Home Blog Page 16

เมืองไทยประกันชีวิต เชิดมังกรชมพูฉลองตรุษจีน 687 พร้อมสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้ามังกรเขียว

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  โดยนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ นางยุพา ล่ำซำ  นายสาระ  ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นางสลิล ล่ำซำ นายภูมิชาย  ล่ำซำ  ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี  โมกขะเวส  กรรมการผู้จัดการ  พร้อมด้วยบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด โดยนางสาวกฤษณา อัมพุช รองประธานกรรมการ นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด  และนายอิทธิฤทธิ์ รัตนทารส อัมพุช ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป Leasing & Business Development The EM District  คณะผู้บริหาร  และพนักงานร่วมจัดพิธีสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม  เทพเจ้ากวนอู  และเทพเจ้ามังกรเขียว พร้อมเชิดมังกรชมพูและสิงโต เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 เพื่อแสดงความเคารพกราบสักการะองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงขอพรเสริมความเป็นสิริมงคลตลอดปี ณ สวนสุขภาพโพธิพงษ์ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ ภายในงานเริ่มลำดับพิธีด้วยคณะผู้บริหารอัญเชิญองค์เทพมา ณ แท่นประทับ ถวายเครื่องสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้ามังกรเขียว ตามด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติร่วมงาน และพนักงาน ร่วมสักการะองค์เทพ  การแสดงเชิดมังกรชมพูและสิงโต ปิดท้ายด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติ และพนักงานร่วมพิธีลอดใต้ท้องมังกรชมพู

โดยในงานปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิต จัดงานภายใต้แนวคิดการร่วมรณรงค์ลดฝุ่นควันและมลพิษ ด้วยการใช้ประทัดไฟฟ้า แทนการจุดประทัดแบบดั้งเดิม รวมถึงการใช้ธูปไร้ควันในพิธีสักการะองค์เทพ ที่ช่วยให้ปลอดภัยต่อสุขภาพและลดมลพิษทางอากาศ ตามความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ใส่ใจด้าน ESG มุ่งสร้างความสุขและรอยยิ้มอย่างยั่งยืนที่แท้จริง. 

CPF ปันน้ำปุ๋ยให้เกษตรกร … ต้นแบบความร่วมมือบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

0

การสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญในการรับมือผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นต้นเหตุของภัยแล้ง น้ำท่วม ฯลฯ และต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน

เป็นเวลามากกว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ความร่วมมือขับเคลื่อน “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งผลเชิงบวกต่อเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในแง่ของผลผลิตที่ดีขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ลดลง จากการลดการใช้ปุ๋ยเคมี

ความสำเร็จของกระบวนการบริหารจัดการน้ำภายในองค์กรของซีพีเอฟ ที่นำน้ำหลังการบำบัดด้วย Biogas ในฟาร์มเลี้ยงสุกร ซึ่งเป็นน้ำที่ยังมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัย ที่พนักงานปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์มไว้เพื่อบริโภค และด้วยสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆปี น้ำปุ๋ยจากฟาร์ม จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรโดยรอบ

สิงห์คำ อินทะ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจอมทอง จ.เชียงใหม่ มาใช้กับไร่ข้าวโพดหวาน มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เริ่มแรกที่ขอใช้น้ำปุ๋ยเพราะต้องการลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุไนโตรเจนสูงเหมาะกับข้าวโพดหวาน ต้นโตไว ฝักใหญ่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จึงเพิ่มตาม และยังลดค่าปุ๋ยได้ถึง 50-70% จากนั้นเกษตรกรรอบข้างก็ชวนกันมาใช้น้ำปุ๋ย ปัจจุบันใช้อยู่ 15 ราย ทั้งปลูกข้าวโพดหวานและผักสวนครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ที่ผ่านมาไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้ง มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี

ด้าน ณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี เล่าว่า รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ซึ่งปัจจุบันปรับปรุงเป็นระบบท่อลำเลียงน้ำที่เปิดใช้วันละ 2-4 ราย ให้เกษตรกร 20 ราย บนพื้นที่ 200 กว่าไร่ ใช้ในสวนผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ กล้วย เฉพาะตนเองใช้ในสวนทุเรียน 10 กว่าไร่ ผลผลิตดีขึ้นมาก ติดผลดี คุณภาพผลผลิตดี เพราะน้ำปุ๋ยมีอินทรีย์วัตถุที่ดีแทนปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ต้นไม้จึงเจริญงอกงาม ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปกว่า 20-30%

จากความสำเร็จของธุรกิจสุกร เป็นแนวทางที่ดีที่ธุรกิจอื่นๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบ อาทิ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ จำนวน 9 แห่ง ที่ส่งต่อน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรใกล้เคียง วิโรจน์ ใจด้วง ปลูกหญ้าเนเปียร์ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ซึ่งการปลูกหญ้าต้องใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก จึงเริ่มรับน้ำตั้งแต่ปี 2564 จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยฟาร์มวางระบบท่อยาว 1 กิโลเมตร ส่งมาให้โดยต้องผสมกับน้ำจากคลองชลประทานอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ตอนหลังเก็บเกี่ยวหญ้าเพื่อปรับสภาพดิน ใช้น้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง หลังใช้พบว่าหญ้าลำต้นอวบใหญ่ใบใหญ่โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรียอีกเลย ช่วยลดรายจ่ายไปถึง 4,000 บาทต่อปี และได้ผลผลิตเพิ่มเกือบ 50%

ภูเมฆ ถ้ำขี้นาค เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ต.หนองเสาเล้า อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เล่าว่า ปี 2565 ในพื้นที่มีปัญหาภัยแล้ง ตนเองมีไร่อ้อยติดกับฟาร์มไก่ไข่ขอนแก่น จึงขอน้ำมาทดลองใช้ปลูกอ้อย 30 ไร่ ทางโรงงานต่อท่อน้ำให้ใช้โดยตรง เมื่อใช้ช่วงเตรียมดินสังเกตว่าดินคืนสภาพดี ต้นอ้อยเจริญเติบโตดีลำใหญ่ยาว ได้ผลผลิตไร่ละ 21-22 ตัน จากเดิมได้เพียง 15 ตันต่อไร่ และยังลดค่าปุ๋ยเคมีจากเดิม 9 หมื่นบาทต่อปี หลังใช้น้ำปุ๋ยก็ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีและไม่เคยประสบปัญหาแล้งอีกเลย ส่วนไร่อ้อยอีก 10 ไร่ ในอีกพื้นที่เลือกใช้ปุ๋ยกากไบโอแก๊สที่คอมเพล็กซ์ต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ โดยนำไปใส่รองพื้นก่อนปลูกอ้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้ 60-70% ผลผลิตเพิ่มกว่า 30%

เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ไม่เพียงเกิดประโยชน์กับองค์กร แต่ยังมองรวมไปถึงความมั่นคงด้านน้ำตลอดห่วงโซ่คุณค่าอีกด้วย./

คลิกชมคลิป TikTok >>
https://www.tiktok.com/@cpf.journey/video/7471119244432837896?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7416584634233243154

AIS ลุยรืัอถอนสัญญาณ ปิด IP Address จ.ชายแดน สกัดแก๊งคอลฯ

0

AIS ผนึก ภาครัฐ ยกระดับความเข้มข้น สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามพรมแดน รื้อถอนสัญญาณแนวชายแดนสระแก้ว พร้อมเดินหน้าแก้ไขเสาส่งสัญญาณตามมาตรการภาครัฐเพิ่มอีก 9 จังหวัด

AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เดินหน้าสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดำเนินการรื้อถอนสัญญาณบริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบาย เพื่อสนับสนุนแผนการแก้ไขเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณแนวชายแดนที่มีความเสี่ยง ภายใต้ยุทธการอรัญ 68 ระเบิดสะพานโจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทลายสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมเดินหน้าปฏิบัติการแก้ไขเสาส่งสัญญาณเพิ่มเติมในพื้นที่ 9 จังหวัด ตามมาตรการของ กสทช.

