Home Blog Page 17

เมืองไทยประกันชีวิต-มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม มอบผ้าห่มกันหนาวให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ช่วยบรรเทาภัยหนาวพี่น้องปชช.

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เข้าพบนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งมอบผ้าห่มกันหนาว ให้แก่ พม. สานต่องาน พม.หนึ่งเดียว เพื่อบรรเทาทุกข์และรับมือภัยหนาวให้แก่ประชาชนในหลายพื้นที่

ตามที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ได้ติดตามสถานการณ์ภัยหนาวในประเทศไทย ตั้งแต่ปลายปี 2567 พบว่าพี่น้องคนไทยในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการของทางภาครัฐ ตามแนวนโยบายของ กระทรวง พม. เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ส่งมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 300 ผืน มอบให้แก่  นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  พร้อมด้วยนางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  นางสาวแรมรุ้ง  วรวัธ  อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว  นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  นางสาวสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมรับมอบเพื่อบรรเทาทุกข์และรับมือภัยหนาวให้แก่กลุ่มเปราะบางที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการในหลายพื้นที่  กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

โดยผ้าห่มกันหนาวอัปไซคลิง ขานรับนโยบายภาครัฐในการลดปริมาณขยะจากขวดน้ำพลาสติกที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เป็นการผลิตผ้าห่มขึ้นใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม  เพราะผ้าห่ม 1 ผืน ผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร  จำนวน 11 ขวด ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการนำวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้วกลับมามีคุณค่า ในการใช้งานอีกครั้งอย่างมีคุณภาพมากขึ้น และยังสามารถส่งต่อความอบอุ่นให้กับประชาชนที่ประสบภัยหนาว

เมืองไทยประกันชีวิต จัดสัมมนา Muangthai Wealth Master 2025 หัวข้อ “โอกาสและความเสี่ยง ในยุคของการเปลี่ยนแปลง”

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา Muangthai Wealth Master 2025 หัวข้อ “โอกาสและความเสี่ยง ในยุคของการเปลี่ยนแปลง” ในวันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 – 15.30 น. ในรูปแบบออนไลน์ Live Streaming ผ่านทาง Facebook : Muang Thai Life เพื่ออัปเดตภาวะเศรษฐกิจ มุมมองการลงทุนทั่วโลก พร้อมชี้โอกาสและความเสี่ยงการลงทุนในปี 2025 โดยได้รับเกียรติจากคุณวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย เป็นแขกรับเชิญพิเศษ ร่วมด้วยคุณอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการ และคุณชนกานต์ ตั่งธนาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต

ท่านที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับลิงก์ในวันงานได้ที่ https://forms.gle/T281M4hBfhQGGMz29 ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568 สอบถามเพิ่มเติม โทร 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชม. หรือ [email protected] 

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “นางพญาเนื้อนิ่ม ดีนะจ๊ะ”

0

พระอาจารย์สอนไว้ นางพญาเนื้อนิ่ม ว่านนุ่ม มีนะเธอ เนื้อละเอียดมาก ดูแล้วนุ่มตา นวลใจ มักมีราดำติดในเนื้อ เจอเก็บไว้ให้ดี เคล็ดไม่รับมักเจอราดำในเนื้อพระนางพญาที่โดนไฟไม่มากนัก หรือเรียกพอสุก สีจะออกแดงอ่อนอมเหลืองถ้าเขียวไม่มีรานะเพราะจะเป็นหินแล้วเนื้อแข็งมาก เนื้อพระนางพญามีกรวดทราย หลายสี ขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน เจอด้านหลังขึ้นเป็นเม็ดผด คือก้อนกรวดขึ้นไม่เต็มเม็ด จมในเนื้อโผล่มานิดนึง มีลายมือ หลังเหี่ยวย่น ข้างตอกตัด เอามือจับด้านข้าง เว้าตรงกลางเป็นแอ่ง แบบนี้พระอาจารย์ บอกนางพญาวัดนางพญา พิษณุโลก ที่สำคัญ มีเสน่ห์มากและเหนียวสุดๆ มีติดตัวตลอดเลยนะเธอ

