Home Blog Page 160

ออมสินใจดี จัดให้ “สินเชื่อเคหะบ้านหลังแรก” ผ่อนสบาย ฟรีค่าใช้จ่าย

0

??‍♀️ เริ่มต้นทำงาน ก็มีบ้านหลังแรกได้ง่าย ๆ ออมสินใจดีจัดให้…มีบ้านหลังแรกง่าย ๆ ผ่อนสบาย ฟรีค่าใช้จ่าย

กับสินเชื่อเคหะบ้านหลังแรก

? ผ่อนต่ำล้านละ 4,000 บาท/เดือน (3 ปีแรก)

? ดอกเบี้ยคงที่ 3.990% ต่อปี (3 ปีแรก)

? ฟรี‼ ค่าจัดทำนิติกรรมสัญญา ค่าบริการสินเชื่อ และสนับสนุนค่าจดจำนอง

? ยื่นกู้ได้ตั้งเเต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2566

คุณสมบัติผู้กู้ 

  1. เป็นผู้ฝากเงินประเภทเผื่อเรียกของธนาคาร
  2. มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี
  3. มีอาชีพและรายได้แน่นอน
  4. การกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขดังนี้
    • 4.1 กู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้
    • 4.2 กู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจาก (4.1) ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 29 กันยายน 2566
?? สมัครคลิก > https://bit.ly/3q81g9U
หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
⚠️ *เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

AIS SME ผนึกพันธมิตร เปิดตัวความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม

0

AIS เดินหน้านำศักยภาพความแข็งแกร่ง ติดปีกให้ผู้ประกอบการ SME ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี เครื่องมือทางการตลาด บริการด้านไอที โซลูชันบนโครงข่ายอัจฉริยะ ทั้งยังจับมือกับพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรมเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจแบบร่วมกัน หรือ ECOSYSTEM ECONOMY ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ (Digital Intelligence Infrastructure) เชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม (Cross Industry Collaboration) รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจ

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “หนึ่งใน Sector ของภาคธุรกิจที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของประเทศ คือ SME หรือ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการกว่า 3.18 ล้านราย ซึ่งเป็น 1 ในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันกลุ่ม SME ก็ยังมีส่วนร่วมในการสร้าง GDP ให้กับประเทศถึง 34.2% ดังนั้นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับการดำเนินธุรกิจผ่านการทำ Digital Transformation ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ SME มีอาวุธใหม่ๆ ในการสร้างโอกาสและการเติบโตในอนาคตได้อย่างยั่งยืน”

จากข้อมูลพบว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ต้องการ อาทิ เครื่องมือหรือแพลตฟอร์มด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง, แพลตฟอร์มค้าขาย online หรือ E-Commerce เพื่อให้เสริมศักยภาพ เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน สามารถลดต้นทุนการดำเนินงาน ขยายช่องทางการขาย หรือแม้กระทั่งการขยายฐานลูกค้าและการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ดังนั้น AIS Business ที่เข้าใจถึงความต้องการดังกล่าว จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่จะช่วยผลักดันและสนับสนุนการเติบโตให้กับผู้ประกอบการ SME ด้วย กลยุทธ์ 7S

AIS SME Mobile Services บริการโทรศัพท์เพื่อการสื่อสาร
AIS SME Internet Services บริการอินเทอร์เน็ต
AIS SME Digital Marketing Services เครื่องมือด้านการตลาดออนไลน์
AIS SME IT & Digital Solutions พัฒนาระบบไอทีหลังบ้าน
AIS SME Full e-Services งานบริการแบบ E-Service ที่อำนวยความสะดวกให้แก่นิติบุคคล
AIS SME Special Privileges สิทธิพิเศษที่ทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้นด้วย AIS SME BIZ UP
AIS SME Strategic Partnership การผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ AIS Business ยังเน้นการสนับสนุน 4 อุตสาหกรรมหลัก SME ได้แก่ การค้า, การผลิต, บริการ, ดิจิทัล/เทคโนโลยี โดย AIS SME ได้จัดทำแพ็คเกจสำหรับผู้ค้า SME ออนไลน์ ให้ได้ใช้แอปถุงเงิน หรือแอป TikTok ในราคาประหยัด, รวมถึงแพ็กเกจ AIS Fibre พร้อมระบบกล้องวงจรปิด เป็นต้น

อย่างการเปิดตัว บริการใหม่ล่าสุด “Yellow B2B2C e-marketplace” โดยความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมระหว่าง AIS และ FTI (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) แพลตฟอร์ม B2B2C e-marketplace ใหม่ล่าสุดที่เร่งส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ให้สามารถต่อยอดธุรกิจทั้งเชิง B2B และ B2C แบบครบวงจร เพิ่มช่องทางให้ SME พบผู้ซื้อทั้งรายใหญ่และรายเล็กได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่าน www.yellow.co.th โดยผู้ซื้อสามารถค้นหาสินค้าและบริการได้ง่ายๆ หรือโพสต์สร้างความต้องการสินค้าหรือบริการ (RFQ Marketplace) เพื่อให้ผู้ขายติดต่อเสนอราคาได้ทันที ผู้ขายยังสามารถเจรจาธุรกิจไปจนถึงปิดการขายได้ผ่านช่องแชท อีกทั้งยังมีเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งบริการนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ได้เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร เพื่อเชิญชวนและเปิดโอกาสให้สมาชิกของสภาอุตสาหกรรมสามารถใช้บริการนี้ได้ด้วยข้อเสนอพิเศษอีกด้วย

สิทธิพิเศษเพื่อลูกค้า SME จาก AIS Serenade และ AIS Points รายแรกและรายเดียวในไทย AIS พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้า SME เพื่อรับสิทธิพิเศษได้แบบจัดเต็มเช่นเดียวกับลูกค้าทั่วไป รวมถึงโปรแกรม AIS SME BIZ UP ที่มาพร้อมความพิเศษที่มากกว่า ทั้งการอัพเดตความรู้ เทรนด์ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจแบบเอ็กคลูซีฟ ส่วนลดค่าสินค้าและบริการจากพันธมิตร ร้านค้า ดังเช่น บริการจาก สตาร์ทอัพในกลุ่ม AIS The StartUp ที่เข้ามาส่งมอบบริการให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงได้ในราคาพิเศษ อาทิ ส่วนลดสุงสุด 20% กับบริการขนส่งออนไลน์ Shippop แพลตฟอร์มด้านการขนส่ง ที่ช่วย SME ในเรื่องการบริหารจัดการขนส่งสินค้า หรือการจัดการเอกสารต่างๆ ให้เหมาะสมกับรูปแบบและระยะเวลาที่ต้องการ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ให้สามารถใช้แพลตฟอร์มบริหารจัดการระบบในร้านอาหารจาก Foodstory ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลของทั้งหน้าร้าน การจัดการสต๊อก รวมถึงระบบ CRM ที่ผู้ประกอบการสามารถใช้งานแพลตฟอร์ม Foodstory ได้ในราคาพิเศษอีกด้วย

“เราเชื่อว่าวันนี้ผู้ประกอบการ SME ไทยมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและจะเป็นกำลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการมีอาวุธดิจิทัลและเทคโนโลยี ก็จะยิ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพของการทำงานให้ก้าวไปอีกขั้น โดย AIS ขอเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้าง พร้อมสนับสนุนให้ SME เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน ผ่านการนำดิจิทัลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อเสริมศักยภาพทางการแข่งขันได้อย่างเต็มที่” นายธนพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย

ซีพีเอฟ คอนเน็กซ์ อีดี โรดโชว์ 9 โครงการต้นแบบ ลงพื้นที่อีสาน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา (Connext ED) สร้างเด็กดี มีความสามารถ ยกทีมคณะผู้บริหารโครงการฯ (PMO )และผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner)ลงพื้นที่ พบปะผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครูกว่า 300 โรงเรียน ในพื้นที่ นครราชสีมา ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ มุ่งยกระดับคุณภาพการจัดการการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาคุณภาพคน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ถอดบทเรียน 9 โครงการต้นแบบสู่ความสำเร็จ เน้นวิชาการ เกษตรอัจฉริยะ และวิชาชีพ

ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา Connext ED และดำเนินการต่อเนื่อง เข้าสู่ปี 2566 เป็นปีที่ 8 จัดกิจกรรม “CPF CONNEXT ED Roadshow” ระหว่างวันที่ 24-26 พฤษภาคม 2566 พบปะผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้แทนครู ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 33 โรงเรียน จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 214 โรงเรียน และจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 55 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เข้าร่วมคอนเน็กซ์ อีดี ภายใต้การดูแลของซีพีเอฟ เพื่อให้ข้อมูลเป้าหมายและยุทธศาสตร์การศึกษา ปีการศึกษา 2566 รวมทั้ง 9 โครงการหลักที่ซีพีเอฟสนับสนุน โดยมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากโรงเรียนที่ดำเนินโครงการคุณภาพที่ประสบความสำเร็จแล้ว

นางสาวพัชมน วงศ์ฝาย รองประธานคณะบริหารโครงการฯ กล่าวว่า กิจกรรม CPF CONNEXT ED Roadshow ในครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่คณะผู้บริหารโครงการ ฯ ได้ชี้แจงเป้าหมายและยุทธศาสตร์การศึกษา ปีการศึกษา 2566 ของมูลนิธิฯ รวมถึงเป้าหมายการยกระดับคุณภาพโรงเรียน (School grading) เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งเป็นโอกาสให้ผู้นำจิตอาสาทุกคน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการวางแผนดำเนินโครงการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนในปีการศึกษา 2566 ร่วมกับผู้อำนวยการและตัวแทนครูในโรงเรียนที่ตนเองรับผิดชอบ

ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้สนับสนุนโครงการคอนเน็กซ์ อีดี ต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 8 โดยปีนีัคณะ PMO ได้เพิ่มความยืดหยุ่นในการนำเสนอโครงการและพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการของโรงเรียน ด้วยโครงการขนาดเล็ก (Small) ขนาดกลาง (Medium) และขนาดใหญ่ (Large) ตามบริบทและตามเป้าหมายของโรงเรียนที่สอดคล้องกับผล School grading โดยจะเปิดรับสมัครขอรับการสนับสนุน ภายในวันที่ 31 พ.ค. 2566 เพื่อให้โรงเรียนเข้านำเสนอต่อคณะกรรมการต่อไป โดยจะประกาศผลการคัดเลือกภายในเดือนสิงหาคม 2566

ปีการศึกษา 2566 ซีพีเอฟได้คัดเลือก 9 โครงการคุณภาพสู่ความสำเร็จ เป็นโครงการต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่่นๆ มุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านเกษตรอัจฉริยะ และด้านวิชาชีพ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ Sustainable Development Goals (SDGs)โดยโครงการต้นแบบด้านวิชาการ เน้นการพัฒนาครูและผู้เรียน การทำสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย และเป็นไปตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย โครงการ Active Learning เป็นการพัฒนาครูและส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม โครงการ นัก Coding น้อย พัฒนาผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบและรู้เท่าทันเทคโนโลยี และโครงการ Smart-Kids English ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนรู้และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในทุกด้านได้

โครงการต้นแบบด้านเกษตรอัจฉริยะ เน้นการทำเกษตรที่นำระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย โครงการฟาร์มไก่พันธุ์ไข่ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพตามหลักโภชนาการและปริมาณที่เพียงพอ โครงการเกษตรผสมผสาน ส่งเสริมการทำเกษตรแบบครบวงจรและยั่งยืน และโครงการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ และการเรียนรู้ด้านโภชนาการอย่างยั่งยืน และด้านวิชาชีพ เน้นการพัฒนาทักษะวิชาชีพ การทำธุรกิจขนาดเล็ก การตลาด เพื่อการประกอบอาชีพที่มั่นคง ประกอบด้วย โครงการร้านกาแฟเด็กน้อย เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะอาชีพจากการลงมือปฏิบัติจริงสู่การเป็นนักธุรกิจน้อย โครงการขนมและเบเกอรี่ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำขนมและเบเกอรี่ และสามารถนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการทำอาหาร โครงการเด็กช่างนักประดิษฐ์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และฝึกฝีมือ ในการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ รับผิดชอบโรงเรียนในโครงการคอนเน็กซ์ อีดี รวมจำนวน 302 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสระบุรี โดยภารกิจหลักในปี 2566 คือ การเพิ่มระดับประเมินคุณภาพด้านการศึกษา 5 ด้าน คือ ด้านผู้เรียน ได้แก่ รอบรู้ทักษะวิชาการ มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ก่อเกิดคุณธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สร้างเสริมสุขภาพดี ตระหนักรู้และสร้างคุณค่าสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ด้านการมีส่วนร่วม สร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม ด้านผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา พัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา เติมเต็มสมรรถนะของครูผู้สอน ด้านหลักสูตรและการสอน หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพส่งเสริมกิจกรรมด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซีพีเอฟ ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนจำนวนโรงเรียนที่มีคุณภาพระดับดี (คะแนน 3.00 ขึ้นไปจาก 5.00) ให้ได้เป็น 80% ในปีการศึกษา 2566

CP Brand x Coke จัดกิจกรรม ‘คู่ที่ใช่ จังหวะไหนก็ชัวร์ ทุกมื้อเบรก Random Dance’ เปลี่ยนสยามสแควร์ เป็นฟลอร์แดนซ์โชว์สเต็ป

0

แบรนด์ ซีพี (CP Brand) ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับ กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย จัดกิจกรรม “คู่ที่ใช่ จังหวะไหนก็ชัวร์ ทุกมื้อเบรก Random Dance” กลางใจสยามสแควร์ ต่อยอดจากแคมเปญ คู่ที่ใช่ “CP-COKE” สร้างโมเมนต์ความสุขทุกมื้อเบรก สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่สนุกกับกิจกรรมยามว่างอย่าง Random Dance ที่เป็นกระแสฮิตของวัยรุ่นทั่วประเทศในตอนนี้

กิจกรรม “คู่ที่ใช่ จังหวะไหนก็ชัวร์ ทุกมื้อเบรก Random Dance” เป็นครั้งแรกของแบรนด์ CP จับมือกับ Coke ที่จัดพื้นที่อิสระกลางใจสยามสแควร์ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบการเต้น มีโอกาสแสดงความสามารถ ใครรู้ท่าให้ออกมาเต้น โชว์สเต็ปกันอย่างเต็มที่ โดยมีแนวเพลงที่หลากหลายทั้ง T-Pop, K-Pop เป็นต้น ได้รับความสนใจจากน้องๆ ทั้งแบบกลุ่มหรือแบบเดี่ยว รวมถึงคนที่ผ่านไปมา ในการสร้างความสุขและสนุกสนาน ภายในงานยังนำ ‘ซีพี ชิกเก้นแฟรงค์’ และ ‘โค้ก’ ไม่มีน้ำตาล คู่ที่ใช่ สำหรับทุกมื้อเบรกมาแจกแก่ผู้ร่วมกิจกรรมได้รับประทาน ไปพร้อมกับทำสิ่งที่ชอบ พัฒนาตามฝันในทุกๆ จังหวะอย่างมั่นใจ

สำหรับ แคมเปญ “คู่ที่ใช่ จังหวะไหนก็ชัวร์ ทุกมื้อเบรก” จัดขึ้นเพื่อเชิญชวนผู้บริโภคจับคู่อาหารสุดพิเศษ อย่าง อาหารทานเล่น ‘ซีพี’ นำโดยสินค้าไส้กรอก กับเครื่องดื่ม ‘โค้ก’ นำโดย โค้ก ไม่มีน้ำตาล ในราคาสุดพิเศษ ซึ่งเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งตอกย้ำในการสร้างทุกมื้ออาหารให้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเร่งด่วนนอกบ้าน หรือมื้อเบาๆ ระหว่างวัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ พร้อมสนุกไปกับทุกกิจกรรมช่วงเบรกอย่าง Random Dance ที่เป็นกิจกรรมติดกระแสของวัยรุ่นทั่วประเทศในตอนนี้

ทั้งนี้ น้องๆ ท่านไหนสนใจมาโชว์และแชร์การคัฟเวอร์ท่าเต้นในแบบ “คู่ที่ใช่ จังหวะไหนก็ชัวร์” สามารถส่งคลิปวิดีโอมาร่วมสนุกกับเพื่อนๆ ผ่านทางแฮชแท็ก #CPxCoke1stRandomDance #มาเต้นกันเถอะ #เต้นกับเพื่อน #RandonDanceกับคู่ที่ใช่จังหวะไหนก็ชัวร์

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “เมืองไทยไตรกีฬา @ ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี 2023” ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินโยบายในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พร้อมสนับสนุนการสร้างสุขภาพดีแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายและประชาชนทุกคน ล่าสุดจัดงาน “เมืองไทยไตรกีฬา @ ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี 2023” (MUANGTHAI TRIATHLON HUAYMAITENG RACHABURI 2023) ณ อ่างเก็บน้ำห้วยไม้เต็ง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คนไทยและชาวต่างชาติออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี รวมถึงเป็นการสร้างและพัฒนาภาคีเครือข่ายการออกกำลังกายด้วยการว่าย-ปั่น-วิ่งเพื่อสุขภาพ และเป็นการยกระดับการจัดการแข่งขันวิ่งประจำจังหวัดราชบุรี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้กับพื้นที่จังหวัดราชบุรีมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ มีนักกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน “เมืองไทยไตรกีฬา @ ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี 2023” จำนวนทั้งสิ้น 422 คน จากหลายประเทศ ทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน และรอยยิ้มจากผู้เข้าร่วมงานที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศบนเส้นทางหลักของการวิ่ง ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศที่บริสุทธิ์ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยไม้เต็ง โดยประเภทการแข่งขันมีทั้งหมด 5 ประเภท สำหรับผู้ใหญ่ 3 ประเภท และสำหรับเยาวชน 2 ประเภท แยกตามประเภทอายุ และระยะทาง ดังนี้

  • 1.ประเภท Standard ว่ายน้ำระยะ 1,500 เมตร/ปั่นจักรยานระยะ 40 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 10 กิโลเมตร
  • 2.ประเภท Sprint ว่ายน้ำระยะ 750 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
  • 3.ประเภท Duathlon (ทวิกีฬา) วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
  • 4.สำหรับเยาวชน ไตรกีฬาเยาวชน (Kids Triathlon)
    • อายุ 6 – 8 ปี ว่ายน้ำระยะ 75 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 2 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
    • อายุ 9 – 10 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 4 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 2 กิโลเมตร
    • อายุ 11 – 12 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 6 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 3 กิโลเมตร
  • 5.สำหรับเยาวชน ทวิกีฬาเยาวชน (Kids Duathlon)
    • อายุ 6-8 ปี วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 2 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
    • อายุ 9-10 ปี วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 4 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
    • อายุ 11-12 ปี วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 6 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 2 กิโลเมตร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน โดยมอบสิทธิพิเศษด้วย ประกันอุบัติเหตุกลุ่มระยะสั้น พลัส “ฟรี” ทุนประกัน 100,000 บาท/คน (เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด) ค่าชดเชยการรักษาพยาบาลสูงสุดต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุด 10,000 บาท โดยความคุ้มครองจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่จัดงานเมืองไทยไตรกีฬา @ ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี 2023 ในระหว่างวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2566

สำหรับแผนงานและเป้าหมายของการจัดการแข่งขันเมืองไทยไตรกีฬาช่วงที่เหลือของปี 2566 อีก 1 สนามคือพื้นที่แหลมเสด็จ จังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการออกกำลังกาย ภายใต้กลยุทธ์ “Happiness Reinvented : เพราะความสุขคือทุกอย่าง… ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต” เน้นเดินหน้าสานต่อความมุ่งมั่นในการสร้างความสุขให้แก่ทุกๆ คน ทั้งลูกค้า พนักงาน พาร์ทเนอร์ และสังคมโดยรวมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ กิจกรรมและการบริการเพื่อส่งมอบความสุขแบบครบวงจรอย่างแท้จริง

ขายยังไงให้ได้ปีละกว่า 230 ล้าน! เจาะความสำเร็จขนมพื้นบ้าน “แม่สุนีย์ ขนมไทย”

0
ยกระดับสินค้าสู่ร้านเซเว่นฯ จัดเต็มนวัตกรรมแบบ “SME โตไกลไปด้วยกัน”  

หากเอ่ยชื่อ “แม่สุนีย์ ขนมไทย” เชื่อว่าบรรดาสาวกขนมไทยในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น คงรู้จักเป็นอย่างดี เพราะนอกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังถือเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่ทำให้ขนมที่คุ้นเคย อาทิ ขนมกล้วย กล้วยปิ้งน้ำตาลมะพร้าว เต้าส่วนทรงเครื่อง เปียกปูนดอกไม้ เป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อ  EZY SWEET สินค้าดาวเด่นที่ต้องจับตามองของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 

เพราะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผู้ประกอบ SME ขนาดเล็กที่มียอดขายเพียงปีละไม่กี่ล้านบาท สู่ผู้ประกอบการ SME ที่มียอดขายสูงถึงกว่า 230 ล้านบาทในปี 2565…เพราะอะไรขนมพื้นบ้านที่ทุกคนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงสามารถสร้างยอดขายได้ปีละหลายร้อยล้านบาท และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ “แม่สุนีย์ ขนมไทย” เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง คงเป็นสิ่งที่หลายคนอยากรู้… 

ใส่ใจ “นวัตกรรม” ให้ความสำคัญ “บุคลากร” 

ก้อง-ก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ “แม่สุนีย์ ขนมไทย” และผู้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET กล่าวว่า หัวใจสำคัญของขนมไทย คือ การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและรักษารสชาติให้ได้มาตรฐานเดียวกันในทุกถ้วย นับตั้งแต่วันแรกที่ออกจากไลน์ผลิตจนครบกำหนด Shelf Life สิ่งที่จะช่วยรักษาคุณภาพมาตรฐานเหล่านี้ได้ คือ “นวัตกรรม” เพราะนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความต่างและความโดดเด่นให้กับตัวสินค้า และเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SME 

ก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด

“เราให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมอย่างมากในทุกขั้นตอนการผลิต เช่น กระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบก็ต้องใช้เครื่องตรวจรับเพื่อให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ เพื่อลดความเสียหายจากวัตถุดิบที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่กระบวนการจัดเก็บก็ต้องจัดเก็บในพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรักษาคุณภาพวัตถุดิบให้สดใหม่ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต เราลงทุนพัฒนาเครื่องจักร เพื่อช่วยเพิ่มนวัตกรรมในขั้นตอนเหล่านี้ไปมากกว่า 40 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานสินค้าสดใหม่เหมือนผลิตในวันแรก” 

อีกเรื่องหนึ่งที่บริษัทให้ความสำคัญควบคู่กัน คือการดูแลและพัฒนาบุคลากร ซึ่งถือเป็น “ซอฟต์แวร์สำคัญ” ขององค์กร ทั้งในเรื่องสวัสดิการและการเพิ่มขีดความสามารถ หรือ Upskill ในเรื่องของเทคโนโลยีตลอดจนระบบงานหลังบ้านต่างๆ หากบุคลากรมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กัน ถือเป็นการช่วยการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับบริษัทในอนาคต 

“พันธมิตรดี” ช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโต 

การที่บริษัทเป็นเพียงผู้ประกอบการขนาดเล็ก การสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ต้องอาศัยพันธมิตรที่ดีช่วยในทุกช่วงการดำเนินงาน นับตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง โดยบริษัทจะรับซื้อวัตถุดิบจากเครือข่ายพันธมิตรเกษตรกรในพื้นที่และนอกพื้นที่ ที่มีการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท เพื่อให้มั่นใจได้ว่าขนมทุกถ้วยและทุกกล่องที่ถูกส่งถึงมือผู้บริโภคจะผลิตจากวัตุดิบชั้นดีมีคุณภาพ ขณะเดียวกัน ด้านการตลาดนั้นยิ่งต้องมีพันธมิตรที่ดีค่อยช่วยสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ข้อมูลที่จำเป็นในการขยายตลาด ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  

“หากเป้าหมายของ SME คือ การสร้างการเติบโตด้านยอดขาย และอยากให้สินค้ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ SME ต้องมองหาคือพันธมิตรที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ และมีองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่จะนำมาช่วยพัฒนาสินค้า เสริมศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งบริษัทก็มีเป้าหมายเช่นนั้น จึงเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จนเกิดมาเป็นสินค้าร่วมพัฒนาภายใต้แบรนด์ EZY SWEET โดยสินค้าตัวล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายคือ เยลลี่บ๊วยน้ำมะนาว เจาะกลุ่มลูกค้าตั้งแต่วัยประถมขึ้นไป ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่สู่กลุ่ม Gen Z จากเดิมกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่ม Gen X, Gen Y และ Baby Boomer ที่มีความคุ้นเคยกับสินค้าอยู่แล้ว” 

ส่งต่อโอกาสสู่ชุมชน เดินหน้าโรงงานสีขาว  

การที่บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะได้รับโอกาสจากทางเซเว่น อีเลฟเว่น แต่การเติบโตเพียงลำพัง อาจทำให้ไม่มั่นคงและยั่งยืน บริษัทจึงส่งต่อโอกาสที่เคยได้รับกลับสู่ชุมชนในทุกมิติ อาทิ สร้างรายได้ให้กลุ่มเกษตรที่บริษัทรับซื้อสินค้าเกษตรมากกว่า 55 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงานในพื้นที่มากกว่า 300 คน เป็นต้น รวมทั้งเดินหน้าสร้างโรงงานสีขาว เพื่อลดขยะ ลดการใช้พลังงาน ลดมลภาวะ เช่น การมอบเศษวัตถุดิบเหลือใช้ให้กับชาวบ้านเพื่อนำไปเลี้ยงสัตว์ฟรี ในอนาคตโรงงานกำลังติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดการใช้พลังงาน และมีระบบการจัดการขยะ-บำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน  

จากเส้นทางการดำเนินธุรกิจตามที่ คุณก้อง เล่าให้ฟังนั้น ถือเป็นตัวอย่าง SME โตไกลไปด้วยกัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากเซเว่น อีเลฟเว่นในการเป็นช่องขายที่สำคัญ นับเป็นสินค้าท้องถิ่นที่โดดเด่นอย่างยิ่งด้านนวัตกรรม ทำให้เห็นได้ว่าสิ่งที่ทำให้ “แม่สุนีย์ขนมไทย” เติบโตได้อย่างต่อเนื่องคือ การให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอนการทำงาน ไม่หยุดที่จะเดินหน้าพัฒนาในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และไม่ลืมที่จะส่งมอบโอกาสกลับสู่สังคมและชุมชน 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ – ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) เปิดตัว 3 DR อ้างอิงหุ้นไทย AOT-CPALL-PTTEP เริ่มซื้อขาย 30 พ.ค. 2566

0
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) เดินหน้าความร่วมมือภายใต้โครงการ DR Linkage ไทย-สิงคโปร์ (Thailand-Singapore DR Linkage) เชื่อมโยงการลงทุนให้ผู้ลงทุนเข้าถึงหลักทรัพย์จดทะเบียนผ่านการซื้อขาย DR (Depositary Receipt) ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ 3 DR แรกอ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียนไทย ได้แก่ AOT, CPALL และ PTTEP ตอกย้ำศักยภาพและความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดภูมิภาค เชื่อมโยงการลงทุนจากต่างประเทศเข้าถึงหุ้นไทย เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ 30 พ.ค. 2566

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange : SGX) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการ “Thailand-Singapore DR Linkage” เชื่อมโยงการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์ เพื่อขยายโอกาสการลงทุนและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ลงทุนเข้าถึงหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ

“ตลาดทุนไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพและอยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก การออก DR ในครั้งนี้ อ้างอิงหุ้นไทย 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) และ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มีศักยภาพการแข่งขันและเป็นธุรกิจที่มีน้ำหนักต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดย DR ทั้ง 3 หลักทรัพย์จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการมีผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน และส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนไทยโดดเด่นยิ่งขึ้นในสายตาผู้ลงทุนอาเซียนและผู้ลงทุนโลก ผ่านสิงคโปร์ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งหนึ่งในภูมิภาค” นายภากรกล่าว

นายหลอ บุญ ไช้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เปิดเผยว่า “การเปิดการซื้อขาย DR อ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียนไทยในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จจากการต่อยอดความร่วมมือ ภายใต้โครงการ DR Linkage ไทย-สิงคโปร์ (Thailand-Singapore DR Linkage) ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนและเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของตลาดทุนอาเซียน ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเชื่อมโยงของทั้งสองประเทศให้สามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาดภูมิภาคที่โดดเด่นและมีศักยภาพ นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายเชื่อมโยงต่างประเทศ”

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ได้เปิดตัวโครงการ DR Linkage ไทย-สิงคโปร์ (Thailand-Singapore DR Linkage) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 โดยเป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่มี
การเชื่อมโยง DR ระหว่างกัน โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย DR ผ่านบริษัทสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ด้วยเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งการซื้อขายจะเป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศที่ DR เข้าจดทะเบียน

สำหรับ DR ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันมี 12 DR อ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียน และ กองทุน ETF ของ ตลาดหลักทรัพย์จีน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ นอกจากนี้ ยังมี 2 DRx ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ บริษัท แอปเปิ้ล อิงค์ และ บริษัท เทสล่า อิงค์ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายโอกาสการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายเล็ก โดยภาพรวมการซื้อขาย DR และ DRx ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 มีมูลค่าการซื้อขาย 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

CPFGS จับมือ Makro จัดงานจับคู่เจรจาธุรกิจ Global Sourcing Business Matching 2023 ขยายโอกาสการค้า เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค

0

บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS โดยบริษัท ซีพีเอฟ ฟู๊ดเน็ทเวิร์ค ร่วมกับ Makro จัดงานจับคู่เจรจาธุรกิจ Global Sourcing Business Matching 2023 ณ โรงแรม แมริออท มาร์คีย์ สุขุมวิท 22 ระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2566 เปิดโอกาสให้คู่ค้า และผู้ผลิตอาหารคุณภาพสูงจากทั่วโลก ได้นำเสนอและแลกเปลี่ยนสินค้าอาหารหลากหลาย แบรนด์ทั่วโลก และเจรจาธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจของ CPFGS Makro รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจอาหาร โรงแรม Food Service ทั้งไทย และต่างประเทศที่สนใจ ซึ่งจะช่วยหนุนประเทศสู่การเป็น Food Hub ของโลก

นายกฤษดา มาไพศาลสิน ผู้อำนวยการ การค้าระหว่างประเทศ เขตอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ซีพีเอฟ ฟู๊ดเน็ทเวิร์ค กล่าวว่า งานในครั้งนี้เป็นการนำศักยภาพของ CPFGS ที่มีเครือข่าย และช่องทางการจำหน่ายทั่วโลก มาช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจให้คู่ค้าของบริษัท จากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจาก ออสเตรเลีย โปแลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ชิลี ประเทศในกลุ่มอาเซียน ฯลฯ ได้มานำเสนอและแลกเปลี่ยนสินค้า และนวัตกรรม กับผู้จัดหาสินค้าที่เป็นพันธมิตรของบริษัทในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยผู้บริโภคชาวไทยมีทางเลือก และสามารถเข้าถึงนวัตกรรมอาหารคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีความตั้งใจว่าจะเป็น Global Trading Platform

ด้านนายริชาร์ด ลัฟเวลล์ ผู้อำนวยการ ซีพีเอฟ ออสเตรเลีย กล่าวว่า บริษัทยึดมั่นในหลักปรัชญาของเครือซีพี คือ หลัก 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ได้แก่ประโยชน์ของประเทศที่ซีพีเข้าไปทำธุรกิจ ประโยชน์ ต่อสังคม และท้ายที่สุดคือประโยชน์ของบริษัท จึงได้การจัดงาน Business Matching ในครั้งนี้ขึ้น เพื่อเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ให้คู่ค้า SMEs จากประเทศต่างๆ ได้เป็นที่รู้จักเติบโตไปร่วมกับบริษัท นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคได้รับประทานสินค้าคุณภาพดี ซึ่งทีมงาน CPFGS ที่รับผิดชอบในแต่ละประเทศได้คัดสรรมาและคิดว่าจะตอบโจทย์ความต้องการคนไทย เช่น ไวน์ และเนื้อสัตว์เกรดพรีเมียม อีกด้วย โดยความพิเศษของงานในครั้งนี้อยู่ที่ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภท ตั้งแต่อาหารทะเลสดๆ อาหารสำเร็จรูป ผลไม้และผัก เครื่องดื่ม ของทานเล่น ไปจนถึงอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง สนับสนุนคู่ค้าเติบโตผ่านช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งของบริษัท

นายสมชัย เกตุขัยโกศล ผู้อำนวยการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด กล่าวว่า งานในครั้งนี้เป็นงานต่อยอดความสำเร็จจากงาน THAIFEX ซึ่งCPFGS ได้จับมือกับ Makro เป็นครั้งที่ 2 และมีซัพพลายเออร์มาออกบูธจากทั่วโลก 45 บริษัทจากหลายประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 30 ราย โดยการจัดงานในครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคู่ค้า ซึ่งได้มีโอกาสเจรจา อย่างใกล้ชิดกับบริษัทในเครือฯ และกิจการซีพีเอฟในต่างประเทศได้มาพบกับผู้ผลิตอาหารจากทั่วโลก

งาน Global Sourcing Business Matching 2023 จัดขึ้น 2 วัน แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจกับบริษัทในเครือซีพี วันที่ 29 พฤษภาคม 2566 และวันเจรจาธุกิจกับคู่ค้าทั่วไป วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ภายในงานนี้ ประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) การออกบูธจัดแสดงอาหารซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วม และพิธีมอบรางวัลให้กับคู่ค้าของ CPFGS และ Makro

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดซื้อขายหลักทรัพย์ STARK ชั่วคราว วันที่ 1 – 30 มิ.ย. 66 ด้วยบัญชี Cash Balance

0


รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่หลักทรัพย์ของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) ถูกสั่งห้ามซื้อขายโดยขึ้น
เครื่องหมาย SP (Suspension) มาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 เนื่องจากไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2565 และปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถนำส่งงบการเงินดังกล่าวและงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งบริษัทได้ชี้แจงความคืบหน้า

ในการดำเนินการต่างๆ ตามที่สำนักงาน ก.ล.ต.สอบถาม โดยคาดว่าจะนำส่งงบการเงินสอบทานประจำปี 2565 ได้ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 แต่หากมีเหตุการณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดความล่าช้าจนบริษัทไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลภายในระยะเวลาข้างต้น บริษัทจะดำเนินการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเร็วที่สุด สำหรับการตรวจสอบธุรกรรมที่อาจมีความผิดปกติ การใช้เงินจากการออกหุ้นกู้และหุ้นเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัด และการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) บริษัทจะชี้แจงข้อมูลต่อไปเมื่อผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วเสร็จ ซึ่งบริษัทจะจัดประชุมเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Public Presentation) ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 (รายละเอียดปรากฏตามข่าว STARK วันที่ 24 และ 26 พฤษภาคม 2566)

ทั้งนี้ การถูกสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ STARK จะครบ 3 เดือนในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะเปิดให้ซื้อขายได้ชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ก่อนที่หลักทรัพย์ STARK จะถูกหยุดพักการซื้อขายต่อโดยจะเปิดให้ซื้อขายเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 1 –30 มิถุนายน 2566 ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

  1. ให้หลักทรัพย์ STARK ซื้อด้วยบัญชี Cash Balance กล่าวคือ ผู้ซื้อต้องชำระเงินทั้งจำนวนก่อนการซื้อหลักทรัพย์
  2. ขึ้นเครื่องหมาย NC กำกับตลอดระยะเวลาที่ให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อเตือนผู้ลงทุนให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์
  3. กำหนดให้การซื้อขายหลักทรัพย์ STARK ในวันแรก (1 มิถุนายน 2566)1/ มีราคาสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) ไม่เกินหนึ่งเท่าจากราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย
  4. ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่นำหลักทรัพย์ STARK มารวมในการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET Index)

เมื่อครบระยะเวลาดังกล่าว (คือ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของ STARK โดยขึ้นเครื่องหมาย SP จนกว่าบริษัทจะนำส่งงบการเงินได้ครบถ้วน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยศึกษาข้อมูลที่บริษัทจะชี้แจงผ่าน Public Presentation และข้อมูลต่างๆ ของ STARK โดยละเอียด เช่น ข่าวย้อนหลัง ฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน ความเห็นผู้สอบบัญชี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คณะกรรมการ เป็นต้น ตลอดจนความเสี่ยงและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูลงบการเงินพร้อมความเห็นผู้สอบบัญชีงวดล่าสุด และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ล่าสุด ที่บริษัทเปิดเผยผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลสำคัญของบริษัทที่ https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/STARK/company-profile/information

ซีพี ออลล์ พาบุกดูนวัตกรรมเลี้ยง “ไข่ผำ” ผลงานยุวเกษตรกรไทยแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น จาก “ผู้รับ” สู่ “ผู้ให้” หนึ่งในบัณฑิตจากรั้ว PIM

0

“กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์” บัณฑิตจากรั้ว PIM เยาวชนหนึ่งเดียวผู้นำรุ่นใหม่ด้านเศรษฐกิจชุมชน จ.กาญจนบุรี ชูนวัตกรรมเลี้ยง “ไข่ผำ” ส่งต่อสู่เด็กรุ่นใหม่ พร้อมเป็นตัวแทนยุวเกษตรกรไทยไปแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ณ ญี่ปุ่น เพื่อสานต่อโอกาสต่อยอดตลาด“ผำ” ให้กับชุมชนและประเทศไทย

จากโอกาสที่รับ ในการเข้ามาศึกษาคณะการจัดการโลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่ง สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)ได้เปลี่ยนมุมมอง ความคิดของเด็กหญิงในครอบครัวเกษตรกร “กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์” ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนบ้านเกิด
น.ส.กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ หรือ น้องแสบ เกษตรกรรุ่นใหม่ เจ้าของ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” จ. กาญจนบุรี ศิษย์เก่าคณะการจัดการโลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่ง สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) เล่าถึง สวนเกษตรอินทรย์แบบผสมผสานที่มีกลิ่นไอของความรัก ความผูกพันของครอบครัว “รุ่งประเสิฐวงศ์” ว่า “ไร่แสงสกุลรุ่ง” เป็นไร่ที่สานต่อความรักในอาชีพเกษตรกรของครอบครัว เกิดจากการเป็น “ผู้ที่ได้รับโอกาสดีๆ” สู่ “การเป็นผู้ให้ส่งต่อสู่ชุมชนบ้านเกิด” โดยหลังจากที่มีโอกาสเข้ารียนในสาขาโลจิสติกส์ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) เมื่อปี 2559 และได้รับทุนการศึกษาจากซีพี ออลล์ ก็ได้นำความรู้มาต่อยอดสานต่องานของครอบครัว สร้างเศรษฐกิจให้กับชุมชนจนสำเร็จ

“ไร่แสงสกุลรุ่ง” มีเป็นการปลูกพืชไร่ พืชสวน แบบผสมผสาน บนพื้นที่กว่า 15 ไร่ ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง มะพร้าว กล้วย ผักสวนครัว ชะอม มะกอกน้ำ และการเพาะเลี้ยงสาหร่าย “ผำ” และต่อยอดการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ไปพร้อมๆ กับการทำการตลาด หาช่องทางในการขาย ซึ่งเป็นความรู้ที่เราได้รับจากการเรียนนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้สินค้าทางการเกษตรของไร่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น มะกอกน้ำแช่อิ่ม/อบแห้ง, ข้าวเกรียบผำ, โจ๊กผำมัทฉะ, เครื่องดื่มผำ และสบู่ล้างหน้าจากผำ เป็นต้น โดยเฉพาะการเลี้ยง “ผำ” พืชน้ำที่มีประโยชน์และคุณค่ามหาศาลแต่คนทั่วไปอาจจะยังไม่ทราบ โดยทางไร่ได้ทดลองเลี้ยง “ผำ” ด้วยจุลินทรีย์พิเศษที่อุดมไปด้วยธาตุอาหารและน้ำที่มีคุณภาพ ทำให้ไข่ผำของไร่มีกลิ่นพิเศษเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งเดียวในเมืองไทย

น้องแสบ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันไร่แสงสกุลรุ่งคิดค้นการเพาะเลี้ยงไข่ผำจนทำให้ได้ “ผำ” ที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย จากนั้นได้เผยแพร่องค์ความรู้ในการเพาะเลี้ยงไข่ผำให้กับชุมชนได้มีรายได้ เพราะตลาดมีความต้องการสูงมาก ตนรับซื้อในกิโลกรัมละ 60 บาท นอกจากนี้ ก็ได้นำความรู้ที่เรามีส่งต่อสอนน้องๆ ในชุมชนและในโรงเรียนบ้านทุ่งมะขามเฒ่า ในโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ การเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงผำเป็นหลักสูตรเฉพาะของโรงเรียนทุ่งมะขามเฒ่า เด็กๆ สามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้

ทั้งนี้ในปี 2566 ตนเองได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 6 ตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนยุวเกษตรกรไทยกับประเทศญี่ปุ่น (Young Smart Farmer) ของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรู้สึกดีใจมาก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการเกษตรที่ก้าวหน้า และให้ความสนใจเรื่อง “ผำ” เป็นอย่างมาก ดังนั้นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ต่อยอดและสร้างโอกาสในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงผำของชุมชนบ้านทุ่งมะขามเฒ่า เป็นประโยชน์กับชุมชนและประเทศชาติต่อไป

ด้านนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีนโยบายในการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ให้โอกาสกับเยาวชน ได้รับการศึกษาที่ดีและมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ มีอาชีพและรายได้เลี้ยงครอบครัว โดยในปี 2548 ได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาเพื่อสังคมขึ้นมา 2 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดและด้านวิชาชีพในระดับ ปวช.ปวส., รวมถึงก่อตั้งศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์อีกกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ ผ่านระบบ Internet broadcasting for Classrooms และ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยที่มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่า Work-based Education ให้โอกาสเยาวชนได้ต่อยอดทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา

สำหรับในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้มอบทุนการศึกษาหลายประเภท รวมแล้วกว่า 39,000 ทุน เป็นเงินมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อร่วมพัฒนาโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับเยาวชนไทย ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” ของซีพี ออลล์

“ซีพี ออลล์ เห็นความสำคัญของการให้โอกาสทางการศึกษา สร้างโอกาสทางอาชีพ สร้างรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดี จึงมีการดำเนินงานและการสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาและการเรียนรู้มาโดยตลอด ซึ่ง น.ส.กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ ที่มีความฝันและลงมือทำจนสำเร็จ ที่สำคัญยังส่งต่อความรู้ ความสำเร็จ ถ่ายทอดความรู้ที่ตนเองค้นคว้าให้กับเด็กๆและคนชุมชนได้นำไปต่อยอดสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน นับเป็นความภูมิใจของ ซีพี ออลล์ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้กับประเทศ” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย