติไว
    ✅️ กู้ได้สูงสุด 95% ของมูลค่าสลากออมสิน
    ✅️ สลากออมสินยังได้ลุ้นรางวัลและได้รับดอกเบี้ยเหมือนเดิม

คุณสมบัติผู้กู้

  • บุคคลธรรมดาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และมีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ตามกฏหมาย (กรณี สลากออมสินพิเศษของผู้เยาว์  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม)
  • เป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้
  • เป็นผู้ฝากเงินประเภทเผื่อเรียกของธนาคาร

เอกสารการสมัคร

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • หลักประกันการกู้เงิน (สลากออมสิน)

สนใจติดต่อที่ธนาคารออมสินสาขาเจ้าของทะเบียนสลาก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > http://bit.ly/3ztMgVp
? เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ?

ซีพีเอฟ​ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนแนว BCG

0

การพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จะส่งผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการเพาะเลี้ยง และการผลิตสัตว์น้ำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าและศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

ในการประชุมวิชาการของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร  ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายเรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทยให้สอดคล้องกับแนวทาง BCG และ Thailand4.0 ในงานสัมมนานวัตกรรมสู่อนาคตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน   ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร  อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ระบุว่า การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง แนวทาง BCG (Bio-Circular-Green) และ Thailand 4.0 ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ

ในส่วนของ BIO Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ มีการต่อยอดผลิตภัณฑ์ทรัพยากรทางชีวภาพที่มีในประเทศ มาใช้อย่างคุ้มค่า เน้นการเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม มีการนำโปรตีนจากสาหร่ายมาใช้ทดแทนการใช้ปลาป่น และกากถั่วเหลือง รวมถึงลดคาร์บอนไดออกไซด์และของเสีย มีการนำโปรไบโอติก จุลินทรีย์มาช่วยขับเคลื่อนการเลี้ยง  ทั้งเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพกุ้ง และช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น  

ประเทศไทยมีศักยภาพทั้งด้านบุคลากร และทรัพยากรไม่แพ้ชาติใดๆในโลก  ด้านCircular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนในวงการสัตว์น้ำ ได้นำทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด เน้นการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ และลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตให้เหลือน้อยที่สุด  ด้วยการเพิ่มมูลค่าของเสียที่เกิดจากการเลี้ยงกุ้ง  สำหรับGreen Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียว เป็นการนำเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การผลิต จนถึงมือผู้บริโภค
ในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี ออโตเมชั่น มาปรับใช้ในกระบวนการผลิต ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และบูรณาการหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ ช่วยให้การจัดการดีขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และมีความเสี่ยงลดลง  นอกจากนำระบบการให้อาหารอัตโนมัติมาใช้ ยังมีการต่อยอดอุปกรณ์กล้องใต้น้ำที่ทำให้สามารถติดตามน้ำหนักเฉลี่ยของกุ้งที่เลี้ยงผ่านระบบในมือถือ  ไม่เพียงกระบวนการเลี้ยงที่มีการคิดค้นให้เกิดของเสียน้อยที่สุด  แต่ยังรวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมสามารถย่อยสลายได้ 100% ซึ่งซีพีเอฟได้รับการยืนยันจาก GSSI (Global sustainable seafood initiative) ว่าเป็นสมาชิกระดับโลกที่มุ่งมั่นทำธุรกิจสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญในการลดพลาสติก และการจัดการขยะพลาสติก

เมืองไทยประกันชีวิต รับโล่รางวัล “องค์กรเครือข่ายที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ” จากก.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับโล่ประกาศเกียรติคุณ “องค์กรเครือข่ายที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติในฐานะที่เป็นองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม รวมถึงมีส่วนร่วมในการสนับสนุนงานด้านผู้สูงอายุและครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง จากนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่บุคคล หน่วยงาน และองค์กรที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุและครอบครัว งานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย เพื่อผู้สูงวัย และครอบครัว” ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

“สี” กล่องอาหารสำเร็จรูป CPF บอกอะไร?

0

ปัจจุบันการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อเป็นเรื่องปกติที่หลายคนคุ้นเคย เพราะนอกจากความสะดวกที่ได้รับแล้ว ผู้บริโภคยังได้รับความเอร็ดอร่อยจากรสชาติที่ผ่านการวิจัยพัฒนามาอย่างดี ภายใต้กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และคุณภาพอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และเพื่อความสะอาดปลอดภัยนี่เอง อาหารสำเร็จรูปเหล่านั้นจึงต้องมี “บรรจุภัณฑ์” ที่จะช่วยห่อหุ้มหรือบรรจุสินค้าอาหารพร้อมรับประทานเหล่านั้นให้สามารถผ่านกระบวนการผลิต การขนส่ง การเก็บรักษาในสภาวะที่ระบุไว้บนฉลากได้ตามอายุการเก็บรักษา รวมถึงสามารถอุ่นร้อนเพื่อรับประทานได้ตามวิธีการที่ระบุบนฉลากสินค้าอย่างปลอดภัย ขณะที่บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสำเร็จรูปมีหลายลักษณะรวมถึงมีหลายสีด้วย เกิดเป็นคำถามว่าแต่ละสีนั้น บ่งบอกถึงอะไร และแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรมากมาย

นลินี โรบินสัน

นลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุดด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (CPF RD Center) หนึ่งในผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ที่ส่งผลิตภัณฑ์อาหารเข้าไปวางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่น อธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า “บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่หลักในการบรรจุและเก็บรักษาอาหาร ดังนั้น ความสำคัญของมันจึงขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตอาหาร หรือการรักษาสภาพอาหารในอุณหภูมิที่กำหนดของอาหารชนิดนั้นๆ มากกว่า ส่วนการแบ่งสีกล่องอาหารสำเร็จรูปที่เห็นในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนั้นเป็นการแบ่งสีตามผู้ผลิต หรือการแยกตามหมวดหมู่สินค้า รวมถึงให้ความสวยงามในการจัดเรียงสินค้าเท่านั้น”

ดังเช่น ผลิตภัณฑ์ที่ซีพีเอฟผลิตและส่งเข้าไปจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จะใช้บรรจุภัณฑ์ กล่องสีขาวและสีดำ โดยทั้งสองสีมีทั้งสินค้าแช่แข็งและสินค้าแช่เย็น ขึ้นอยู่กับแต่ละเมนู โดยกล่องทั้งหมดทำมาจากวัสดุ Food Grade ปลอดภัยสำหรับการบรรจุอาหาร 100%

ทั้งนี้ ในกลุ่มอาหารแช่แข็ง ภายใต้การบรรจุในกล่องสีขาวและสีดำนั้น เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงสุกแล้ว เมื่อนำมาบรรจุกล่องแล้วจะทำการแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้อุณหภูมิใจกลางสินค้าที่ -18C ด้วยเทคโนโลยี IQF ทำให้สามารถรักษาความสดของอาหารให้คงที่ได้ยาวนานถึง 6 เดือน โดยขั้นตอนการขนส่งไปจนถึงจุดจำหน่ายต้องรักษาอุณหภูมิแช่แข็งดังกล่าวไปโดยตลอดก่อนถึงมือผู้บริโภค และเมื่อถึงร้านเซเว่นก็จะถูกจัดวางไว้ในตู้แช่แข็งเช่นกัน เช่น เกี๊ยวกุ้งซีพีที่บรรจุกล่องสีดำ หรือ เมนูข้าวผัดไส้กรอกที่บรรจุในกล่องสีขาว

ส่วนในกลุ่มอาหารแช่เย็น ซีพีเอฟใช้กล่องสีขาวและสีดำ โดยอาหารกลุ่มนี้จะเป็นอาหารปรุงสุก แล้วนำมาบรรจุในกล่อง จากนั้นให้ความร้อนเพื่อพาสเจอไรซ์อาหารด้วยไอน้ำ จากนั้นทำการลดอุณหภูมิและแช่เย็นอย่างรวดเร็ว อาหารกลุ่มนี้มีอายุผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 6-9 วัน เช่น เมนูข้าวกะเพราไก่ชิ้นในกล่องสีดำ และเมนูโจ๊กไข่หมูดำคูโรบูตะทรงเครื่อง เป็นต้น นอกจากนี้ซีพีเอฟยังมีอาหารแช่เย็นที่ผลิตด้วย เทคโนโลยีไมโครเวฟพาสเจอไรซ์ในระบบปิด ทำให้อาหารที่ผ่านกระบวนการนี้มีอายุการเก็บรักษาได้นานถึง 20 วันในอุณหภูมิเย็น ได้แก่ เมนูข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นหมูคูโรบูตะ และข้าวแกงมัสมั่นไก่นุ่มสมุนไพร โดยการจัดวางสินค้ากลุ่มนี้จะวางในตู้แช่เย็นของร้านเซเว่น

ไม่มีการใช้สารกันบูด 100%
“อาหารสำเร็จรูปของซีพีเอฟ ไม่มีการใช้สารกันบูดใดๆ 100% เพราะด้วยวิทยาศาสตร์การอาหารและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและออกแบบเฉพาะ ได้แก่ การปรุงสุกที่ควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำเพื่อลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ การพาสเจอไรซ์ด้วยไอน้ำหรือไมโครเวฟ การลดอุณหภูมิเพื่อแช่เย็นหรือแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่น้อยที่สุด การบรรจุในภาชนะบรรจุที่คัดเลือกและออกแบบวัสดุให้สามารถผ่านกระบวนการผลิต ขนส่ง และเก็บรักษาได้ตามอายุในสภาวะที่ระบุบนฉลากอาหาร ประกอบกับการควบคุมคุณภาพที่แม่นยำทุกขั้นตอนที่สำคัญ และควบคุมอุณหภูมิในสายการผลิต การขนส่ง จนถึงจุดจำหน่ายอย่างเหมาะสม ทำให้สามารถยืดอายุผลิตภัณฑ์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่จำเป็นต้องใช้สารกันบูดใดๆ”

บรรจุภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปทั้งแช่เย็นและแช่แข็งของซีพีเอฟ มีข้อมูลรายละเอียดของสินค้าระบุบนฉลาก ได้แก่ ชื่อสินค้า ส่วนประกอบสำคัญ น้ำหนัก ข้อมูลโภชนาการ แนะนำให้ผู้บริโภคอ่านฉลากก่อนซื้อทุกครั้ง โดยดูวันผลิตและวันที่ควรบริโภคก่อน (Best Before) เนื่องจากอาหารแต่ละเมนูมีอายุที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ควรจัดเก็บอาหารตามสภาวะที่ระบุบนฉลากเพื่อให้อาหารคงสภาพดี รวมถึงอุ่นอาหารตามวิธีการที่ระบุบนฉลากและแน่นอนว่าเมื่ออุ่นแล้วควรรับประทานให้หมดในครั้งเดียว

เท่านี้ก็รับประทานอาหารสำเร็จรูปได้อย่างอร่อยปลอดภัย โดยไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นกล่องสีอะไรแล้ว