Home Blog Page 147

เมืองไทยประกันชีวิต จัดสัมมนา “MTL Unit Linked Mid Year Forum 2023”

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “MTL Unit Linked Mid Years Forum 2023” โดย นางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง CFP® รองกรรมการผู้จัดการ (กลาง) เป็นประธานในงานสัมมนา

พร้อมให้การต้อนรับวิทยากรพิเศษ นางสาวศิริพร สุวรรณการ CFA, CFP® Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (ที่ 2 จากซ้าย) นายวีรพล ตรีเพ็ชร์ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (ซ้ายสุด) นางสาวพรชนก รัตนรุจิกร CFA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (ที่ 2 จากขวา) และนายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด (ขวาสุด) ร่วมเป็นวิทยากรในงาน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน พร้อมนำเสนอเครื่องมือช่วยบริหารพอร์ตชีวิตของลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการของเมืองไทยยูนิตลิงค์ ณ ห้อง Pinnacle 4-6 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ไส้กรอก โปรตีนทางเลือก ไม่ใช่ตัวร้าย หากรับประทานอย่างเหมาะสม

0

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ ไส้กรอก บริโภคได้อย่างปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับรองมาตรฐาน สังเกตฉลาก ป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ไส้กรอก เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ที่มีการเติมแต่งเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และเพื่อการบริโภคที่ง่ายขึ้น รวมไปถึงการขนส่งที่สะดวก โดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ หากปรุงอย่างดีจะได้รสชาติที่อร่อย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค

“ไส้กรอก ไม่ใช่ตัวร้ายของสังคม สามารถบริโภคได้ ในปริมาณที่ไม่เบียดบังอาหารหลักจากธรรมชาติ โดยบริโภคอาหารให้หลากหลายมีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ ที่สำคัญต้องเลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค” ดร.รชา กล่าว

สำหรับ ไส้กรอกที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัย อย่าง ไส้กรอกลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศที่เพิ่งมีการจับกุมไปตามที่เป็นข่าวเหล่านั้น อาจมาจากแหล่งผลิตในประเทศที่มีการระบาดของโรคในสัตว์ซึ่งยังไม่มีมาตรการควบคุม หรือมีการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งสารนี้เป็นสารที่เร่งให้สัตว์มีปริมาณเนื้อแดงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เร่งสารเร่งสีที่ทำให้เนื้อสัตว์มีสีแดง โดยส่วนใหญ่ใช้ในหมู เพราะหมูมีพฤติกรรมกินแล้วนอน ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของไขมัน หากหมูมีไขมันเยอะ เนื้อหมูจะขายไม่ได้ในราคาที่ดี เพราะมันหมูราคาถูกกว่าเนื้อแดง ดังนั้นเพื่อให้หมูมีเนื้อแดงมากขึ้น เกษตรกรจึงมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงกระตุ้นหัวใจ ทำให้หมูงุ่นง่าน เพราะหัวใจเต้นเร็ว เดินไปเดินมา กล้ามเนื้อจึงเพิ่มขึ้น แต่ในประเทศไทยโดยกรมปศุสัตว์มีมาตรการห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงหากฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย อัตราโทษมีทั้งจำและปรับ

ทั้งนี้ ในกระบวนการผลิตไส้กรอกอาจจำเป็นต้องเติมไนไตรต์ เพื่อยับยั้งการเจริญของสปอร์แบคทีเรีย คลอสทริเดียม โบทูลินัม ซึ่งเจริญได้ในที่อับอากาศ และอาจสร้างสารพิษโบท็อกซ์ ซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการอัมพาตที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ และยังมีผลพลอยได้ทำให้เนื้อไส้กรอกสวย เป็นสีชมพูน่ารับประทานตามลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตามการเติมไนไตรต์ ต้องอยู่ในปริมาณตามที่กฏหมายกำหนด

ดร.รชา กล่าวย้ำว่า “การเลือกซื้อไส้กรอก ต้องซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐาน โดยสังเกตจากฉลากที่ได้รับการรับรองจาก อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่ระวัง ผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากสารเคมี เพราะไม่สามารถทราบได้ว่ากระบวนการผลิตมีการเติมแต่งใส่สารอะไรลงไป ผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีการใส่สารกันเสียเกินปริมาณและจะทำให้มีการสะสมของสารไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้น หากไม่แน่ใจในแหล่งที่มา แนะให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยง”

แม็คยีนส์ เปิดตัวคอลเลกชั่น​ แฟชั่นยั่งยืน​ “Mc Sustainability 2023 Collection”

0

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า แม็คยีนส์ให้ความสำคัญ           ในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ล่าสุดได้เปิดตัวคอลเลกชั่นพิเศษ “Mc Sustainability 2023 Collection” ที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล ภายใต้คอนเซ็ปต์ FROM NATURE TO FUTURE แม็คยีนส์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม ผ่านเทคโนโลยี การแปรรูปเส้นด้ายจากผ้ายีนส์เหลือใช้นำมาคัดแยกและเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้กลับมาใช้ใหม่ได้อย่างคุ้มค่า โดยยังคงรักษาคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นด้ายปกติ

คอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” เกิดจากแนวคิด Reuse Reduce Recycle ผ่านเทคโนโลยีการแปรรรูปเส้นด้าย โดยนำเศษผ้ายีนส์ที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตผ้ายีนส์ นำมาคัดแยก และเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ปั่นเป็นเส้นใยพร้อมที่จะผสมเข้ากับผ้าฝ้ายโพลีเอสเตอร์ หรือเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ และยังคงรักษาคุณภาพของเส้นด้ายได้ดีเทียบเท่าเส้นด้ายปกติ สินค้าในคอลเลกชั่นพบกับ เสื้อสเวตเตอร์, เสื้อฮู้ดดี้, เสื้อยืดทรงตรงและทรงครอป ที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล ให้สัมผัสนุ่มลื่น สวมใส่สบายและระบายอากาศได้ดี ตกแต่งด้วยเทคนิคการพิมพ์รับเบอร์พริ้นท์ และเพิ่มมิติด้วยเมทัลลิคสกรีน ผสมผสานกับลวดลายตัวอักษรและลายกราฟิกที่สื่อถึงธรรมชาติ กับโทนสีที่มิกซ์แอนด์แมตช์ได้ง่ายพร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว

นอกจากการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการสร้างมลพิษ คอลเลกชั่นนี้ยังเป็นการต่อยอดแคมเปญ MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค ภายใต้แนวคิด Body Positivity ความเข้าใจในความแตกต่างของรูปร่าง และพร้อมสร้างสรรค์ลุคที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของแม็คยีนส์ ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าว การเปิดตัวคอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” สะท้อนความมุ่งมั่นของแม็คยีนส์ ในการเป็นส่วนหนึ่งในการลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น   คอลเลกชั่น Mc Save the World ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากนวัตกรรมการรีไซเคิลขวดพลาสติก และนวัตกรรม DRY DYE การย้อมผ้าไม่ใช้น้ำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย กับนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปกับแม็คยีนส์ได้แล้ววันนี้ กับคอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” ที่ร้านแม็คยีนส์ทุกสาขาหรือช้อปออนไลน์ที่ www.mcshop.com และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/mcjeans 

AWC เซ็นสัญญาซื้อกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก 7.7 พันล.

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC  ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (E-EGM) ครั้งที่ 1/2566 ในการเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นกิจการ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก (Hotel Plaza Athenee New York) มูลค่าการเข้าซื้อกิจการ 7,789 ล้านบาท และได้รับสิทธิความเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับอัลตร้า ลักชูรี่ อย่าง พลาซ่า แอทธินี (Plaza Athenee) ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เชื่อมสองโครงการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในนครนิวยอร์ก และอาคาร EAC (East Asiatic Company) ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางของโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC ภายใต้ “River Journey Project” พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยวทางสายน้ำให้กับประเทศไทย 

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตและสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับ AWC อีกทั้งด้วยความเชี่ยวชาญของ AWC ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นสร้างคุณค่าเพิ่ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร รวมถึงประสบการณ์ที่ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมากมาย ผสานกับจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของแบรนด์โนบุ ที่จะมาร่วมพัฒนาโครงการระดับไอคอนิกทั้งสองแห่งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี่