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการระบบสื่อสาร เอไอเอสพร้อมสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ และกสทช. อย่างเข้มงวดเสมอมา ในประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขและควบคุมเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยงนั้น

ที่ผ่านมา เอไอเอสได้ดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบกวดขัน และปฏิบัติตามมาตรการของ กสทช. อย่างเคร่งครัดในพื้นที่เสี่ยง บริเวณชายแดน 7 จังหวัด 11 อำเภอ เสร็จสิ้นเรียบร้อยตั้งแต่กลางปี 2567 รวมถึงยืนยันการเชื่อมต่อจุดสัญญาณกับผู้ให้บริการในประเทศเพื่อนบ้านต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเช่นกัน เพื่อป้องกันการใช้สัญญาณก่ออาชญากรรมข้ามแดนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามที่ กสทช. ได้ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อยกระดับเพิ่มความเข้มงวดไปอีกขั้น ขอให้ดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อได้รับคำสั่งเพิ่มเติมดังกล่าว AIS ได้ดำเนินการทันที ได้แก่ พื้นที่ตลาดเบญจวรรณ (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 1 ภายในระยะ 50 เมตรจากเขตแดน) AIS ดำเนินการตามมาตรการเรียบร้อยแล้ว โดยรื้อถอนตัวกระจายสัญญาณทั้งหมดออกแล้ว และพื้นที่บ้านโคกสะแบง (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 อยู่ห่างจากเขตแดน 300 เมตร) AIS ดำเนินการปิดสัญญาณทั้งหมดแล้ว และดำเนินการรื้อถอนตัวสายอากาศ (Antenna) ทั้งหมดออกแล้ว โดย AIS ได้เตรียมดูแลเครือข่ายการใช้งานให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยได้เตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่และติด Small Cell เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้

ทั้งนี้ กสทช. ได้กำหนดให้ดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมใน 9 จังหวัด ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์/พุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี แม่สอด/พบพระ/แม่ระมาด จ.ตาก อรัญประเทศ/บ้านโคกสะแบง จ.สระแก้ว แม่สาย/เชียงของ/เชียงแสน จ.เชียงราย กาบเชิง จ.สุรินทร์ บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร เมืองหนองคาย จ.หนองคาย โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี และเมืองระนอง จ.ระนอง โดยมีกำหนดตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ประกอบด้วย การรื้อถอนเสาสัญญาณที่อยู่ในระยะไม่เกิน 50 เมตรจากชายแดน กรณีเสาที่อยู่ในระยะ 1 กม. จากชายแดน ให้ลดกำลังส่ง และปรับเสาให้สูงไม่เกิน 15 เมตร และเสาที่อยู่ในระยะไม่เกิน 3.5 กม. ให้ตั้งเสาอากาศความสูงไม่เกิน 30 เมตร”

นอกจากนี้ เอไอเอสยังได้ร่วมมือกับ กสทช. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตำสวจสอบสวนกลาง ทำการปิด IP Address ที่คนร้ายใช้ในการกระทำผิดอีกด้วย“การควบคุมโครงข่ายสื่อสารในพื้นที่เสี่ยงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการใช้งานในลักษณะที่ผิดกฎหมาย สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ

เอไอเอส ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนทุกภารกิจของภาครัฐ เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามกลุ่มขบวนการผิดกฎหมาย พร้อมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประเทศและประชาชนทุกคน”

กรมพัฒนาธุรกิจฯ เปิดตัว ระบบเช็ค ‘ที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล’ ชวนปชช.ร่วมปราบบริษัทผี ขโมยที่อยู่ไปหลอกตั้งธุรกิจ

0

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ฯ เปิดระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล คลายข้อกังวลของประชาชนกรณีสงสัยว่าถูกมิจฉาชีพนำที่อยู่ไปแอบจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหรือไม่ พร้อมขอความร่วมมือให้ประชาชนเข้ามาช่วยตรวจสอบ หากพบว่าที่อยู่ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับทราบหรือยินยอมมาก่อน สามารถส่งเรื่องให้กรมฯ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดตรวจสอบได้เพื่อป้องปรามการกระทำของมิจฉาชีพที่ทำลายความน่าเชื่อถือของนิติบุคคล และสร้างความเสียหายต่อเงินทองและทรัพย์สินของประชาชน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและประเด็นมิจฉาชีพหลอกลวงเงินผู้เสียหายให้โอนไปยังบัญชีธนาคารชื่อนิติบุคคลแห่งหนึ่งตามที่ปรากฎตามในหน้าข่าวสื่อมวลชนช่วงที่ผ่านมา และตรวจสอบพบว่านิติบุคลรายนั้นไม่มีที่ตั้งตรงกับที่แจ้งไว้ตอนจดทะเบียนกับกรมฯ รวมถึงเจ้าของที่อยู่นั้นไม่ได้ยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งเป็นสถานประกอบการแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำลายความเชื่อมั่นของนิติบุคคลและระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า “กรมฯ ไม่นิ่งนอนใจและได้เร่งดำเนินมาตรการทุกด้านเพื่อป้อมปรามการกระทำของมิจฉาชีพดังกล่าว ล่าสุดได้เปิดให้บริการ ‘ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล’ ซึ่งระบบนี้ประชาชนทุกท่านสามารถเข้ามาใช้งานเพื่อตรวจเช็คที่อยู่ของตนเองว่าถูกมิจฉาชีพนำไปจัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่ได้ยินยอมหรือไม่ โดยวิธีการใช้งานมีดังนี้ เข้าไปที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th >> Hot Service >> ตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล >> กรอกข้อมูลที่อยู่ให้ครบถ้วนและกดค้นหาข้อมูล หากที่อยู่ที่กรอกไปนั้นได้ใช้จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ระบบจะแสดงข้อมูลรายละเอียดเบื้องต้นของนิติบุคคล ได้แก่ เลขทะเบียนนิติบุคคล ชื่อนิติบุคคล และที่ตั้งสำนักงาน

หากประชาชนพบว่าที่อยู่ของตนเองถูกนำไปใช้จัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่ได้รับทราบมาก่อนหรือไม่ยินยอม สามารถส่งหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งนั้นได้ โดยผู้ที่ขอตรวจสอบจะต้องเป็นเจ้าบ้าน หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือเจ้าของสถานที่ พร้อมแนบเอกสารดังนี้1) สำเนาทะเบียนบ้าน (เจ้าบ้าน) /สำเนาโฉนดที่ดิน (เจ้าของกรรมสิทธิ์) 2) สำเนาบัตรประชาชน 3) สัญญาเช่า และหนังสือยกเลิกสัญญาเช่า (ถ้ามี) 4) แผนที่สถานที่ตั้ง 5) ผู้ประสานงาน/เบอร์โทรศัพท์/ที่อยู่ในการติดต่อ และ 6) ข้อมูลอื่นๆ (ถ้ามี) ทั้งนี้ หากที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลที่ร้องขอให้ตรวจสอบอยู่พื้นที่กรุงเทพมหานครให้ส่งหนังสือและเอกสารมาถึงผู้อำนวยการกองธรรมาภิบาลธุรกิจ ที่อยู่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 และกรณีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ส่วนภูมิภาคหรือต่างจังหวัดให้ยื่นต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดที่นิติบุคคลนั้นตั้งอยู่ หรือส่ง e-Mail มาที่ [email protected]

สำหรับนิติบุคคลที่กรมฯ ตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีที่ตั้งตามที่จดทะเบียนอยู่จริง กรมฯ จะดำเนินการหมายเหตุไว้ในระบบจดทะเบียนว่านิติบุคคลดังกล่าวว่า ‘ไม่มีที่ตั้งตามที่จดทะเบียนไว้’ และส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีฐานแจ้งข้อความเท็จ พร้อมหมายเหตุบนหน้าหนังสือรับรอง และระบบ DBD Datawarehouse+ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบด้วย

ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานิติบุคคลบัญชีม้าและนอมินี ซึ่งขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม เรื่อง การเรียกเอกสารยินยอมให้ใช้สถานที่เป็นที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสีย แสดงความเห็นผลดี-ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะนำมาปรับขั้นตอนการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลได้อย่างรัดกุมต่อไป คาดว่าจะผลได้รับทราบประชาพิจารณ์ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2568 นี้” อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย

ก.พาณิชย์ฯ เผยตัวเลขปราบนอมินี 820 ราย ออกม.ป้องกัน ใช้ระบบติดตามธุรกิจ-ตรวจสอบที่อยู่ ตัดวงจรสวมรอยจดทะเบียนนิติบุคคล

0

เผยตัวเลขการปราบปรามผู้กระทำผิดในรูปแบบนอมีนี รวม 820 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12,495 ล้านบาท เร่งพัฒนาระบบ IBAS ที่ใช้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของธุรกิจ และเปิดระบบการตรวจสอบที่อยู่เพื่อป้องกันการใช้ที่อยู่ประชาชนมาสวมรอยในการจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมชงเพิ่มฐานความผิดนอมินีในกฎหมาย ป.ป.ง. เตรียมจัดชุดสายตรวจปูพรมลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจนอมินีและสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ 

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ครั้งที่ 3 ว่า เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานภายใต้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าวอย่างจริงจัง เพราะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาด ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมการจัดหางาน กรมการท่องเที่ยว กรมที่ดิน และกรมสรรพากร จับกุมและดำเนินคดีกับนอมินีที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 820 ราย มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12,495 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 – 31 มกราคม 2568) 

image

แบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจ 1.ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง จำนวน 104 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 596 ล้านบาท  2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง จำนวน 228 ราย มูลค่าความเสียหาย 8,890 ล้านบาท 3. ธุรกิจขนส่งทางบก จำนวน 11 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 32 ล้านบาท และ 4.ธุรกิจอื่นๆ จำนวน 477 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 2,976 ล้านบาท 
 
นายนภินทร กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้พัฒนาระบบติดตามตรวจสอบธุรกิจที่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของธุรกิจ ได้แก่ ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคล Intelligence Business Analytic System (IBAS) ซึ่งขณะนี้ กรมฯ ได้เร่งพัฒนาและจะแล้วเสร็จใช้งานได้ในไม่ช้า พร้อมกันนี้ สำนักงาน ปปง. จะเร่งปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้ความผิดนอมินีเป็นมูลฐานความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อีกด้วย
         
ที่ประชุมยังได้เตรียมจัดตั้ง ‘คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย’ ขึ้น เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจนอมินีและสินค้าที่ไม่มีคุณภาพร่วมกัน และเตรียมตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจเพื่อร่วมกันสืบสวน สอบสวน จับกุม และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในพื้นที่ทั่วประเทศร่วมกันต่อไป  

กระทรวงพาณิชย์ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนช่วยกันตรวจสอบที่อยู่ของท่าน โดยปัจจุบันท่านสามารถนำที่อยู่ของตนเองไปตรวจสอบการสวมรอยแอบอ้างไปจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อไปกระทำความผิด โดยตรวจสอบได้ทาง Website กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากพบความผิดปกติ ขอให้ท่านแจ้งไปยังสายด่วน 1570 
ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะได้เร่งดำเนินการต่อไปเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้” นายนภินทร กล่าวทิ้งท้าย

ห้าดาว เปิดตัว ‘หนังไก่กร๊อบบบ’ 2 รสชาติใหม่ เคี้ยวเพลิน อร่อยเกินต้าน

0

กรอบซี้ด สะเทือนโลกต้องลอง มาถึงแล้ว.. ห้าดาว (FIVE STAR) เขย่าวงการของทานเล่นด้วยการเปิดตัวเมนู ‘หนังไก่กร๊อบบบ’ 2 สูตร ได้แก่ ‘หนังไก่กร๊อบ รสต้นตำรับ’ และ ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสรสเผ็ด’ คิดค้นและพัฒนาสูตรอย่างลงตัว ด้วยความกรอบแบบพรีเมียมจากหนังไก่คุณภาพ ทอดในน้ำมันคุณภาพดีกับอุณหภูมิอย่างเหมาะสม เพื่อให้หนังไก่กรอบนานและไม่อมน้ำมัน คงคุณค่าทางโภชนาการ เลือกรับประทานรสไหนก็อร่อยเพลินจนวางไม่ลง พร้อมแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ได้ร่วมความสนุกทุกที่ทุกเวลา

เริ่มที่ ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสต้นตำรับ’ ที่จะนำพาทุกคนย้อนกลับสู่วัยเด็กด้วยหนังไก่ทอดบางกรอบที่กล่อมกล่อมแบบคลาสสิก แค่เคี้ยวก็สัมผัสถึงความสนุก ถัดมาที่สูตรเผ็ดแบบต๊าชชช จาก ‘หนังไก่กร๊อบบบ รสเผ็ด’ ที่ผสมผสานเครื่องปรุงแซ่บซี๊ดถึงใจ ปลุกความท้าทายในตัวคุณ

หนังไก่กร๊อบบบจากห้าดาว พร้อมวางจำหน่ายทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มาร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่กับความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร ที่จะทำให้ทุกมื้อของคุณกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความฟิน! .

แพทย์ชี้ “โปรไบโอติก” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันภูมิแพ้

0

แพทย์เฉพาะทาง ชี้ “โปรไบโอติก” ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ควบคุมภูมิแพ้ ดูแลสุขภาพในสถานการณ์ที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน พร้อมช่วยระบบทางเดินอาหาร ปรับสมดุลลำไส้ ทำให้สุขภาพดี

นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อาจารย์แพทย์อนุสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก สาขาวิชาอายุรกรรม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า ในยุคที่มีปัญหามลพิษทางอากาศ จากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต เป็นสาเหตุให้เกิดการระคายเคือง นำไปสู่การทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคกลุ่มทางเดินหายใจ ภูมิแพ้จมูก หอบหืด หรือระยะยาวอาจเกิดเป็นมะเร็งปอดได้ ดังนั้น จึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

สำหรับการดูแลตัวเองให้เริ่มจากที่ตัวเรา เช่น ตรวจเช็คค่ามลพิษที่มือถือ หากมีปริมาณมากเกินไปควรหลีกเลี่ยงการออกพื้นที่กลางแจ้ง และสวมหน้ากากที่ป้องกัน PM2.5 ได้ดี โดยหน้ากาก N95 สามารถป้องกันฝุ่นได้ดีที่สุด กลับถึงบ้านให้ล้างจมูก หรือมีเครื่องกรองอากาศไว้ภายในบ้าน นอกจากนี้ เลือกรับประทานอาหารที่มี โปรไบโอติก เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน อาทิ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ รวมถึง โปรไบโอติก ที่มาในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

โปรไบโอติก คือ แบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ที่ดีมีชีวิต ส่วนใหญ่มักพบอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ และสร้างสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นรับรองว่าโปรไบโอติก เสริมภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องการป้องกัน และช่วยให้ผู้ป่วยภูมิแพ้มีอาการดีขึ้น และยังพบว่าโปรไบโอติกช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยดีขึ้น ลดลำไส้แปรปรวน รวมถึงเรื่องระบบขับถ่าย ช่วยให้ขับถ่ายดี ของเสียไม่สะสมในร่างกาย ไม่เกิดการอักเสบ ส่งผลให้สุขภาพดี

“ทุกคนมีจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในลำไส้ มีทั้งตัวที่ดีและตัวที่ไม่ดี กรณีร่างกายไม่สบายหรือติดเชื้อ และกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ ยาจะฆ่าจุลินทรีย์ทั้งที่ดีและไม่ดี จึงไม่ควรกินยาปฏิชีวนะเกินขนาด ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ยาปฎิชีวนะหรือการใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น และไปทำลายโปรไบโอติก นอกจากนี้ การใช้ชีวิตและพฤติกรรมต่างๆ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ดูแลตัวเอง ทำให้จุลินทรีย์ที่ดีเปลี่ยนแปลงไป” นายแพทย์จิรวัฒน์ กล่าว

นอกจากเลือกกินอาหารที่มีโปรไบโอติกแล้ว ควรเลือกกินอาหารที่มีพรีไบโอติกด้วย ซึ่งพรีไบโอติกเป็นอาหารของจุลินทรีย์ จะช่วยให้โปรไบโอติกทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากกินโปรไบโอติกเข้าไปอย่างเดียว จะไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงโปรไบโอติกในลำไส้ ทำให้เจริญได้ไม่ดี ทั้งนี้ อาหารที่มีพรีไบโอติก ได้แก่ อาหารที่มีไฟเบอร์ อาหารที่มีกากใย พวกธัญญพืชต่างๆ อาทิ ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ส่วนในผลไม้ อาทิ กล้วย มะเขือเทศ ดังนั้น จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกควบคู่กับอาหารที่มีพรีไบโอติก เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของจุลินทรีย์ที่ดี พร้อมทั้งดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค

สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โปรไบโอติก แนะให้เลือกจากผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า ที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ มีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีวันเดือนปีหมดอายุ ระบุชัดเจน หากหมดอายุแล้วจุลินทรีย์ดีอาจตายแล้ว แม้กินเข้าไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกาย

นายแพทย์จิรวัฒน์ ย้ำว่า ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5 เป็นวิกฤติที่ต้องอาศัยการจัดการแบบบูรณาการ นอกจาก ภาครัฐมีความมุ่งมั่นและกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ประชาชนเองต้องเพิ่มการตระหนักรู้และรับมือให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุม เพื่ออากาศสะอาดและสุขภาพที่ยั่งยืน.

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “สมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์์ใหญ่ ”

0

วันอังคารที่ผ่านมาเจอเฮียเชียร เจ้าของร้านบะหมี่รุ่งเรือง ร้านดังตลาดนางเลิ้ง เจอที่ไร ถามทุกทีพระสมเด็จเฮียแท้มั้ย พระอาจารย์เคยดูบอกแท้แต่ไม่สวย ถามราคาบอกแก3ล้านขึ้น ไม่สวยพระมีเม็ดพระธาตุก้อนใหญ่อยู่ที่ใบหน้าพระ แต่พระอาจารย์บอกนี่คือมาร์คแท้ในพระสมเด็จ”จำไว้เลยนะเธอ”มีแบบนี้แท้เลย

มาดูพระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ใหญ่ตื้นของเฮียเชียร องค์นี้เห็นเส้นบังคับพิมพ์ ขวามือเราซ้ายองค์พระ จรดซุ้มด้านล่าง ฝ่าขี้กรุออกขาว จากการแช่ทำน้ำมนต์ เฮียเชียรบอกลุงที่ให้มาใช้ทำน้ำมนต์ แช่หลาย10ปี ปีใหม่ไม่มีอะไรให้ เลยเอาพระสมเด็จมาให้เกิน20ปีมาแล้ว มีพระสมเด็จจะได้ขายของดีๆรวยๆเจริญรุ่งเรือง ตั้งแต่นั้นมาเฮียเชียรก็ขายดีรุ่งเรืองตลอดมา แต่ที่ถามบ่อยเรื่องพระสมเด็จองค์นี้มีคนดูแท้ดูเก๊ บอกเฮียเชียรว่า พระนับคนดูไม่ได้ ต้องดูที่คนนั้นดูพระเป็นมั้ย พระสมเด็จองค์นี้ดูไม่ยาก ถ้าเราเคยเห็นเคยจับสัมผัสพระแท้มา

เนื้อออกขาวอมเหลืองคุณสมยัติ ของพระสมเด็จบางขุนพรหม ปูนย์เปลือกหอยเยอะ มวลสารน้อยเพราะรีบสร้างปัจจุกรุ 84,000องค์ คราบกรุด้านหน้า ติดกับเนื้อเป็นชิ้นเดียวกัน มีคราบกรุน้ำขึ้นใหม่ เป็นคุณสมบัติของพระสมเด็จ ถูกแช่ทำน้ำมนค์ชื้นเนื้องอกได้ไม่ละลายน้ำ มีแต่เนื้องอกขึ้น ข้างตอกตัด ด้านหลังมีรอยปูนเดือดเป็นธรรมชาติ ของพระบรรจุลงกรุ
พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมตอนบรรจุลงกรุ เนื้อยังไม่แห้งดี เมื่ออยู่ในกรุเกิดความร้อนชื้น ทำให้ปูนเดือดหรือที่เรียกฟองเต้าหู้ เป็นธรรมชาติถ้าเจอดีกว่าไม่มี ยืนยันความแท้ เราดูจากคราบกรุพระสมเด็จบางขุนพรหม ถ้าเราขูดขี้กรุออก เนื้อจะหลุดติดมาด้วย เนื้อพระเป็นเนื้อเดียวกัน ของเก๊ ลอกขี้กรุออกเนื้อพระก็ยังเหมือนเดิม ขี้กรุไม่กินเข้าไปในเนื้อพระ พระอาจารย์สอนมา จำไว้นะเธอ
พระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ใหญ่ตื้นองค์นี้ แท้นะเฮีย เซียนเจี๊ยบบางกรวยบอกมานะ

*เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897*

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “รอยม้วนในเส้นหวายฝ่าซีกของพระสมเด็จ วัดระฆัง ”

0

เพิ่งเจอพระอาจารย์ตัวเป็นๆหลังปีใหม่ นัดเจอที่ตลาดอตก.หลังพระอาจารย์เปลี่ยพระกับ2หนุ่มสาวสุพรรณ ได้กินก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟเจ๊ตาหวาน อร่อยเหมือนเดิม กินเสร็จกลับเข้าโรงพิมพ์ เซียนเจี๊ยบงัดของชอบพระอาจารย์ พระสมเด็จ1กล่องใหญ่ให้ชม เลือกได้10องค์ ได้ทุนคืนก่อนพระอาจารย์บอกเคล็ดลับ พระสมเด็จวัดระฆัง ดูพิมพ์เนื้อมวลสาร เก่าเป็นธรรมชาติ ก้อนดำ เม็ดแดง ก้านธูป บ่อน้ำตา รอยปูไต่ ฝ้าแดง รักดำใต้เนื้อพระที่มีเศษทองติดอยู่ เส้นซุ้มหวายฝ่าซีกในพระสมเด็จวัดระฆัง ถ้าม้วนพับเข้าใน เจอแท้เลยนะเธอจำไว้นะ

มาดูพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่องค์นี้ ย่อมหน่อยตัดได้ส่วน ผิวแห้งเห็นรักดำเป็นชิ้นเล็กๆในซอกแขน มีฝ้ารักในเนื้อออกดำ “เส้นหวายผ่าซีกที่ม้วนเข้าส่วนโคล้งเหนือพระเกศซ้ายขวาแบบนี้ที่พระอาจารย์บอกถ้าเจอแท้เลย” จำไว้นะเธอ หลังเป็นคลื่นแบบนี้เรียกหลังสังขยา มีฝ้าสีน้ำตาลเข้มกลางหลัง ผิวสีไม่เหมือนกันมีด่างดวงเหลืองดำ มีเนื้อเกินก้อนนึงด้านบน ข้างตอกตัด แบบนี้แท้ตาเปล่า เหมือนเปิดถ้วยไฮโลแทง ฟอร์มเต็ม200เปอร์เซ็นต์

เดินเจอแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือพระสมเด็จมาโปรดพลิกชีวิตได้นะจ๊ะ เซียนเจี๊ยบบางกรวยบอกมา

ผลประกอบการ AIS ปี 67 กำไรพุ่ง 3.5 หมื่นล. เตรียมทุ่มงบลงทุนปีนี้ 2.7 หมื่นล.

0

AIS ประกาศผลประกอบการปี 2567 ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในทุกมิติ ผ่านกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่, อินเทอร์เน็ตบ้าน และธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรง สามารถเชื่อมต่อและตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co 

นายมนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS กล่าวว่า “ปี 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกความท้าทายในการดำเนินธุรกิจทั้งสภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังต้องเผชิญกับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ภาพรวมก็ยังไม่ได้เติบโตเท่าที่ควร แน่นอนว่า AIS พยายามปรับตัวเพื่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยมุ่งส่งประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ประกอบกับดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ ทำให้ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตของผลประกอบการได้ตามเป้าหมาย โดยทำรายได้รวม 213,570 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 35,075 ล้านบาท พร้อมเตรียมงบลงทุนในปี 2568 ไว้ที่ 26,000 – 27,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถของ Digital Infrastructure ของประเทศไทยไปอีกขั้น ทั้งโครงข่ายมือถือและเน็ตบ้าน ยกระดับการใช้ชีวิตคนไทยให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เท่าเทียม รวมถึงระบบคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็น Backbone สำคัญของภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้บริการรวมอยู่ที่ 45.8 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านเลขหมายจากปี 2566 จากความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และการนำเสนอบริการดิจิทัลที่หลากหลายจนสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ขณะที่ผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านเลขหมาย เติบโต 31% จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจในการขยายโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G ที่วันนี้มีความครอบคลุมแล้วมากกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร และยังได้รับการการันตีเป็นโครงข่าย 5G อันดับ 1 ของไทย กวาด 12 รางวัลยอดเยี่ยมจาก Ookla®

ธุรกิจบรอดแบนด์ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภายใต้ AIS 3BB FIBRE3 มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 5 ล้านราย เติบโตขึ้น 243,000 รายจากปีที่ผ่านมา นับเป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการรับรู้รายได้ของ 3BB ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและการมุ่งนำเสนอนวัตกรรมเน็ตบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าสำหรับผู้ใช้งาน อาทิ นวัตกรรมเน็ตบ้าน Home FibreLAN ที่ทำให้ทุกห้องภายในบ้านสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วระดับ 1 Gbps และ AI-powered Smart Router เราเตอร์อัจฉริยะ ที่ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 22% จากปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นนำนวัตกรรมและโซลูชันมาตอบโจทย์ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะบริการคลาวด์และโครงข่ายข้อมูล ซึ่งในปีที่ผ่านมา AIS ได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก อาทิ Oracle Cloud ร่วมกันเปิด Hyperscale Cloud บริการคลาวด์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน มีความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูลของประเทศไทย สอดคล้องกับการเติบโตดิจิทัลของภาคธุรกิจไทย รวมถึงโครงการ GSA Data Center ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกที่เชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างครบวงจร เน้นใช้พลังงานสะอาด และมีระบบการเก็บรักษาข้อมูลที่ปลอดภัยสูงสุด