Home Blog Page 170

“สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน” เปลี่ยนบ้านเป็นเงินก้อนพร้อมใช้

0
"☀️ ร้อนอะไรไม่เท่าร้อนเงิน ? … ? ให้บ้านเป็นเพื่อนช่วยให้คุณเย็นใจ กับ “สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน”
เพียงใช้บ้านปลอดภาระเป็น​หลักประกัน​ มาเปลี่ยนเป็นเงินก้อนพร้อมใช้
จุดเด่น
  • ?ดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% นาน 3 เดือนแรก
  • ?ผ่อนต่ำแสนละ 399 บาท/เดือน นาน 3 เดือนแรก
  • ?ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี
  • ?เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์ เช่น เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการอุปโภคบริโภค) เพื่อนำไปชำระหนี้สินรายย่อยประเภทอื่น เป็นต้น
รายละเอียดสินเชื่อ
  • จำนวนเงินให้กู้ : สูงสุด 10 ล้านบาท
  • ระยะเวลาชำระเงินกู้ : สูงสุด 30 ปี

?? สมัครได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2566
?? สมัครเลย คลิก > http://bit.ly/4132DUR หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

‘ซีพี ตุรเคีย’ มอบเงินเยียวยาพนักงาน จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในตุรเคีย

0

บริษัท CP Standart Gida Sanayi Ve Ticaret A.S. จำกัด หรือ ซีพี ตุรเคีย กิจการในต่างประเทศ กลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร้อยเรียงใจ มอบเงินบริจาค จำนวนกว่า 900,000 บาท จากผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา ให้แก่พนักงานซีพี ตุรเคีย และครอบครัว รวม 98 ราย เพื่อช่วยเหลือและแทนความห่วงใยหลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศตุรเคีย โดยมี นายภราดร จินขุนทอง รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพี ตุรเคีย เป็นผู้แทนบริษัทฯ มอบ ณ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ADANA

ก่อนหน้านี้ ซีพี ตุรเคีย ผนึกกำลังร้อยเรียงความดี มอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน พร้อมทั้งจัดตั้งโรงครัวบริเวณโรงงานสาขาของบริษัทฯ เพื่อประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกัน ยังมอบเสบียงอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งตั้งหน่วยสนับสนุนภารกิจ ทีม USAR THAILAND ที่เข้าร่วมปฏิบัติการ “Thailand for Turkey” จำนวน 42 นาย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านภาษาและการสื่อสาร ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ร่วมกับหน่วยกู้ภัยของประเทศต่างๆ ซึ่งได้รับคำขอบคุณจากชาวเมืองอย่างไม่ขาดสาย สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ประชาชน และบริษัทฯ เป็นลำดับสุดท้าย

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : “แยกแยะ หนี้ดี vs หนี้เสีย ต่างกันอย่างไร”

0

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP®
กูรูปลดหนี้ บอกว่า หนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ทุกคนคิด ต้องดูว่าเป็นหนี้ดีหรือหนี้เสีย เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตหรือไม่

หากจำเป็นต้องเป็นหนี้ ก็พิจารณาในส่วนของดอกเบี้ยกันด้วยครับ

AIS eSports – Blizzard Entertainment เปิดตัว Overwatch 2 ซีซันใหม่ สุดปัง

0

หลังจากที่ AIS eSports ประกาศความร่วมมือทำงานกับ Blizzard Entertainment ผู้พัฒนาเกมระดับโลก ในการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตให้มีความแข็งแกร่ง ผ่านการสร้างกิจกรรมและคอนเทนต์ที่หลากหลายรูปแบบ เริ่มต้นด้วยเปิดตัวซีซันใหม่ที่มาพร้อมกับตัวฮีโร่คนไทยในเกมตัวแรกในโลก Overwatch 2 กับ “นิรันดร์ พฤกษามณี” ฮีโร่สายซัพพอร์ตสัญชาติไทยคนแรก ในงาน “มหรสพบัวเขียว” ครั้งแรกของไทยที่มีการจัดกิจกรรมและรวมพลเหล่าเกมเมอร์สาวก Overwatch 2 โดยภายในงานได้ดึงอินฟลูเอนเซอร์สายเกมตัวตึงระดับประเทศอย่าง oPuTo และ Teetawat พร้อมด้วยเจ้าของเสียงพากย์ฮีโร่สายซัพพอร์ตอย่าง น้องภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน เกมเมอร์ตัวจริงที่มาเข้าร่วมงานมหรสพบัวเขียว นับเป็นการตอกย้ำถึงภารกิจในการสร้างคอมมูนิตี้ของเหล่าเกมเมอร์