AWC จะเข้าซื้อหุ้นในกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก จำนวนร้อยละ 18 ในมูลค่า 1,402 ล้านบาทก่อน และจะมีสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ (Call Option) อีกจำนวนร้อยละ 82 ภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AWC เสมือนรูปแบบ AWC Growth Fund อีกทั้งยังไม่เกิดภาระต่องบดุลของทางบริษัทระหว่างการพัฒนา และสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนพัฒนาภายใต้สัดส่วนการลงทุนของบริษัท ควบคู่กับการรับกำไรจากการพัฒนาเต็มจำนวน และยังสามารถได้รับผลดีจากการเติบโตของมูลค่าแบรนด์พลาซ่า แอทธินี ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการเปิดดำเนินงาน และสร้างรายได้เพิ่มกับโครงการอื่นๆ ในระยะยาว

“การลงทุนครั้งนี้ของ AWC เป็นการสร้างคุณค่าร่วม (Synergy Value) ด้วยการเสริมโมเดลพอร์ตโฟลิโอของ AWC ผ่านการพัฒนาสองโรงแรมระดับไอคอนิก ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก และ โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น (Reception) และศูนย์กลางเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC ภายใต้แนวคิด River Journey Project สร้างประสบการณ์ระดับอัลตร้า ลักชูรี่ และจะเป็นมิติใหม่ของอุตสาหกรรมผ่านทรัพย์สินอันทรงคุณค่าทั้งสองแห่ง ในสองมหานครระดับโลก กรุงเทพฯ และนิวยอร์ก”

AIS 5G ยินดีต้อนพับ กับสุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งปี Galaxy Z Flip5 และ Galaxy Z Fold5

0
ให้ลูกค้าใช้งานบนโครงข่าย 5G ที่ใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมข้อเสนอและสิทธิพิเศษสุดปัง

AIS 5G ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริง ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล 5G ที่มีโครงข่ายใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานมากที่สุดในไทย พร้อมรับกระแสปรากฏการณ์พับ ร่วมยินดีต้อนพับกับสมาร์ทโฟนสุดล้ำแห่งปี ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งาน 5G บน Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 พร้อมให้สาวกซัมซุงได้จับจองเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันนำเครื่องเก่ามาแลกส่วนลดราคาพิเศษสูงสุด 10,000 บาท หรือจะแบ่งจ่ายง่ายๆ สบายกระเป๋า ผ่อน 0% นานสูงสุดถึง 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด35% พิเศษเฉพาะลูกค้า AIS เท่านั้น ยังได้รับประสบการณ์ความบันเทิงกับคอนเทนต์ระดับโลก Disney+ Hotstar มูลค่า 2,290 บาท นานปี 1 (ไม่มีค่าใช้จ่าย) เมื่อจองและซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจ 899 ขึ้นไป ร่วมเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 โดยสามารถพรีออเดอร์กับ AIS ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.66 – 10 ส.ค.66 และจะเริ่มวางจำหน่ายพร้อมกัน วันที่ 11 ส.ค.66

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราพร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานทั้งความเร็ว แรง แบบเต็มประสิทธิภาพ บนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับสุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งปีจากซัมซุงทั้ง Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 โดยวันนี้เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับปรากฏการณ์พับ ด้วยการจัดเต็มความพิเศษให้กับลูกค้าสาวกซัมซุงได้ร่วมเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอและสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ทั้งสุดยอดดีล โปรแกรมการผ่อนชำระ หรือแม้แต่ความบันเทิงระดับโลกที่ขนทัพมาเพื่อลูกค้า AIS เท่านั้น”

นายฐติภศ สิมะวานิชกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ธุรกิจโมบายเอ็กพีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงได้นำเสนอสมาร์ทโฟนเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยสำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Samsung Galaxy Z Fold5 และ Samsung Galaxy Z Flip5 นั้น จะยกระดับการใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ทุกคนให้ดีกว่าเดิม ทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากกว่าเดิม และในขณะเดียวกันก็สามารถพกพาได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งนี้ในการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องมีระบบโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนทำกิจกรรมได้อย่างไหลลื่นมากขึ้น จัดเต็มทุกความสามารถ ทั้งการทำงานและความบันเทิงแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งทางซัมซุงรู้สึกขอบคุณเป็นเอไอเอสเป็นอย่างมาก ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน”

สำหรับลูกค้าที่สั่งจอง Samsung Galaxy Z Fold 5 – Samsung Galaxy Z Flip 5 กับ AIS จะได้รับความพิเศษที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็น

