Home Blog Page 168

AIS Fibre ผนึก TP LINK เปิดตัว “WiFi 6E Router” ยกระดับประสบการณ์ความเร็วแรง บนย่านความถี่ใหม่ 6GHz

0

AIS Fibre ประกาศความพร้อมในการให้บริการ WiFi 6E เทคโนโลยีมาตรฐานสัญญาณไร้สายใหม่บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz เป็นรายแรกของอุตสาหกรรมบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในเมืองไทย เดินหน้าทำงานร่วมกับ TP LINK พร้อมส่งมอบ WiFi 6E Router เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน ด้วยคุณสมบัติของ WiFi 6E ที่เป็นการเพิ่มคลื่นความถี่ที่ใหญ่ที่สุดของ WiFi ประมาณ 4 เท่าจากเดิม รวมถึงยังเพิ่มช่องสัญญาณ ลดปัญหาเกี่ยวกับช่องสัญญาณที่แออัด ทำให้ใช้งานได้ไหลลื่น ทั้งการสตรีมแบบ HD หรือ การใช้งาน VR ที่ตอบโจทย์ทุกคนในบ้านได้อย่างครบถ้วน

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบรนด์ AIS กล่าวว่า “ด้วยความพร้อม และเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนของ AIS Fibre ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการเน็ตบ้านเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานด้วยคุณภาพเน็ตบ้านและการให้บริการที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เราติดตามมาตรฐานของเทคโนโลยีระดับโลก ควบคู่กับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นได้จากในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เราได้ส่งมอบนวัตกรรมที่สร้างจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมและพัฒนาคุณภาพการใช้งานให้กับตลาดและลูกค้ามาโดยตลอด ล่าสุดเป็นอีกครั้งที่ทำให้เราสามารถเปิดตัวแพ็กเกจบริการที่มาพร้อมอุปกรณ์รองรับ WiFi 6E บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz ได้ทันที หลังจากที่ กสทช. ได้มีประกาศรองรับเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์บนคลื่นความถี่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา”

“ทีมงานวิศวกร นำโดยการทำงานของ AIS CPE LAB ได้ติดตามพัฒนาการของ WIFI 6 มาโดยตลอด และได้ร่วมทำงานกับพาร์ทเนอร์อย่าง TP Link ทดลอง ทดสอบ จนมั่นใจว่า นวัตกรรม WiFi 6E Router ที่ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สามารถมอบประสบการณ์ความเร็วแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อใช้งานผ่านเน็ตบ้านคุณภาพจาก AIS Fibre”

สำหรับเทคโนโลยี WiFi 6E เป็นการเชื่อมต่อไร้สายบนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz ผ่านอุปกรณ์ WiFi 6E Router ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีคุณสมบัติในการขยายสัญญาณให้ครอบคลุม มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นก่อนๆ อาทิ เพิ่มช่องสัญญาณ ลดปัญหาเกี่ยวกับช่องสัญญาณที่แออัด ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหล รวมถึงคลื่นสัญญาณ Microwave ไม่สามารถรบกวนได้บนย่านความถี่ 6GHz, เพิ่มคลื่นความถี่ที่ใหญ่ที่สุดของ WiFi ประมาณ 4 เท่าจากเดิม, มีความกว้างช่องสัญญาณสูงสุด 160 MHz ทำให้ ดาวน์โหลด อัปโหลดข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าคลื่น 2.4GHz และ 5GHz โดยเฉพาะ WiFi 6E Router รุ่น Deco XE75 Pro สามารถทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ย่านความถี่ (6GHz + 5GHz และ 2.4GHz) เพื่อให้ความเร็ว WiFi สูงสุดถึง 5,400 Mbps รองรับการเชื่อมต่อสูงสุดถึง 200 อุปกรณ์ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานสูงสุด 7,200 ตารางฟุต

โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อ WiFi 6E Router ได้ทาง AIS Online Store และพิเศษ!! สำหรับลูกค้า AIS Fibre รับสิทธิพิเศษเมื่อสมัครแพ็กเกจ BYOD BROADBAND สปีดแรง 2 Gbps /1 Gbps ราคา 1,299 บาท/เดือน พร้อมทั้งสั่งซื้อ WiFi 6E Router บน AIS Online Store จะได้รับส่วนลดค่าแพ็กเกจเดือนละ 100 บาท นาน 6 เดือน

โดยสามารถสมัครแพ็กเกจได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 66 และสามารถสั่งซื้อ WiFi 6E Router ได้ในเร็วๆนี้ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/fibre/package_byodbroadband.html

กลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพดโคราช ชูปลูกแบบไม่เผา ช่วยผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น

0

กลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพด ในตำบลเสมาและตำบลโนนคำ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ยืนยันเกษตรกรทุกวันนี้ไม่เผาตอซังหันมาใช้วิธีไถกลบ หลังเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ดินดีขึ้น ลดการใช้ปุ๋ย ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดฝุ่นละออง สิ่งแวดล้อมของชุมชนดีขึ้น ยืนยันระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกช่วยสร้างความเชื่อมั่นข้าวโพดไม่ได้มาจากพื้นที่รุกป่าและหยุดการเผา

ผู้ใหญ่ภูสิทธิ์ จอสูงเนิน ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ปัจจุบัน เกษตรกรมีความรู้มากขึ้นและตระหนักดีว่าการเผาหลังเก็บเกี่ยวทำลายหน้าดิน คุณภาพและอินทรียวัตถุในดินลดลง ไม่เหมือนเกษตรกรสมัยก่อนที่มักใช้วิธีเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวเพราะขาดเครื่องมือเหมาะสมและต้นทุนสูง ทุกวันนี้ กลุ่มเพื่อนเกษตรกรปลูกข้าวโพดในพื้นที่ตำบลเสมาและตำบลโนนคำ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวโพด 2,500 ไร่ได้เปลี่ยนมาใช้วิธีไถกลบแทนการเผากันมากกว่า 4-5 ปีแล้ว ช่วยให้ดินมีธาตุอาหารและชุ่มชื้นขึ้น เพราะตอซังย่อยสลายเป็นธาตุอาหารของพืช เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ช่วยประหยัดค่าปุ๋ยบำรุงดิน ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น

“ประโยชน์จากการไถกลบ เป็นวิธีบำรุงดินที่ง่ายและสะดวก ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินโดยตรง ผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1-1.2 ตันต่อไร่ และชุมชนยังได้อากาศที่ดีขึ้น เพราะปลูกแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ผู้ใหญ่ภูสิทธิ์กล่าว

ผู้ใหญ่ภูสิทธิ์

ผู้ใหญ่ภูสิทธิ์ เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ขายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงพื้นที่ปลูก ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาโดยกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (Feed Ingredients Trading Business Group : FIT) เครือซีพี ซึ่งสามารถยืนยันว่าผลผลิตข้าวโพดมาจากการแหล่งปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกตัดไม้ทำลายป่า

กลุ่มของผู้ใหญ่ภูสิทธิ์ยังเป็นต้นแบบเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดแบบปลอดเผา ได้แนะนำเคล็ดลับความสำเร็จเพิ่มผลผลิตต่อไร่ว่า หลังเก็บเกี่ยวควรไถกลบในช่วงหน้าดินยังอ่อน และปล่อยทิ้งไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดกระบวนการย่อยสลายในดิน ต่อจากนั้นในการเตรียมแปลงปลูกให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือมูลสัตว์ก่อนปลูกอีกครั้ง เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช

นอกจากนี้ FIT ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” (For Farm) ขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยเกษตรกรตั้งแต่การกำหนดวันปลูก ดูแลแปลงปลูกจนถึงวันเก็บเกี่ยว รวมข่าวสารความรู้และคำแนะนำต่างๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกรวมถึงสามารถติดตามราคารับซื้อของโรงงานอาหารสัตว์ได้ทุกวันอีกด้วย ช่วยให้ผู้ใหญ่ภูสิทธิ์สามารถเปิดดูข้อมูลน้ำฝนเพื่อกำหนดวันเตรียมแปลง และวันปลูกข้าวโพดได้แม่นยำขึ้น และติดตามราคารับซื้อผลผลิตรายวัน

ขณะเดียวกัน บริษัทยังนำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมมาช่วยติดตามว่าเกษตรกรที่ลงทะเบียนในระบบตรวจสอบย้อนกลับ หากพบว่าเกษตรกรอยู่ในพื้นที่เผาหลังเก็บเกี่ยว บริษัทฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปให้คำแนะนำการปลูกที่ปลอดเผา รวมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกข้าวโพดอีกด้วย

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ตั้งรหัสแอปธนาคารยังไง ให้จำได้และปลอดภัย”

0

“อาซี” พุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด

กูรูไฮเทค แนะว่า ควรตั้งรหัสให้ซับซ้อน เรารู้คนเดียว และต้องจดจำได้ ไม่ควรใช้รหัสชุดเดียวกันทุกแอปครับ

เปิด 7 สินค้าเด็ด SME ในร้านเซเว่นฯ การันตีไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย

0
คำกล่าวที่ว่า “สินค้า SME ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” แถมยังเป็น Soft Power สำคัญของประเทศ ดูจะไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงเพราะขนาด “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินดังระดับโลกก็ยังอดหลงรักเสน่ห์สินค้า SME ไทยไม่ได้เลย ถึงกับต้องขอลองชิม ลองใช้ เพราะอะไร?…สินค้า SME ไทยถึงได้ชวนให้หลงรัก วันนี้จะพาไปหาคำตอบกับ 7 สินค้า SME ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีการกล่าวถึงและเป็นที่นิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติว่ามีกลยุทธ์หรือเทคนิคอย่างไรถึงได้มัดใจใครหลายๆ คน

