Home Blog Page 161

ซีพีเอฟ ร่วมมือ นิชิเร เดินหน้าปลูกป่าชายเลน จ.ตราด ยกระดับห่วงโซ่อุปทานอาหารที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และ บริษัท นิชิเร เฟรช อิงค์ คู่ค้าผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งประเทศญี่ปุ่น ยกระดับห่วงโซ่อุปทานอาหารที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตรักษ์โลก จับมือคิกออฟโครงการ “ซีพีเอฟ-นิชิเร ร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศป่าชายเลน” นำร่องปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่ป่าชายเลน ต.ท่าพริก จ.ตราด มุ่งสู่เป้าหมายบรรเทาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ(SDGs)

นายโมโตฮิโร คิอูชิ ผู้บริหารงานกลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้ง (กลุ่มงานจัดหาผลิตภัณฑ์อาหารทะเล 2) บริษัท นิชิเร เฟรช อิงค์ คู่ค้าผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งประเทศญี่ปุ่นของซีพีเอฟ และ นายวินัย ด่านวัฒนะ ที่ปรึกษาธุรกิจฟาร์มเลี้ยงกุ้ง-โครงการพิเศษ ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลน จังหวัดตราด นายสุธี สมุทระประภูต ผู้อำนวยการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและปกป้องฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซีพีเอฟ ร่วมด้วยคณะทำงานป่าชายเลนยุทธศาสตร์ป่าชายเลน ซีพีเอฟจิตอาสา และชุมชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ 1,400 ต้น บนพื้นที่ 2 ไร่ ประกอบด้วย ต้นโปรงแดง โปรงขาว ถั่วขาว ถั่วดำ ฝาดดอกแดง ฝาดดอกขาว ลำแพน จิกทะเล ซึ่งเป็นกล้าไม้ที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

นายโมโตฮิโร คิอูชิ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญและตระหนักในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหาร ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน มุ่งมั่นสร้างพันธมิตรที่ดีและยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี เราดำเนินธุรกิจกับซีพีเอฟมายาวนานและยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจที่จะช่วยสร้างความยั่งยืน กิจกรรมปลูกป่าชายเลนในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวนโยบายของบริษัทฯ ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustaianble Development Goals : SDGs) เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัทฯ ได้รับการสอบถามจากผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง

“ทางนิชิเรฯ มีโอกาสเยี่ยมชมโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนของซีพีเอฟมาแล้วหลายครั้ง รู้สึกประทับใจ และในครั้งนี้ ยินดีอย่างมากที่มีโอกาสทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนร่วมกัน สอดรับกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่สนับสนุนการจัดหาอาหารทะเลที่ยั่งยืน ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการจำหน่ายกุ้ง ในฐานะที่บริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น เราเชื่อว่ากิจกรรมปลูกป่าชายเลนเป็นภารกิจของบริษัทฯ ที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งเติบโตอย่างยั่งยืน” นายโมโตฮิโร คิอูชิ กล่าว

นายวินัย ด่านวัฒนะ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลน จังหวัดตราด กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร และเป็นผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ธุรกิจของเรามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบในการกระบวนการผลิต ซึ่งเกี่ยวกับความยั่งยืนของโลก ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าอาหารทุกคำที่กิน เป็นการกินเพื่อโลกที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน เราส่งเสริมคู่ค้าธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันด้วยความแข็งแกร่ง บนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจที่ตระหนักร่วมกันในการมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาสมดุลระบบนิเวศ ที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน และสนับสนุนพันธกิจประชาคมโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“การจัดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟและนิชิเรฯ ในครั้งนี้ เราตระหนักในเป้าหมายเดียวกัน คือ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบัน ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้คู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟเติบโตไปด้วยกัน”

บจ. ไทย ไตรมาส 1/2566 ยอดขายเติบโตดีจากการเปิดประเทศ

0
บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 โดยมียอดขายเติบโตดี จากการท่องเที่ยวและการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 786 บริษัท คิดเป็น 99.5% จากทั้งหมด 790 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 มีนาคม 2566 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 590 บริษัท คิดเป็น 74.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 4,200,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% มีต้นทุนการผลิต 3,320,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 410,246 ล้านบาท ลดลง 17.3% และมีกำไรสุทธิ 261,116 ล้านบาท ลดลง 6.2% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 มีนาคม 2566 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.52 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่า เมื่อเทียบกับ  สิ้นปีก่อน

อัตราส่วนแสดงความสามารถการทำกำไรQ1/2565Q1/2566
อัตรากำไรขั้นต้น23.0%21.0%
อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก12.4%9.8%
อัตรากำไรสุทธิ6.9%6.2%

“การเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลดีต่อธุรกิจอาหาร การบริการ การขนส่ง การท่องเที่ยว และการโทรคมนาคม ทั้งนี้ กลุ่มธนาคารและธุรกิจการเงินยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การเร่งปรับตัวให้ทันต่อการกลับมาของธุรกิจทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกว่ายอดขาย ส่วนหนึ่งจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้ บจ. มีอัตรากำไรลดลง” นายแมนพงศ์กล่าว