  • รับสิทธิ์ชม Disney+ Hotstar นาน 1 ปี มูลค่า 2,290 บาท ให้คุณรับชมความบันเทิงจากทั่วโลก เอเชีย และไทย โลดแล่นสู่จิตนาการไม่รู้จบ
  • นำเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่ม ลูกค้าสามารถนำเครื่องเก่ามาแลกเป็นส่วนลดเพิ่มในการซื้อเครื่องใหม่ และ AIS ให้เพิ่มมูลค่าสูงสุดถึง 10,000 บาท
  • ผ่อนสบายๆ กับโปรโมชัน ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 35%

AIS 5G พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold 5 – Samsung Galaxy Z Flip 5 ด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุด สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ทุกรุ่นตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. – 10 ส.ค. 2566 ได้ทางศูนย์บริการเอไอเอสช็อป ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ AIS Online Store รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.ais.th/samsung/galaxy-z/ 

ซีพีเอฟ ชู ไส้กรอกซีพี ตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทางวัตถุดิบ ปลอดภัยได้มาตรฐานสากล

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำไส้กรอกซีพี โปรตีนสูง ปลอดภัยได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งต่อสุขภาพที่ดีแก่ผู้บริโภค
ณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด

นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้บริโภคสูงสุดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยมุ่งมั่นผลิตไส้กรอกปลอดภัย จากเนื้อสัตว์คุณภาพดีแบบเต็มชิ้น ที่มาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ระบบปิด ควบคู่กับหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ พร้อมควบคุมโรคด้วยระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ทำให้เนื้อหมูปลอดจากโรค ASF และเนื้อไก่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก ภายใต้ระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกคอมพาร์ทเมนต์ (Compartment)

“ซีพีเอฟ ควบคุมคุณภาพการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เนื้อสัตว์ทั้งหมดผ่านการคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพสดใหม่ ‘เนื้อหมู’ ปลอดจากสารเร่งเนื้อแดง ‘เนื้อไก่’ ปราศจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยงดู 100% ที่สำคัญวัตถุดิบถูกเก็บรักษาและขนส่งโดยการควบคุมอุณหภูมิตลอดระยะทาง จนถึงโรงงานผลิตไส้กรอก ทำให้ไส้กรอกซีพีผลิตจากเนื้อสัตว์ที่สด สะอาด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย” นายณฤกษ์ กล่าว

นายณฤกษ์ กล่าวย้ำว่า กระบวนการผลิตไส้กรอกซีพี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัย เป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียที่ใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติแบบต่อเนื่องตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่การรับวัตถุดิบด้วยระบบสายพาน นำมาจัดเก็บในห้องเย็นด้วยอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นห้องจัดเก็บวัตถุดิบเนื้อสัตว์และเบิกจ่ายแบบอัตโนมัติ ที่เรียกว่า ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ Automatic Storage & Retrieval Systems (AS/RS) และนำเครื่องจักรแขนกลอัจฉริยะ หยิบสินค้า 360 องศา (Star Robot) มาใช้ในการจัดการสินค้าในคลังสินค้า รวมทั้งควบคุมอุณหภูมิกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ให้อยู่ในระดับต่ำที่ 0-12 องศาเซลเซียส ช่วยให้คุณภาพสินค้าคงสดใหม่และปลอดภัย

ทั้งนี้ ก่อนนำเนื้อสัตว์เข้าสู่ขั้นตอนการบดเนื้อมีการตรวจสอบความปลอดภัยด้วยการผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อน หมดความเสี่ยงแม้เป็นเศษโลหะชิ้นเล็ก และนำระบบ RFID (Radio – Frequency Identification) มาใช้ในการระบุข้อมูลวัตถุดิบเนื้อสัตว์ จัดเรียงลำดับการใช้ และตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบถึงต้นทางได้

ไส้กรอกซีพี ผ่านกระบวนการทำให้สุกด้วยการอบไอน้ำ และรมควันด้วย “ระบบรมควันแบบปิด” ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการดักแยกสารทาร์ (TARs) ออกจากไส้กรอก (สารหนักจากควันที่มีองค์ประกอบของสารก่อมะเร็ง) และเข้าสู่การตรวจสอบซ้ำว่า ปลอดจากสารทาร์ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

“ไส้กรอกซีพี ไม่ใช้สารกันเสีย ไม่ใช้สารไนเตรต สารบอแรกซ์ ดินประสิว และส่วนผสมที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รวมทั้งควบคุมการใส่ ‘เกลือไนไตรต์’ อยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่า อย. กำหนด (กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร เพื่อยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่สร้างสารพิษในอาหาร) มีการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าไส้กรอกซีพี ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” นายณฤกษ์ กล่าวย้ำ