มาดูนางพญาเนื้อนิ่ม แก่ว่านนุ่มพิมพ์ใหญ่เข่าตรงองค์นี้ สวยนุ่ม ซึ้งตาซึ้งใจ ส่องแล้วนุ่มตานุ่มใจ สบายตาสบายใจ ตัดได้สัดส่วนพอดี เซียนใหญ่บอกมีจุด3เหลี่ยมลึกลงไปในเนื้อ หรือเรียกตำหนิแม่พิมพ์ บนเส้นสังฆาฏิ ที่ขึ้นไปตรงซอกรักแร้ด้านขวามือองค์พระ มีแบบนี้พระนางพญาพิมใหญ่เข่าตรง จำไว้เป็นจุดจ่ายตังค์ แท้จบเลย ดูหน้าหลังไม่เห็นเม็ดกรวดทรายหลากสี ส่องดูด้านข้างมีสองสามเม็ด ตอกตัดเว้ากลาง เป็นธรรมชาติของพระหลายร้อยปี หลังมีคราบราดำในเนื้อ เนื่องจากโดนไฟไม่เต็มที่ จำไว้นะพระอาจารย์สอนเซียนเจี๊ยบมา เจอแบบองค์นี้กำไว้จ่ายตังค์คล้องคอสบายใจครับ

“พระเนื้อดินเผามีลายในเนื้อเป็นจุดชี้ขาดพระแท้เชื่อเซียนเจี๊ยบนะ” พระอาจารย์บอกมาจร้าาาา

เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

รู้เก็บรู้ออม : อย่าหลงเชื่อ! มิจฉาชีพ

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐหลายแห่งได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อจัดการกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ครม.ผ่านร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ฯ ที่บังคับให้ธนาคาร บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และแพลตฟอร์มโซเชียล ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดกับประชาชนที่โดนหลอก

กระทรวงดิจิทัลฯกำหนดให้ชื่อผู้จดทะเบียนซิมโทรศัพท์ต้องตรงกับชื่อของเจ้าของ mobile banking เริ่มดีเดย์ตั้งแต่ 1 ก.พ.68 เพื่อปราบบัญชีม้า ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก.พาณิชย์ฯสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการรับจดทะเบียนบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เลขที่บ้านของประชาชนถูกนำไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผี แล้วใช้เป็นบัญชีม้าหลอกลวงประชาชนอีกทอด

ต้องยอมรับว่า ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เป็นภัยคุกคามและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาชาวโลก หน่วยงานต่างๆตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ และได้พยายามดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อจัดการกับปัญหามาโดยตลอด รวมทั้งการป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อโดนหลอก ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลงทุน หลอกให้โอนเงิน ผ่านกลอุบายต่างๆ ที่นับวันจะแนบเนียนมากยิ่งขึ้น เป็นการใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปในทางที่ผิด

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการให้ความรู้ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับกลโกงต่างๆ และวิธีป้องกันไม่ให้ต้องตกเป็นเหยื่อโดนหลอก

ตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็ตกเป็นเป้าหมายของพวกมิจฉาชีพ ถูกแอบอ้างชื่อหน่วยงาน ชื่อผู้บริหาร ตลอดจนมีความพยายามใช้โลโก้ ภาพผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำไปหลอกลวงชักชวนเพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนหลงเชื่อ โดนหลอกลงทุน หรือให้ข้อมูลส่วนตัวกับพวกมิจฉาชีพในที่สุด

ตลาดหลักทรัพย์ฯขอเตือนและแนะนำว่า อย่าหลงเชื่อบัญชีไลน์ปลอม เพจปลอม และโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มีการแอบอ้างชื่อ โลโก้ และภาพผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดทุน เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนหรือรับข้อมูลการลงทุน ขอให้สันนิษฐานได้เลยว่า เรากำลังโดนมิจฉาชีพหลอกเข้าให้แล้ว ให้จบการสนทนาไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยหรือสื่อสารต่อ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯและหน่วยงานอื่นๆจะมีมาตรการด้านต่างๆ ออกมา แต่สำหรับภาคประชาชนเอง ก็จำเป็นต้องมีสติ หมั่นติดตามข่าวสาร เพื่อจะได้รู้ทันกลโกงต่างๆ รวมทั้งตระหนักถึงอันตรายของภัยอาชญากรรมออนไลน์ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ประชาชนและนักลงทุนที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ SET Contact Center 0-2009-9999 หรืออีเมล [email protected]


คุณนายพารวย

หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง! ประมงเพชรบุรี และซีพีเอฟ เปิดกองทุนปลากะพง สู้ภัยปลาหมอคางดำ

0

สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี ร่วมมือกับกลุ่มเกษตรกรตำบลน้ำเค็ม อำเภอเขาย้อย จัดตั้ง “กองทุนปลากะพง” ขึ้นเพื่อให้เกษตรกรสามารถมีปลานักล่าเพื่อจัดการปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงกึ่งธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คิกออฟสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงขาวจำนวน 5,000 ตัวแก่เกษตรกร 24 ราย

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี เปิดเผยว่า โครงการนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของพี่น้องเกษตรกรในการจัดการปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประมงเพชรบุรีร่วมมือกับกลุ่มเกษตรกรตำบลเขาย้อย จัดตั้ง “กองทุนปลากะพง” ช่วยให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขาย้อยมีเงินทุนหมุนเวียนในการจัดหาปลานักล่า เริ่มต้นจากเกษตรกร 24 ราย และจะขยายผลไปให้เกษตรกรรายอื่นต่อไป โดยมีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงเป็นทุนตั้งต้นสำหรับการเปิดตัวโครงการครั้งนี้

“กองทุนปลากะพง เกษตรกรรุ่นแรกนำปลานักล่าที่เลี้ยงเพื่อเป็นปลานักล่าในบ่อมาจำหน่ายเพื่อนำเงินมาต่อยอดเป็นกองทุนหมุนเวียน ใช้ซื้อปลานักล่าขนาดเล็กสำหรับนำไปปล่อยในบ่อของเกษตรกรรายอื่นๆ ในกลุ่มต่อไป เพื่อให้เกษตรกรได้มีผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำดีขึ้น นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถฟื้นฟูอาชีพและรักษาสมดุลระบบนิเวศในพื้นที่อย่างยั่งยืน” นายประจวบกล่าว

ประมงเพชรบุรี ดำเนินโครงการ “กองทุนปลากะพง” เพื่อแก้ปัญหาปลาหมอคางดำแบบครบวงจร โดยดำเนินการควบคู่กับการควบคุมปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ อาทิ กิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” การปล่อยปลานักล่า การส่งเสริมการใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำปลาร้าหมอคางดำ การทำน้ำปลาหับเผย ที่ประมงเพชรบุรีตั้งเป้าผลักดันให้เป็นสินค้าประจำจังหวัดต่อไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เศรษฐกิจของชุมชน รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศ

ด้าน นางกาญจนา โชติช่วง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านตำบลบางเค็ม กล่าวว่า พันธุ์ปลากะพงขาวที่ได้รับการสนับสนุนจำนวน 5,000 ตัวจะแจกจ่ายให้เกษตรกรรายละประมาณ 200-220 ตัว สำหรับนำไปปล่อยในบ่อดินที่ใช้เลี้ยงกุ้งและปู เพื่อช่วยลดจำนวนปลาหมอคางดำ ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศของบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตที่ดี

ขณะที่ นายพล ป้านสุวรรณ เกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ กล่าวว่า “ปลากะพงขาวจะถูกนำไปปล่อยในบ่อเลี้ยงกุ้ง ปลากะพงสามารถหากินเองได้ โดยจัดการลูกปลาหมอคางดำ ช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ของเกษตรกร และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการนำปลากะพงมาจำหน่ายอีกด้วย”