ขนมถ้วยแม่สุนีย์ : ขนมถ้วยน้ำตาลมะพร้าว ขนมถ้วยสูตรโบราณขนานแท้หาทานได้ยาก เพราะน้ำตาลมะพร้าวแท้หาได้ยาก แต่ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตขนมไทยแบรนด์ “แม่สุนีย์” ที่ปัจจุบันผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET นั้น พัฒนาสูตรและใส่นวัตกรรม จนขนมถ้วยน้ำตาลมะพร้าวสามารถยืนหนึ่งเป็นขนมไทยที่ใครๆก็ต้องขอชิม ด้วยรสชาติ หวาน หอม กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ ด้วยชั้นกะทิที่ให้เนื้อสัมผัสเนียน นุ่ม ละมุนจากมะพร้าวคุณภาพ เพิ่มรสชาติหวาน มัน เค็ม บวกกับชั้นทำจากน้ำตาลมะพร้าวสดแท้จาก จ.กาญจนบุรี ส่งให้ขนมถ้วยอร่อยลงตัวแบบสูตรโบราณแท้

ขนมไทยบ้านทองหยอด : “ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน” เป็นขนมที่ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติต่างก็ชื่นชอบ ด้วยรสชาติที่อร่อย หอม หวาน แต่มักจำหน่ายในรูปแบบแบ่งขายใส่ถุง ทำให้ไม่สะดวกต่อการรับประทานหรือซื้อเพื่อเป็นของขวัญของฝาก บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัดผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ “ขนมไทยบ้านทองหยอด” จึงได้ออกแบบแพ็กเก็จจิ้งให้สะดวกต่อการรับประทาน จากคำแนะนำของเซเว่นฯ จึงได้พัฒนาแพ็กเก็จจิ้งให้มีขนาดพอเหมาะแบบ 4 ช่อง พร้อมไม้จิ้ม ทำให้ผู้บริโภคทานได้หลากหลายชนิด หรือจะซื้อไปทำบุญก็ได้ สะดวกสบาย ตอบโจทย์เทรนด์สินค้ายุคใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์

ผลไม้ไทย ใครๆก็หลงรัก : ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกสบายและใส่ใจเรื่องความสะอาด การขายผลไม้แบบพร้อมรับประทานจึงน่าจะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี บริษัท ทริปเปิ้ล เฟรช จำกัด จึงเกิดปิ๊งไอเดียจับผลไม้ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยม อาทิ ส้มโอ ขนุน ส้มสายน้ำผึ้ง มะม่วง ฝรั่ง ที่ส่งตรงจากเกษตรกรหลากพื้นที่มาแพ็คใส่บรรจุภัณฑ์ทันสมัย แบบพร้อมทาน แอดวานซ์เพิ่มเครื่องจิ้มหลากรูปแบบไม่ว่าจะเป็น พริกกะเกลือ กะปิหวาน ให้ผู้บริโภคเลือกซื้อหาได้ตามความต้องการ ภายใต้มาตรฐานสากล

น้ำพริกป้าแว่น : แบรนด์น้ำพริกในตำนานที่ถูกกล่าวขานถึงความอร่อยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผลิตสินค้าอะไรออกมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และถือเป็นอีกหนึ่ง SME ที่ส่งต่อโอกาสสู่ชุมชนอย่างแท้จริง ด้วยการรับซื้อวัตถุดิบทางการเกษตร จ้างงานคนในพื้นที่ ช่วยสร้างรายได้กลับสู่ชุมชน โดยสินค้าไฮไลท์คือ น้ำพริกปลาทู ที่ใครได้ลองทานแล้วต้องร้องว้าว…เลยทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูสุขภาพที่อร่อย อีกทั้งรสชาติเป็นสูตรเฉพาะของป้าแว่น โดดเด่นด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศเนื้อปลาทูแบบเน้นๆ นอกจากจะมีคุณค่าทางสารอาหารสูง แล้วยังเป็นโปรตีนชั้นดีที่มาพร้อมไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบ แถมยังช่วยลด คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ทําให้ความข้นของเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ เรียกว่าได้ทั้งความอร่อยและได้คุณค่าทางอาหาร ยิ่งทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ไข่ต้ม ผักสด ผักต้ม ก็จะยิ่งทำให้มื้ออาหารครบหมวดหมู่ตามหลักโภชนา

กล้วยน้ำว้ากรอบม้วน รสหวาน-Nacket : ของทานเล่นที่ใครๆได้ทานเป็นต้องถูกอกถูกใจกับรสชาติที่หวาน หอม อร่อยลงตัว เพราะผลิตจากกล้วยน้ำว้าคัดพิเศษ นำมาทอดจนเหลืองกรอบ เคลือบน้ำตาลเล็กน้อยให้รสหวาน เคี้ยวเพลินแถมได้ประโยชน์ ที่ผลิตโดย บริษัท ทันน่า ฟู๊ดส์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ขนมขบเคี้ยวและของทานเล่นชื่อดัง แน็คเก็ต (Nacket) ถือเป็นอีกหนึ่งSME ตัวอย่าง ที่มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องมากว่า 15 ปี จนทำให้ได้รับรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2021” ประเภท SME ยั่งยืน และมีสินค้าจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ หลายรายการ อาทิ แครกเกอร์ ปั้นสิบ ผัก ผลไม้ทอด กล้วยทอด อาหารทะเล

หนวดหมึกกรอบ รุ่งธนา : อีกหนึ่งสินค้า SME จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ตอนนี้คว้าใจใครหลายๆคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยรสชาติที่ถูกปาก ตลอดจนกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ใช้วิธีการทอดและอบไล่น้ำมันอีกครั้ง ทำให้หนวดหมึก กรอบฟู ไม่อมน้ำมัน ไม่เหม็นหืน รวมทั้งไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่สารกันบูด ผลิตโดยบริษัท รุ่งธนาอินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด เจ้าของรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2021” ประเภท SME ผู้ประกอบการชุมชน ที่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกับการนำหมึกกล้วยสดตกไซส์ มาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนในท้องถิ่น พัฒนาสินค้าจนเป็นที่ชื่นชอบ คว้าใจผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ

เต่าเหยียบโลก : ของเด็ด ของดี โดย บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 20 ปี ด้วยคุณสมบัติระงับกลิ่นขั้นเทพ เติบโตจากถุงซิปล็อควางขายในร้านเสริมสวย ปัจจุบันก้าวสู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรดระดับประเทศที่ปรับโฉมจนต้องเหลียว ด้วยบรรจุภัณฑ์ทันสมัย ฝาติดกับขวดสะดวกในการเปิด รูปทรงมน ปั๊มชื่อแบรนด์ลายนูนบนขวด เพื่อสร้างสัมผัสใหม่ให้ลูกค้า เพิ่มสีสันให้สะดุดตา พร้อมกลิ่นใหม่ๆ พัฒนาสินค้าเพิ่มในรูปแบบรีฟิล ตอบโจทย์กระแสรักษ์โลก ช่วยลดขยะ สอดรับความต้องการลูกค้ากลุ่ม Gen Z

สำหรับสินค้า SME ทั้ง 7 รายการนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้า SME ตัวอย่างในเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ไม่หยุดพัฒนา และมุ่งแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด สร้างจุดเด่น เน้นความต่าง จนได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่นิยม ยังมีสินค้า SME อีกจำนวนมากที่รอให้ทุกคนได้ไปพิสูจน์ Soft Power พลังสำคัญของประเทศ แล้วจะรู้ว่า…สินค้า SME ไทยมีเสน่ห์อย่างไร

เซเว่น อีเลฟเว่น จับมือ จส. 100 พาผู้ป่วยสมองเสื่อมอัลไซเมอร์กลับบ้าน

0
เซเว่น อีเลฟเว่น 6,105 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผนึกกำลัง จส. 100 และพันธมิตร ร่วมปฏิบัติการรวมพลังน้ำใจพาผู้ป่วยสมองเสื่อมอัลไซเมอร์กลับบ้าน พบเห็นผู้พลัดหลงติดเข็มกลัด Forget Me Not ให้นำส่งร้านเซเว่นฯ เพื่อประสานญาติ หรือเจ้าหน้าที่รับตัวส่งคืนครอบครัว

นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า เซเว่น อีเลฟเว่น ได้ร่วมกับบริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (จส.100) สมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพันธมิตรต่างๆ ในการเผยแพร่สัญลักษณ์ดอก Forget Me Not ตัวแทนของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ให้เป็นที่ตระหนักรู้ในสังคม และล่าสุดมีการให้ความรู้ทำความเข้าใจกับพนักงานร้าน 6,105 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น เพื่อเป็นจุดรองรับประสานส่งต่อกรณีพบผู้ป่วยอัลไซเมอร์พลัดหลงได้กลับคืนสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย
“ขณะนี้ ร้านเซเว่นฯ 6,105 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความพร้อมในการเป็นจุดประสานงานรับส่งต่อผู้ป่วย กรณีประชาชนพบเห็นผู้ป่วยพลัดหลงซึ่งสามารถสังเกตได้จากเข็มกลัดรูปดอก Forget Me Not ที่เสื้อ สามารถนำผู้ป่วยมาที่ร้าน ซึ่งพนักงานของเราจะช่วยดูแลเบื้องต้น และประสานกับ จส.100 ให้ญาติ หรือเจ้าหน้าที่มารับตัวต่อไป”

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย โดยมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเกือบ 1 ล้านคน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 1 แสนคนทุกๆ ปี ซึ่งโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจ และมีระบบรองรับด้านสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ ความปลอดภัยที่ดี เพื่อให้ผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขได้ในสังคม
“เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะร้านสะดวกซื้อที่อยู่เคียงข้างชุมชนและสังคม เรามีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ตามปณิธานองค์กรร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน ที่ยึดมั่นมาโดยตลอด การเข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ไม่เพียงแต่เป็นการให้โอกาสผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดความกังวลใจของผู้ดูแลหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด โดยพนักงานของเราพร้อมที่จะให้การดูแลผู้ป่วยด้วยความเต็มใจและเข้าใจ เช่นเดียวกับที่เราให้บริการลูกค้า และช่วยดูแลชุมชนโดยรอบร้าน” นายวิชัย กล่าวเสริม

ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปหากพบผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ Forget Me Not พลัดหลง สามารถสแกน QR Code บนเข็มกลัดดังกล่าวได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ซึ่งจะปรากฏเป็นหมายเลขโทรศัพท์ตรงของ จส. 100 ให้สามารถเชื่อมต่อได้ทันที เพื่อแจ้งหมายเลขที่ระบุไว้บนเข็มกลัดในการประสานแจ้งญาติ หรือเจ้าหน้าที่ให้มารับตัว

ซีพี ยึดมั่นแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ ปลอดรุกป่า ไม่เผาตอซัง

0
เครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (corn traceability) ตั้งแต่ปี 2560 ยืนยันได้ว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จัดหา 100% ในกิจการประเทศไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่า ตลอดจนขับเคลื่อนพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกรายย่อย ปลูกจิตสำนึกการไม่เผาหลังเก็บเกี่ยว และหาแนวทางเพื่อร่วมแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 สร้างหลักประกันการจัดหาข้าวโพดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นส่วนหนึ่งดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในฐานะเป็นผู้จัดหาสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลักทางการเกษตรของเครือซีพี กล่าวว่า ซีพีให้ความสำคัญกับการสร้างห่วงโซ่การผลิตอาหารที่ยั่งยืน และมุ่งมั่นในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าจากแหล่งปลูกที่ถูกกฎหมาย ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และไม่เผา สนับสนุนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” ทั้งนี้ เครือซีพีได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (Corn Traceability) ขึ้นมาใช้ในการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในกิจการประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา และได้นำระบบตรวจสอบย้อนกลับไปใช้ในการจัดซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรในประเทศเมียนมาร์ สปป.ลาว และเวียดนามตั้งแต่ปี 2563 อีกด้วย

“บริษัทไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่อาจส่งผลต่อการเกิดไฟป่า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมการเผา และได้ริเริ่มสร้างต้นแบบระบบการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้องและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง และใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมติดตามแปลงปลูกเพื่อร่วมจัดการปัญหาได้อย่างถูกต้อง” นายไพศาล กล่าว

บริษัทฯ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมในการติดตามแปลงเพาะปลูก และวิเคราะห์จุดที่ยังพบการเผาหลังเก็บเกี่ยวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ลงพื้นที่ให้คำแนะนำเกษตรกรเลิกการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างหลักประกันว่าบริษัทฯ จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาจากแหล่งปลูกที่ปราศจากการเผา ปัจจุบัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ใช้ในกิจการประเทศไทย 100% สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า และหลีกเลี่ยงการเผา รวมทั้งยังเพิ่มความเชื่อมั่นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Traceability) ที่เชื่อมโยงข้อมูลผลผลิตข้าวโพดตั้งแต่แปลงเพาะปลูกถึงโรงงานอาหารสัตว์ และจัดทำแอปพลิเคชั่น ฟ.ฟาร์ม (For Farm) ขึ้นช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรไทยในการลงทะเบียนยืนยันตัวตนและพื้นที่ปลูก

เครือซีพียังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดรายย่อย โดยดำเนินโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกร ส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีในการเพาะปลูกที่ดีปลอดการเผา และมีรายได้ที่มั่นคงจากผลผลิตที่มากขึ้นควบคู่กับค่าใช้จ่ายที่ลดลง

ด้านนายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล่าวว่า บริษัทฯดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่มีนโยบายในการส่งเสริมหรือสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่าและป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งเสริมให้มีการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก

ตั้งแต่ปี 2551 บริษัทฯ ได้ประกาศอย่างชัดเจนและดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดกับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศโดยมีข้อกำหนดยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯทันที หากพบว่ามีส่วนร่วมหรือส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ดังกล่าวในทุกกรณี พร้อมกับดำเนินโครงการฟาร์มโปรครบวงจร เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย สนับสนุนการสร้างและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพให้พื้นที่ในการปลูกข้าวโพดหรือพืชอื่น ๆ ที่สำคัญคือ ห้ามมีการเผาตอซังโดยเด็ดขาด แนะนำให้ใช้วิธีไถกลบแทน พร้อมทั้งร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญศึกษาวิจัยหาแนวทางเพิ่มมูลค่าตอซัง เพื่อร่วมแก้วิกฤตปัญหาหมอกควันไฟป่า และการบุกรุกป่า อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้า “สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า” ปี 3 ตั้งเป้าปี 66 ให้ชุมชนส่งขยะมาคัดแยกเพิ่มขึ้น 40%

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสถานีขยะล่องหน คุ้งบางกะเจ้า ปี 3 โครงการ Care the Whale “ขยะล่องหน” จับมือพันธมิตร วัดจากแดง บมจ. สหพัฒนพิบูล บมจ. โอสถสภา และ บมจ. พริ้นซ์ซิเพิล แคปิตอล ต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการบริหารจัดการขยะ สนับสนุนคุณภาพชีวิต และสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยในปีนี้ขยายประเภทขยะที่รับเข้าจัดการผ่านโครงการ พร้อมกับส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคชุมชนโดยเฉพาะโรงเรียน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขยายประเภทสินค้าและบริการที่ชุมชนสามารถนำขยะมาแลก ณ พื้นที่คุ้งบางกะเจ้า จ. สมุทรปราการ

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธัมมาลังกาโร) เจ้าอาวาส วัดจากแดง กล่าวว่า วัดจากแดงเป็นศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการขยะในชุมชน และมีการศึกษาและพัฒนากระบวนการนำขยะกลับมาใช้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ให้ครอบคลุมขยะประเภทต่าง ๆ ให้มากที่สุด ขณะเดียวกันมีการให้ความรู้ อบรม การคัดแยกขยะผ่านผู้นำชุมชนเป็นประจำเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมการจัดการขยะไปในระดับครัวเรือน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างจิตสำนึกของคนในชุมชนต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะ โดยทางวัดได้มีความร่วมมือกับภาคเอกชน ผ่านสถานีขยะล่องหน เป็นปีที่ 3 ซึ่งได้สร้างประโยชน์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชนคุ้งบางกะเจ้าเป็นอย่างมาก ให้มีความสนใจและเข้าใจการคัดแยกขยะ ในปีนี้ สถานีขยะล่องหน วัดจากแดงได้เพิ่มประเภทขยะเศษอาหารเป็นหนึ่งในขยะที่สามารถนำมาขึ้นคะแนนแลกสินค้าในสถานีขยะล่องหนได้ เนื่องจากเป็นขยะที่มีจำนวนมากและเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง โดยวัดจากแดงจะนำขยะเศษอาหารเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ เพื่อให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้ด้วย

นพเก้า สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นางสาวนพเก้า สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม Care the Whale “ขยะล่องหน” เพื่อลดภาวะโลกร้อนและสร้างคุณภาพชีวิตที่สมดุล โดยในปี 2566 ยังทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาชุมชนคุ้งบางกะเจ้าในเชิงลึก เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนมากที่สุด ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้ชุมชนคุ้งบางกะเจ้าเป็นชุมชนต้นแบบในการบริหารจัดการขยะที่ดี จากการปลูกฝังพฤติกรรมการจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงสนับสนุนแพล์ตฟอร์มคำนวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Care Platform) เพื่อวัดผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับสถานีขยะล่องหน และจัดทำแคมเปญการสื่อสารเชิงรุกร่วมกับพันธมิตรรณรงค์ให้ชุมชน หน่วยงาน ร้านค้า โรงเรียน ส่งเสริมการคัดแยกขยะประเภทต่าง ๆ อย่างถูกต้องก่อนนำมาส่งให้สถานีขยะล่องหนเพื่อแลกรับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยปี 2565 ที่ผ่านมา มีปริมาณขยะที่ผ่านการคัดแยกถึง 19,724 กิโลกรัม โดยขยะส่วนใหญ่คือ ขวดใส และ ขวดแก้ว สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกรวมได้ 34,427 กิโลกรัมคาร์บอนไดซ์ออกไซต์เทียบเท่า และเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 3,825 ต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 38% และปีนี้โครงการได้ตั้งเป้า ปริมาณขยะที่ส่งมาที่สถานีขยะล่องหนเพิ่มขึ้นอีก 40% จากปี 2565

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังสนับสนุนรถสามล้อไฟฟ้าปลอดมลพิษให้กับชุมชนเพื่อเป็น ”สถานีขยะล่องหนทันที” อำนวยความสะดวกให้กับชุมชน ไปรับขยะและแลกสินค้าอุปโภคบริโภคถึงหน้าบ้าน

นางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีที่จะสร้างความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ นำศักยภาพขององค์กรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ในปีที่ผ่านมา นอกจากการสนับสนุนสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับแลกขยะแล้ว บริษัทฯ ยังลงพื้นที่ให้ความรู้เรื่องปัญหาขยะและการจัดการขยะให้กับ 11 โรงเรียนครอบคลุมนักเรียนกว่า 1,000 คน ในปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นการขยายสู่ภาคปฏิบัติ โดยรณรงค์ให้โรงเรียนเป็นจุดเชื่อมที่จะรวบรวมและส่งขยะไปที่สถานีขยะล่องหน วัดจากแดง โดยบริษัทฯ จะมอบสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นส่วนประกอบสำหรับอาหารกลางวันให้กับนักเรียน รวมทั้งของใช้จำเป็นสำหรับในโรงเรียนต่อไป

นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ Care the Whale สถานีขยะล่องหนได้สอดคล้องกับปณิธานของบริษัทฯ ที่เป็นผู้ให้กับสังคม โดยในปีนี้บริษัทมุ่งสนับสนุนเชิงลึกให้กับชุมชนในด้านการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่ นอกจากการสนับสนุนชุมชนให้มีการคัดแยกขยะเพื่อรับสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพให้กับชุมชนแล้ว ยังเพิ่มแผนลงพื้นที่ตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น และมอบตู้ยาสามัญประจำบ้านให้กับ 6 ตำบลในพื้นที่บางกะเจ้า รวมทั้งผลิตและเผยแพร่สื่อความรู้ด้านการจัดการกับขยะติดเชื้อให้กับชุมชนอีกด้วย

นางสุธิดา เสียมหาญ ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังเน้นการจัดการขยะขวดแก้วในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยคำนึงถึงขยะขวดแก้ว ที่เป็นหนึ่งในบรรจุภัณฑ์ของสินค้าโอสถสภา เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินำมาผลิตขวดแก้วใหม่ ปีนี้บริษัทยังคงมอบสินค้าสมนาคุณ ตามน้ำหนักรวมของขยะขวดแก้ว และเชื่อมโยงบริษัทรีไซเคิลเพื่อเข้ารับซื้อขยะขวดแก้วจากวัดจากแดงไปรีไซเคิลอีกครั้ง

สถานีขยะล่องหน รวมพลังมหาชุมชน คุ้งบางกะเจ้า เปิดให้ชุมชนคุ้งบางกะเจ้านำขยะมาแลกสินค้าส่งที่สถานีขยะล่องหนได้ 3 ช่องทางได้แก่ วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ สถานีขยะล่องหนสัญจร ณ ตลาดบางน้ำผึ้งทุกวันเสาร์ เวลาบ่ายโมงและ “สถานีขยะล่องหนทันที” ด้วยสามล้อไฟฟ้าไปรับขยะและมอบสินค้า ณ บ้านประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนในชุมชน นอกจากนี้ยังขอเชิญชวนให้บุคคล หน่วยงาน ร้านค้า นอกชุมชนคุ้งบางกะเจ้า ร่วมปฏิบัติการ “ขยะล่องหน” คัดแยกขยะประเภทต่าง ๆ เพื่อส่งให้วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ นำไปรีไซเคิลเพื่อลดการส่งขยะไปฝังกลบหรือ Zero Waste to landfill เพื่อลดภาวะโลกร้อน

CPF ร่วม “ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” จ.สมุทรสาคร ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สานต่อโครงการ "ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน" เข้าสู่ปีที่ 10 ผนึกพลัง 3 ประสาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เดินหน้าเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน ปลูกเสริม วัดผลและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างสมดุลระบบนิเวศ ส่งเสริมการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สนับสนุนชุมชนในพื้นที่อยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน

กิจกรรมในวันนี้ (28 เม.ย.) ผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟ ร่วมด้วยเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพันท้ายนรสิงห์ และชาวชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก จังหวัดสมุทรสาคร รวมกว่า 100 คน ร่วมกันปลูกต้นโกงกางใบเล็ก จำนวน 500 ต้น บริเวณปากอ่าวแม่น้ำท่าจีน พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพันท้ายนรสิงห์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ไม้ในพื้นที่ ซึ่งซีพีเอฟดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” มาตั้งแต่ปี 2557 โดยมีนายอดิศร สุจารี ประธานคณะทำงานโครงการซีพีเอฟปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน พื้นที่ยุทธศาสตร์สมุทรสาคร เป็นประธานเปิดกิจกรรม

นายวีระยุทธ เกษสกุล หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าพันท้ายนรสิงห์ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนร่วมกับภาครัฐ แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่อ่าวไทยตัวก. จังหวัดสมุทรสาคร จนประสบความสำเร็จ จากการดำเนินโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน นับจากปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการถอดบทเรียนความสำเร็จจากปราชญ์ชาวบ้านที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ที่สำคัญคือ มีการวัดผลและติดตามอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันผืนป่าชายเลนที่นี่ กลายเป็นผืนป่าที่เป็นต้นแบบของการฟื้นฟูป่าชายเลนให้กับพื้นที่อื่นๆของจังหวัด เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า วิจัย ด้านธรรมชาติวิทยาของระบบนิเวศป่าชายเลน และปากแม่น้ำท่าจีน เป็นต้นทางของการสร้างแหล่งอาหารที่มั่นคงของชุมชน

“ขอขอบคุณซีพีเอฟในความตั้งใจและมุ่งมั่นทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาในความร่วมมือ 3 ประสาน เราเห็นผลสำเร็จในการฟื้นฟูป่าชายเลน พื้นที่ต.บางหญ้าแพรก 604 ไร่ กลับมาอุดมสมบูรณ์ เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรสัตว์น้ำที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น สร้างแหล่งอาหารให้กับชุมชนและกลายเป็นแหล่งทำมาหากินของคนในพื้นที่ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเองอย่างยั่งยืน” นายวีระยุทธ กล่าว

ทางด้าน นายอดิศร สุจารี ประธานคณะทำงานโครงการซีพีเอฟปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน พื้นที่ยุทธศาสตร์สมุทรสาคร กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร มุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นต้นทางของการผลิตอาหารให้กับผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ หนึ่งในความมุ่งมั่นที่มีการดำเนินการมาอย่างยาวนาน คือการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ระบบนิเวศระหว่างบกและทะเล ซึ่งเป็นศูนย์รวมความหลากหลายที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต

“การปลูกป่าชายเลนครั้งนี้ เป็นอีกกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมของเพื่อนพนักงานชาวซีพีเอฟ ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ และลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ ทั้งพืช และสัตว์ ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และให้ความสำคัญไปถึงการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของชุมชนและป่า ด้วยการสนับสนุนการรวมตัวของคนในชุมชนพัฒนาพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิถีชุมชน ด้วย 4 ฐานกิจกรรม ทั้งฐานนาเกลือ ฐานสถานีส่งเสริมอาชีพชุมชน ฐานขนมไทย และฐานเรือจำลอง สร้างรายได้เสริมให้ชาวชุมชน และร่วมคิดร่วมทำกับชุมชนดำเนินโครงการกับดักขยะทะเล สร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะเสริมรายได้ชุมชนตามแนวทาง BCG” นายอดิศร กล่าว

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดิน น้ำ ป่าคงอยู่” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ทั้งในภาวะปกติและในสถานการณ์วิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ความท้าทายจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) บริษัทฯตระหนักถึงการมีส่วนร่วมเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการ ซึ่งในการดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ตั้งแต่ปี 2557- 2561 อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน รวม 2,400 ไร่ ปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่สองของโครงการ (ปี 2562-2566) มีเป้าหมายอนุรักษ์ ฟื้นฟูและปลูกป่าใหม่ อีก 2,800 ไร่ ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ จ.สมุทรสาคร ระยอง และตราด

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ ศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์ รุกตลาดนายหน้าประกันชีวิต

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับผู้บริหาร บริษัท ศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์ จำกัด นำโดยนายศรีกรุง อรุณสวัสดี ประธานบริหาร ในโอกาสการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันระหว่างเมืองไทยประกันชีวิตและศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์มาอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้ง ยังได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันในการรุกตลาดนายหน้าประกันชีวิต โดยมี นางดวงพร อรุณสวัสดี รองประธานบริหาร นางสาวดวงสมร อรุณสวัสดี กรรมการบริหาร บริษัท ศรีกรุงประกันชีวิตโบรคเกอร์ จำกัด นายพงษ์ธวัทน์ ก้าวสัมพันธ์ กรรมการบริหาร พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท ศรีกรุงโบรคเกอร์ จำกัด ร่วมด้วย ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

รู้เก็บรู้ออม : ประกวดโลโก้ตลาดหลักทรัพย์ฯ 50 ปี

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เคยนั่งนับเวลากันมั้ยคะว่า อาชีพผู้ลงทุน เฝ้าจอเทรดหุ้น ซื้อขายหุ้นของเรา เป็นกันมานานเท่าไรแล้ว บางคนเป็นมือใหม่ เพิ่งหัดเทรดหัดลงทุนได้ไม่ถึงปี ขณะที่หลายท่าน เป็นหน้าเก่า แก่อาวุโส เล่นหุ้น สะสมประสบการณ์กันมานานหลายปี

หากจะกล่าวถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชื่อว่าผู้ที่อยู่ในแวดวงตลาดทุน ผู้ลงทุน รวมถึงประชาชนที่ศึกษาการบริหารการออมการลงทุนจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเป็นช่องทางระดมทุนของธุรกิจ ผู้ประกอบการ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน อีกทั้งเป็นช่องทางการออมและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนของประชาชน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคียงคู่ประเทศไทยมายาวนาน โดยเปิดทำการซื้อขายอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” มุ่งสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสการลงทุนและศักยภาพการเติบโตของตลาดทุนไทย ควบคู่การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance : ESG)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ของการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนทุกคน ได้เดินทางผ่านวันเวลาในการทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุน การออมและการลงทุน จนถึงปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะครบรอบการดำเนินงาน 50 ปี ในวันที่ 30 เม.ย.2568

ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชิญชวนบุคคลทั่วไป ร่วมส่งผลงานประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) ครบรอบ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชิงเงินรางวัล 80,000 บาท

โครงการประกวดครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยและบุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมในการออกแบบ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก้าวสู่ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โดยขยายการทำงานเพื่อสนับสนุนอนาคตของแต่ละภาคส่วน (Every Future) ที่ต้องการพัฒนา เติบโตและเปลี่ยนแปลง สอดคล้องวิสัยทัศน์พัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกคน

ผู้เข้าร่วมประกวด ไม่จำกัดเพศและอายุ ขอเพียงเป็นบุคคลสัญชาติไทย ก็สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ เปิดรับผลงานแล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 31 พฤษภาคม 2566 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/th/announcement/logo50th-contest

คุณนายพารวย