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาส 1/2566 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ต้นทุนการผลิต 40,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% และมีกำไรสุทธิ 2,153 ล้านบาท ลดลง 32.4%

mai โชว์ผลดำเนินงานไตรมาส 1/ 2566 ยอดขาย 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%

0
บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 มียอดขายรวม 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานรวม 3,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก บจ. ควบคุมต้นทุนได้ดี

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 198 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 206 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2566 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 142 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 52,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ต้นทุนขาย 40,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เนื่องจาก บจ. สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้กำไรจากการดำเนินอยู่ที่ 3,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิรวม 2,153 ล้านบาท ลดลง 32% เนื่องจากในไตรมาส 1/2565 บจ. มีฐานสูงจากการขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 และมี บจ. ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมมีกำไรจากรายการพิเศษมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท ทั้งนี้ หากตัดรายการพิเศษของทุกบริษัทออก กำไรสุทธิรวมเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 34%

“ไตรมาส 1/2566 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายเติบโตตามการฟื้นตัวภายในประเทศภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย นอกจากนี้ บจ. ใน mai สามารถควบคุมสัดส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายได้ดี ทำให้อัตราการทำกำไรของ บจ. เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มเทคโนโลยี” นายประพันธ์กล่าว

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 324,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และโครงสร้างเงินทุนรวมดีขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า ลดลงจากเมื่อสิ้นปี 2565 ที่เท่ากับ 0.82 เท่า

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 206 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2566) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 484.95 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 479,383 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,973 ล้านบาทต่อวัน

ซีพีเอฟจิตอาสา รวมพลังรักษาสมดุลระบบนิเวศป่าชายเลน และความหลากหลายทางชีวภาพ

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผนึกความร่วมมือพนักงานในองค์กร “ลงมือทำ” เพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศป่าชายเลน และความหลากหลายทางชีวภาพ ทำกิจกรรมสร้างบ้านปลาเพื่อเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน เก็บขยะป่าชายเลน และซ่อมแซมสะพาน ณ ศูนย์การเรียนรู้ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลนปากน้ำประแส จังหวัดระยอง หนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ฟื้นฟูป่าชายเลน ในโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2566 ซีพีเอฟจิตอาสาจากสายธุรกิจต่างๆ ประมาณ 130 คน ทำกิจกรรมสร้างบ้านปลาใหม่ 2 จุด ด้วยการขุดดินเป็นแอ่งและล้อมด้วยไม้ไผ่ ขุดลอกดินที่ทับถมบ้านปลาของเดิมที่มีอยู่ 4 จุด กิจกรรมเก็บขยะบริเวณภายในและโดยรอบ ศูนย์การเรียนรู้ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลนปากน้ำประแส รวมทั้งกิจกรรมซ่อมแซมสะพานศูนย์การเรียนรู้ ฯ ความยาวประมาณ 300 เมตร โดยมี นายตรัยกัญจนภูมิ พรนิยมสิริ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลนพื้นที่ภาคตะวันออก(จังหวัดระยอง) นายสุธี สมุทระประภูต ผู้อำนวยการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและปกป้องฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซีพีเอฟ นำพนักงาน ชุมชนตำบลปากน้ำประแส และนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม พร้อมด้วยสมาชิกของวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส ร่วมกิจกรรม

นายตรัยกัญจนภูมิ พรนิยมสิริ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลนพื้นที่ภาคตะวันออก(จังหวัดระยอง) ของซีพีเอฟ กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้ เกิดจากความตั้งใจของพนักงานซีพีเอฟซึ่งมาจากหลายสายธุรกิจ เห็นความสำคัญของการสร้างสมดุลระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีพีเอฟทำธุรกิจผลิตอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นต้นทางของวัตถุดิบที่ เราต้องปกป้อง รักษา ดูแล ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้และป่าชายเลน

พื้นที่ ต.ปากน้ำประแส จ.ระยอง เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของซีพีเอฟ ในโครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนรวม 614 ไร่ ปัจจุบัน นอกจากดำเนินการสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว ได้ต่อยอดเป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดระยอง และซีพีเอฟยังได้สนับสนุนการรวมตัวของชุมชนตำบลปากน้ำประแส พัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟ มีเป้าหมายเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในการลงมือทำ อาทิ โครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2557 โดยระยะที่หนึ่ง (ปี 2557- 2561)ของโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จังหวัดไปแล้วรวม 2,400 ไร่ ปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่สอง (ปี2562 –2566 ) มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนเพิ่มเติมอีก 2,800 ไร่ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง และตราด

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวแคมเปญ ‘MTL Big Thanks…GIVE = GIFT’ ลูกค้าลุ้นรับรางวัลกว่า 8 แสนบาท

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดตัวแคมเปญใหญ่สำหรับปี 2566 “MTL Big Thanks…GIVE = GIFT เพราะความสุขคือการให้” เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมืองไทยประกันชีวิตผ่านการมอบเสียงประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการช่องทางต่างๆ เพื่อให้บริษัทฯ นำเสียงเหล่านั้นไปพัฒนาและปรับปรุงการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงลูกค้าที่ขอสมัครรับเอกสารที่บริษัทฯ ออกให้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยกันลดการใช้กระดาษ ร่วมกันลดโลกร้อน และพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับและแลกคะแนนสะสม Smile Point ในโครงการแสงแก้ว เพื่อสมทบทุนผ่าตัดต้อกระจกให้กับผู้สูงอายุ ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ให้ลูกค้าสามารถลุ้นรับรางวัล อาทิ การสมัครเข้าร่วมโครงการ Voice Biometrics และลงทะเบียนเสียงสำเร็จ การทำธุรกรรมผ่านระบบบริการข้อมูลทางโทรศัพท์อัตโนมัติ ทั้งหมดนี้คือความพิเศษที่เมืองไทยประกันชีวิตสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อมอบให้กับลูกค้าทุกท่าน โดยเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สามารถเข้าร่วมแคมเปญ “MTL Big Thanks…GIVE = GIFT เพราะความสุขคือการให้” ได้ตั้งแต่ วันนี้ ถึง 31 ธ.ค. 2566 โดยจับสลากรางวัลภายในวันที่ 21 ก.พ. 2567 ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ และประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลในวันที่ 28 ก.พ.2567 ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมแคมเปญ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงรายละเอียดของรางวัลมูลค่ากว่า 800,000 บาท เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th

“จุดยืนในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพของเราไม่ใช่แค่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่เราจะคิดเผื่อไปมากกว่านั้น และสิ่งที่เรานำมามอบให้แก่ลูกค้าไม่ใช่แค่เรื่องของประกัน การเคลม หรือการติดต่อตัวแทนประกันชีวิต แต่เป็นการดูแลลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ที่ถูกออกแบบโดยการคิดเผื่อรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิต” นายสาระ กล่าว

AIS The StartUp คว้ารางวัล “Friends of Maker Awards 2023” เพื่อนคู่คิดเคียงข้างผู้ประกอบการ

0

จากความตั้งใจของ AIS The StartUp ที่มุ่งนำขีดความสามารถของดิจิทัลโครงข่าย และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม รวมถึงองค์ความรู้แขนงต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เข้าผลักดันและสนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการ Digital Startup และ Tech SMEs ไทย ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Partnership for Inclusive Growth” ทำให้สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup) มอบรางวัล Friends of Maker Awards 2023 สาขา The Corporate Connector จากเวที Makers United 2023 ให้กับ AIS The StartUp ในฐานะองค์กรภาคเอกชนที่สนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ภายใต้บริบทของตลาดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นับเป็นรางวัลที่ตอกย้ำเป้าหมายการทำงานของ AIS The StartUp ที่พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดที่จะร่วมกันสร้างการเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้าน AIS The StartUp กล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณทางสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยที่มองเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานของ AIS The StartUp ที่วันนี้เราเข้าไปเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต เป็นเสมือนกับเพื่อนคู่คิดของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพของไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี และการได้รับรางวัล Friends of Maker Awards 2023 ในครั้งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนในการสร้างการเติบโตแบบร่วมกันแบบ Partnership for Inclusive Growth

โดยวันนี้เราได้ผลักดันและสนับสนุนผู้ประกอบการทั้ง Digital Startup และ Tech SMEs ให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจมาแล้วมากมาย ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านั้นได้ต่อยอดธุรกิจ สร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรม จนผู้ประกอบการเหล่านั้นกลายเป็นส่วนผสมสำคัญที่ช่วยทำให้ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศเติบโตและขับเคลื่อนไปได้”

ทางด้าน ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup) กล่าวว่า “ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง Startup Ecosystem ที่แข็งแรง รวมถึงผลักดันให้เกิดคอมมูนิตี้และคอนเนคชั่นเพื่อต่อยอดธุรกิจกับอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงกลุ่มนักลงทุน ที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพเติบโตอย่างได้ยั่งยืน ซึ่งวันนี้เราเห็นความตั้งใจของภาคเอกชนอย่าง AIS ในการสนับสนุนสตาร์อัพไทย ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครื่องมือด้านดิจิทัลใหม่ๆ หรือแม้แต่การเชื่อมต่อโอกาสในการขยายธุรกิจ ที่จะช่วยเสริมขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ จึงเป็นเหตุผลที่ในปีนี้คณะกรรมการสมาคมฯ ได้จัดงานประกาศรางวัล Makers United 2023 งานที่ยกย่องเชิดชูบุคคลที่มีส่วนสำคัญต่อวงการสตาร์ทอัพไทย และได้มอบรางวัล Friends of Maker Awards ให้กับ AIS The StartUp ในฐานะภาคเอกชนที่สนับสนุนการทำงานของอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมาอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับเวที Makers United 2023 ถูกจัดขึ้นเป็นปีแรกโดย สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย เป็นเวทีที่มอบรางวัลให้กับองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมต่อผู้ประกอบการเข้ากับองค์กรใหญ่และสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้เป็นอย่างชัดเจน โดยมีการตัดสินด้วยวิธีการคัดเลือกจากคณะกรรมการสมาคมฯ ผู้บริหาร และผู้ทรงคุณวุฒิ ในวงการ

โดยรางวัล Friends of Maker Awards 2023 สาขา The Corporate Connector ที่ AIS The StartUp ได้รับในปีนี้ มีหลักเกณฑ์ที่สมาคมฯ ใช้ในการคัดเลือกตัดสิน คือองค์กรต้องสามารถสร้างคุณค่าและสร้างมูลค่าใหม่ให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพผ่านการสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการทำงานและเป้าหมายของ AIS The StartUp อย่างชัดเจนในทุกมิติ ทำให้การได้รับรางวัลจาก สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย ในครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS The StartUp ในการทำงานเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและ Startup Ecosystem ให้เกิดการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

รู้เก็บรู้ออม : ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ.ชลบุรี

0

บทบาทของ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ในการเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เรื่องการเงินการลงทุนให้กับประชาชน ที่ได้ทำมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งการมีส่วนร่วมกับอีเวนต์การเงินการลงทุนต่างๆ, การพัฒนาเว็บไซต์ SET INVESTNOW แหล่งรวบรวมความรู้เรื่องการเงินการลงทุนสำหรับผู้สนใจทุกวัย, การผลิตหลักสูตรการเรียนการสอนออกมามากมายผ่าน SET e-Learning, ห้องเรียนผู้ประกอบการ และยังมีการจัดอบรมให้ความรู้ให้กับหน่วยงานที่สนใจ, การเปิดให้บริการห้องสมุดมารวยให้ประชาชน ผู้สนใจ เข้ามาใช้บริการค้นหาความรู้

พูดได้ว่าการเผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯได้ผ่านช่องทาง และรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และออนไซต์ ออฟไซต์ กันเลยทีเดียว

ล่าสุดกับโอกาสครั้งสำคัญของชาวชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้ส่งตรงความรู้และโอกาสการลงทุนไปถึงมือ โดยการจัด “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ.ชลบุรี” ในวันเสาร์ที่ 27 พ.ค.66 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ที่โรงแรมโนโวเทล มารีน่า ศรีราชา จ.ชลบุรี

ใครอยาก “เดินหน้าหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้น” ต้องมางานนี้ งานเดียวครบและจบ อัดแน่นเต็มวันกับการเสวนา สัมมนา จากนักลงทุนชั้นนำ ในหัวข้อที่น่าสนใจ ช่วงครึ่งเช้า “ค้นหาเทคนิคลงทุนแบบมือใหม่ ฉบับ VI : เริ่มง่าย ทำได้จริง” โดยคุณนิ้วโป้ง “อธิป กีรติพิชญ์” เพจนิ้วโป้ง Fundamental VI และหัวข้อ “ลงทุนให้ทันเทรนด์ : ค้นหาสินค้าใหม่&เครื่องมือไหน คือตัวช่วย” โดยคุณสมเกียรติ สุขเสรีกุล เจ้าของเพจ iSalaryman และ “เฟิร์น ศิรัถยา” จากเพจ Wealth Me Up จะมาแนะวิธีการเทรดออนไลน์ แบบ Step to Step และสินค้าใหม่น่าลงทุน

ส่วนครึ่งบ่าย ลอง “สร้างพอร์ตตามสไตล์ให้เหมาะกับตัวเอง” ว่าต้องเริ่มแบบไหน ลงทุนเท่าไหร่ ต้องลงทุนในอะไร งานนี้มีคำตอบ ปิดท้ายด้วยการเจาะหุ้นเด็ด มือใหม่ และหุ้นธีมเด่น ปันผลดี หุ้นเมกะเทรนด์ หุ้นยั่งยืน หุ้นเติบโตรับ EEC ในรูปแบบ Investment Game Show

ภายในงานยังมีโบรกเกอร์ชั้นนำ 18 แห่งมาเปิดบูธ พร้อมให้คำปรึกษา วางแผนลงทุน และเปิดบัญชีลงทุนได้เลย พร้อมโปรโมชันพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้างานได้แล้วพร้อมรับกระเป๋า investnow และปากกา Bull Ranger ที่นี่ https://forms.office.com/r/vMvafNYGSH

พิเศษสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs, Startup จ.ชลบุรี และใกล้เคียง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี จัดสัมมนาพิเศษ “เพิ่มโอกาสธุรกิจ เพิ่มโอกาสลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ mai-LiVEx” ตั้งแต่ 14.00-15.30 น. ห้องเจิมจอมพล ชั้น 2 โรงแรมโนโวเทล ศรีราชา จ.ชลบุรี มารับทราบมุมมอง และข้อมูลของ “ตลาดทุนกับโอกาสเติบโตของธุรกิจที่คิดการใหญ่” และ “การระดมทุนและบทบาทของบริษัทจดทะเบียน” ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ https://forms.office.com/r/HihHA3hYQP

ผู้สนใจทั่วไป นักลงทุน และผู้ประกอบการที่อยู่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ใกล้เคียง ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รองนายกฯ จุรินทร์ ชมบูธ CPF ส่งมอบอาหารคุณภาพสู่ทั่วโลก หนุนการบริโภคอย่างยั่งยืน

0

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เยี่ยมชมบูธ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 ภายใต้แนวคิด “RE-IMAGINE THE FUTURE FOOD” มุ่งสู่การบริโภคอย่างยั่งยืนในอนาคต ตาม 3 เสาหลัก ได้แก่ นวัตกรรม (INNOVATION) สุขภาพ (WELLNESS) และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลก (PLANET) เพื่อก้าวเป็น “ศูนย์กลางด้านอาหารของโลก” โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ให้การต้อนรับ

ไฮไลท์ของบูธซีพีเอฟ คือ ไส้กรอกอกไก่พริกไทยดำ แบรนด์ “CP FI-IT” (ซีพี ฟิ-อิต) สามารถคว้ารางวัล “สุดยอดนวัตกรรมอาหาร” หรือ THAIFEX – Anuga Taste Innovation Show 2023 ขณะเดียวกัน ยังได้รับรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2023” หรือ Superior Taste Award 2023 จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อาหารที่ทันสมัยผนวกกับหลักโภชนาการที่ถูกต้อง คัดสรรเนื้ออกไก่คุณภาพเป็นวัตถุดิบหลัก ให้โปรตีนสูง เทียบเท่ากับไข่ขาว 5 ฟอง ไขมันและโซเดียมลดลง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารนำเข้า-ส่งออก คัดสรรเป็นพิเศษจากทั่วทุกมุมโลก

สำหรับปีนี้ บูธซีพีเอฟ แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 6 โซน ได้แก่

1.) ผลิตภัณฑ์อาหารนำเข้า-ส่งออก คัดสรรเป็นพิเศษจากทั่วทุกมุมโลก อาทิ ซีพี-อูโอริกิ ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง CPFGS และ อูโอริกิ บริษัทจัดจำหน่ายปลาทะเลสดชั้นนำอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น เนื้อวัวจากออสเตรเลีย และเนื้อแกะจากนิวซีแลนด์

2.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มของสด แบรนด์ U FARM ได้แก่ “ไก่เบญจา” และ “หมูชีวา” พร้อมทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู และไข่สด จาก “CP SELECTION” ที่ยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น ด้วยนวัตกรรมโปรไบโอติก พลัส ในอาหารสัตว์ เสริมภูมิคุ้มกันให้หมูและไก่แข็งแรงตามธรรมชาติ 100% ปลอดสาร ปลอดภัย

3.) ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช แบรนด์ MEAT ZERO ผลิตจากนวัตกรรม Plant-Tec เทคนิคการสร้างรสสัมผัสเสมือนเนื้อสัตว์จริง

4.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน ได้แก่ ข้าวกะเพราไก่ ไส้กรอกแฟรงค์ไก่รมควันหนังกรอบ BKP ที่ได้รับรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2023” รวมถึงไส้กรอกซีพี ชิกเก้นแฟรงค์และชิกเก้นแฟรงค์พริก ที่คว้ารางวัลดังกล่าว ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน

5.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ INNOWENESS เปิดตัว “Nutrimax” ซุปไก่ผสมฟักทองและไข่ อาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน พัฒนาร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ มีโปรตีนจากอกไก่และไข่ และ “Fito Puree” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำผักและผลไม้รวมผสมวิตามิน มีสารอาหารกลุ่มไฟโตนิวเทรียท์

6.) ผลิตภัณฑ์กลุ่ม COOKING HELPER by CP รวมซอสหลากหลายรสชาติที่ช่วยให้การปรุงอาหารเป็นเรื่องง่ายและสะดวกขึ้น

สำหรับ บูธ CPF หมายเลข S01 เปิดให้คู่ค้าและพันธมิตรร่วมเจรจาธุรกิจ ได้ตั้งแต่วันที่ 23-26 พฤษภาคม 2566 และเปิดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่ 10.00-20.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2 ประตู 3 ศูนย์การค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ขยายเครือข่ายต้นกล้าไร้ถังสู่ 524 โรงเรียนทั่วประเทศ ส่งแนวคิด “เปลี่ยนขยะเป็นทรัพย์สิน” สู่เยาวชน-ชุมชน

0
การเดินหน้าบูรณาการหลักสูตรการศึกษาให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมตระหนักและใส่ใจสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน ผ่านโครงการ “ต้นกล้าไร้ถัง” ยังคงเป็นโครงการที่ ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ให้การสนับสนุนและเดินหน้าขยายเครือข่ายต่อเนื่องมุ่งสู่ 524 โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมีส่วนช่วยคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ผ่านกระบวนการรียูส รีไซเคิล และอัพไซเคิล จัดการ​วัสดุอินทรีย์ สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน พร้อมขยายสู่ชุมชน

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2566 โครงการต้นกล้าไร้ถังได้ดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 4 มีโรงเรียนเข้าร่วม​ 21แห่ง ส่งผลให้มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการสะสมรวมทั้ง 4 รุ่นจำนวน 524 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED จำนวน 179 แห่ง และโรงเรียนนอกโครงการ CONNEXT ED จำนวน 345 แห่ง สำหรับผลสำเร็จของการดำเนินโครงการทั้ง 3 รุ่นที่ผ่านมาสามารถช่วยลดปริมาณขยะเหลือ 20 -30% ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 161 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 11,421 ต้น และขยายผลไปยังสถานศึกษาและชุมชนรวมกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ

“จากโครงการเล็กๆ ของโรงเรียนอนุบาลทับสะแก อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันนี้โครงการต้นกล้าไร้ถังได้รับการขยายผลจนเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง หลายโรงเรียนนำโครงการนี้ไปต่อยอด จนสามารถลดปริมาณขยะได้อย่างน่าพึงพอใจ เช่น โรงเรียนวัดนาคู (จันทศึกษาคาร) อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่สามารถลดปริมาณขยะได้ 70% ภายในระยะเวลา 1 ปีการศึกษา กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขยะประจำภาคกลาง ให้โรงเรียนอื่นๆ สามารถเข้ามาดูงานได้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของโครงการ CONNEXT ED ที่ซีพี ออลล์ ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนขยายเครือข่าย นอกจากจะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชน ผ่านกระบวนการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี องค์ความรู้ที่เด็กๆได้รับยังถูกส่งต่อกลับสู่ชุมชนอีกด้วย” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ซีพี ออลล์ ในฐานะพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนโครงการต้นกล้าไร้ถัง โรงเรียนอนุบาลทับสะแก มาโดยตลอด จึงขอยืนหยัดให้การสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพลังในการขับเคลื่อนสำนึกรักสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนซึ่งเปรียบได้กับต้นกล้า ที่พร้อมจะเติบโตเป็นไม้ใหญ่ในอนาคต ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน”

ด้าน นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการต้นกล้าไร้ถังรุ่นที่ 4 มีเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วมเพิ่ม 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1.บริษัท เจเนซิส เอกซ์ จำกัด สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับขยะเศษอาหาร (Food Waste) รีไซเคิลขยะอินทรีย์ ด้วยการนำเศษอาหารมาเลี้ยงหนอนแมลงทหารดำ (Black Soldier Fly) เพื่อนำหนอนไปเลี้ยงสัตว์อื่นต่อ เช่น ไก่ ปลา ให้สัตว์ได้รับโปรตีนสูง เพิ่มคุณภาพไข่และปลาให้มีน้ำหนักดีขึ้น และ 2.สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้การสนับสนุนองค์ความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะ และ 3.บริษัท​ เทคแคร์โซลูชั่น​ จำกัด​ ผู้ร่วมพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลการจัดการขยะ​ พร้อมร่วมกับ 10 ภาคีด้านการจัดการขยะในปีที่ผ่านมาได้แก่ 1.บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC 2.บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP 3.บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด (Unilever) 4.บริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค จำกัด 5.บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ แคน จำกัด 6.บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด 7.กลุ่มอำพลฟูดส์ (Amphol Foods Group) 8.บริษัท สถานีรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์สุวรรณภูมิ จำกัด 9.บริษัท อีโค่ เฟรนด์ลี่ ไทย จำกัด และ 10.วัดจากแดง ส่งผลให้ภาคีเครือข่ายต้นกล้าไร้ถังมีสมาชิกทั้งสิ้น 13 องค์กร และในอนาคตคาดว่าจะมีพันธมิตรใหม่ๆ เข้ามาร่วมกันยกระดับระบบนิเวศและเครือข่ายการจัดการขยะของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นางวันทนา มุลเมืองแสน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านมาบฟักทอง จ.ชลบุรี หนึ่งในโรงเรียนสมาชิกใหม่ของภาคีเครือข่ายต้นกล้าไร้ถัง รุ่นที่ 4 กล่าวเสริมว่า ขยะ คือหนึ่งในปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม หากเยาวชนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญเรื่องการกำจัดขยะอย่างถูกวิธีก็จะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับเยาวชน และโครงการต้นกล้าไร้ถังถือเป็นโครงการที่จะช่วยให้เยาวชนรู้จักใช้วัสดุให้คุ้มค่าที่สุด ช่วยลดปริมาณขยะในโรงเรียน ปลูกจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมให้เด็กๆ

ด้าน นางจิดาภา บูรณ์เจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีไผทสมันต์ จ.สุรินทร์ หนึ่งในโรงเรียนสมาชิกใหม่ของภาคีเครือข่ายต้นกล้าไร้ถัง รุ่นที่ 4 กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงเรียนอยู่ในโครงการสวนพฤกษศาสตร์ มีพื้นที่สวนป่าและพื้นที่โรงเรียนรวมกันกว่า 273 ไร่ ดำเนินโครงการเกี่ยวกับการกำจัดขยะผ่านหลักสูตรการเรียนรู้อยู่แล้ว เช่น ชุมนุมไร้ค่าพารวย โดยให้เด็กๆ คัดแยกวัสดุเหลือใช้และนำมาให้โรงเรียนจำหน่ายให้ผู้รับซื้อ เด็กๆ จะมีรายได้จากการขายวัสดุเหลือใช้ หรือการนำเศษใบไม้มาทำเป็นปุ๋ยเพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับนักเรียน และการที่โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการต้นกล้าไร้ถัง จะช่วยเสริมศักยภาพและองค์ความรู้เรื่องการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและการใช้ประโยชน์จากขยะ ผ่านการบูรณาการหลักสูตรให้กับนักเรียน นอกจากจะช่วยลดปัญหาขยะแล้วยังช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้กับนักเรียนในอนาคต

“โครงการต้นกล้าไร้ถัง” เป็นการนำโมเดลการจัดการขยะแบบ “ทับสะแกโมเดล” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดปริมาณขยะจาก 15 ตัน/เดือนเหลือเพียง 2 กิโลกรัม/ เดือน ปลูกฝังเยาวชนให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะ รียูส รีไซเคิล อัพไซเคิล และมีส่วนร่วมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางภายในโรงเรียน รวมทั้งสร้างรายได้จากการคัดแยกขยะ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนหันมาคัดแยกขยะอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นำสิ่งที่เป็นวัสดุอินทรีย์ วัสดุรีไซเคิล ส่งต่อไปยังหน่วยงานและกระบวนการจัดการขยะที่เหมาะสม สร้างรายได้กลับเข้าสู่โรงเรียนและชุมชน และทำให้โรงเรียนกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อส่งต่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะไปยังชุมชนใกล้เคียงโรงเรียน ปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นร่วมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง โดยทางภาคีจะสนับสนุนงบประมาณ และองค์ความรู้ มีคู่มือการดำเนินงาน การจัดฝึกอบรม การลงพื้นที่ และการติดตามผลอย่างใกล้ชิด

ครั้งแรกในไทย!! โฆษณาสุดล้ำ ซีพีโบโลน่าพริก พร้อมสัมผัส 5 มิติ ทะลุจอในโรงหนัง 4D

0

ซีพีเอฟตอกย้ำความสำเร็จแคมเปญ “สายดื่มต้องมี ซีพี โบโลน่าพริก” ผ่านหนังโฆษณาที่เล่าเรื่องความอร่อยได้ครบทั้ง 5 มิติ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เป็นครั้งแรกในประเทศไทย มาพร้อมพรีเซ็นเตอร์สุดแซ่บ พีพี-กฤษฏ์ อํานวยเดชกร ที่ทั้งแซ่บและร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ โดยชวนกลุ่มลูกค้าแฟนคลับของ พีพี และซีพี โบโลน่าพริก ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ไปกับอีเว้นท์ “CP BOLOGNA SPICYNEMA” ชมโฆษณา 5 มิติดังกล่าว ให้ได้แซ่บและอร่อยฟินก่อนใครในโรงภาพยนตร์ 4D

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุดด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การเปิดตัวแคมเปญ “สายดื่มต้องมี ซีพี โบโลน่าพริก” เมื่อครั้งก่อน บริษัทได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีมาก เห็นได้จากยอดขายของ ซีพี โบโลน่าพริก ซึ่งเป็นสินค้าขายดี มียอดขายเป็นอันดับ 1 นั้น มียอดการเติบโตแบบ double digits

“จุดเริ่มต้นของแคมเปญนี้ พัฒนามาจาก real consumer insight คือแฟนตัวจริงของ ซีพี โบโลน่าพริกที่บอกเราว่าชอบทาน ซีพี โบโลน่าพริกเป็นกับแกล้ม เพราะรสชาติอร่อยแซ่บ เนื้อเนียนแน่นเด้งของ ซีพี โบโลน่าพริกนั้น เข้ากับรสชาติของเครื่องดื่มได้ดีมาก จึงจุดประกายไอเดียว่า จริงๆ คนไทยเป็นสายดื่มอยู่แล้ว น่าจะแชร์ไอเดียนี้ให้ได้รู้ได้ลองด้วย ในที่สุดแคมเปญดังกล่าวก็ได้รับการตอบรับอย่างดีมาก ครั้งนี้เราจึงตอกย้ำแคมเปญ “สายดื่มต้องมี ซีพี โบโลน่าพริก 2.0” ด้วยความพิเศษสุดเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าของเรา” นางสาวอนรรฆวีกล่าว

เมื่อการรับประทาน ซีพี โบโลน่าพริกคู่เครื่องดื่มที่ชื่นชอบมอบความฟินอย่างที่สุดให้สายดื่ม พรีเซ็นเตอร์ที่เลือกต้องทั้งฟินและแซ่บสุดๆไม่แพ้กัน นาทีนี้ต้องยกให้ พีพี-กฤษฏ์ อํานวยเดชกร นักร้อง นักแสดง ที่กำลังได้รับความนิยมร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ความอร่อยแซ่บฟิน จากการเลือก ซีพี โบโลน่าพริก กินแกล้ม คู่เครื่องดื่มโปรด ซึ่งในหนังโฆษณาที่เล่าเรื่องความอร่อย 5 มิติ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของ ซีพี โบโลน่าพริก พีพีก็สามารถถ่ายทอดความอร่อยแซ่บออกมาได้อรรถรสมาก เรียกเสียงฮือฮา เป็นกระแสจน #ซีพีโบโลน่าพริกxพีพี ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ในช่วงเปิดตัว

ไม่เพียงเท่านั้น ซีพีเอฟยังจัดอีเว้นท์สุดปัง “CP BOLOGNA SPICYNEMA” ให้แฟนคลับของพีพี และซีพี โบโลน่าพริก ได้สัมผัสปรากฎการณ์พิเศษในการชมโฆษณาที่น่ากินที่สุดแบบ 5 มิติครั้งแรกในประเทศไทย! เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยแซ่บทะลุจอของ ซีพี โบโลน่าพริก ในโรงภาพยนตร์ 4D ให้แฟนคลับสามารถรับอรรถรสความอร่อยแซ่บได้เต็มๆ กับภาพซีพีโบโลน่าพริกสุดน่ากิน ผ่านจอขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอมพริกและเครื่องเทศของซีพีโบโลน่าพริกออกมา พร้อมๆ กับ เสียง “พีพี” กัดและเคี้ยวโบโลน่า ผ่านระบบเสียงแบบ Dolby Atmos สัมผัสได้ถึงความแน่นเด้งของของ ซีพี โบโลน่าพริก ขณะที่เก้าอี้นั่งจะเด้งไปด้วย ปิดท้ายด้วยมิติที่ 5 ให้ผู้ชมได้สัมผัสรสชาติแซ่บๆของซีพี โบโลน่าพริก ที่นำมาแจกให้ชิมกันถึงในโรงภาพยนตร์

ด้านพีพีกล่าวว่า “ดีใจมากที่ได้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ซีพี โบโลน่าพริก เพราะเป็นของโปรดของพีพีมานานแล้ว ก็อย่างที่มีคนถามในงานแฟนมีตว่า “กินเผ็ดแล้วมันดียังไง?” พีพีตอบเร็วมากแบบไม่คิดว่า “ก็มันแซ่บอะ” ตอนนั้นพีพียังไม่เคยลองทานคู่เครื่องดื่มนะ แต่พอได้ลองทาน ซีพี โบโลน่าพริก คู่กับเครื่องดื่มโปรด คือเปิดโลกมาก มันดีมาก แบบแซ่บ ซ่า เข้ากันสุดๆ เลยอยากจะชวนทุกคนไปลองทานกันครับ เชื่อพีพีเถอะ ลองซื้อซีพี โบโลน่าพริก แล้วทานคู่เครื่องดื่มโปรด แล้วจะติดใจ เพราะมันแซ่บมากกก”

นอกจากนี้ ยังมีการโฆษณาแคมเปญนี้ผ่านสื่อกลางแจ้งที่มีการใช้เทคนิคภาพ 3 มิติ เพื่อสื่อเรื่องความอร่อยแซ่บของ ซีพี โบโลน่าพริกแบบไม่ธรรมดา สร้างความแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจให้กับผู้บริโภค กับ โบโลน่าชิ้นใหญ่และพริกสด เด้งทะลุจอทั่วประเทศไทย ควบคู่ไปกับ โฆษณาทางโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์อื่นๆ

“ซีพี โบโลน่าพริก” กับแกล้มที่เข้ากันสุดๆ กับเครื่องดื่มที่ทุกคนโปรดปราน ชวนสัมผัสประสบการณ์ความแซ่บแบบ 5 มิติได้ง่ายๆใกล้ๆบ้าน วางจำหน่ายแล้วที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น โลตัส แม็คโคร และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