นอกจากนี้ กรมประมงยังเดินหน้าส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับกลุ่มเกษตรกรเกี่ยวกับแนวทางการจัดการปลาหมอคางดำ ควบคู่กับการพัฒนาเพาะพันธุ์ปลาหมอคางดำ 4n เพื่อกระจายไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงผลักดันให้เกิดการใช้วิธีธรรมชาติในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ

เทคโนโลยี “4n” ความหวังในการจัดการปลาหมอคางดำ

0

บทความโดย นิกร ประกอบดี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างร่วมมือกัน เพื่อลดประชากรปลาหมอคางดำอย่างจริงจัง เห็นได้จากมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐเป็นแกนกลางนำดำเนินการ เช่น กิจกรรมลงแขกลงคลองกำจัดปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ การอนุญาตให้ใช้เครื่องมือจับปลาบางชนิดที่ผิดกฎหมาย จากนั้นปล่อยปลานักล่าตามกำจัดลูกปลาหมอคางดำทันที ฯลฯ หลากหลายความพยายามที่เกิดขึ้น กำลังสร้างผลกระทบเชิงบวก นำไปสู่การผลลัพธ์ในการลดพื้นที่ระบาดของปลาหมอคางดำจาก 19 จังหวัด เหลือ 17 จังหวัดในปัจจุบัน

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญและจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ คือการใช้เทคโนโลยีเหนี่ยวนำโครโมโซม เพื่อทำให้ปลาเป็นหมัน เป็นไปตามมาตรการที่ 6 จากทั้งหมด 7 มาตรการในการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วิธีนี้เป็นการนำหลักพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อการควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของมัน

เทคนิคนี้จะเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม จากเดิมที่มีจำนวนชุดโครโมโซมตามธรรมชาติ 2 ชุด หรือ 2n ให้เป็นปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซม 4 ชุด หรือ 4n โดยใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 40 °C เป็นระยะเวลา 5 นาที จากนั้นจะนำปลาหมอคางดำ 4n เพศผู้ ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำซึ่งมีชุดโครโมโซม 2n ในธรรมชาติ โดยลูกปลาหมอคางดำที่ได้จากการผสมในลักษณะนี้จะเป็นลูกปลา ที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n และเป็นปลาที่มีลักษณะเป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์นี้ไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานการจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืน เมื่ออธิบดีกรมประมงประกาศความสำเร็จเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2568 มันไม่ใช่แค่ข่าวดี แต่เป็นสัญญาณแห่งความหวังที่จับต้องได้

“มาตรการนี้จะช่วยลดจำนวนปลาชนิดนี้ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมประชากรของปลาชนิดนี้ในอนาคต” อธิบดีกรมประมงกล่าว ขณะปล่อยปลาหมอคางดำที่ได้รับการเหนี่ยวนำโครโมโซมให้เกิดลูกเป็นหมันลงในแหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการสร้างปลา 4n จำนวนมากให้เพียงพอ และยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งคาดว่า โครงการนี้จะสัมฤทธิ์ผล ควบคุมประชากรปลาหมอคางดำให้อยู่หมัดได้ภายใน 3 ปี

เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยในการควบคุมปลาหมอคางดำ แต่ยังมีศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ที่ต้องการควบคุมประชากรสัตว์น้ำที่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น การปล่อยปลา 4n ลงในแหล่งน้ำที่มีการระบาดอยู่ ถือเป็นการเดินหน้าอย่างมั่นคง ช่วยสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ และจะตามด้วยการปล่อยปลาพื้นถิ่นฟื้นฟูระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ต่อไป

ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และหนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่ประกาศรับซื้อปลาหมอคางดำในเฟส 2 จำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยจะนำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในสวนยางพารา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่คือตัวอย่างที่ดีในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ที่ทุก ๆ คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหานี้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเกินจริง ขอเพียงอย่าให้เสียงจากคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสสวนทาง มาบั่นทอนกำลังใจของคนทำงานได้เท่านั้นพอ.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ ICE ยักษ์ใหญ่ตลาดคาร์บอน ร่วมพัฒนาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตไทย เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว

0

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือในการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์หลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในเอเชียสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รองรับร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ที่กำหนดให้มีกลไกราคาคาร์บอน ประกอบด้วย ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิต และ ภาษีคาร์บอน ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์ของ ICE ซึ่งทำธุรกิจตลาดคาร์บอนในหลายประเทศและเป็นหนึ่งในตลาดคาร์บอนที่มีสภาพคล่องสูงสุดในโลกจะช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นายกอร์ดอน เบนเนตต์ หัวหน้าฝ่ายตลาดสิ่งแวดล้อมระดับโลก Intercontinental Exchange (ICE) กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญกว่า 2 ทศวรรษของ ICE ในการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินและโครงสร้างพื้นฐานตลาดคาร์บอน ICE จึงมีความพร้อมในการสนับสนุนประเทศไทยในการวางรากฐานการพัฒนาและยกระดับตลาดคาร์บอนของไทยให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ ICE มีขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นับเป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่แสดงถึงมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการศึกษากรอบการดำเนินงานและกลไกที่เหมาะสมที่สุด ร่วมกับพันธมิตร เช่น ICE เพื่อรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในตลาดภาคบังคับ (Compliance market) และภาคสมัครใจ (Voluntary market) โดยจะร่วมกันศึกษา และแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกและเทคโนโลยีล้ำสมัยของ ICE เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศคาร์บอนสำหรับประเทศไทยที่แข็งแกร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและผู้ลงทุนไทย และขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution; NDC)

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตลอดจนส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ESG ของภาคธุรกิจ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2568 ได้เปิดระบบ SET Carbon เพื่อเป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลและคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเผยแพร่ผ่านระบบ ESG Data Platform ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

Chef Cares แกะกล่อง 2 เมนูใหม่ ‘บักกุ๊ดเต๋-แกงเผ็ดเป็ดย่างและข้าว’ เสิร์ฟความอร่อย-อิ่มใจ ทุกกล่องตอบแทนสังคม 100%

0

เชฟแคร์ส (Chef Cares) เปิดตัว 2 เมนูใหม่ ได้แก่ ‘บักกุ๊ดเต๋’ และจับมือกับ เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต๊ปเป้ มารังสรรค์ ‘แกงเผ็ดเป็ดย่างและข้าว’ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านอาหารไทย ทำให้พริกแกงมีความพิเศษ จนต้องลิ้มลอง โดยทั้ง 2 เมนูนี้ ได้ผ่านกระบวนการผลิต Fozen Food หรืออาหารแช่แข็งที่ได้มาตรฐาน เพื่อคงคุณค่าอาหารและรักษาความสดใหม่ได้นาน นอกจากได้ทั้งความอร่อยและคุณค่าโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพแล้ว กำไร 100% ร่วมตอบแทนสังคมผ่านเชฟแคร์สอีกด้วยแล้วที่ 7-Eleven ทุกสาขาทั่วไทย

เริ่มที่ ‘บักกุ๊ดเต๋’ อาหารยอดนิยมรับประทานในมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน รวมถึงประเทศไทย โดยได้อิทธิพลจากการอพยพของชาวจีนในอดีต เชฟแคร์สอยากให้เมนูนี้เข้าถึงคนทั่วไปให้มากที่สุด จึงรวบรวมสูตรความอร่อย มาดัดแปลง จนได้เป็น บักกุ๊ดเต๋ที่รสชาติดั้งเดิมและเข้มข้น จากการตุ๋นเคี่ยวน้ำและเครื่องเทศนานาชนิด ด้วยอุณหภูมิคงที่ เพื่อรสชาติและกลิ่นของยาจีนต่างๆ กระจายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เสร็จแล้วกรองออก เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่ดี จากนั้นใส่เนื้อหมูหั่นชิ้นพอดีคำ หมักกับเครื่องเทศ และลวกสุก ตามด้วยเห็ดหอม ฟองเต้าหู้ เห็ดเข็มทอง และผักชี ปราศจากการปรุงแต่งผงชูรส มั่นใจได้ว่า เมนูนี้อุดมไปด้วยสมุนไพร เสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ให้แก่ร่างกาย ทั้งนี้ ตามความเชื่อชาวจีน เมื่อรับประทาน ‘บักกุ๊ดเต๋’ จะช่วยเสริมความสิริมงคล …ผลิตภัณฑ์มีจำนวนจำกัด จำหน่ายแล้วในราคา 55 บาท

ถัดมาที่ ‘แกงเผ็ดเป็ดย่างและข้าว’ แกงกะทิที่มีการผสมผสานระหว่างอาหารไทยและจีน ให้ได้รสชาติที่แตกต่างอย่างลงตัว แต่เดิมรับประทานเฉพาะในวัง มีความประณีตในการทำ แต่เชฟนูรอ โซ๊ะมณี ผู้โดดเด่นด้านอาหารไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกแกงต่างๆ มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและต่างประเทศ ได้รังสรรค์เมนูนี้เป็นสูตรพิเศษ ด้วยการผัดเครื่องแกงกับกะทิ ให้หอมแตกมัน และเติมน้ำสต็อกลงไป พร้อมกับปรุงรสให้ได้รสชาติ เค็มเผ็ด เมื่อเติมผักผลไม้ (มะเขือเทศราชินีและสับปะรด) จะได้รสหวานเปรี้ยว เพื่อเพิ่มมิติให้น้ำแกง จากนั้นใส่เป็ดย่างชิ้นใหญ่ เนื้อนุ่ม มีรสชาติจากเครื่องเทศในตัว ไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำ เป็นแหล่งโปรตีน จำหน่ายแล้วในราคา 69 บา

เชฟแคร์ส เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยความร่วมมือกับเชฟแถวหน้าของประเทศไทย ผลิตอาหารพร้อมรับประทานที่ครบถ้วนด้านคุณค่าทางโภชนาการ และรสชาติอร่อย พร้อมนำกำไร 100% คืนสู่สังคม เพื่อสร้างโอกาสและมอบแนวทางการประกอบอาชีพในวงการอาหารแก่เด็ก รวมถึงเยาวชนผู้ห่างไกล ตลอดจนผู้ด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านมูลนิธิเชฟแคร์ส .

Smart Farm เกษตรกรยุคใหม่ ได้ซีพีเอฟหนุนก้าวสู่เกษตรเทคโนโลยี Agri Tech

0

การมีอาชีพมั่นคง ถือเป็นหนึ่งในความฝันของหลายๆคน ​บัญชา​ สุขวิเศษ เป็นอีกคนที่มีความฝันไม่ต่างจากคนอื่นๆ หลังจากเรียนจบเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเป็นพนักงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เป็นเวลาถึง 10 ปี จากนั้นจึงได้รับการทาบทามจากเจ้าของฟาร์มสุกรที่เห็นฝีมือ และหยิบยื่นโอกาสในการรับเหมาก่อสร้างฟาร์มเลี้ยงสุกร เขาตัดสินใจลาออกจากบริษัทเพื่อมารับงานเอง จนกระทั่งได้รับโปรเจคใหม่ในการสร้างฟาร์มสุกรแม่พันธุ์ ในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย หรือคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ของซีพีเอฟ ในพื้นที่อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ ทำให้บัญชาได้เห็นข้อมูลของโครงการฯโดยละเอียด และรู้สึกสนใจในรูปแบบของโครงการฯนี้ทันที

เมื่อเห็นโอกาสในอาชีพ และมองว่ารูปแบบฟาร์มแบบนี้น่าจะตอบโจทย์ของเราได้ จึงตัดใจสินใจเข้าร่วมโครงการฯตั้งแต่ปี 2567 ภายใต้ชื่อ บจ.ฟาร์มดีพัฒนา 1 ที่นี่มีโรงเรือนเลี้ยงสุกรขุน 4 หลัง ความจุสุกรรวม 3,500 ตัว ทั้งหมดเลี้ยงภายใต้ฟาร์มระบบปิด ในโรงเรือน EVAP มีระบบดักกลิ่นป้องกันกลิ่นออกสู่ภายนอก มีการจัดทำระบบไบโอแก๊ส ติดตั้งเครื่องปั่นไฟ เปลี่ยนแก๊สชีวภาพเป็นไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม มีการติดตั้งเครื่องแยกกากตะกอนหลังออกจากระบบไบโอแก๊ส มีระบบบำบัดน้ำที่ได้มาตรฐาน จนได้น้ำปุ๋ยที่สามารถแบ่งปันให้กับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง ในโครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร เขาต่อท่อน้ำยาว 200 เมตร เพื่อให้เกษตรกรนำน้ำไปใช้ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรจากปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดี

“เรามุ่งเน้นรูปแบบการเลี้ยงแบบ Smart Farm ที่สอดรับกับเป้าหมายของซีพีเอฟ ซึ่งมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจสู่เกษตรเทคโนโลยี หรือ Agri Tech ที่ฟาร์มใช้ระบบอัตโนมัติควบคุมการเลี้ยง ติดตั้ง CCTV ระบบนี้ช่วยติดตามสภาพแวดล้อมในโรงเรือน การกินอาหาร กินน้ำ และสุขภาพสัตว์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และวางแผนนำอีกหลายระบบมาใช้ในอนาคต” บัญชา กล่าว

บัญชา​ สุขวิเศษ ถือเป็นตัวอย่างของเกษตรกรยุคใหม่ที่มุ่งสร้างอาชีพเลี้ยงสุกรให้เป็นอาชีพที่มั่นคง ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุนการทำฟาร์มที่ทันสมัย โดยตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับชุมชนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน .

คลิกชมคลิป >>
https://www.tiktok.com/@cpfoods.official/video/7465885131501227271?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7416584634233243154

กระทรวงดิจิทัลฯ ดีเดย์ 1 ก.พ. 2568 ชื่อเจ้าของซิม กับ Mobile Banking ต้องตรงกัน หยุดวงจรบัญชีม้า-โจรออนไลน์

0

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นประธานแถลงข่าวมาตรการ “การยกระดับความปลอดภัยในการใช้ Mobile Banking” เปิดเผยว่า มาตรการนี้เป็นความร่วมมือของกระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile Banking ให้ตรงกัน โดย กสทช. และ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ,สำนักงาน ปปง. , ธปท. และธนาคารพาณิชย์ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์กว่า 120 ล้านหมายเลขแล้วเสร็จเมื่อสิ้นเดือน พฤศจิกายน 2567 จัดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น M คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02, กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น N คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 และ กลุ่มที่ 3 ลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งกลับมาเป็น P คือไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29

โดยขั้นตอนดำเนินการต่อจากนี้ คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป ธนาคารจะใช้รูปแบบแจ้งเตือน (Notification) ผู้ใช้บริการกลุ่ม N และกลุ่ม P ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร โดยผู้ที่ได้รับแจ้ง ต้องอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม กับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายใน 90 วัน (ภายในวันที่ 30 เม.ย. 2568) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

สำหรับกลุ่ม N ซึ่งเป็นกลุ่มที่เจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน , บัญชีต่างชาติ , กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่มีชื่อเจ้าของซิม กับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ไม่ตรงกัน ผู้ใช้บริการที่อยู่ในกลุ่มนี้ จะต้องไปติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อตรงกันภายในวันที่ 30 เมษายน 68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

ในส่วนของ กลุ่ม P ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแจ้งว่าไม่พบชื่อเจ้าของซิม โดยเป็นกลุ่มที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) โดยกรณี หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking หรือ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมเป็นชื่อตามที่ประสงค์ที่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนซิมได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน