Home Blog Page 148

ซีพีเอฟ ร่วมกับ TSFR เดินหน้ายกระดับห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลไทยสู่ความยั่งยืน

0


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable : TSFR) ดำเนินการเชิงรุกอนุรักษ์และปกป้องระบบนิเวศและทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยตามแผนปฏิบัติการจัดการประมง (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการดำเนินการโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการมีส่วนร่วมยกระดับมาตรฐานห่วงโซ่การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ซีพีเอฟ เป็นตัวแทนคณะทำงานการพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทย (TSFR) ร่วมนำเสนอความคืบหน้ากิจกรรมตามแผนปฏิบัติการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่ดำเนินโครงการนำร่องการพัฒนาพื้นที่แหล่งการประมงที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ (Multispecies Fishery) ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำให้เกิดความรับผิดชอบเพื่อนำไปสู่การรับรองมาตรฐานจาก MarinTrust องค์กรมาตรฐานสากลด้านวัตถุดิบอาหารทะเลระดับโลก โดยมีนายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมงเป็นประธานในที่ประชุม ร่วมกับนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ตัวแทนจากคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย และมีเชี่ยวชาญจาก MarinTrust รวมทั้งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง เข้าร่วมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานกิจกรรมฯ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ข้อมูลและผลการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลของไทยตั้งแต่ต้นทางเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

การดำเนินงานในปีนี้ ซีพีเอฟ ภายใต้คณะทำงาน TSFR มุ่งเน้นนำกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการฯ ที่ได้รับการรับรองจาก MarinTrust มาดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการนำรวบรวมข้อมูลการจับทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลในอ่าวไทยมาวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลง การประเมินความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล เช่น แนวปะการัง หญ้าทะเล ป่าโกงกาง ที่เกิดจากการทำประมงอวนลาก การอนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สัตว์ที่ถูกคุกคาม และได้รับการคุ้มครองซึ่งผลการดำเนินงานความคืบหน้าในกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย (Fishery Action Plan: FAP) นี้จะช่วยให้ MarinTrust นำข้อมูลไปพัฒนาหลักเกณฑ์มาตรฐานการรับรองวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำจากพื้นที่ที่มีสัตว์น้ำแบบหลากหลายสายพันธุ์ และเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ ต่อไป

ซีพีเอฟ ภายใต้คณะทำงาน TSFR จากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) ตั้งแต่ปี 2560 โดยการดำเนินงานมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการทำประมงในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยตามมาตรฐานสากล ร่วมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และพัฒนากระบวนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งห่วงโซ่อุปทานและได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ TSFR เป็นคณะทำงานที่ร่วมมือกันโดย 8 สมาคม ตลอดห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทย ประกอบด้วยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) สำหรับการประมงอวนลากในฝั่งอ่าวไทยโดยนอกเหนือจากการพัฒนาการประมงเพื่อความรับผิดชอบอันจะส่งผลต่อกระบวนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้วในภาพใหญ่ของประเทศโครงการฯยังส่งเสริมการป้องกันการประมงผิดกฎหมาย, ขาดการรายงาน, และไร้การควบคุม (IUU) ที่อาจทำลายความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลของประเทศ ซึ่งปัจจุบันโครงการยังได้นำองค์ความรู้ไปใช้ในประเทศอินเดียและเวียดนามอีกด้วย

ทูตกัมพูชามอบประกาศนียบัตรเชิดชูซีพีเอฟ ปฏิบัติต่อแรงงานชาวกัมพูชาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม

0

นายฮุน ซาเรือน (H.E. Mr. Hun Saroen) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มอบใบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติแก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อแสดงความชื่นชมและขอบคุณซีพีเอฟ ในฐานะเป็นภาคธุรกิจไทยที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อแรงงานชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รวมถึงการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคง

ในการนี้ ท่านเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณซีพีเอฟ ที่ได้ดูแลแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย จัดค่าจ้างสวัสดิการเท่าเทียมคนไทยทุกประการ ซึ่งครอบคลุมถึงโอกาสการเติบโตในอาชีพตลอดจนคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย และยังได้ชื่นชมและ ยกย่องให้ซีพีเอฟเป็นบริษัทต้นแบบในการดูแลบริหารจัดการด้านแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิมนุษยชน และเป็นบริษัทที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนภารกิจสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยในการดูแลประชาชนชาวกัมพูชาให้อาศัยในประเทศไทยอย่างมั่นคงและมีความสุข

ซีพีเอฟมีนโยบายการจัดจ้างแรงงานต่างด้าวทุกคนเป็นพนักงานของบริษัทโดยตรง ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (MoU) บริษัทรับผิดชอบค่าธรรมเนียมการสรรหาแรงงานของบริษัทตัวแทน (Agency Service Fee) และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสรรหาแรงงานจากประเทศต้นทาง ตั้งแต่ชายแดนถึงสถานที่ทำงาน เช่น ค่าเดินทาง ค่าอบรม ค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าตรวจลงตราวีซ่า บริษัทมีการจัดหอพักและรถรับส่งจากหอพักถึงโรงงาน จัดให้มีล่ามประจำทุกโรงงานเพื่ออำนวย ความสะดวก รวมถึงให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวตลอดระยะการทำงานกับซีพีเอฟอีกด้วย

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network Foundation: LPN) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ผ่านการดำเนินโครงการ “ศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน Labour Voices Hotline by LPN” เป็นช่องทางรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อสงสัย การขอความช่วยเหลือ รวมไปถึงข้อกังวลและข้อร้องเรียนต่าง ๆ ของพนักงานซีพีเอฟที่มีความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เพื่อให้บริษัทนำไปปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจัดโครงการอบรมด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานให้พนักงานบริษัททั้งไทยและต่างด้าวได้ตระหนักถึงสิทธิแรงงาน และมีการเยี่ยมพบปะแรงงานต่างด้าวถึงหอพัก เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความคาดหวังต่าง ๆ อันนำไปสู่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานให้ดียิ่งขึ้น

ผู้เลี้ยงหมู “ปาดเหงื่อ” วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับเพิ่ม 10% หลังรัสเซียพร้อมปิดล้อมทะเลดำ

0

โดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ 

ผลพวงจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศเตือนเรือทุกลำที่เดินทางในทะเลดำไปยังท่าเรือของยูเครน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเป้าหมายที่อาจขนส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งหมด หลังรัสเซียไม่ต่ออายุข้อตกลงเปิดทางทะเลดำให้ขนส่งธัญพืชออกจากยูเครนได้อย่างปลอดภัย (Black Sea Grain Initiatives) ส่งผลราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นทันที 10% และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อเนื่องซ้ำรอยเดิมปีที่แล้ว ที่วัตถุดิบปรับสูงขึ้นถึง 30% ทำให้ภาคปศุสัตว์โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูได้รับผลกระทบอย่างหนัก 

ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกโดยเฉพาะข้าวสาลีปรับสูงขึ้นแล้ว 10% ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับเพิ่ม 5% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนอาหารสัตว์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของต้นทุนการผลิต ประกอบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนประทุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และยืดเยื้อมาถึงขณะนี้ รวมถึงคาดการณ์ล่าสุด ว่า สภาพอากาศร้อนแล้งจาก ‘เอลนีโญ’ จะทำให้ผลผลิตจธัญพืชต่างๆ ลดลง  ซึ่งช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้น 25-30% สำหรับไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ 3 ล้านตัน เนื่องจากการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ส่วนการนำเข้าข้าวสาลี 5 เดือนแรกของปี 2566 มีการนำเข้ามาแล้วกว่า 900,000 ตัน คาดว่าทั้งปีจะมีนำเข้าประมาณ 1.8 ล้านตัน 

นอกจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงตามตลาดโลกแล้ว ผู้เลี้ยงหมู ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ 1.หมูเถื่อนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และ 2.ราคาหมูลดลงต่อเนื่องเพราะผลผลิตล้น ทำให้เกษตรกรอยู่ในภาวะยากลำบาก ตลอดจนมาตรการของภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งมาตรการเป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี (Tariff & Non-Tariff Barrier) ยิ่งเป็นการซ้ำเติมเพิ่มต้นทุนการผลิตของเกษตรกรทั้งสิ้น โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก จำเป็นต้องเลิกอาชีพไปจำนวนมากเพราะไม่สามารถแบกต้นทุนต่อไปได้อีก 

ปัจจุบันราคาประกาศสุกรหน้าฟาร์มของกรมการค้าภายในสัปดาห์ที่ผ่าน (17-21 กรกฎาคม 2566) ปรับลง 4 บาทต่อกิโลกรัม อยู่ที่ 60.5 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตเดือนมิถุนายน 2566 ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศไว้ที่ 90.57 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับราคาหน้าฟาร์มที่ปรับลดลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยเมื่อต้นปี 2566 อยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรแบกรับภาระขาดทุนมามากกว่า 6 เดือนแล้ว   

ที่ผ่านมา สมาคมภาคปศุสัตว์หลายสมาคม อาทิ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูง โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ออกมาประสานเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายอาหาร ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ข้าวสาลี ในอัตรา 3:1 (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน) และขอให้ยกเลิกภาษีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 2% เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการผลิตและความต้องการในประเทศ ปี 2566 คาดว่าภาคปศุสัตว์ต้องอยู่ในสถานะ “ปาดเหงื่อ” จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้น จากการประกาศของรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาแนวทางการช่วยลดภาระของเกษตรกร ด้วยการปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นตามกลไกตลาด (Demand-Supply) เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตให้มีเงินทุนหมุนเวียนรักษากิจการไว้ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้การผลิตเนื้อสัตว์เดินหน้าได้ต่อเนื่องและเพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน

AIS PLAY เอาใจแฟนบอลไทย ยิงสด “ไทยลีก” จัดเต็มทุกแมตช์ ในราคาเริ่มต้น 59 บาท เท่านั้น

0

AIS PLAY ตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มฟุตบอลไทย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งต้อนรับการเปิดสนามการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพสูงสุดของไทย ไทยลีก ฤดูกาล 2023-2024 จากการทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 3 เดินหน้าส่งมอบสุดยอดประสบการณ์การรับชมบอลไทย ทั้ง ไทยลีก เอฟเอคัพ และลีกคัพ ให้เชียร์แบบจุใจทั้งในรูปแบบชมสด ดูย้อนหลัง และไฮไลท์สำคัญ ผ่าน AIS PLAY ทุกช่องทาง กับแพ็กเกจสุดพรีเมี่ยมด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาทเท่านั้น

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “จากการทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ ไทยลีก อย่างต่อเนื่องในการนำประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลมาส่งต่อสู่สายตาแฟนบอลชาวไทย ทำให้เราเห็นถึงพลังของวงการลูกหนังไทยทั้งความเข้มข้นในการแข่งขัน ความตั้งใจของสโมสรต่างๆ และที่สำคัญคือกำลังใจจากแฟนบอลที่ส่งให้นักเตะทั้งจากในสนามและผ่านทางหน้าจอ ซึ่งเรามีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนในการยกระดับการรับชมสู่การเป็นแพลตฟอร์มฟุตบอลไทยบน AIS PLAY”

“โดยในฤดูกาล 2023-2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราพร้อมที่ส่งต่อสุดยอดความมันส์จากขอบสนามถึงหน้าจอลูกค้า ในการเชื่อมต่อประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด ให้แฟนๆ ได้เต็มอิ่มจุใจแบบครบทุกแมตช์ตลอดทั้งฤดูกาล นับเป็นการตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางการรับชมฟุตบอลไทยอย่างสมบูรณ์ รวมถึงวันนี้ AIS PLAY ยังเดินหน้าคัดสรรค์สุดยอดคอนเทนต์กีฬาระดับพรีเมี่ยมเข้ามาเติมเต็มให้ AIS PLAY เป็นผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ด้านกีฬาชั้นนำของประเทศ”

สำหรับลูกค้า AIS ทั้งโมบายล์และ AIS Fibre สามารถรับชมฟุตบอลไทยลีก 1, ฟุตบอลช้างเอฟเอ คัพ และฟุตบอลรีโว่ คัพ สดทุกแมตช์ พร้อมไฮไลท์ และ รีรัน ได้อย่างจุใจ ในทุกช่องทางบน AIS PLAY ทั้งแอปพลิเคชัน, เว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/portal/screen/SportsWeb/, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV  กับแพ็กเกจ Thai League PACK เพียง 59 บาท/เดือน หรือ 500 บาท/ฤดูกาล

รู้เก็บรู้ออม : ตามล่าขุมทรัพย์กับ INVESTORY

0

คุณสมบัติข้อหนึ่งที่นักลงทุนและผู้สนใจเรื่องการเงินการลงทุนต้องมี คือการหมั่นเติมความรู้เรื่องการเงินการลงทุนให้กับตัวเอง ซึ่งในยุคสมัยปัจจุบันนี้การเข้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆ ทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก

“คุณนายพารวย” เคยแนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จักแหล่งเรียนรู้สำคัญที่หนึ่ง นั่นคือ “INVESTORY พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ซึ่งได้มีการเปลี่ยนลุค ปรับโฉมใหม่ให้ดูสดใส ทันสมัย และปรับปรุงพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น จนที่ผ่านมามีผู้คนให้ความสนใจ แวะเวียนไปเยี่ยมชมสถานที่นี้เป็นจำนวนมากทีเดียว

INVESTORY ตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บนถนนรัชดาภิเษก สามารถเดินทางไปสะดวกสบายด้วยรถไฟใต้ดิน MRT ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ใช้ทางออกหมายเลข 3 ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 09.30-17.00 น.

พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุนแห่งแรกของประเทศไทยแห่งนี้ นอกจากจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่สำคัญแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการวางแผน การเงินและการลงทุนให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่สนใจเรื่องการลงทุนอีกด้วย

โดยนำเสนอความรู้ด้วยการเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่มีทั้งฮีโร่ และศัตรูตัวร้ายทางการเงิน เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ในเรื่องของหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม และอนุพันธ์ ตลอดจนการใช้สื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาสร้างความน่าสนใจ และสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการเรียนรู้

ล่าสุด INVESTORY กำลังจะมีกิจกรรมพิเศษ Online INVESTORY Mobile Exhibition on Schools ปี 2566 ภายใต้แนวคิด “INVESTORY Investment Adventure ตามล่าขุมทรัพย์ลงทุน” ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงอยากชักชวนให้สถาบันการศึกษาและครูอาจารย์พานักเรียนระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาทั่วประเทศมาเปิดประสบการณ์เรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนกับกิจกรรมครั้งนี้

เพราะความรู้และประสบการณ์ด้านการออม การลงทุนนั้น ถือว่าเป็นทักษะสำคัญที่เราควรส่งเสริมและปลูกฝังให้กับเยาวชนไทย เพื่อที่จะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยการเงิน รู้จักวางแผนการเงินการลงทุนให้กับตัวเองได้ต่อไป

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ น้องๆนักเรียนสามารถเข้าร่วมอบรมผ่านโปรแกรม Zoom ระหว่างวันที่ 15–25 ส.ค.2566 โดยจะได้พบกับฮีโร่ทางการเงินที่จะมาให้ความรู้ผ่านควิซและเกมที่หลากหลาย เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างสนุกสนาน ตลอดกิจกรรม 90 นาที พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย

สถาบันการศึกษาที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมฟรี!! ได้แล้วตั้งแต่วันนี้-15 ส.ค. 2566 โดยเข้าไปเลือกรอบวันและเวลาอบรมได้ที่ https://gowatch.live/INVESTORYregister หรือหากมีข้อสงสัย ต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่อีเมล [email protected]

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบล. เอเชีย เวลท์

0

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.) มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบบ ส-1 ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ด้วยเหตุที่ไม่สามารถดำรงคุณสมบัติการเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ตามกฎหมายที่กำหนด

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงว่า บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถดำรงคุณสมบัติการเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบบ ส-1 จากกรณีที่บริษัทไม่สามารถดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) ได้ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นมา และบริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาการดำรง NC ได้ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 9(3) ของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ/น/ข. 14/2551 เรื่อง การอนุญาตการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นผลให้บริษัทไม่สามารถดำรงคุณสมบัติการเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบบ ส-1 ได้ตามข้อ 13(3) ของประกาศฉบับเดียวกัน 

คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบบ ส-1 ของบริษัท เนื่องจากบริษัทไม่สามารถดำรงคุณสมบัติการเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบบ ส-1 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ก.ล.ต. มีบทบาทในการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะต้องดำรงคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดตลอดเวลาที่ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งมีความพร้อมในการรองรับการประกอบธุรกิจเพื่อการให้บริการโดยยึดหลักประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ เอกชน-หน่วยงานรัฐภาคตลาดทุน ประกาศเจตนารมณ์ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน”

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จับมือพันธมิตรภาคตลาดทุน องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ ได้แก่ ก.ล.ต. สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกาศเจตนารมณ์ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” 24 ก.ค. 2566 แลกเปลี่ยนข้อมูล ตรวจสอบและชี้เป้าข่าวปลอม พร้อมรณรงค์เตือนตอกย้ำประชาชนสร้างภูมิคุ้มกันด้วยสติ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลงทุน พร้อมเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อหาทางออกในการจับปลอมหลอกลงทุน ในเสวนา “รู้ทันหลอกลงทุน ด้วยภูมิคุ้มกันความลวง” โดย นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันปัญหามิจฉาชีพชักชวนลงทุนผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมีเป็นจำนวนมาก มีการแอบอ้างองค์กร ชื่อ ภาพ ผู้บริหารของหลายหน่วยงาน ร่วมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลอกลวงให้มาลงทุน สร้างความเสียหายแก่ประชาชน ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะแพลตฟอร์มการลงทุนของประเทศ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาคตลาดทุน ริเริ่มโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” โดยในเฟสแรก จะร่วมกันสื่อสารโดยตีแผ่ข้อเท็จจริง ชี้เป้าข่าวเท็จ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ลงทุนและประชาชนไม่ให้เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ผ่านช่องทางของพันธมิตร และสื่อในหลากหลายรูปแบบที่เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง และในเฟสถัดไปจะมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งภาคตลาดทุนและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนากระบวนการในการจับปลอมหลอกลงทุนได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า กลโกงหลอกให้ลงทุนทางออนไลน์เป็นหนึ่งในภัยคุกคามซึ่งสร้างความเสียหายต่อประชาชนจำนวนมาก โดยมักแอบอ้างชื่อหรือโลโก้ของ ก.ล.ต. หน่วยงาน บริษัท รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องในภาคตลาดทุน ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้งนี้ ก.ล.ต. ตระหนักถึงปัญหาของภัยหลอกลวงที่ขยายวงกว้างมากขึ้นในปัจจุบันและที่ผ่านมา
ได้ดำเนินการในหลายมิติเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เพียงพอและสามารถปกป้องตนเองจากภัยดังกล่าว โดย ก.ล.ต. มีความยินดีอย่างยิ่งกับการริเริ่มโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” ซึ่งแสดงให้
เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของทุกภาคส่วนที่จะช่วยกันป้องปรามการหลอกลงทุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัญหามิจฉาชีพหลอกลงทุนเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ การแก้ไขปัญหาและการป้องกันไม่สามารถจัดการได้โดยบุคคลหรือองค์กรที่ถูกแอบอ้างโดยลำพัง หรือเป็นปัญหาขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องทำทั้งกระบวนการตั้งแต่การป้องปรามและปราบปรามไปพร้อมกัน การที่องค์กรต่าง ๆ ในตลาดทุนและภาครัฐ ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยกันแก้ไขปัญหา ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงผลกระทบจากภัยทางการเงิน และการหลอกลงทุน โดยเฉพาะ “แชร์ลูกโซ่” ที่แฝงมาในชื่อ “การออม” หรือ “การลงทุน” สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจร้ายแรง จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาตรการป้องกันภัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการป้องกัน เช่น ยกเลิกส่ง SMS อีเมลล์ แนบลิงก์ แจ้งเตือนผู้ใช้บริการ Mobile Banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง สแกนใบหน้ายืนยันตัวตนก่อนโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทขึ้นไปต่อครั้ง หรือ ยอดโอนสะสมครบทุก 2 แสนบาทต่อวันต่อบัญชี หรือ ปรับเพิ่มวงเงินโอนตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป มาตรการตรวจจับและติดตาม พัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry) เพื่อตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยและบัญชีม้า ช่วยป้องกันและจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และมาตรการตอบสนองและรับมือ โดยจัดให้มีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (Hotline) 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเกราะป้องกันภัย ด้วย “การให้ความรู้ทางการเงิน” กับประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การป้องกันภัยต้อง “เริ่มต้นที่ตัวเรา” ประชาชนต้องหมั่นเช็กข้อมูลธุรกรรมการเงินของตัวเองสม่ำเสมอ วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านทุกครั้งก่อนลงทุน ติดตามข่าวสารภัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อรู้เท่าทันกลโกง ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

นางสาวอังคณา เทพประเสริฐวังศา เลขาธิการและผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนถูกมิจฉาชีพนำไปแอบอ้างในการหลอกลงทุน สร้างความเสียหายแก่ประชาชนที่หลงเชื่อ ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนก็นับเป็นผู้เสียหายเช่นกัน โดยเฉพาะในเชิงความน่าเชื่อถือ สมาคมฯ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและจะสื่อสารไปยังบริษัทจดทะเบียนให้ร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ควบคู่ไปกับการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย

นายวิรัฐ สุขชัย นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กล่าวว่า จากสถานการณ์มิจฉาชีพหลอกลงทุนในปัจจุบัน ด้านผู้ประกอบการที่ถูกแอบอ้างไปหลอกเงินจากประชาชน ต้องมีแนวทางป้องกันไม่ให้ใครมาแอบอ้างโดยประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบ รวมถึงดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องปกป้องเงินของตนเองไม่ให้ใครมาหลอกลวง โดยสังเกตข้อพิรุธต่าง ๆ จากการโฆษณาชวนเชื่อสัญญาผลตอบแทนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งสมาคมฯ จะร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้ทั้งบริษัทจดทะเบียนและประชาชนทั่วไปเพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากภัยหลอกลงทุนดังกล่าว

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ประชาชนมีความสนใจเรียนรู้และลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องดีเพียงแต่ต้องเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากในโลกออนไลน์โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่จำนวนมาก ประชาชนต้องพิจารณาว่าเป็นบริษัทที่มีการรับรองอย่างถูกต้อง รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลและผลตอบแทนที่เชิญชวนว่าน่าเชื่อหรือไม่ โดยสมาคมฯ และบริษัทหลักทรัพย์จะร่วมสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ต่อเนื่อง

นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ปัจจุบันมีการโฆษณาเชิญชวนหลอกให้มาลงทุนในกองทุนรวมจำนวนมากโดยให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งการโฆษณาดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด โดยผู้ประกอบธุรกิจการจัดการลงทุนต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เท่านั้น และการโฆษณาเชิญชวนให้คนมาลงทุนในกองทุนรวมต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด ดังนั้น ประชาชนผู้พบเห็นโฆษณาหลอกลงทุนในกองทุนรวมต่าง ๆ ไม่ว่าจะแอบอ้างบริษัทหรือผู้บริหารท่านใด อย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด

นายชนันต์ ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจสำคัญของ CMDF คือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุน การลงทุน และการพัฒนาตลาดทุนให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน โดย CMDF สนับสนุนทุนในโครงการให้ความรู้ประชาชนผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบที่เข้าถึงประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งโครงการเกี่ยวกับการเสริมภูมิคุ้มกันในเรื่องหลอกลงทุนแก่ประชาชนในวงกว้างที่จะเริ่มเผยแพร่ในเร็วๆ นี้

ขอเชิญประชาชน “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” เช็ก ชี้ แฉ หากพบเห็นการเชิญชวนลงทุนโดยให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงภายในระยะเวลาสั้น ๆ หรือแอบอ้างองค์กรและบุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าเพิ่งหลงเชื่อร่วมลงทุน และตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยโปรดสอบถามที่องค์กรที่ถูกอ้างถึงโดยตรง หรือตรวจสอบรายชื่อบุคคล ผู้ประกอบธุรกิจหรือบริการทางการเงินว่าได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล

AIS – GC เฟ้นหาสุดยอด มหาวิทยาลัยสีเขียว กับโครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ”

0
ชวนนิสิต นักศึกษา 11 สถาบันชั้นนำ ร่วมภารกิจรักษ์โลก เก็บ E-waste และขยะพลาสติก ชิงทุนการศึกษาพร้อมถ้วยรางวัล Upcycling ที่ผลิตจากพลาสติกใช้แล้วและขยะ E-waste
จากความร่วมมือระหว่าง AIS และ GC ในการเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ายกระดับและสร้างต้นแบบองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด ESG ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม วันนี้ทั้ง 2 องค์กรได้สานต่อความร่วมมือ มุ่งสร้างการมีส่วนร่วมส่งต่อไปยังเครือข่ายมหาวิทยาลัยด้วยเทคโนโลยีโซลูชันสีเขียว กับโครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ชวนนิสิต นักศึกษา และบุคลากรจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 11 แห่ง จากกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เข้าร่วมการแข่งขันภารกิจเก็บขยะเพื่อโลกทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน E-Waste + และขยะพลาสติกผ่าน GC YOUเทิร์น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกอย่างครบวงจร เฟ้นหาสุดยอดสถาบันสีเขียว ชิงทุนการศึกษา พร้อมถ้วยรางวัล Upcycling ที่สร้างคุณค่าจากพลาสติกใช้แล้ว และขยะ E-waste

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการทำงานร่วมกันระหว่างเราและ GC ในด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนแล้ว วันนี้เรายังมีภารกิจร่วมกันในการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคและลูกค้าเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้านการจัดการขยะทั้งขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ AIS ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญ Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ ที่วันนี้เราได้ชวนกรีนพาร์ทเนอร์กับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้ง 11 แห่ง มาเข้าร่วมแข่งขันการเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติกที่ใช้แล้ว นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราไม่ได้ต้องการผลลัพธ์ในเชิงปริมาณจากจำนวนขยะที่น้องๆ นิสิต นักศึกษา เก็บได้เท่านั้น แต่เราต้องการสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ตระหนักและเข้าใจถึงปัญหาด้านการจัดการขยะอย่างอย่างยั่งยืน ทั้งกระบวนการคัดแยก ไปจนถึงการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

ขณะที่ ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ GC นั้น เราให้ความสำคัญกับสมดุล ESG มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy มาปรับใช้ในธุรกิจ และยกระดับสร้างแนวทางปฏิบัติไปสู่ภาคสังคม พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันอย่าง AIS ในการต่อยอดพัฒนาด้านความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2593 จนถึงความร่วมมือในวันนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือด้านความยั่งยืนของทั้ง AIS และ GC ภายใต้โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” จึงเป็นการขยายเครือข่าย ส่งต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างการมีส่วนร่วมให้กับน้องๆ นิสิต -นักศึกษา และบุคลากรของทั้ง 11 มหาวิทยาลัย ในการจัดการพลาสติกใช้แล้วผ่าน GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม สนับสนุนการนำพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือน ส่งกลับมาเป็นวัตถุดิบและกลับเข้าสู่วงจรการผลิตอีกครั้ง ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดโลกร้อนไปพร้อมๆกัน”

โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” เป็นกิจกรรมที่ AIS และ GC ชวนมหาวิทยาลัยชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 11 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันการเก็บรวบรวมขยะ ทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน ทั้ง E-Waste + และขยะพลาสติกผ่าน YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ซึ่ง นิสิต นักศึกษา สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติกใช้แล้วมาทิ้งที่จุดรับทิ้งขยะ โดยมีอาสาสมัครอย่าง Green Agent เป็นผู้บันทึกผลการเก็บขยะรวมถึงยังให้คำแนะนำในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี

สำหรับมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้เรียนรู้กระบวนการจัดการขยะทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะพลาสติกอย่างถูกต้องผ่านการอบรมให้ความรู้ กิจกรรม Workshop รวมถึงการศึกษาดูงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยมหาวิทยาลัยที่สามารถเก็บขยะทั้ง E-Waste และพลาสติกใช้แล้วได้จำนวนสูงสุดจะได้รับรางวัลทุนการศึกษา รวมกว่า 60,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล Upcycling ผลิตจากขยะพลาสติก และขยะ E-waste โดยการแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566 สามารถติดตามและอัพเดทผลการแข่งขันของน้องจากทั้ง 11 มหาวิทยาลัยได้ทาง https://web.facebook.com/YOUTURNPLATFORM

ออมง่าย ทุนไม่หาย แถมลุ้นรางวัล ผ่าน Mymo กับ “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี”

0

? เริ่มต้นออมเงินง่ายๆ ทุนไม่หาย แถมได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม พร้อมให้ลุ้นรับเงินรางวัลกันแบบยาวๆ กับสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฝากเลยง่ายๆที่ MyMo…

? รับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.25% ต่อปี
? ลุ้นเพิ่ม รางวัลพิเศษ รางวัลละ 100,000 บาท จำนวน 20 รางวัล (ออกรางวัลทุกๆ 3 เดือน รวม 40 รางวัล)
? พร้อมลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท

? ดอกเบี้ยและเงินรางวัลไม่เสียภาษี
? ออกรางวัลพิเศษ รวม 2 ครั้ง ครั้งละ 20 รางวัล (ในวันที่ 16 ส.ค. 66 และ 16 พ.ย. 66)

จุดเด่น

สลากดิจิทัล อายุ 1 ปี งวดที่ 18 หน่วยละ 20 บาท มีสิทธิถูกรางวัลทุกเดือนเป็นเวลา 12 เดือน รางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัล 3 ล้านบาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย เงินรางวัลและดอกเบี้ยของบุคคลธรรมดา ไม่เสียภาษีฝากครบอายุจะโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากที่เป็นบัญชีคู่โอนโดยอัตโนมัติ

ครบอายุได้รับเงินต้นคืน

ลุ้นรางวัลได้ทุกเดือน รางวัลที่ 1 : 3 ล้านบาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

มูลค่าการลงทุนต่อหน่วยไม่มาก

สามารถตั้งชื่อนามแฝงได้ตามที่ต้องการ (ไม่เกินจำนวนตัวอักษรและวรรคที่ธนาคารกำหนด)

? ฝากเลยที่ MyMo
ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 66 เป็นต้นไป หรือจนกว่าธนาคารจะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่กำหนดไว้ภายหลัง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/43tRjSd
? เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ?

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ ท็อปส์ ชวนสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ช้อปคุ้ม ลดทุกวัน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเป็นคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ

ล่าสุด “เมืองไทยประกันชีวิต” ร่วมกับ “ท็อปส์” พันธมิตรชั้นนำด้านการช้อปปิ้ง มอบสิทธิพิเศษแด่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ชวนเปิดประสบการณ์ช้อปแบบรู้ใจ หรือเลือกช้อปแบบราคาประหยัดแลกคะแนนสะสมรับส่วนลดแทนเงินสดบน MTL Click Application โดยมีรายละเอียดดังนี้
• ช้อปแบบรู้ใจ ช้อปให้เฉพาะคุณ สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกฯ ที่ช้อปสินค้าราคาปกติครบ 1,500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ผ่านบริการผู้ช่วยนักช้อปส่วนตัว (Personal Shopper) รับส่วนลด 5% พร้อมฟรีค่าจัดส่ง สามารถรับสิทธิ์ได้ทาง MTL Click Application แบบไม่ต้องใช้คะแนนสะสม Smile Point และใช้สิทธิ์ได้ที่ Line Personal Shopper ของ Tops, Tops Food Hall และ Tops Fine Food สาขาที่ให้บริการ ระยะเวลารับสิทธิ์ วันนี้ – 15 กันยายน 2566 จำกัดจำนวน 500 สิทธิ์ ตลอดโครงการเท่านั้น
• ช้อปแบบชิลๆ เน้นคุ้มค่าราคาประหยัด สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกฯ สามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อรับส่วนลดแทนเงินสดสำหรับซื้อสินค้าในราคาประหยัดได้ เพียงใช้ 35 Smile Points แลกรับ E-Voucher 100 บาท หรือใช้ 175 Smile Points แลกรับ E-Voucher 500 บาท โดยสมาชิกฯ สามารถแลกคะแนนสะสม Smile Point ได้ทาง MTL Click Application และนำรหัสรับสิทธิ์ (บาร์โค้ด) ที่ได้รับมาแสดง ณ เคาน์เตอร์ชำระเงิน ภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อใช้สิทธิ์ได้ที่ Tops, Tops Food Hall, Tops Fine Food และ Tops CLUB ทุกสาขา (ยกเว้น Tops Online ไม่เข้าร่วมรายการ) ระยะเวลาแลกสิทธิ์ วันนี้ – 31 มีนาคม 2567

นอกจากนี้ เมืองไทยสไมล์คลับยังมีกิจกรรมและสิทธิพิเศษอีกมากมายที่ตั้งใจคัดสรรมาเพื่อให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ และความต้องการในปัจจุบันของสังคม โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถติดตามกิจกรรม และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ MTL Click Application ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