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “เราเชื่อว่าการสร้างคอมมูนิตี้ของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตต้องเกิดขึ้นจากการทำงานอย่างต่อเนื่อง และมีความหลากหลายของกิจกรรม รวมถึงต้องเข้าไลฟ์สไตล์ของ Ecosystem ของกลุ่มคนที่เข้ามาอยู่ในคอมมูนิตี้ ทั้งผู้เล่น ผู้พัฒนาเกม สตรีมเมอร์ นักพากย์ แพลตฟอร์ม ดีไวซ์ หรือแม้แต่ผู้จัดการแข่งขัน ซึ่งการจัดงาน มหรสพบัวเขียวในครั้งนี้ ก็เป็นการตอกย้ำว่า AIS พร้อมทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการสร้างคอมมูนิตี้ผ่านการจัดกิจกรรมที่มีความหลากหลายรูปแบบ และถือเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดกิจกรรมรวมพลสาวกเกม Overwatch 2 ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่าเกมเมอร์มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ AIS eSports Studio อย่างล้นหลาม”

“โดยภายในงานมหรสพบัวเขียวเราได้จัดเต็มกิจกรรมให้เหล่าเกมเมอร์ให้มาเข้าร่วม ทั้งการแข่งขัน สิทธิพิเศษในการรับของพรีเมียม หรือแม้แต่การร่วมเล่นเกมกับ Pro Player ชื่อดังอย่าง oPuTo และ Teetawat นอกจากนี้เรายังได้น้องภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน เกมเมอร์ตัวจริงที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ในฐานะเจ้าของเสียงพากย์
นิรันดร์ พฤกษามณี ฮีโร่สายซัพพอร์ตสัญชาติไทยที่เปิดตัวในซีซันนี้อีกด้วย

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ Blizzard ที่มองเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของตลาดเกมในประเทศ และร่วมกันทำงานเพื่อผลักคอมมูนิตี้ของคนเล่นเกมให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งเราเชื่อว่าการทำงานในครั้งนี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตของไทยได้อย่างแน่นอน” นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าวทิ้งท้าย

ตลาดหลักทรัพย์เตือนนักลงทุนพิจารณาข้อมูลรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขายหุ้น DELTA

0

ตามที่หลักทรัพย์บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จากัด (มหาชน) “DELTA” สามารถซื้อขายได้โดยปกติ และไม่อยู่ในมาตรการกากับการซื้อขายเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2566 (DELTA เข้ามาตรการกากับการซื้อขายระดับ 1 ในวันที่ 3 – 21 เมษายน 2566) โดยปัจจุบันมีค่า P/E และ P/BV อยู่ที่ 72.35 เท่า และ 20.30 เท่า ตามลาดับ (ข้อมูล ณ 21 เมษายน 2566) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมถึงบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนและรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขายในหลักทรัพย์ดังกล่าว

นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าหากพบว่าสภาพการซื้อขายของหลักทรัพย์ DELTA ผิดไปจากสภาพปกติโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐาน (fundamental) สนับสนุน หลักทรัพย์ DELTA จะถูกยกระดับเข้าสู่มาตรการกากับการซื้อขายระดับ 2 และ 3 ตามลาดับ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ปัจจุบันที่กาหนด

รู้เก็บรู้ออม : เทรนด์ลงทุน ESG มาแรง

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปัญหาสิ่งแวดล้อมนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบถึงขั้นวิกฤติต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะโลกร้อน, มลพิษ, น้ำท่วม, ภัยแล้ง, สภาพอากาศปรวนแปร และปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว

หลายฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ต้องให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เพื่อหาทางแก้ปัญหา ช่วยโลกให้ผ่านพ้นวิกฤติร้ายแรง ด้านภาคธุรกิจและนักลงทุนก็เริ่มให้ความสนใจกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือที่เรียกว่า “ESG”

ปัจจุบัน ESG ถือเป็นกติกาใหม่ในการทำธุรกิจ นักลงทุนที่รู้จักและเข้าใจ ESG ก่อน ย่อมมีความได้เปรียบในการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

สำหรับผู้ประกอบการ บริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG ไม่ได้มุ่งหากำไรเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว ย่อมเป็นหลักประกันสร้างความยั่งยืนและผลดีระยะยาวต่อธุรกิจ

จากการประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พบว่า หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2°C จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ เป็นมูลค่าสูงถึง 69 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจในแถบเอเชียใต้ จะได้รับความเสียหายมากถึง 20-30% ของ GDP หลายประเทศเริ่มกำหนดให้ธนาคาร, บริษัทประกัน ต้องประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ก่อนปล่อยสินเชื่อ เพื่อวิเคราะห์และหาทางบริหารความเสี่ยงจากพอร์ตสินเชื่อและพอร์ตการลงทุน

ด้านนักลงทุนเอง เริ่มมอง ESG ว่าเป็นกระแสการลงทุนที่น่าจับตาและถูกใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นยั่งยืน หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆได้นำ ESG มาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์และวางแผนการลงทุน

ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯและหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยได้กำหนดให้ธุรกิจหรือบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างโปร่งใส เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

การลงทุนที่คำนึงถึง ESG จึงเป็นเทรนด์ที่มาแรงและได้รับความนิยมมากขึ้น โลกของการลงทุนสมัยใหม่ นักลงทุนจะมองทั้งเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่อง ESG โดยเห็นว่า ESG สามารถช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และสร้างโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว

จึงทำให้ ESG เป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องสนใจติดตาม เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจที่เลือกลงทุน สามารถปรับตัวและรับมือกับประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG รวมถึงสามารถพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโตและทำกำไรได้ในระยะยาว

ผู้สนใจสามารถค้นหาความรู้ด้าน ESG เพิ่มเติมได้ที่ : SET ESG Academy แพลตฟอร์มที่ช่วยบ่มเพาะและเผยแพร่ความรู้ด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับ ESG Development ของตลาดทุนไทย และสามารถกดติดตาม Line@ : setsustainability เพื่ออัปเดตความรู้ด้านความยั่งยืนประจำวัน.

คุณนายพารวย

เมืองไทยประกันชีวิต – รพ.เครือบางปะกอก เปิดตัวแคมเปญ “Health Solution” เพิ่มทางเลือกดูแลสุขภาพ สร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก เปิดตัวแคมเปญ “Health Solution” ส่งมอบความสุขด้วยการเพิ่มทางเลือกด้านการดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เหมาะกับยุคปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนการสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “Healthy with Bangpakok Hospital Group” มอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าโรงพยาบาลในเครือบางปะกอก ที่มีผลการตรวจสุขภาพตามที่บริษัทฯ กำหนด* สามารถเลือกซื้อความคุ้มครองสุขภาพที่เข้าร่วมโครงการพิเศษ ได้แก่ ความคุ้มครอง ซัพพอร์ต จัดเต็ม(1) ตอบโจทย์ความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย ให้คุณพลัสความคุ้มครองที่เหนือระดับได้ตามต้องการ ด้วยวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 ล้านบาทต่อปี (พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย) คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐาน และห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) เหมาจ่ายตามจริงรวมสูงสุด 365 วัน หรือถ้านอนห้องเดี่ยวพิเศษคุ้มครอง 10,000 บาทต่อวัน ครอบคลุมการรักษาโรคมะเร็งทั้งแบบเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy ให้คุณมั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI และการฟอกไต โดยไม่ต้องแอดมิท

ความคุ้มครอง ซัพพอร์ต เต็มแม็กซ์(2) ความคุ้มครองสุขภาพสำหรับคนที่มีสวัสดิการ เหมาจ่ายตามจริงสูงถึง 5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง Top Up ค่ารักษาส่วนที่เกิน 30,000 บาท (มีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาท) แอดมิทก็เหมาจ่ายในวงเงินเดียว ทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้องไอ.ซี.ยู ค่าแพทย์ ค่ายา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด แบบจ่ายตามจริง รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก และความคุ้มครอง ซัพพอร์ต อุ่นใจ(3) ความคุ้มครองสุขภาพไซส์เล็กของคนที่มีสวัสดิการคุ้มครองแบบเหมาจ่ายตามจริง 200,000 บาทต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง Top Up ค่ารักษาส่วนที่เกิน 20,000 บาท (มีความรับผิดส่วนแรก 20,000 บาท) ค่าห้อง 4,000 บาทต่อวัน เติมเต็มความคุ้มครองสุขภาพให้มากกว่าสวัสดิการที่มี เบี้ยประกันภัยของความคุ้มครองสุขภาพทั้ง 3 แบบสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่กรมสรรพากรกำหนด

ทั้งนี้ลูกค้ายังจะได้รับบริการ “MTL Health buddy” บริการผู้ช่วยด้านสุขภาพแบบครบวงจร สิทธิพิเศษที่มอบให้เฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทุกท่าน เพื่อเป็นการเติมเต็ม Customer Journey ให้กับลูกค้าในมิติของ Health Ecosystem เป็นการร่วมมือระหว่างโรงพยาบาล บริษัทยา และร้านขายยา ที่พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ค้นหาศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ทำการนัดหมาย ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิทธิพิเศษแบบเหนือระดับอีกมากมาย เพียงโทรเข้ามาที่ 02 290 2424 กด 3 จากนั้นแจ้งข้อมูลและความต้องการ ใช้บริการหรือข้อมูลด้านสุขภาพที่ต้องการแก่ MTL Health Buddy ได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นับเป็นมิติใหม่ของการให้บริการลูกค้า และยังช่วยขจัดปัญหาและข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้เป็นอย่างดี

“ภายใต้แคมเปญ Health Solution นอกจากจะมุ่งเน้นด้านการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว เมืองไทยประกันชีวิตยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพตัวแทนให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพควบคู่กันไปด้วย โดยตัวแทนของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ผ่านการอบรมโครงการ Health Champions ทุกช่องทาง จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าศึกษาดูงาน อบรม เพื่อรับความรู้ทางการแพทย์เพิ่มเติม จากโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือโรงพยาบาลบางปะกอก” นายสาระ กล่าว

ด้าน นพ.พณะ จันทรกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับเมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกมีความพร้อมในด้านการดูแลรักษาสุขภาพให้กับผู้ถือกรมธรรม์ประกันของเมืองไทยประกันชีวิตที่เข้ามาใช้บริการยังโรงพยาบาลฯ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงจุดเด่นในด้านความเป็นเครือข่ายในการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้การให้บริการตามหลักปณิธานของเครือโรงพยาบาลฯ ที่ว่า Heart of Care ดูแลด้วยหัวใจ เพื่อมอบประสบการณ์การเข้ามารับบริการที่ดีตั้งแต่เดินเข้ามาจนกระทั่งออกจากโรงพยาบาลฯ ด้วยความประทับใจ

AIS – SDG Lab ม.ธรรมศาสตร์ เดินหน้าทดลอง “AIS 5G Farmbot หุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะ”

0
AIS สานต่อความร่วมมือกับ SDG Lab มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินหน้าทดลอง ทดสอบเทคโนโลยี 5G ผสมผสานกับ IoT Robotic พัฒนาต้นแบบการทำเกษตรยั่งยืนด้วย “หุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะ AIS 5G Farmbot” ให้เป็นผู้ช่วยจัดการการเกษตรอัตโนมัติครบวงจร ส่งต่อแนวคิดความยั่งยืนที่ช่วยประหยัดพลังงาน และต้นทุนอย่างคุ้มค่า เพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพ พร้อมร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำเป้าหมายการใช้ 5G เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคอุตสาหกรรมมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึง ที่ผ่านมานอกเหนือจากการเดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายที่มีในมือให้มีความพร้อม ด้วยงบลงทุนในปีนี้กว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท แล้ว ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดและครบทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low Band) ย่านความถี่กลาง (Mid Band) และย่านความถี่สูง (High Band) เราจึงไม่เคยหยุดยั้งในการร่วมทำงานกับพาร์ทเนอร์เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่เป็นประเด็นหลักของโลกในปัจจุบัน”

“ดังนั้น กว่า 3 ปีที่ผ่านมา จากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืน SDG Lab by Thammasat & AIS แห่งแรกในเอเชีย ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้เป็นพื้นที่ของการนำ 5G มาพัฒนาต้นแบบของภาคส่วนสำคัญๆ อาทิ ระบบขนส่งอัจฉริยะ, ระบบเกษตรอัจฉริยะ ที่มุ่งเน้นทั้งเรื่องการเสริมประสิทธิภาพ และการดูแลสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน อันจะเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจ และขับเคลื่อนสู่การเป็น Smart City ที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ผ่านมาได้ติดตั้งเครือข่าย 5G และจัดให้เป็น 5G LIVE Testbed พร้อมให้เป็นพื้นที่ทดลอง ทดสอบบนเครือข่ายและสภาพแวดล้อมจริง ดังเช่น การทดลอง ทดสอบ รถโดยสารพลังงานไฟฟ้าไร้คนขับที่ใช้ 5G สั่งการแบบอัตโนมัติ 100% , การทดสอบนำ 5G IoT ไปเชื่อมต่อกับระบบควบคุมดูแลการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงการติดตั้งสถานีวัดสภาพอากาศและวัดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ไว้บนแปลงเกษตร Rooftop อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี พร้อมการทดลองทดสอบ 5G Smart Farm เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

“ล่าสุด เพื่อเดินหน้าสร้างนวัตกรรมใหม่ๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศอย่างต่อเนื่อง เราจึงนำ AIS 5G และ IoT Robotic มาทดลองทดสอบด้วยรูปแบบของ หุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะ หรือ AIS 5G Farmbot เพื่อเป็นต้นแบบการยกระดับการทำงานของ Smart Farm ไปสู่การเกษตรอัจฉริยะแบบยั่งยืนครบวงจร อันจะเป็นการรองรับความต้องการของเกษตรกรที่ปลูกพืชผักสวนครัวที่เป็นผักเศรษฐกิจให้สามารถยกระดับและขยายกิจการได้อย่างก้าวกระโดด พร้อมๆกับดูแลรักษา และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ซึ่งจะเท่ากับเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนั่นเอง”

“หุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะหรือ AIS 5G Farmbot คือ ผู้ช่วยในการบริหารจัดการการเกษตร โดยใช้วิธี Drag & Drop ตั้งแต่เริ่มต้นการเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ผ่านเครือข่าย AIS 5G ที่มีความเร็ว แรงและความหน่วงต่ำ ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมต่อ บริหาร สั่งการ มอนิเตอร์ ได้แบบ Real Time , แม่นยำ ในจังหวะและเวลา ตลอดจนสภาพอากาศที่เหมาะสม ทำให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้แรงงาน ทรัพยากร และเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพได้อย่างดี โดยหุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะมีฟังก์ชันในการทำงาน ดังนี้

  • หุ่นยนต์ผู้ช่วยปลูก ใช้ 5G เชื่อมต่อกับ IoT Robotic ควบคุมชุดแขนกลอัตโนมัติให้หยิบเมล็ดพันธุ์ที่มีขนาดไม่เกิน 1.4 มิลลิเมตร ไปเพาะปลูกบนพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ
  • หุ่นยนต์ผู้ช่วยน้ำ ที่สามารถวางแผนการรดน้ำผ่าน 5G ด้วยการตั้งค่า กำหนดเวลาและกำหนดจุดรดน้ำเฉพาะบริเวณเพาะปลูกพืชเท่านั้น ถือการบริหารจัดการน้ำอย่างคุ้มค่า
  • หุ่นยนต์ผู้ช่วยกำจัดวัชพืช เมื่อตรวจพบวัชพืชในแปลงปลูก เกษตรกรสามารถระบุตำแหน่งของวัชพืช และกำหนดให้หุ่นยนต์กำจัดวัชพืชได้โดยอัตโนมัติผ่าน 5G
  • หุ่นยนต์ผู้ช่วยวัดความชื้นดิน ด้วยระบบสมองกลและแขนกลที่ติดตั้งชุดวัดความชื้นในดิน ทำให้สามารถวัดความชื้นในดินและสั่ง หรือ ระงับการรดน้ำผ่าน 5G ได้
  • หุ่นยนต์ผู้ช่วยติดตามการเจริญเติบโตด้วยกล้อง USB Camera ช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตามแปลงเพาะปลูกผ่านกล้องวิดีโอแบบเรียลไทม์ที่ติดตั้งไว้บนแขนกล ผ่าน 5G ได้ตลอดเวลา

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า “SDG Lab by Thammasat & AIS หรือแล็บปฏิบัติการความยั่งยืนเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับเอไอเอส ซึ่งเปิดเป็นที่แรกในเอเชีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ปฏิบัติการและทดลองโครงการด้านความยั่งยืนต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยี 5G มาดำเนินการ อาทิ การบริหารจัดการพลังงาน การจัดการขยะรวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการใช้หุ่นยนต์และเอไอเทคโนโลยีลดการทำงานของคน เช่น ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และการใช้หุ่นยนต์ทางการเกษตรหรือ Farmbot ซึ่งเป็นโครงการล่าสุดที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ เพื่อให้เกษตรกรทำงานหนักน้อยลง ลดเวลา ลดปริมาณน้ำรวมถึงทรัพยากรอื่นๆ โดยมีผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น อันจะพัฒนาไปสู่การเกษตรอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป”

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “หุ่นยนต์เกษตรอัจฉริยะ หรือ AIS 5G Farmbot ถือเป็นต้นแบบการทดลองการเกษตรอัจฉริยะครบวงจรอย่างยั่งยืนบนพื้นที่ของ SDG Lab จะเป็นอีกหนึ่ง use case ด้านการเกษตรที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่กลุ่มที่สนใจ เกษตรกรรุ่นใหม่ได้มาทดลอง ทดสอบหาความรู้เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดในการทำงาน รวมทั้งเราจะนำผลการศึกษาครั้งนี้มาประยุกต์ใช้ ก่อนเตรียมให้บริการใน Smart Farm Solution ของ AIS ต่อไปในอนาคต”

ซีพีเอฟ ร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ รับ”วันคุ้มครองโลก”

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากร ดิน น้ำ ป่าไม้ เดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ร่วมปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลน ลดปัญหาขยะพลาสติกและขยะในทะเล

22 เมษายนของทุกปี โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Environment Program : UNEP) กำหนดให้เป็นวันคุ้มครองโลก หรือ Earth Day เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นสำคัญในปีนี้ คือ “Invest in our planet” หรือลงทุนในโลกของเรา ซึ่งทุกคนสามารถมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อโลก

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโลกและธุรกิจ ซึ่งซีพีเอฟตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ถือเป็นต้นทางการผลิตอาหาร ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ อาทิ มุ่งเน้น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ยึดหลัก 3Rs คือ ลดการใช้น้ำ (Reduce) นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) รวมถึงการร่วมจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเชิงรุกทั้งระยะยาวและระยะสั้น เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อาทิ ยกเลิกการใช้ถ่านหิน 100% สำหรับกิจการในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการในการก้าวสู่องค์กรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050

ซีพีเอฟได้ประกาศนโยบายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์ กำหนดเป้าหมาย 100% ของการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า โดยในปี 2565 สำหรับกิจการในประเทศไทย 100% ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงพื้นที่เพาะปลูก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลนเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กรช่วยกันปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ

นางกอบบุญ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ซีพีเอฟยังให้ความสำคัญกับโครงการต้นแบบในการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานทดแทน โดยปัจจุบันฟาร์มสุกรทั้ง 98 แห่ง และคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ 7 แห่ง นำก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากระบบก๊าซชีวภาพไปผลิตกระแสไฟฟ้า และนำกลับมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงสุกรและไก่ สามารถทดแทนไฟฟ้าได้ 69 ล้านหน่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 490,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และจะขยายผลไปใช้กับกิจการในต่างประเทศ

ในส่วนของการมีส่วนร่วมพิทักษ์ท้องทะเล ซีพีเอฟได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ ดำเนินโครงการ Restore the Ocean เพื่อจัดการแก้ปัญหาขยะพลาสติกและขยะในทะเล โดยตลอดปี 2565 สถานประกอบการของบริษัทฯ ทำกิจกรรมเก็บขยะในทะเลได้รวม 15,973 กิโลกรัม มาจากกิจกรรมเก็บขยะชายหาด 12,823 กิโลกรัม กิจกรรมกับดักขยะทะเล 3,150 กิโลกรัม

“ในโอกาสวันที่ 22 เมษายน ซึ่งตรงกับวันคุ้มครองโลก เป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคน ที่จะต้องช่วยกันดูแลและปกป้องโลกใบนี้” นางกอบบุญ กล่าว

วิธีเลือกซื้อและรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย ในฤดูร้อน

0

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ ม.มหิดล เตือนในฤดูร้อนให้ระวังการเลือกรับประทานอาหาร ต้องปรุงสุก ใหม่ เลี่ยงอาหารดิบ อุ่นร้อนก่อนรับประทาน ลดเสี่ยงปนเปื้อนจุลินทรีย์ก่อโรค ย้ำเลือกซื้อสินค้าปศุสัตว์จากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ แนะไข่ไก่ต้องจัดเก็บในตู้เย็นกันเน่าเสีย

