เอไอเอส ฉลองครบรอบ 35 ปี ตอกย้ำความผูกพันและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วประเทศกว่า 51 ล้านราย แจกว้าวสะเทือนจักรวาลอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “AIS 1 POINT 12 WEEKS 12 WOW” โดยว้าวนี้เอาใจลูกค้าสายมูโดยเฉพาะ ลุ้นสิทธิ์จับรางวัล! เบอร์โฟร์เลขมงคล เบอร์สวยขั้นเทพระดับ VVIP ลงท้าย 8888 หรือ 9999 เป็นเบอร์มงคลคู่แท้ ถือเป็นเลขแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย เสริมอำนาจ วาสนา บารมี ที่สำคัญเบอร์โฟร์นี้ ไม่กำหนดแพ็กเกจขั้นต่ำในการใช้งาน มากถึง 5 เบอร์ 5 รางวัล ให้ลูกค้าเอไอเอสได้ร่วมสนุกและลุ้นเบอร์โฟร์เลขมงคลระดับพรีเมี่ยมได้แบบง่ายๆ เพียงใช้ AIS Points 1 คะแนน แลก 1 สิทธิ์ จับรางวัล ผ่านแอป myAIS ยิ่งแลกมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก! ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2568 – 23 ตุลาคม 2568 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://m.ais.co.th/9WHxlJxtG
เรื่อง Money กับคนรุ่นใหม่#3 ตอนที่ 5 – เส้นทางผู้ลงทุน
การเป็นผู้ลงทุนคุณภาพไม่ได้หมายถึงแค่การรู้จักวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์เท่านั้น แต่คือการหาความรู้ ติดตามข้อมูลข่าวสาร เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท และลงทุนอย่างสุจริต ที่สำคัญต้องคิดถึงผลตอบแทนและความยั่งยืนของโลกและสังคมไปพร้อมกันด้วย โดยผู้ลงทุนคุณภาพรุ่นใหม่ต้องลงทุนอย่างรอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตนเองและประเทศ
Money กับคนรุ่นใหม่ #3 จะชวนให้เห็นว่าแบบไหนที่เรียกว่าผู้ลงทุนคุณภาพ
เรียนรู้การลงทุน และ ติดตามเราได้ที่
INVESTORY Website: https://investory.setgroup.or.th
Line (Official Account) : @INVESTORYMuseum
SET Website: https://www.set.or.th
Facebook : / set.or.th
YouTube : / setthailand
TikTok: / set_thailand
Instagram : / set_thailand
Twitter : / set_thailand
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมเสวนาสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนอาเซียน ในงาน APAC Macro Quantitative Conference ที่ฮ่องกง
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ASEAN Emerging Market Liquidity and Considerations for Systematic Trading” พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน ภายในงาน APAC Macro Quantitative Conference ที่จัดโดย J.P. Morgan เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มสภาพคล่องในตลาดเกิดใหม่ การพัฒนาโครงสร้างตลาดและเทคโนโลยี รวมถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความยั่งยืนของตลาดทุนอาเซียน โดยมีผู้จัดการกองทุนเข้าร่วมงานมากกว่า 100 ราย ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เข้าพบหารือกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) และกองทุนภาครัฐรวมถึงผู้จัดการกองทุนจากฮ่องกง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านแนวโน้มการลงทุนในไทย และเสริมสร้างความร่วมมือกับนักลงทุนสถาบันระดับโลกในการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง
17 ตุลาคมนี้! ชวนชมศึกตัดสินนวัตกรรมแห่งปี 10 ทีมสุดท้ายโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2025 ชิงถ้วยพระราชทานฯ และเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท
AIS ACADEMY ขอเชิญชวนเข้าชมและร่วมเป็นกำลังใจให้กับ 10 ทีมสุดท้ายของโครงการ JUMP THAILAND Hackathon 2025 จากผู้สมัครทั่วประเทศกว่า 295 ทีม โดยแต่ละทีมได้ผ่านการฝึกฝนและเวิร์กช็อปสุดเข้มข้นจาก AIS ACADEMY จนพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นสู่เวที รอบ Demo Day เพื่อเผยโฉมนวัตกรรมที่จะเพิ่มโอกาสให้ผู้สูงอายุหรือคนพิการสามารถมีงานทำ มีรายได้ และความมั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งใช้ศักยภาพและเทคโนโลยีร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยสู่อนาคตที่ดีกว่า มาร่วมเป็นสักขีพยานและส่งแรงเชียร์ไปด้วยกัน ในวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2568 ในงาน AIS ACADEMY for THAIs at LIFE FEST 40+ ณ @ centralwOrld PULSE ชั้น 7
สำหรับ 10 ทีมสุดท้าย โครงการ JUMP THAILAND Hackathon 2025 เตรียมประชันไอเดียสุดเข้มข้นเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติ ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท และรางวัล Popular Vote ที่สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์จากหัวใจคนรุ่นใหม่ โดยทีมไฟนอลที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้แก่

- ทีม Teletubbies (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี)
กับนวัตกรรมที่ประยุกต์การใช้ระบบ IoT ในการช่วยให้ผู้สูงอายุทำงานด้านประมงได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
- ทีมหม่าม้าส่งมาแข่ง (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)
กับแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างงาน Data Annotation ให้ผู้สูงอายุ
- ทีม Jump to Global (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ & มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง & มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
กับเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยแปลงงานฝีมือเป็นรูปภาพสร้างเรื่องราวขึ้นขายออนไลน์สร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุ
- ทีมตัวจี๊ดพร้อมจั๊มพ์ (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)
กับเครื่องมือช่วยให้คนพิการทางการได้ยินสามารถไลฟ์ขายของได้
- ทีมไหว้วาน (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)
กับแพลตฟอร์มจับคู่ผู้สูงอายุกับงานใกล้บ้าน
- ทีม Taste of Thai (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี & สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น & มหาวิทยาลัยรามคำแหง)
กับ Web Application เพื่อเชื่อมโยงผู้สูงอายุกับตลาดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ผ่านกิจกรรมการทำอาหารไทย
- โปรเจคตามสั่ง PSU (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)
กับแขนกลอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คนพิการทางการเคลื่อนไหวสามารถทำงานได้
- ทีม DeafAbility (มหาวิทยาลัยมหิดล)
กับ Platform Upskill & Job Matching สำหรับคนพิการทางการได้ยิน
- ทีม Saan (มหาวิทยาลัยขอนแก่น)
กับแพลตฟอร์ม Online ขายของสำหรับผู้สูงอายุโดยรับสมัครจิตอาสาเข้ามาช่วยเหลือ
- ทีม Eye Touch (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย & มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
กับเทคโนโลยีที่ช่วยในการฝึกอบรมและพัฒนาการนวดแผนไทยให้กับคนพิการทางการมองเห็น
โดยทุกทีมต่างพร้อมปลดปล่อยศักยภาพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำมาขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการให้ก้าวสู่การมีงานทำ มีรายได้ และความยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 ท่าน ที่จะมาร่วมเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและตัดสินผลงาน ดังนี้
· คุณสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
· คุณภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
· ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษา สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
· คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
· คุณวีรพล สวรรค์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเชียร์และเป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ นิสิต นักศึกษา 10 ทีมสุดท้ายของโครงการ JUMP THAILAND Hackathon 2025 ในงาน AIS ACADEMY for THAIs at LIFE FEST 40+ วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 – 14.00 น. ณ @centralwOrld PULSE ชั้น 7 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เพจ AIS Academy
เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ กสิกรไทย มอบความอุ่นใจพร้อมโปรโมชันคืนคุ้ม แก่สมาชิกเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด เพียงซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัย รับเครดิตเงินคืนสุดคุ้ม
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำนโยบายการสร้างประสบการณ์ที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยการมอบโปรโมชันพิเศษ สำหรับผู้ซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต ผ่านบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด
โดยโปรโมชันนี้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการวางแผนทางการเงินควบคู่กับความคุ้มครอง ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ มอบทั้งเครดิตเงินคืนและคะแนนสะสมจากการใช้จ่ายที่เหนือกว่าบัตรทั่วไป โดยซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัยเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับความคุ้มค่าเหนือใคร ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 – 30 พฤศจิกายน 2568 นี้

ต่อที่ 1: รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10,000 บาท/ท่าน ตลอดรายการ
พิเศษ เฉพาะผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับเครดิตเงินคืน 0.25% จากยอดชำระเบี้ยประกันภัย แบบไม่จำกัดวงเงิน พร้อมรับเครดิตเงินคืนตามยอดใช้จ่ายต่อเซลล์สลิป ดังนี้
| ยอดใช้จ่ายต่อเซลล์สลิป | บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย รับเครดิตเงินคืน | คะแนนสะสม เทียบเท่าเครดิตเงินคืน** | พิเศษ บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับเพิ่ม 0.25% จากยอดใช้จ่าย*** |
| 15,000 – 29,999 บาท | 100 บาท | 600 – 1,199 คะแนน เทียบเท่า 60 – 119 บาท | 37 – 75 บาท |
| 30,000 – 59,999 บาท | 200 บาท | 1,200 – 2,399 คะแนน เทียบเท่า 120 – 239 บาท | 75 – 150 บาท |
| 60,000 – 99,999 บาท | 450 บาท | 2,400 – 3,999 คะแนน เทียบเท่า 240 – 399 บาท | 150 – 250 บาท |
| 100,000 – 499,999 บาท | 750 บาท | 4,000 – 19,999 คะแนน เทียบเท่า 400 – 1,999 บาท | 250 – 1,250 บาท |
| 500,000 ขึ้นไป | 4,000 บาท | 20,000 คะแนน เทียบเท่า 2,000 บาท (กรณีรูด 500,000 บาท) | 1,250 บาท (กรณีรูด 500,000 บาท) |
| 1,000,000 บาทขึ้นไปเฉพาะบัตรเดอะวิสดอมกสิกรไทยและบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink Gold | 10,000 บาท | 40,000 คะแนน เทียบเท่า 4,000 บาท (กรณีรูด 1,000,000 บาท) | 2,500 บาท (กรณีรูด 1,000,000 บาท) |
หมายเหตุ: จำกัดการรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10,000 บาท/ท่าน ตลอดรายการ เฉพาะบัตร THE WISDOM กสิกรไทย และบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink Gold จึงจะสามารถรับเงินคืน 10,000 บาทได้
วิธีลงทะเบียนต่อที่ 1: พิมพ์ MTL [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่ง SMS มาที่ 4545888
ต่อที่ 2: แลกรับเครดิตเงินคืน 10% ด้วย K Point ลูกค้าสามารถใช้คะแนน K Point เพื่อแลกรับเครดิตเงินคืนได้ 2 แบบ โดยแบบที่ 1 ทุก 1,000 คะแนน = เครดิตเงินคืน 100 บาท และแบบที่ 2 แลกเท่ายอดใช้จ่ายเพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% ทั้งนี้ จำกัดการแลกสูงสุด 500,000 คะแนน/ท่าน ตลอดรายการ
วิธีลงทะเบียนต่อที่ 2: พิมพ์ KIR [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย [เว้นวรรค] จำนวนยอดใช้จ่าย (ไม่ใส่จุดทศนิยม) ส่ง SMS มาที่ 4545888
โดยทั้งโปรโมชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านการบริหารค่าใช้จ่ายและการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับความคุ้มค่า สำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด สามารถศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th หรือโทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888
AIS เปิดผลลัพธ์แคมเปญ“สัญญาณยืดเวลาโลก” ช่วยยืดเวลาโลก จัดการขยะE-Waste อย่างถูกวิธีกว่า 1,212,272 ชิ้น
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ในฐานะ HUB of E-Waste ผู้นำการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทองค์กรดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน เดินหน้าสร้างพลังความร่วมมือครั้งใหญ่กับพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เนื่องในวาระ 14 ตุลาคม ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ International E-Waste Day “วันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” ในกิจกรรม “วัน อ.ว. อีเวสต์เดย์ ภายใต้แนวคิด Signal of Sustainable Future : สัญญาณยืดเวลาโลก เชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับฟัง “สัญญาณจากโลก” และร่วมกัน “ยืดเวลาให้โลก” ให้น่าอยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา AIS และพันธมิตรได้ร่วมกันเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างถูกวิธีได้ทั้งหมด 1,212,272 ชิ้น ช่วย “ยืดเวลาโลก” ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 556,573 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้จำนวน 46,380 ต้น เป็นหลักฐานตอกย้ำถึงพลังความร่วมมือของประเทศไทยที่นานาชาติสามารถมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “AIS มุ่งมั่นขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘การสร้างการเติบโตร่วมกันของคนและสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล’ เราจึงเดินหน้าเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย หรือ HUB of E-Waste เพื่อทำงานร่วมกับพันธมิตรกว่า 250 องค์กร ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ขับเคลื่อนภารกิจ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อโลกกำลังส่งสัญญาณเตือนให้เราตระหนักถึงวิกฤติขยะอิเล็กทรอนิกส์ เราต้องร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ถูกวิธี เปลี่ยนเป็นพลังในการยืดเวลาให้โลกอยู่กับเราได้นานที่สุด โดยที่ผ่านมา AIS ได้ร่วมมือกับพันธมิตร และสมาชิกกลุ่ม Singtel จากหลากหลายประเทศ ร่วมกันสานต่อภารกิจแคมเปญระดับภูมิภาค “สัญญาณยืดเวลาโลก – Signals of Sustainable Future” เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน และสร้างแรงบันดาลใจในการตระหนักรู้ให้กับผู้คนกว่า 1.9 พันล้านคนทั่วโลก

และเพื่อต้อนรับวัน International E-Waste Day “วันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” AIS ขอประกาศว่าเราเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างถูกวิธีได้ทั้งหมด 1,212,272 ชิ้น ช่วย “ยืดเวลาโลก” ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 556,573 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) นับเป็นที่ประจักษ์ถึงศักยภาพและความร่วมมือกันระหว่างประเทศ นับจากนี้ AIS ก็ยังคงเดินหน้าปฏิบัติภารกิจการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง”
ภายในงานมีกิจกรรมไฮไลท์ด้วยการเชิญชวนพันธมิตร และลูกค้าชาว AIS SIAM ร่วมกิจกรรม “มาทิ้ง E-Waste” เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี พร้อมบริการจากไปรษณีย์ไทย ที่มารับขยะ E-Waste ถึงที่ เพื่อส่งต่อให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี (Zero E-Waste to Landfill) โดย AIS หวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมของประชาชน และผลักดันสังคมให้เข้าสู่แนวทางการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ร่วมติดตามภารกิจยืดเวลาโลก และร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจในการดูแลโลกของเราไปด้วยกัน ได้ที่ https://www.facebook.com/ais.sustainability/?locale=th_TH
“เชสเตอร์” ส่งโปรเด็ด ลุยตลาดไตรมาส 4 เปิดตัวเมนู “ซอสกุ้งล็อบสเตอร์” และ Party Box ชุดฉลองสุดคุ้ม เติมสีสันตลาดฟาสต์ฟู้ดปลายปี
“เชสเตอร์” (Chester’s) แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติไทยในเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เดินหน้าลุยตลาดไตรมาส 4 อย่างคึกคัก ภายใต้แนวคิด “Good Food Good Mood” พร้อมขนทัพความอร่อยและความสุขต้อนรับเทศกาลปลายปี เปิดตัวเมนูใหม่ “ซอสกุ้งล็อบสเตอร์” คงความอร่อยระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบรับเทรนด์ “Affordable Premium” ที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ รวมถึงเตรียมส่งของพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และเมนูชุด Party Box สุดคุ้ม เพื่อให้ลูกค้าได้อร่อยและเฉลิมฉลองช่วงสิ้นปีไปกับเชสเตอร์ทั่วประเทศ

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด กล่าวว่า “ช่วงไตรมาสที่ 4 เป็นจังหวะสำคัญของตลาดฟาสต์ฟู้ด เพราะผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลตัวเอง และร่วมฉลองกับคนรอบข้างมากขึ้น ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่มองหาอาหารที่สามารถ “เฉลิมฉลองร่วมกัน” ขณะเดียวกันก็ยังคำนึงถึงความคุ้มค่าในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เราจึงต้องการมอบเมนูที่ตอบทั้งสองมิติ — ความอร่อยระดับพรีเมียม และราคาที่เข้าถึงได้ ตอบรับเทรนด์ Affordable Premium พร้อมด้วยเมนูชุดที่สามารถแบ่งปันกันได้ในทุกโอกาส ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับแนวคิดหลักของเชสเตอร์ “Good Food Good Mood” มุ่งสร้างความสุขผ่านอาหารที่อร่อย และประสบการณ์ที่พิเศษในทุกมื้อ”
จากข้อมูลเชิงพฤติกรรมของเชสเตอร์พบว่า ลูกค้ามีแนวโน้มเลือกเมนูที่รับประทานและแชร์ร่วมกันได้มากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ความสะดวก และรสชาติที่คุ้นเคยแต่มีความพิเศษเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล เมนูใหม่และชุด Party Box ของเชสเตอร์จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ

ล่าสุดเชสเตอร์เปิดตัวเมนูใหม่ “ซอสกุ้งล็อบสเตอร์” เพื่อมอบประสบการณ์มื้อพิเศษให้กับลูกค้าทั่วประเทศ ที่เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค Premium Mass ที่ต้องการความอร่อยแบบพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ จุดเด่นอยู่ที่ซอสกุ้งล็อบสเตอร์รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และหอมกลิ่นกุ้งล็อบสเตอร์ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ เป็นเมนูที่ผสมผสานระหว่างรสชาติคุ้นเคยและความหรูหราในจานเดียว ในราคาเริ่มต้นเพียง 135 บาท มีให้เลือก 3 เมนู คือ ข้าวไก่เผ็ดซอสกุ้งล็อบสเตอร์ / ข้าวไก่กรอบซอสกุ้งล็อบสเตอร์ (ราคา 135 บาท) และสปาเกตตีซอสกุ้งล็อบสเตอร์ (ราคา 155 บาท)

นอกจากนี้ เชสเตอร์ยังเตรียมส่งความสุขต่อเนื่องด้วยของพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำนวนจำกัด และเมนูชุด Party Box ชุดเมนูสุดคุ้มที่รวมเมนูยอดฮิตและซอส 4 รสชาติไว้ในกล่องเดียว ในราคาเริ่มต้นเพียง 299 บาท เหมาะสำหรับปาร์ตี้เล็ก ๆ กับเพื่อนร่วมงาน หรือมื้อพิเศษกับครอบครัว
เชสเตอร์เชื่อว่าช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองสามารถเริ่มต้นได้จากอาหารอร่อย ๆ ที่แบ่งปันกันได้ จึงมุ่งสร้างสรรค์เมนูคุณภาพ เข้าถึงง่าย และส่งต่อความสุขให้ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งในร้านและผ่านเดลิเวอรี พร้อมเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง ด้วยเมนูใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ ขยายสาขาทั่วประเทศ และยกระดับประสบการณ์ร้านให้ทันสมัย อบอุ่น พร้อมบริการด้วยใจ เพื่อให้ทุกมื้อของลูกค้า อร่อย อบอุ่น และมีความหมาย ในแบบของแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดสัญชาติไทยที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน
ลูกค้าสามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ที่ Facebook: Chester’s l TikTok : @chestersofficial l Instagram : @chesters_official l X (Twitter) : @chesters_th หรือสั่งความอร่อยได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่าน GrabFood, LINEMAN, ShopeeFood, Robinhood รวมถึงเว็บไซต์ www.chesters.co.th และโทร 1145
กรมประมงเดินหน้าปล่อย “ปลานักล่า” ต่อเนื่อง กทม.บูรณาการทุกภาคส่วนคุมเข้ม “ปลาหมอคางดำ”
กรมประมงยังคงเดินหน้ามาตรการควบคุมและจัดการ “ปลาหมอคางดำ” อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความหนาแน่น และควบคุมการแพร่กระจาย โดยใช้แนวทางบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ เพื่อฟื้นฟูความสมดุลของแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างยั่งยืน
หนึ่งในมาตรการสำคัญของกรมประมง คือ “การปล่อยพันธุ์ปลานักล่า” เช่น ปลาอีกง ปลากะพงขาว ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติในการลดจำนวนปลาหมอคางดำ จะช่วยกำจัดลูกปลาหมอคางดำขนาดเล็ก เป็นการ “ตัดวงจรการแพร่พันธุ์” และลดความหนาแน่นของประชากรของปลาต่างถิ่นในแหล่งน้ำ พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศกลับคืน
ล่าสุด กรมประมง โดย ได้ร่วมกับชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ (CPF) จัดกิจกรรม ปล่อยพันธุ์ปลากะพงขาว ขนาด 4-5 นิ้ว 10,000 ตัว ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติในกรุงเทพมหานคร การปล่อยปลานักล่าจะดำเนินต่อจากกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ที่มีการจับปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำ

นายยุคล เหมบัณฑิต ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การปล่อยปลานักล่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของกรมประมงในการควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำ โดยเฉพาะ ปลากะพงขาว ซึ่งถือเป็นปลาดั้งเดิมในแหล่งน้ำของชุมชน และสามารถกำจัดลูกปลาหมอคางดำได้เป็นอย่างดี กิจกรรมการปล่อยปลานักล่าครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ โดยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวที่ปล่อยในวันนี้ 10,000 ตัวได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ ขณะที่ชุมชนและพี่น้องเกษตรกรได้ร่วมกันคัดเลือกแหล่งน้ำที่เหมาะสมในการปล่อยปลาสองจุด ได้แก่ บริเวณคลองหน้าวัดลูกวัว และศูนย์เรียนรู้แสมดำ
นายยุคลกล่าวเพิ่มเติมว่า “เกษตรกรในพื้นที่ต้องการปลากะพงขาวเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งกรุงเทพมหานครมีแผนจัดตั้ง ‘กองทุนปลากะพงขาว’ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในอนาคต ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังให้ความสำคัญกับการบูรณาการทุกภาคส่วนในการช่วยกันกำจัดปลาหมอคางดำ เช่น การรับซื้อปลาหมอคางดำกว่า 500,000 กิโลกรัม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ”
การปล่อยปลานักล่าเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น ที่ใช้กลไกธรรมชาติในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ ยังเป็นการเพิ่มชนิดของพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำ ช่วยให้ชุมชนได้รับประโยชน์โดยตรงจาก “ปลากะพงขาว” ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจ สามารถจับขึ้นมาเป็นอาหารของครัวเรือน หรือนำไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เสริมแก่ครัวเรือน
นอกจากนี้ ปลานักล่ายังมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็น “แนวกันชนธรรมชาติ” จำกัดขอบเขตการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำไม่ให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ยังไม่พบการระบาด เช่น จังหวัดตราด ซึ่งมีการปล่อยปลากะพงขาวในแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อสร้างแนวป้องกันตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงต่อการรุกรานของปลาหมอคางดำในอนาคต
ทั้งนี้ กรมประมงยังคงติดตามและประเมินผลของมาตรการกำจัดและควบคุมปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ทั้งกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” และการปล่อยปลานักล่าในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเน้นส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำและสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งการแปรรูปเป็นอาหารเพื่อบริโภคและจำหน่าย ใช้เป็นอาหารของปลากะพงและปู รวมถึงทำเป็นน้ำหมักชีวภาพ เพื่อให้การจัดการปลาหมอคางดำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของความร่วมมือและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล
“ไข่จากมือเด็ก พลังใหม่สู่ชุมชน” ซีพีเอฟต่อยอดโครงการเลี้ยงไก่ไข่ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร
วันศุกร์ที่สองของเดือนตุลาคมในทุกๆ ปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันไข่โลก” (World Egg Day) เพื่อย้ำถึงความสำคัญของ “ไข่” อาหารโปรตีนคุณภาพสูงที่มีประโยชน์ต่อทุกเพศทุกวัย
ไข่ไก่ สำหรับเด็กๆ ในโรงเรียนต่างจังหวัดทั่วไทยแล้ว ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมนูอาหาร แต่ยังเป็น “แหล่งโปรตีนแห่งโอกาส” ที่หล่อเลี้ยงร่างกาย สมอง และยังต่อยอดเป็นบทเรียนชีวิตและอาชีพในอนาคต
โรงเรียนวัดบางปิดล่าง (ราษฎร์สงเคราะห์) ต.บางปิด อ.แหลมงอบ จ.ตราด เข้าร่วม “โครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ชั้น ม.1- ม.3 เป็นปีแรก มีนักเรียน 274 คน เลี้ยงไก่ไข่กว่า 150 ตัว เด็กได้ทานเมนูไข่ไก่สัปดาห์ละ 3 วัน ได้ทั้งโปรตีนดีและความรู้จากการเลี้ยงไก่ ผลผลิตดีต่อเนื่องจนสามารถต่อยอดสู่อาชีพในครัวเรือน

เมื่อแม่ไก่ครบอายุเลี้ยง โรงเรียนจะมอบแม่ไก่ปลดระวางที่ยังให้ผลผลิตดี ให้นักเรียนที่เป็นสมาชิกในชุมนุมเกษตร-เลี้ยงไก่ไข่ทั้ง10 คน นำไปเลี้ยงต่อที่บ้าน และมอบให้ผู้ปกครองอีก 20 ครอบครัว ที่ร่วมโครงการ “โคกหนองนา” รวมถึงจำหน่ายให้ชาวชุมชนที่สนใจ เพื่อให้ทุกครัวเรือนมีแหล่งอาหารของตัวเอง
ด.ญ.ชญานนท์ บุญมี – น้องอิง ชั้น ม.1 เล่าว่า “เริ่มเลี้ยงไก่ตั้งแต่ ป.3 ตอนนั้นตื่นเต้นมาก พอได้ไก่ไข่ไปเลี้ยงต่อที่บ้าน ทำให้มีไข่กินทุกวัน ช่วยลดรายจ่ายให้ที่บ้านได้มากๆเลย”
ส่วน ด.ญ.กรวรรณ โพธิวรรณา – น้องพอใจ ชั้น ป.4 เสริมว่า “เราแบ่งเวรดูแลไก่ทุกวัน เช้าให้อาหาร ทำความสะอาด ตอนบ่ายเก็บไข่ แล้วส่งขายผ่านสหกรณ์ โรงเรียนก็นำไปทำอาหารกลางวัน ส่วนที่เหลือขายให้ผู้ปกครอง ขายดีมากค่ะ เพราะเป็นไข่ที่พวกเราเลี้ยงเอง สดและปลอดภัยแน่นอน”

ส่วน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทยฯ ต.แมดนาท่ม อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ต่อเนื่องมากว่า 20 ปี ตั้งแต่ปี 2548 ซีพีเอฟและมูลนิธิฯ มอบแม่ไก่ 200 ตัว เพื่อสนับสนุนอาหารกลางวันเด็กๆ 244 คน การเลี้ยงไก่ไข่ยังสอดคล้องกับ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่มุ่งให้เด็กมีอาหารครบถ้วน และได้เรียนรู้ทักษะชีวิตควบคู่ไปด้วย
ผลลัพธ์คือ เด็กๆ ไม่เพียงมีสุขภาพดี จากการทานเมนูไข่ไม่น้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ยังได้ฝึกอาชีพ ทั้งการเลี้ยงไก่ การแปรรูปไข่ เป็นวิชาชีพติดตัว และยังรู้จักการทำงานเป็นทีม รวมทั้งเรียนรู้ระบบสหกรณ์จากการจำหน่ายไข่จริงในโรงเรียน และโรงเรียนแห่งนี้ยังได้เป็นต้นแบบศูนย์เรียนรู้ LEARNING CENTER ในพื้นที่อีกด้วย
สำหรับ โรงเรียนบ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่อยู่ห่างตัวเมืองเชียงใหม่กว่า 300 กิโลเมตร การเข้าถึงอาหารไม่ง่ายนัก โรงเรียนจึงเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมูลนิธิซีพียังช่วยสนับสนุนโครงการเกษตรพอเพียง สร้างโรงเรือนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ภาคเรียนหน้าโรงเรียนจะเลี้ยงปลา หมู และกบ เสริมอาหารให้เด็กๆ และชุมชนรอบข้าง ผลผลิตไข่ไก่ เป็นทั้งอาหารกลางวันของนักเรียนทั้ง 192 คน และสำหรับนักเรียนพักนอน 93 คน ส่วนที่เหลือจำหน่ายให้ชุมชน และยังมีผู้บริจาคเงินจัดซื้อไข่ไก่ เพื่อให้ทางโรงเรียนมอบแก่กลุ่มเปราะบาง 100 ราย ทั้งผู้สูงวัย ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ใน ต.ม่อนจอง ต.แม่ตื่ “ไข่ไก่” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งปันอย่างแท้จริง
ด.ญ.วารี ชีวีอิสระ-น้องน้ำ และ ด.ญ.มณฑิตา ไพรบุญพำนัก-น้องสาวิกา ชั้น ม.2 ที่กำลังช่วยดูแลแม่ไก่ไข่ บอกตรงกันว่า “ดีใจที่ได้เรียนรู้การเลี้ยงไก่ ไข่ที่ได้ทั้งกินเอง และแจกให้ชุมชน ทำให้เราอยากสืบต่ออาชีพนี้ในอนาคต”
ส่วน น.ส.นลิน เลาย้าง – น้องหยี ชั้น ม.3 กล่าวขอบคุณโครงการที่มอบโอกาสให้โรงเรียนมีไข่ไก่สดใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการไว้ดูแลเพื่อนๆ ทุกคน
อีกหนึ่งโรงเรียนต้นแบบคือ โรงเรียนบ้านห้วยจรเข้ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่นำองค์ความรู้จากโครงการ CONNEXT ED มาต่อยอดสู่นวัตกรรมเกษตรยุคใหม่ โรงเรียนแห่งนี้เลี้ยงไก่ไข่ 200 ตัว ภายใต้ระบบ IoT ที่ควบคุมพัดลม แสง และอุณหภูมิในโรงเรือนอัตโนมัติ กลายเป็น “ศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยี เกษตร และนวัตกรรม” ที่เด็กๆ ภูมิใจ โดยแบ่งการเรียนรู้เป็น 9 ฐาน เช่น การแปรรูป การตลาด และเบเกอรี่ ปัจจุบันมีผู้เข้ามาฝึกทักษะแล้วกว่า 2,000 คน ทั้งจากโรงเรียนใกล้เคียง ชุมชน และสถาบันอุดมศึกษา
ด.ช.ธันวา เทียนขุนทด – น้องวา ชั้น ม.3 เล่าว่า “ไข่ไก่ของเราขายดีมาก เรามีระบบขายออนไลน์ด้วย พอเห็นไข่ที่ได้ดูแลเองกลายเป็นอาหารให้เพื่อนๆ และครอบครัว รู้สึกดีใจสุดๆ อยากให้โครงการนี้อยู่กับโรงเรียนไปนานๆ”
ด.ญ.ฐิติรัตน์ แสงสง่า – น้องเกรซ ม.2 เล่าด้วยรอยยิ้ม “เรานำไข่ที่ได้มาทำเบเกอรี่ขายคู่กับกาแฟ เป็นฐานหนึ่งในศูนย์เรียนรู้ ภูมิใจมาก ได้เรียน ได้ขาย ได้ใช้จริงๆ”
“ไข่ไก่” จากโครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ไม่เพียงเป็นเมนูเติมพลังในแต่ละวัน แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างชีวิตและโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การพึ่งพาตนเอง มีอาหารที่มั่นคง และต่อยอดสู่ทักษะอาชีพในอนาคต … เมื่อได้เรียนรู้จาก “ไข่” พวกเขาได้รับโปรตีนจากธรรมชาติ และยังได้รับ “พลังในการเติบโต” ที่หล่อหลอมให้เป็นพลังเล็กๆ ของครอบครัว โรงเรียน และชุมชนที่ยั่งยืน
คลิกชมคลิป >> https://youtube.com/shorts/p_NKjyQ1UJk?si=n1WLABhCxmnzaAgu















