Home Blog Page 152

ก.ล.ต. สั่งยึดอายัดทรัพย์สินผู้กระทำผิด กรณีหุ้น STARK 10 ราย และห้ามออกนอกประเทศชั่วคราว

0

ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดที่ถูกกล่าวโทษ กรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) รวม 10 ราย และห้ามมิให้ผู้กระทำผิดออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษบุคคล รวม 10 ราย เป็นชุดแรก ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ดำเนินคดีกรณีตกแต่งงบการเงิน เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งประกอบด้วย

  • (1) บริษัท STARK
  • (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ
  • (3) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ
  • (4) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี
  • (5) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ
  • (6) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม
  • (7) บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL)
  • (8) บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI)
  • (9) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด
  • (10) บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (บ.เอเชีย)

ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามความมาตรา 267 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดชุดแรก รวม 10 รายดังกล่าว เป็นเวลา 180 วัน เนื่องจากปรากฏพฤติการณ์การกระทำผิดที่มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง โดยปรากฏมูลค่าความเสียหายจากหนี้สินของบริษัท STARK ที่มีมากกว่า 38,000 ล้านบาท และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินออกไป

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งห้าม (1) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (2) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ (3) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี (4) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ และ (5) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม มิให้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน เนื่องจากมีเหตุฉุกเฉินอันควรสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร โดยหลังจากนี้ ก.ล.ต.จะไปร้องขอต่อศาลอาญาเพื่อออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

ซีพีเอฟ – อบก. เพิ่มขีดความสามารถคู่ค้า SMEs พัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ รับเทรนด์ลดโลกร้อน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถของคู่ค้าธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีมีคุณภาพ ปลอดภัย และยั่งยืน ตามมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ (CPF Food Standard) โดยสนับสนุนให้บุคลากรของซีพีเอฟ และคู่ค้าธุรกิจมีศักยภาพในการผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ ที่ช่วยลดโลกร้อนผ่านการดำเนินโครงการ “Partner to Grow..เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” พร้อมร่วมมือกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ส่งเสริมและร่วมพัฒนาคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟตามแนวทาง ESG มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเติบโตด้วยกัน

ซีพีเอฟ และอบก. ร่วมจัดสัมมนาออนไลน์ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์..เครื่องมือผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ…สู่ Net Zero” เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่คู่ค้าธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs จำนวนกว่า 300 คน ให้มีความพร้อมในการบริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. เป็นประธานเปิดการสัมมนา และแนะนำความจำเป็นของภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการห่วงโซ่การผลิตอาหาร

นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุด ด้านจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสนับสนุนและร่วมพัฒนาผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟ ยกระดับการดำเนินงานทั้งด้านประสิทธิภาพการผลิต ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การร่วมมือกับ อบก. จัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการภายใต้โครงการ “Partner to Grow…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมให้คู่ค้าธุรกิจซีพีเอฟ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้มองเห็นโอกาสของการลงทุนที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามหลักการ ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และก้าวสู่เป้าหมาย Net-Zero

“ความร่วมมือกับ อบก. จัดสัมมนาครั้งนี้ มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟเข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การผลิต เป็นการช่วยสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และสร้างโอกาสเติบโตไปด้วยกัน” นางสาวธิดารัตน์กล่าว

ในการสัมมนา ผู้เชี่ยวชาญจากอบก. ถ่ายทอดความรู้ผู้ประกอบการได้เข้าใจและประยุกต์ใช้กลไกและเครื่องมือเพื่อประ เมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การบริโภค จนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ นำไปสู่ความร่วมมือกันกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถูกจุดและมีประสิทธิภาพ และพัฒนา “ผลิตภัณฑ์อาหารคาร์บอนต่ำ” ตอบรับความต้องการสินค้าใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซีพีเอฟ ได้ริเริ่มโครงการ Partner to Grow เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจยกระดับการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพสูง ลดค่าใช้จ่าย มีความรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมหนุนการเติบโตในระยะยาว ผ่านการจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้าธุรกิจ โดยการดำเนินโครงการในช่วงแรกจะให้ความสำคัญกับคู่ค้าธุรกิจในกลุ่ม SMEs ตั้งแต่ โครงการ “เอส เอ็ม อี เอ็กซ์ ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก” เสริมสร้างความรู้ให้คู่ค้า SMEs ปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนตามแนวทาง Lean Six Sigma และ โครงการ Partnership Enhancement Program เป็นการพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าที่มีความพร้อม โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของ CPF เพื่อร่วมกับคู่ค้าในการพัฒนาขีดความสามารถใน 4 ด้าน อาทิ ด้านต้นทุนการผลิต (Cost Effectiveness) ด้านปรับปรุงกระบวนการผลิตและนวัตกรรม (Process improvement /Innovation) ด้านความยั่งยืนเน้นแนวปฏิบัติที่ดีต่อแรงงาน และแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ ด้านการกำกับกิจการที่ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมีโครงการอื่นๆ เพื่อช่วยคู่ค้ามีแต้มต่อในการทำธุรกิจกับซีพีเอฟ ตลอดจนสร้างโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น

ซีพีเอฟมุ่งมั่นร่วมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาคู่ค้าธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ ด้วยการยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่การผลิต ตามมาตรฐานอาหารซีพีเอฟและแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนตามหลักการ ESG (CPF Supply Chain ESG Management Approach) ควบคู่กับนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้า นอกจาก โครงการ “Partner to Grow..เติบโต เคียงข้างอย่างยั่งยืน” ซีพีเอฟยังร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ ดำเนินโครงการ “CPF x BBL เสริมสภาพคล่อง…เคียงข้างคู่ค้า” ช่วยสนับสนุนคู่ค้าสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อหมุนเวียนที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการบริหารจัดการธุรกิจของคู่ค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงให้ผู้บริโภคได้ต่อเนื่อง

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมบริจาคโลหิต ในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ตัวแทนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และกองทุนประกันชีวิต เพื่อเป็นการแสดงความสามัคคีและรวมพลังของบุคลากรในธุรกิจประกันชีวิตในการทำความดีเพื่อตอบแทนสังคม

นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงการให้ความสำคัญของบริษัทฯ กับการตอบแทนสังคมโดยเฉพาะการจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต เพื่อนำโลหิตที่ได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะขาดแคลนโลหิต อีกทั้งเป็นการสำรองโลหิตแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ หรือประสบอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการและเชิญชวนผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขาย บริจาคโลหิตในโครงการนี้ในช่วงที่ผ่านมา รวมเป็นจำนวน 342 คน ปริมาณโลหิตประมาณ 131,370 ซีซี โดยงานจัดขึ้น ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

เปิดทริคเด็ด SME แจ้งเกิด-สร้างแบรนด์บน TikTok เปลี่ยนผู้ใช้ 44 ล้านคน สู่เส้นทางธุรกิจโตยั่งยืน

0

“TikTok” ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจเอสเอ็มอี การันตีโดย Influencer ชื่อดังแอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด

ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด

เหตุใด TikTok จึงมีความสำคัญกับ SME งานนี้ เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจบนเวทีบรรยายพิเศษ ในงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” จัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ว่า TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มโซเซียล มีเดียที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคน สำหรับในประเทศไทย พบว่า ในปี 2565 มียอดผู้ใช้งาน TikTok ต่อเดือนสูงถึง 44.8 ล้านคน เป็นเพศหญิง 60% เพศชาย 40% กว่า 50% อยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี ที่เหลืออยู่ในช่วงอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นอกจากตลาดที่มีขนาดใหญ่แล้ว กลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุมีสัดส่วนไม่ต่างกันมาก ทำให้ความต้องการสินค้าไม่จำกัดแค่ช่วงอายุใด อายุหนึ่ง

แม้ TikTok จะเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของยอดผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าไม่ค่อยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มนี้ เพราะอะไร? คำตอบคือ “ผู้ประกอบการยังไม่เปิดใจและไม่เข้าใจในแพลตฟอร์ม TikTok อย่างแท้จริง คุ้นชินกับการทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มเดิมๆ” ทำให้เสียโอกาสในการสร้างยอดขายและแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก จนอาจส่งผลถึงการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต ดังนั้นหากผู้ประกอบการไม่อยากเสียโอกาสก็ควรทำสิ่งนี้

1.ลุยวิดีโอสั้น TikTok เป็น Short Video Platform ที่ใช้งานง่าย มีลูกเล่นน่าสนใจ มีอินเตอร์เฟสที่สามารถโต้ตอบกันได้ ตอบโจทย์พฤติกรรมคนในปัจจุบันแบบไม่จำกัดอายุที่ให้ความสนใจกับVideo สั้นๆ มากกว่า Video ยาวได้เป็นอย่างดี SME สามารถสร้างวิดีโอที่ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยใช้สติ๊กเกอร์ ฟิลเตอร์และดนตรี เพิ่มสีสันให้กับคลิปวิดีโอ ผ่านเครื่องมือการตัดต่อที่ใช้งานสะดวกของแอปพลิเคชัน ที่สำคัญต้องเน้นเนื้อหาเข้าใจง่าย

2.ขี่กระแสชาเลนจ์ เพิ่มโอกาสการมองเห็น Tiktok ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เอื้อต่อการเกิด User-Generated Content (UGC) หรือคอนเทนต์ที่ผู้บริโภคสร้างขึ้นเอง เนื่องจากระบบ Algorithm และ AI ของ Tiktok นั้น เอื้อให้คอนเทนต์ของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีผู้ติดตามจำนวนมาก สามารถดังได้ หาก SME ขี่กระแสแคมเปญ ชาเลนจ์ ประเด็นที่กำลังไวรัลหรือฮอตฮิตอยู่ในขณะนั้น ด้วยการผลิตคอนเทนต์ที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ จะช่วยสร้างโอกาสเพิ่มการรับรู้ (Awareness) ให้สินค้าหรือแบรนด์ของตัวเองได้ นำไปสู่โอกาสการแจ้งเกิดและสร้างยอดขายในอนาคต

3.พึ่ง Affiliate Marketing ยืมมือสร้างยอด นอกจากสร้างการรับรู้ด้วยคอนเทนท์ของตัวเอง Tiktok ยังมีระบบ Tiktok Affiliate มาตอบโจทย์ Affiliate Marketing หรือการตลาดผ่านผู้ช่วยขายหรือตัวแทนขาย หลักการคือ SME เลือกสินค้าที่ต้องการขาย จากนั้นเหล่าผู้ช่วยขายเหล่านี้ จะช่วยกันสร้างคอนเทนท์วิดีโอ เพื่อโปรโมทสินค้าของเรา พร้อมแปะลิงค์ หากมีการสั่งซื้อจากลิงค์ เราจึงจะเสียค่าคอมมิชชั่นให้แก่ผู้ช่วยขายเหล่านั้น ลดความเสี่ยงจากการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่รับประกันยอดขาย ได้ทั้งคนมาช่วยสร้างสรรค์คอนเทนท์ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างแบรนด์ที่ใช้งบประมาณไม่สูง แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เหมาะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

ถึงวันนี้ผู้ขายบนแพลตฟอร์ม TikTok จะเพิ่มมากขึ้น และมีบางรายเข้ามาปักหลักนานแล้ว แต่ด้วยระบบที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ใช้งานทุกคน รวมถึงผู้ใช้งาน “หน้าใหม่” จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหน้าใหม่จะลองทำมาทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มนี้ ขอเพียงแค่เปิดใจรับและทำความเข้าใจกับรูปแบบของแพลตฟอร์ม โอกาสในการแจ้งเกิดบน TikTok ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

ซีพีเอฟ ทั่วโลก รวมพลังปลูก-ฟื้นฟูต้นไม้ 5 ล้านต้น ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกพลังกิจการในไทยและกิจการต่างประเทศ เดินหน้าร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกต้นไม้ อนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำ ป่าชายเลนไปแล้วรวมมากกว่า 5 ล้านต้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 39,434 ตันต่อปี หนุนสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( SDGs)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออล

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมอนุรักษ์ ปกป้อง ฟื้นฟูป่าทั้งบกและป่าชายเลน รวมทั้งปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ ทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ 8 ประเทศ รวมมากกว่า 5.4 ล้านต้น ได้แก่ ตุรเคีย รัสเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินเดีย มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 39,434 ตันต่อปี สอดรับตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGS)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง- มอนทรีออล

“ยุทธศาสตร์อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของซีพีเอฟ สอดรับกับเป้าหมายSDGs และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออล ซึ่งเป็นเป้าหมายระดับโลกที่ให้ความสำคัญ ทั้งการอนุรักษ์ ปกป้อง การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss)และการมีส่วนร่วมของประเทศไทย เพื่อดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งที่ผ่านมา โครงการปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าของซีพีเอฟ เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นวัตถุดิบต้นทางที่สำคัญของกระบวนการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ” นางกอบบุญ กล่าว

สำหรับกิจการในประเทศไทย ซีพีเอฟปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าไปแล้วมากกว่า 2.8 ล้านต้น ผ่านการดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการ อาทิ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ที่ต.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เป็นความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟ กรมป่าไม้ และชุมชน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 7,000 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมากกว่า 1.3 ล้านต้น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน พื้นที่ 5 จังหวัดยุทธศาสตร์ (สมุทรสาคร ระยอง ชุมพร สงขลา และพังงา) รวม 2,400 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมากกว่า 1.2 ล้านต้น โดยร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชุมชน และ โครงการรักษ์นิเวศ ปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการของซีพีเอฟทั่วไทย รวมจำนวน 2.5 แสนต้น ซึ่งทั้ง 3 โครงการ ส่งผลกระทบเชิงบวก ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการต่อยอดโครงการปลูกป่าสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิถีชุมชน และ ศูนย์เรียนรู้การปลูกป่าและระบบนิเวศ

เช่นเดียวกับ กิจการต่างประเทศของซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการมีส่วนร่วมปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าในประเทศนั้นๆ จากข้อมูลของ 8 ประเทศที่บริษัทฯ มีส่วนร่วมปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่ารวมมากกว่า 2.6 ล้านต้น สนับสนุนการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมายเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง- มอนทรีออล (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework)

ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ซีพีเอฟ ได้ประกาศเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ครอบคลุมกิจการซีพีเอฟรวมทั้งคู่ค้าซึ่งจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรให้แก่ซีพีเอฟ ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง เป็นการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมการสร้างความตระหนักสู่พนักงานถึงคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกจิตสำนึกชุมชนรักและหวงแหนผืนป่าในพื้นที่ สนับสนุนการอยู่ร่วมกันเพื่อให้คนดูแลป่าอย่างยั่งยืน

ก.ล.ต. เปิดข้อมูลหลอกลวงลงทุนออนไลน์ แนะใช้แอปฯ SEC Check First ตรวจสอบรายชื่อก่อนลงทุน

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยข้อมูลการหลอกลวงลงทุน พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อโฆษณาชักชวนให้ลงทุนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือโลโก้ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน รวมถึงอ้างว่าเป็นบุคลากรของผู้ประกอบธุรกิจหรือสถาบันการเงิน จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน SEC Check First

ปัจจุบันมีมิจฉาชีพจำนวนมากแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. และหน่วยงานในตลาดทุน รวมทั้งอ้างตัวว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนที่ได้รับอนุญาต โดยมีการโฆษณาชวนเชื่อและชักชวนเพื่อหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น โทรศัพท์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์ บุคคลหรือผู้ให้บริการที่ชักชวนให้ลงทุนหรือใช้บริการไม่ใช่ผู้ได้รับอนุญาตหรือประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะมีการเปิดเผยรายชื่อดังกล่าวไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ Investor Alert และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ

ในปี 2566 (เดือนมกราคม – มิถุนายน 2566) ก.ล.ต. ได้ดำเนินการขึ้นเตือนใน Investor Alert จำนวน 86 ราย นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานไปยังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรือ Anti-Fake News Center Thailand เพื่อออกข่าวแจ้งเตือนประชาชน จำนวน 37 กรณี และในส่วนของการดำเนินคดีตามกฎหมายในปี 2566 ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการหลอกลงทุนโดยแอบอ้างตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. ไปแล้วจำนวน 11 กรณี ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลงทุน ทั้งการเผยแพร่ข่าว บทความ อินโฟกราฟิก และคลิปให้ความรู้ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง

ก.ล.ต. จึงขอย้ำเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเมื่อถูกชักชวนให้ลงทุน และตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจโดยสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ว่าได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือไม่ ได้ด้วยตนเองที่แอปพลิเคชัน SEC Check First และเว็บไซต์ www.sec.or.th/licensecheck

หากมีข้อสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. เพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเชิงลึกต่อไป ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ และหากเข้าข่ายการกระทำที่อาจผิดกฎหมายอื่น ก.ล.ต. มีกระบวนการในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. หรือโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทร. 1166 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โทร. 1202 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 1570 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โทร. 1441 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปอศ.) โทร. 02-191-9191 ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 1359 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โทร. 0-2009-9999 และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213

สลากออมสิน 2 ปี เพิ่มเงินรางวัลพิเศษฉลองความสำเร็จ แจกโชคใหญ่ 60 ล.

0

? ฉลองความสำเร็จกับสลากออมสิน 2 ปี (ใบสลากและดิจิทัล) แจกโชคใหญ่ มูลค่ารวม 60 ล้านบาท !!
? ลุ้นเพิ่มรางวัลพิเศษ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท (รางวัลละ 3 ล้านบาท จำนวน 10 รางวัล)
? ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท
✨ ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสิน 2 ปี (ใบสลากหรือดิจิทัล) ในระหว่างวันที่ 2 – 31 ก.ค. 66 เท่านั้น
✨ ออกรางวัลพิเศษในวันที่ 1 ส.ค. 66
✨ บุคคลธรรมดาได้รับดอกเบี้ยและเงินรางวัลเต็ม ไม่เสียภาษี
✨ ถอนก่อนฝากครบ 6 เดือน หักส่วนลดตามอัตราที่ธนาคารกำหนด

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชี–    บุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป–  นิติบุคคลทุกประเภท
อายุ2 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 24 ครั้ง)
หน่วยละ100 บาท
รายละเอียดดอกเบี้ยฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ย  0.30  บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.150 ต่อปี)
อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดเงื่อนไขการฝาก1. ฝากไม่ครบ 6 เดือน หักส่วนลด 2.00 บาทต่อหน่วย2. ฝากไม่ครบ 2 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย
วงเงินในการรับฝาก1. ฝากขั้นต่ำ 100 บาท (1 หน่วย)2. ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย
ระยะเวลาจ่ายดอกเบี้ยจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก โดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน
การออกรางวัลทุกวันที่ 1 ของเดือน (ยกเว้นเดือน มกราคม และ พฤษภาคม ออกรางวัล วันที่ 31 ธันวาคม และ 2 พฤษภาคม)*หยุดจำหน่ายทุกวันที่ออกรางวัล*
การรับเงินรางวัลโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล
เงื่อนไขหลัก1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอน สำหรับรับโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อสลากครบอายุ และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก2. รับฝากบัญชีร่วมได้ไม่เกิน 3 คน3. ไม่รับฝากบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์
สลากครบอายุโอนเงินสลากครบอายุเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน


? รีบฝากเลยง่าย ๆ ที่ MyMo และ ธนาคารออมสินทุกสาขา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/3rbv4Dj
? เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ?

ซีพี ออลล์ เปิดตัวโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” แก้ปัญหาขยะล้นบนเกาะพะงันอย่างยั่งยืน

0

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ยกทัพภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถัง ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพลิกโฉมการจัดการขยะบนเกาะ เปิดตัวโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” นำร่องแก้ปัญหาขยะล้นกว่า 50 ตันต่อวันของ 3 เทศบาลบนเกาะพะงัน ขยายผล “โครงการต้นกล้าไร้ถัง” ภายใต้ CONNEXT ED ผลักดัน “โรงเรียนเกาะพะงันศึกษา” ขึ้นแท่นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน สนับสนุนองค์ความรู้ด้าน Reuse, Recycle, Upcycle เปลี่ยนขยะพลาสติกบนเกาะสู่ “อิฐรักษ์โลก” หวังทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ลดปริมาณขยะ 70% พร้อมสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนบนเกาะ

ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ CP ALL

นายประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาความยั่งยืน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทในฐานะสมาชิกภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถัง ได้ร่วมกับสมาชิกทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศการจัดการขยะ (Waste Management Ecosystem) จัดตั้งโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” แนวคิดการแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้นโยบาย 7 GO GREEN เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการจัดการขยะระดับพื้นที่ “เกาะ” ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มักจะมีปริมาณขยะจำนวนมาก ให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรเทาปัญหาขยะซึ่งนับเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญระดับประเทศและโลก

“ปัญหาขยะนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อโลกหลากหลายด้าน ทั้งภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง มหาสมุทรเป็นกรด ปะการังฟอกขาว ความไม่แน่นอนของระบบนิเวศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจมหาศาล ที่ผ่านมา เมื่อปี 2564 ประเทศไทยติดท็อป 5 ประเทศที่มีขยะพลาสติกล้นทะเล เราและเพื่อนสมาชิกภาคีจึงตระหนักดีว่า ทุกภาคส่วนควรต้องร่วมกันแก้ปัญหานี้ จึงเลือกเริ่มต้นโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” ที่เกาะพะงัน ซึ่งพบปัญหาขยะมากถึง 50 ตันต่อวันในพื้นที่ 3 เทศบาล ได้แก่ เทศบาลตำบลเกาะพะงัน เทศบาลตำบลเพชรพะงัน และเทศบาลตำบลบ้านใต้” นายประสิทธิ์ กล่าว

สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการนั้น จะให้โรงเรียนเกาะพะงันศึกษา หนึ่งในโรงเรียนในโครงการของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) ภายใต้การดูแลของซีพี ออลล์ จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” มอบองค์ความรู้ด้านการ Reuse, Recycle, Upcycle และเป็นต้นแบบการจัดการขยะแก่ชุมชน ผ่าน 3 หลักการ ลด แยก ขยายเครือข่าย ได้แก่

  • ลด ภาชนะที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยเฉพาะ Single Use Plastic แล้วหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ECO-Packaging โดยมี 7-Eleven บนเกาะพะงันนำร่องใช้แนวคิด “Green Packaging” เปลี่ยนแก้วเครื่องดื่ม All Cafe จากแก้วพลาสติกเป็นแก้วกระดาษที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้, เปลี่ยนไม้ชงกาแฟจากพลาสติกเป็นไม้ที่ทำจากต้นไผ่เพื่อลดการใช้วัสดุประเภท Single-use plastic, ลดการใช้หลอดโดยการเปลี่ยนฝายกดื่ม และ หูหิวกาแฟจากเส้นกก เป็นต้น
  • แยก เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการคัดแยกวัสดุรีไซเคิล วัสดุย่อยสลาย นำไปรีไซเคิล อัพไซเคิล แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อลดปริมาณขยะมวลรวมลงให้ได้ 70% จากปริมาณขยะก่อนเริ่มโครงการ
  • ขยายเครือข่าย สร้างองค์ความรู้ในการจัดการต่างๆ ผ่านการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ การจัดการขยะ วัสดุรีไซเคิล วัสดุย่อยสลาย โดยหากการดำเนินการที่เกาะพะงันประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลสู่เกาะอื่นๆ เพิ่มเติม

ด้าน นางภัทรภร พุทธรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี กล่าวว่า ทางโรงเรียนได้นำ“โครงการต้นกล้าไร้ถัง” โมเดลการจัดการขยะแบบครบวงจร ภายใต้มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ของซีพี ออลล์ มาพัฒนาให้เกิด “เกาะพะงันไร้ถัง” ตามแนวทางโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” โดยเริ่มให้ทุกห้องเรียน ลดและแยกวัสดุอย่างละเอียด พร้อมทั้งต่อยอดองค์ความรู้เป็นวิธีการ Upcycle ขยะพลาสติกสู่ “อิฐรักษ์โลก” เพื่อขยายผลเป็นวิสาหกิจโรงเรียน-ชุมชนในอนาคต

“เราแปรรูปขยะพลาสติกกำพร้าในโรงเรียน เช่น ซองขนม เปลือกลูกอม บรรจุหีบห่อ หรือที่เป็นขยะแห้ง นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เข้าสู่กระบวนการทำ อิฐรักษ์โลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทานยืดหยุ่นดี มาปูเป็นลานกีฬาเอนกประสงค์รักษ์โลกขนาด 80 ตร.ม. เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์กลางในการสร้างองค์ความรู้ในการจัดการขยะและคัดแยกวัสดุอย่างถูกต้อง หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาขยะในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างรายได้จากอิฐรักษ์โลกเข้าสู่โรงเรียนและชุมชนต่อไป” นางภัทรภร กล่าวเสริม

ทางด้าน นายประพันธ์ เดี่ยววนิช ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี กล่าวเสริมว่า ในพื้นที่เทศบาลตำบลเกาะพะงัน พบขยะ 20 ตันต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา และชุมชนมาบริหารจัดการขยะบริเวณเกาะกันทุกวันศุกร์จนเป็นกิจกรรมประจำเกาะ ปัจจุบันได้ส่งเสริมโมเดลเกาะพะงันไร้ถัง ด้วยการลดถังขยะ โดยร่วมมือกับโรงเรียน ชุมชน ร้านค้า ในการลดใช้ถุงพลาสติก ลดใช้โฟมหันมาใช้ใบตองแทน ซึ่งได้รับการตอบรับจากชุมชนดีมาก และร้านเซเว่น อีเลฟเว่นบนเกาะถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ น้องแพรว-นางสาวชลลดา บัวสมุย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา กล่าวถึงประโยชน์และแนวทางการต่อยอดองค์ความรู้ว่า เมื่อก่อนมองว่าขยะก็คือขยะ แต่พอทีมงานจาก ซีพี ออลล์ และภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถังมาส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะ ทำให้เห็นคุณค่าของขยะมากขึ้น มองเป็นวัสดุชิ้นหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ โดยหลังจากนี้จะเริ่มไปจัดการขยะที่บ้านของตัวเอง แยกเป็น 3 ประเภท คือ ขวดพลาสติก ขยะจากเศษอาหาร และขยะพลาสติกทั่วไป

โครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” เกิดขึ้นจากนโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมงของ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ESG ตอกย้ำความเป็นผู้นำร้านสะดวกซื้อเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยโครงการนี้จะมุ่งเน้นกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อร่วมสร้างสังคมสีเขียว อาทิ โครงการลดวันละถุง…คุณทำได้ ที่ลูกค้าปฏิเสธถุงพลาสติกที่ร้าน 7-Eleven, โครงการปลูกป่า ปลูกอนาคต เพื่อเพิ่มพื้นที่เขียว, โครงการต้นกล้าไร้ถัง ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการขยะ ผ่านการปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่เยาวชน มีความรับผิดชอบต่อสังคมสู่โครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” ในครั้งนี้

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2023

0

SET IN THE CITY อีเวนต์การลงทุนที่นักลงทุนและผู้สนใจเรื่องเงินๆทองๆ ตั้งตารอทุกปี กลับมาแล้ว! โดยปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดจัดงาน SET IN THE CITY 2023 ระหว่างวันที่ 8 และ 9 กรกฎาคม 2566 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5

เป็นภารกิจสำคัญทุกปีของตลาดหลักทรัพย์ฯที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ความรู้เรื่องการเงินการลงทุนแก่คนไทย ยิ่งสำหรับมือใหม่หัดลงทุนด้วยแล้ว ไม่ควรพลาดเด็ดขาด เพราะงานนี้จะทำให้เราได้เปิดรับโอกาส และยังได้ค้นหาสูตรลับ กลเม็ดเคล็ด (ไม่) ลับเรื่องการเงิน อีกมากมาย

คอนเซปต์ของงานปีนี้ คือ “เริ่มลงทุน เพื่อเป้าหมาย ในสไตล์ที่เป็นคุณ” “คุณนายพารวย” ขอการันตีว่า มาเดินงานนี้แล้ว จะทำให้เรารู้จักตัวเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผนการเงิน และแนวทางการลงทุนที่ตรงกับใจและสไตล์ตัวเองแน่นอน

ตลอดงานทั้ง 2 วัน พบกับสัมมนา-เสวนา อัดแน่นหลากหลายเนื้อหาความรู้เรื่องลงทุน ผ่านประสบการณ์ตรงจากกูรู ผู้รู้จริง ที่มาแชร์ความรู้ในหลายเรื่องที่น่าสนใจ ใครที่อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ต้องมาฟังหัวข้อ “Checklist พิชิตแผน สร้าง Financial Freedom” นอกจากนี้ยังมีหัวข้ออื่นๆที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “เลือกลงทุนที่ใช่ สไตล์คุณ”, “Workshop ก้าวแรกสู่วิถีนักลงทุนเน้นคุณค่า”, “เรื่องกราฟต้องรู้ของมือใหม่สายเทรด”

ยิ่งดูชื่อหัวข้อสัมมนาของงานวันที่สองแล้ว ก็ชวนติดตามไม่แพ้กัน ทั้ง “แกะเครื่องมือปั้นพอร์ตจาก VI รุ่นพี่”, “เทคนิคง่ายๆ ช่วยมือใหม่หาหุ้นตัวแรก”, “เปิดแนวทางสร้างเงิน (หลาย) ล้านของคนทำงาน” และลงทุนทันเทรนด์สไตล์ Growth Investing”

นอกจากนี้ ยังพบกับกิจกรรมเวิร์กช็อปจากนักวางแผนการเงิน CFP ที่จะมาช่วยวางแผนการเงิน ทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นมา อย่าง “เริ่มต้น (ลงทุน) ทีละน้อย สอยเงินล้าน”, “วางแผนการเงินฉบับ First Jobber”, “พลิกภาษีเป็นเงินเกษียณ”, “เก่งการเงินฉบับรวยสุขแบบคนโสด”, “ตัดสินใจมีหนี้ก้อนแรก ต้องวางแผนอะไรบ้าง” และ “Checklist ประเมินความพร้อม วัยเริ่มสร้างครอบครัว”

และยังมี Stock & Fund Pick Up จาก บล., บลจ. และ บลน. ชั้นนำ ที่จะมาช่วยคัดหุ้น-กองทุนเด่น เพื่อมือใหม่ ในรูปแบบเกมโชว์ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้โผหุ้นและกองทุนติดไม้ติดมือกลับบ้านไปลงทุนกันต่อ แถมด้วยการจัด Mini Stage : Investing Hacks แนะนำทางลัดช่วยเทรด รู้จักเครื่องมือลงทุนง่ายๆ ใน 20 นาที

ภายในงาน ยังจะได้มีโอกาสพบปะกับผู้เชี่ยวชาญ จาก 35 บูธการลงทุนที่จะมาให้คำปรึกษาเรื่องลงทุน ช่วยให้เราลงสนามลงทุนได้อย่างมั่นใจ และโปรโมชันพิเศษสำหรับคนที่เปิดบัญชีลงทุนในงานนี้อีกด้วย

แฟนพันธุ์แท้เรื่องลงทุน กาปฏิทินไว้เลย สองวันเท่านั้น 8-9 กรกฎาคม 2566 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า รับฟรีหนังสือ Wealth Design และกระเป๋า #investnow www.set.or.th/setinthecity

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังงสือพิมพ์ไทยรัฐ

AWC จับมือ SCB ลงนามสินเชื่อความยั่งยืน 20,000 ล้านบ. หนุนไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2566 บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก (Mega global destination) ร่วมนำมาตรฐานใหม่เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมถึงสนับสนุนโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล และการพัฒนาสังคมในอนาคต พร้อมร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารยินดีที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้านบาท แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทางธุรกิจของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ AWC ผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่าร้อยละ 75 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ”

AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1) การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2) การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3) การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น

AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ “AA” ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)