ซีพีเอฟ ยังให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ เป็นชนิดเทอร์โมฟอร์มแบบฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer thermoform film) ป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ซึ่งสามารถรักษาความสดใหม่ของไส้กรอก ทำให้อายุการเก็บของผลิตภัณฑ์นานขึ้น และใช้อุ่นร้อนกับไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ผู้บริโภคควรสังเกตวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ และเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน มีสัญลักษณ์รับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความปลอดภัย

CPF ขับเคลื่อนมาตรฐานอาหารเดียวทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตและจำหน่ายอาหารมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก (One Standard for All) เดินหน้าสร้างมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ CPF Food Standard ; PS 7818 : 2018 ขยายผลความสำเร็จนำธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร รับใบรับรองฯจาก บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด หรือ BSI ตอกย้ำระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับสากล

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ รับใบรับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์และโรงฟัก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และโรงงานแปรรูปอาหาร รวมทั้งสิ้น 117 แห่ง โดยมี นายอุดมศักดิ์ สันทิฐิกวงศ์ ผู้จัดการประเทศ บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนมอบ พร้อมกันนี้ ผู้บริหารธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร รับใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) ใบรับรองระบบการจัดการความปลอดภัยอาหาร (ISO 22000:2018) และใบรับรองการปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดีและระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม(GHPs & HACCP)

มร.ท็อด เรดวู๊ด Managing Director, Global Food and Retail กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ซีพีเอฟได้ขยายผลความสำเร็จการรับรองมาตรฐานอาหาร PS7818:2018 ISO 9001:2015 ISO 22000:2018 สู่สถานประกอบการ 117 แห่ง ซึ่งการได้รับรองมาตรฐาน ISO ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการให้บริการที่มีคุณภาพ และการได้รับมาตรฐาน PS 7818:2018 จะช่วยให้ลูกค้า ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มั่นใจได้ว่าห่วงโซ่อุปทานของบริษัทมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของซีพีเอฟที่มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ BSI ในฐานะพันธมิตรรู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของซีพีเอฟในการร่วมสร้างความยั่งยืนและความเป็นเลิศทางธุรกิจ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การที่ซีพีเอฟได้รับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ใบรับรอง ISO 9001:2015 และ ใบรับรอง ISO 22000:2018 สะท้อนการบริหารงานที่มีมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมาตรฐานของตนเอง (Private Standard) ภายใต้คำแนะนำและการสนับสนุนโดย BSI เพื่อมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีสู่ผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ สร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตร BSI UK ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสร้างมาตรฐานระดับโลกที่มุ่งเน้นสร้างมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ เป็นการยกระดับระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวทั่วโลก (One Standard for All)

ภายใต้วิสัยทัศน์ เป็น “ครัวของโลก” ซีพีเอฟร่วมกับสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (British Standards Institution: BSI) ริเริ่มโครงการมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ พัฒนามาตรฐานอาหารของบริษัทในด้านระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ เพื่อควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นระบบเดียวกันทั่วโลก โดยนำร่องใช้ในธุรกิจไก่เนื้อครบวงจรโคราช (Korat Model) ที่บรรลุเป้าหมายในการตรวจรับรองจากหน่วยงานอิสระภายนอก และขยายผลครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อและเป็ดเนื้อ ซึ่งบริษัทฯ ยังมีเป้าหมายในการขยายผลการรับรองไปยังธุรกิจอื่นๆต่อไปในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนและครบวงจร

“การได้รับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ตอกย้ำความมั่นใจว่าซีพีเอฟมีการควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ครอบคลุมธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหาร (Feed Farm Food) เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ”นายสิริพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ มาตรฐานอาหารซีพีเอฟ (CPF Food Standard) เป็นการบูรณาการมาตรฐานต่างๆ เช่น GHPs HACCP/CODEX , ISO 9001 ,ISO 22000 กฎระเบียบอาหารภายในและต่างประเทศ หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) และข้อกำหนดของลูกค้า เช่น BRC สร้างการยอมรับจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสีย ส่งมอบคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่ดีสม่ำเสมอตลอดห่วงโซ่การผลิต

“สาระ ล่ำซำ” CEO เมืองไทยประกันชีวิต คว้าตำแหน่งสุดยอดผู้นำขับเคลื่อนด้านนวัตกรรม

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็นสุดยอดผู้นำที่มีบทบาทสำคัญและโดดเด่นด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กร จากงาน “เชิดชูเกียรติ CHIEF INNOVATION OFFICER (CIO)” ซึ่งจัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)  โดยในงาน นางสาวนาเดีย สุทธิกุลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ ดูแลสายงาน Fuchsia Innovation Centre บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนขึ้นรับมอบเข็มที่ระลึกและประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติดังกล่าวจาก  ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) งานจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ

นายสาระ กล่าวว่า การได้รับการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นส่วนที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ในฐานะผู้นำขององค์กรภาคเอกชน ที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กร และดำเนินงานด้านนวัตกรรมขององค์กรอย่างเป็นรูปธรรม และนำนวัตกรรมมาสู่การปฏิบัติงานได้จริง  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสมในยุคปัจจุบัน ตลอดจนนำพาบริษัทฯ ให้มีบทบาทสำคัญใน

การขับเคลื่อนนวัตกรรมในระบบนิเวศของประเทศไทยอีกด้วย รวมถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน ส่งเสริม และสนับสนุนนวัตกรรมขององค์กรออกสู่ระดับประเทศตอบรับนโยบายของภาครัฐที่เป็น “ชาติแห่งนวัตกรรม”  

สำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ภายใต้การบริหารของ “สาระ ล่ำซำ” ได้มีการจัดตั้งหน่วยงาน Fuchsia  Innovation Centre  ขึ้น เพื่อคิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการจัดการ รวมไปถึงการมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีความโดดเด่นในเรื่องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์แต่ละกลุ่มเป้าหมาย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้หลากหลายช่องทางโดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ รวมถึงนวัตกรรมด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ MTL Click แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงทุกบริการของบริษัทฯ ได้ในแอปเดียว และ MTL Fit แอปพลิเคชันตัวช่วยด้านดูแลสุขภาพให้เป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เป็นต้น

“สำหรับเกียรติยศที่ได้รับนี้จะเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่และคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อพัฒนาให้องค์กรมีความเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้มีมาตราฐานในระดับสากลได้   และ ขอขอบคุณสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ได้มอบใบประกาศนียบัตรอันทรงเกียรตินี้ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้น”  นายสาระกล่าว

วัตถุดิบอาหารสัตว์ส่อบานปลาย สวนทางราคาหมูดิ่ง

0
โดย สมรรถพล ยุทธพิชัย

ความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อรัสเซียตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงซึ่งอนุญาตให้ยูเครนส่งออกธัญพืชผ่านทางทะเลดำ หลังเกิดเหตุโดรนโจมตีสะพานสำคัญที่เชื่อมไครเมียกับแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย ซึ่งต่อมารัสเซียก็โต้กลับด้วยการโจมตีโกดังเก็บธัญพืชหลายจุดที่ท่าเรือติดทะเลดำของยูเครนทำให้ธัญพืชเสียหายถึงกว่า 60,000 ตัน  ตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ข้อตกลงธัญพืชทะเลดำซึ่งมีสหประชาชาติกับตุรกีเป็นตัวกลางเจรจา ทำให้ยูเครนสามารถส่งออกธัญพืชได้มากกว่า 32 ล้านตัน แต่การปฏิเสธต่ออายุสัญญาของรัสเซีย อาจทำให้การส่งออกต้องหยุดลง และนั่นหมายถึงปริมาณผลผลิตธัญพืชในตลาดโลกย่อมได้รับผลกระทบ  

เมื่อผนวกปัญหาเอลนิโญก็ยิ่งต้องคิดหนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและความแห้งแล้ง กำลังส่งผลลบโดยตรงต่อธัญพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์และผลผลิตทางการเกษตรในหลายๆพื้นที่เกษตรของโลก เมื่อความต้องการไม่ได้ลดลงแต่ผลผลิตหายไป ประเมินได้ไม่ยากเลยว่า ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จะพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า หรืออย่างน้อยก็ถึงช่วงที่สถานการณ์เอลนีโญสงบลง รวมถึงการยุติสงครามสองประเทศ ยูเครน-รัสเซีย

และก็เป็นดังคาด เมื่อราคาข้าวสาลี, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลืองในตลาดโลกยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาสัญญาล่วงหน้าข้าวสาลีที่มีการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ทะยานขึ้นกว่า 8% ขณะที่ราคาสัญญาล่วงหน้าข้าวโพดพุ่งขึ้นเกือบ 5% ส่วนราคาสัญญาล่วงหน้าถั่วเหลืองดีดตัวกว่า 1%

 เมื่อราคาพืชวัตถุดิบต่างๆ ของทั้งโลกมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงเช่นนี้ คงถึงเวลาที่ประเทศไทยของเราต้องกลับมาทบทวนโยบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศที่ซ้ำเติมภาวะต้นทุนให้คนเลี้ยงสัตว์บอบช้ำเสมอมา  การที่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมีต้นทุนการผลิตสูงมาก ล่าสุด สูงถึง 96 บาท/กก. แต่ขายหมูหน้าฟาร์มได้เพียง 58-62 บาท/กก.  ไม่สอดคล้องกับต้นทุนแบบนี้ นับเป็นหายนะไม่ใช่เพียงของเกษตรกร แต่ของประเทศไทยทั้งประเทศ เพราะไม่มีธุรกิจใดจะอยู่รอดได้ และหากรัฐเพิกเฉยไม่พยายามลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร อาจล้มกันระเนระนาดกันทั้งระบบ   

จริงอยู่ว่าราคาหมูที่ดิ่งลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “หมูเถื่อน” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะต้นทุนที่สูงของหมูไทยจึงเป็นช่องว่างให้หมูเถื่อนแทรกตลาดเข้ามาได้ง่าย การจัดการเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งเป็น 60-70% ของต้นทุนทั้งหมด จึงถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่รอดได้

ปัญหาลูกโซ่เช่นนี้เรียกได้ว่าวัดกึ๋นการบริหารจัดการของรัฐบาล จะอ้างว่าเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะเรื่องนี้มีสัญญาณเตือนมานานโข  หรือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทั้งข้าราชการและบรรดารัฐมนตรีต้อง “เกียร์ว่าง”  ปล่อยเกษตรกรเดือดร้อนต่อไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะได้ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ คนเป็นเกษตรกรคงทำได้เพียง วาดฝันกับ “รัฐบาลใหม่” ที่จะเข้ามาเผชิญความท้าทายนี้ และฝันต่อไปถึง “เจ้ากระทรวงพาณิชย์คนใหม่” ที่หวังว่าจะเร่งแก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้รอบคอบ กวาดบ้านตัวเอง ปรับโครงสร้างราคาวัตถุดิบในประเทศให้เรียบร้อย ก่อนลุกลามบานปลายเป็นความไม่มั่นคงทางอาหารของชาติ

สัตวแพทย์ ยันไก่ไทย ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งโต มีมาตรฐานการผลิตระดับสากล

0
สัตวแพทย์ ยืนยัน ไก่ไทย ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ทดแทนด้วยการเลี้ยงดูที่ดีและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ติดตามพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์แบบเรียลไทม์ ทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงเจริญเติบโตได้ดีและโตไว ไม่พึ่งฮอร์โมน

น.สพ.รุ่งโรจน์ แจ่มอ้น อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนที่ได้รับความนิยม มีคุณค่าทางโภชนาการให้สารอาหารโปรตีนซึ่งเป็นอาหารหมู่หนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ สามารถรับประทานได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติ ทุกศาสนา ไม่มีข้องดเว้นใด ที่สำคัญราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ

น.สพ.รุ่งโรจน์ แจ่มอ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ปกครองของเด็กๆ ที่มีความกังวลว่า การรับประทานเนื้อและผลิตภัณฑ์จากไก่ เป็นสาเหตุทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะวัยหนุ่ม-วัยสาวเร็วกว่าปกติ จากความเชื่อที่ยังมีอยู่ว่า การเลี้ยงไก่มีการใช้ฮอร์โมนเร่งโต (Estradiol hormone) ซึ่งปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันว่า การเลี้ยงไก่ไม่มีการใช้ฮอร์โมน แต่มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ อาทิ สายพันธุ์ที่ดีขึ้น กระบวนการเลี้ยงที่ดีขึ้น เป็นต้น อีกทั้งการใช้ฮอร์โมนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเพิ่มต้นทุนในการเลี้ยงให้สูงขึ้นอีกด้วย

“ขอยืนยันว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตไก่ไทยไม่มีการใช้ฮอร์โมน แต่ไก่เจริญเติบโตเร็วขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ หลายประการ ส่วนการที่เด็กๆ เติบโตเร็วมาจากการที่ได้รับสารอาหารและโภชนาการที่ดี ไม่ใช่ภาวะเป็นหนุ่ม-สาวก่อนวัย แต่หากเด็กๆ เข้าสู่ภาวะอ้วนแล้ว จะมีความเสี่ยงและมีแนวโน้มที่เด็กๆ จะเป็นหนุ่ม-สาวก่อนวัย” น.สพ.รุ่งโรจน์ กล่าว

ประเทศไทย ประกาศห้ามใช้ฮอร์โมนในอุตสาหกรรมการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกโดยได้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาสำหรับสัตว์ Hexoestrol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในสัตว์ปีก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 จึงไม่มีการขึ้นทะเบียนให้จำหน่ายในประเทศได้อีก หากมีการลักลอบหรือแอบนำมาใช้ ถือว่าเป็นการกระทำผิดและจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

สำหรับปัจจัยและระบบการเลี้ยงไก่สมัยใหม่ ที่มีส่วนช่วยให้ไก่เจริญเติบโตได้เร็ว ประกอบด้วย

  1. สายพันธุ์ไก่ มีการคัดเลือกสายพันธุ์ไก่ โดยใช้วิทยาศาสตร์พันธุกรรมหรือพันธุศาสตร์ เข้ามาช่วยในการคัดเลือกลักษณะที่ดีและทำการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ไก่มีการเจริญเติบโตได้รวดเร็วด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรมแต่อย่างใด
  2. การพัฒนาการผลิตและการให้อาหารที่มีโภชนาการที่ดี เหมาะสมกับสายพันธุ์ไก่ที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ติดตามไปกับการพัฒนาสายพันธุ์
  3. ระบบการควบคุมป้องกันโรค ที่เข้มงวด เข้มแข็ง ทำให้สัตว์ปราศจากปัญหาสุขภาพ ปัญหาเรื่องโรค ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย และไม่สูญเสียจากการป่วยตาย
  4. การเลี้ยงในระบบที่ทำให้สัตว์มีความเป็นอยู่ที่สบายตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ทำให้ไก่มีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรง และเติบโตได้รวดเร็ว
  5. การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยในการเลี้ยงไก่ ในฟาร์มปศุสัตว์สมัยใหม่ (Smart farming) มีการนำกล้อง CCTV ติดตามพฤติกรรม ความเป็นอยู่ และตรวจสุขภาพของไก่ โดยที่คนไม่ต้องเข้าไปรบกวน เป็นการป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าไปในโรงเรือน หรือ การใช้ตาชั่งอัตโนมัติ ชั่งน้ำหนักไก่ แบบ Realtime โดยที่คนไม่ต้องเข้าไปจับไก่ รวมถึงการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ และระบบควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือน

ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเป็นเหตุผลสนับสนุนให้ ไก่ ในปัจจุบันสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จากเดิมที่เคยเลี้ยง 50 วัน ได้น้ำหนักตัวประมาณ 2.7-2.8 กิโลกรัม ในปัจจุบันเลี้ยงที่ 40-42 วัน สามารถทำน้ำหนักได้ถึง 2.8-3 กิโลกรัม

น.สพ. รุ่งโรจน์ กล่าวย้ำว่า ด้วยระยะเวลาการเลี้ยงที่สั้นลง และน้ำหนักตัวที่ดีขึ้น เป็นผลมาจากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ การจัดการการเลี้ยงดู และการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้ไก่เจริญเติบโตได้ดี มีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต

ประเทศไทยติดอันดับโลกในการผลิตและส่งออกเนื้อไก่ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าการเลี้ยงไก่ของไทยมีมาตรฐานสูง เพราะไม่ได้ผลิตขายให้กับผู้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ผลิตเพื่อการส่งออกขายให้กับผู้บริโภคนานาชาติในตลาดโลก ภายใต้มาตรการควบคุม กฎเกณฑ์ข้อบังคับ และ ข้อกำหนดต่างๆ ของประเทศคู่ค้า ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือตลาดใหม่ๆ อย่างกลุ่มอาหรับ มีมาตรฐานในการนำเข้าสินค้าอาหารสูง หากจะผ่านเกณฑ์ได้ มาตรฐานการผลิตต้องมีคุณภาพดีและมีมาตรฐานสูง ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าไก่ไทยรับประทานได้อย่างปลอดภัย ไร้ฮอร์โมนแน่นอน