ดร.วนะพร ทองโฉม นักกำหนดอาหารวิชาชีพ งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัดมักทำให้เกิดโรคในอาหาร ยิ่งในประเทศไทยฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคทำให้อาหารบูดเน่าเสียได้ง่าย ฉะนั้นในฤดูร้อนต้องระมัดระวังในการเลือกซื้ออาหารเป็นพิเศษ

สำหรับอาหารที่ปรุงไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ไข่แมลงวัน รวมถึงสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค หากซื้อมาแล้วยังไม่ได้รับประทานให้นำแช่ในตู้เย็น ก่อนรับประทานอาหารให้สังเกตลักษณะภายนอก หากมีเมือกเยิ้ม มีฟอง มีกลิ่นบูดหรือมีรสชาติเปรี้ยวที่ไม่ได้เกิดจากรสชาติดั้งเดิมของอาหาร เป็นลักษณะของอาหารที่บูดเสียแล้ว ไม่ควรรับประทาน ที่สำคัญต้องอุ่นร้อนทุกครั้งเพราะความร้อนสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ทำให้มั่นใจในความปลอดภัย

“อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คืออาหารดิบ อาทิ ลาบก้อย ซอยจุ๊ กุ้งเต้น กุ้งแช่น้ำปลา ยำหอยแครง หอยนางรม รวมถึงอาหารที่ลวกแบบกึ่งสุกกึ่งดิบโดยไม่ได้ปรุงให้สุกที่อุณหภูมิ 74 องศาเซลเซียสขึ้นไปและนานเพียงพอก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ ท้องร่วง ท้องเสียได้เช่นกัน” ดร.วนะพร กล่าว

อาหารสด เป็นกลุ่มอาหารที่เน่าเสียได้ง่ายเพราะมีความชื้นค่อนข้างเยอะ กรณีที่ไข่ไก่ในร้านผู้จำหน่ายเกิดการเน่าเสียเป็นน้ำจากอากาศที่ร้อนจัด ผู้บริโภคควรจัดเก็บไข่ไก่ในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาให้ไข่ไก่มีอายุนานขึ้น เก็บในบล็อกที่เก็บไข่เพื่อกันการกระแทก โดยให้นำด้านแหลมลงด้านป้านขึ้น เพราะด้านป้านจะมีฟองอากาศอยู่ภายในทำให้ไข่แดงไม่แตกเร็ว หากพบไข่ที่มีรอยแตกร้าว ให้คัดแยกออกมาตอกใส่ภาชนะ หากไม่ปรุงประกอบในทันที ให้เก็บไว้ในตู้เย็นก่อน

ทั้งนี้ไข่ที่ซื้อมาจากตลาดสดที่มีคราบเปรอะให้เช็ดทำความสะอาดก่อนนำเข้าแช่ในตู้เย็น แต่ไม่แนะนำให้ล้างเพราะการล้างจะทำให้สารเคลือบตัวไข่ด้านนอกที่รักษาความสดของไข่หายไป

การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ ข้อสำคัญที่ผู้บริโภคควรคำนึงคืออุณหภูมิที่วางขาย โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่วางอยู่บนน้ำแข็งเพียงนิดหน่อยอาจทำให้อุณหภูมิเย็นไม่เพียงพอ และเกิดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้ ดังนั้นการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ให้คำนึงถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นสำคัญ โดยต้องต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ระหว่างการเดินทางหากเกิน 2 ชั่วโมง ให้ใส่ในภาชนะที่เก็บความเย็นอย่างกระติกหรือถังน้ำแข็ง เมื่อถึงบ้านแนะนำให้ล้างเนื้อสัตว์และเก็บเข้าตู้เย็นในช่องแช่แข็งเพื่อช่วยในการเก็บรักษาเนื้อสัตว์ให้คงความสดได้นานยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้เนื้อสัตว์จำนวนมาก ให้เลือกซื้อจากร้านที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการผลิตจากกรมปศุสัตว์ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ อย่าง ไส้กรอก ลูกชิ้น ให้เลือกจากร้านหรือผลิตภันฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย เมื่อซื้อมาแล้วให้เก็บรักษาในอุณหุมิที่ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส และไม่ควรซื้อมาสต๊อกไว้เป็นจำนวนมากเพราะมีโอกาสที่จะเน่าเสียได้