Home Blog Page 140

สลากออมสิน 2 ปี เพิ่มเงินรางวัลพิเศษฉลองความสำเร็จ แจกโชคใหญ่ 60 ล.

0

? ฉลองความสำเร็จกับสลากออมสิน 2 ปี (ใบสลากและดิจิทัล) แจกโชคใหญ่ มูลค่ารวม 60 ล้านบาท !!
? ลุ้นเพิ่มรางวัลพิเศษ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท (รางวัลละ 3 ล้านบาท จำนวน 10 รางวัล)
? ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท
✨ ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสิน 2 ปี (ใบสลากหรือดิจิทัล) ในระหว่างวันที่ 2 – 31 ก.ค. 66 เท่านั้น
✨ ออกรางวัลพิเศษในวันที่ 1 ส.ค. 66
✨ บุคคลธรรมดาได้รับดอกเบี้ยและเงินรางวัลเต็ม ไม่เสียภาษี
✨ ถอนก่อนฝากครบ 6 เดือน หักส่วนลดตามอัตราที่ธนาคารกำหนด

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชี–    บุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป–  นิติบุคคลทุกประเภท
อายุ2 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 24 ครั้ง)
หน่วยละ100 บาท
รายละเอียดดอกเบี้ยฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ย  0.30  บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.150 ต่อปี)
อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดเงื่อนไขการฝาก1. ฝากไม่ครบ 6 เดือน หักส่วนลด 2.00 บาทต่อหน่วย2. ฝากไม่ครบ 2 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย
วงเงินในการรับฝาก1. ฝากขั้นต่ำ 100 บาท (1 หน่วย)2. ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย
ระยะเวลาจ่ายดอกเบี้ยจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก โดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน
การออกรางวัลทุกวันที่ 1 ของเดือน (ยกเว้นเดือน มกราคม และ พฤษภาคม ออกรางวัล วันที่ 31 ธันวาคม และ 2 พฤษภาคม)*หยุดจำหน่ายทุกวันที่ออกรางวัล*
การรับเงินรางวัลโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล
เงื่อนไขหลัก1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอน สำหรับรับโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อสลากครบอายุ และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก2. รับฝากบัญชีร่วมได้ไม่เกิน 3 คน3. ไม่รับฝากบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์
สลากครบอายุโอนเงินสลากครบอายุเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน


? รีบฝากเลยง่าย ๆ ที่ MyMo และ ธนาคารออมสินทุกสาขา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/3rbv4Dj
? เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ?

ซีพี ออลล์ เปิดตัวโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” แก้ปัญหาขยะล้นบนเกาะพะงันอย่างยั่งยืน

0

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น ยกทัพภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถัง ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพลิกโฉมการจัดการขยะบนเกาะ เปิดตัวโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” นำร่องแก้ปัญหาขยะล้นกว่า 50 ตันต่อวันของ 3 เทศบาลบนเกาะพะงัน ขยายผล “โครงการต้นกล้าไร้ถัง” ภายใต้ CONNEXT ED ผลักดัน “โรงเรียนเกาะพะงันศึกษา” ขึ้นแท่นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน สนับสนุนองค์ความรู้ด้าน Reuse, Recycle, Upcycle เปลี่ยนขยะพลาสติกบนเกาะสู่ “อิฐรักษ์โลก” หวังทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ลดปริมาณขยะ 70% พร้อมสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนบนเกาะ

ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ CP ALL

นายประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาความยั่งยืน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทในฐานะสมาชิกภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถัง ได้ร่วมกับสมาชิกทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศการจัดการขยะ (Waste Management Ecosystem) จัดตั้งโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” แนวคิดการแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้นโยบาย 7 GO GREEN เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการจัดการขยะระดับพื้นที่ “เกาะ” ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มักจะมีปริมาณขยะจำนวนมาก ให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรเทาปัญหาขยะซึ่งนับเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญระดับประเทศและโลก

“ปัญหาขยะนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อโลกหลากหลายด้าน ทั้งภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง มหาสมุทรเป็นกรด ปะการังฟอกขาว ความไม่แน่นอนของระบบนิเวศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจมหาศาล ที่ผ่านมา เมื่อปี 2564 ประเทศไทยติดท็อป 5 ประเทศที่มีขยะพลาสติกล้นทะเล เราและเพื่อนสมาชิกภาคีจึงตระหนักดีว่า ทุกภาคส่วนควรต้องร่วมกันแก้ปัญหานี้ จึงเลือกเริ่มต้นโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” ที่เกาะพะงัน ซึ่งพบปัญหาขยะมากถึง 50 ตันต่อวันในพื้นที่ 3 เทศบาล ได้แก่ เทศบาลตำบลเกาะพะงัน เทศบาลตำบลเพชรพะงัน และเทศบาลตำบลบ้านใต้” นายประสิทธิ์ กล่าว

สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการนั้น จะให้โรงเรียนเกาะพะงันศึกษา หนึ่งในโรงเรียนในโครงการของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) ภายใต้การดูแลของซีพี ออลล์ จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” มอบองค์ความรู้ด้านการ Reuse, Recycle, Upcycle และเป็นต้นแบบการจัดการขยะแก่ชุมชน ผ่าน 3 หลักการ ลด แยก ขยายเครือข่าย ได้แก่

  • ลด ภาชนะที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยเฉพาะ Single Use Plastic แล้วหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ECO-Packaging โดยมี 7-Eleven บนเกาะพะงันนำร่องใช้แนวคิด “Green Packaging” เปลี่ยนแก้วเครื่องดื่ม All Cafe จากแก้วพลาสติกเป็นแก้วกระดาษที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้, เปลี่ยนไม้ชงกาแฟจากพลาสติกเป็นไม้ที่ทำจากต้นไผ่เพื่อลดการใช้วัสดุประเภท Single-use plastic, ลดการใช้หลอดโดยการเปลี่ยนฝายกดื่ม และ หูหิวกาแฟจากเส้นกก เป็นต้น
  • แยก เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการคัดแยกวัสดุรีไซเคิล วัสดุย่อยสลาย นำไปรีไซเคิล อัพไซเคิล แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อลดปริมาณขยะมวลรวมลงให้ได้ 70% จากปริมาณขยะก่อนเริ่มโครงการ
  • ขยายเครือข่าย สร้างองค์ความรู้ในการจัดการต่างๆ ผ่านการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ การจัดการขยะ วัสดุรีไซเคิล วัสดุย่อยสลาย โดยหากการดำเนินการที่เกาะพะงันประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลสู่เกาะอื่นๆ เพิ่มเติม

ด้าน นางภัทรภร พุทธรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี กล่าวว่า ทางโรงเรียนได้นำ“โครงการต้นกล้าไร้ถัง” โมเดลการจัดการขยะแบบครบวงจร ภายใต้มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ของซีพี ออลล์ มาพัฒนาให้เกิด “เกาะพะงันไร้ถัง” ตามแนวทางโครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” โดยเริ่มให้ทุกห้องเรียน ลดและแยกวัสดุอย่างละเอียด พร้อมทั้งต่อยอดองค์ความรู้เป็นวิธีการ Upcycle ขยะพลาสติกสู่ “อิฐรักษ์โลก” เพื่อขยายผลเป็นวิสาหกิจโรงเรียน-ชุมชนในอนาคต

“เราแปรรูปขยะพลาสติกกำพร้าในโรงเรียน เช่น ซองขนม เปลือกลูกอม บรรจุหีบห่อ หรือที่เป็นขยะแห้ง นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เข้าสู่กระบวนการทำ อิฐรักษ์โลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทานยืดหยุ่นดี มาปูเป็นลานกีฬาเอนกประสงค์รักษ์โลกขนาด 80 ตร.ม. เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์กลางในการสร้างองค์ความรู้ในการจัดการขยะและคัดแยกวัสดุอย่างถูกต้อง หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาขยะในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างรายได้จากอิฐรักษ์โลกเข้าสู่โรงเรียนและชุมชนต่อไป” นางภัทรภร กล่าวเสริม

ทางด้าน นายประพันธ์ เดี่ยววนิช ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี กล่าวเสริมว่า ในพื้นที่เทศบาลตำบลเกาะพะงัน พบขยะ 20 ตันต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา และชุมชนมาบริหารจัดการขยะบริเวณเกาะกันทุกวันศุกร์จนเป็นกิจกรรมประจำเกาะ ปัจจุบันได้ส่งเสริมโมเดลเกาะพะงันไร้ถัง ด้วยการลดถังขยะ โดยร่วมมือกับโรงเรียน ชุมชน ร้านค้า ในการลดใช้ถุงพลาสติก ลดใช้โฟมหันมาใช้ใบตองแทน ซึ่งได้รับการตอบรับจากชุมชนดีมาก และร้านเซเว่น อีเลฟเว่นบนเกาะถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ น้องแพรว-นางสาวชลลดา บัวสมุย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา กล่าวถึงประโยชน์และแนวทางการต่อยอดองค์ความรู้ว่า เมื่อก่อนมองว่าขยะก็คือขยะ แต่พอทีมงานจาก ซีพี ออลล์ และภาคีเครือข่ายโรงเรียน-ชุมชน-องค์กรไร้ถังมาส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะ ทำให้เห็นคุณค่าของขยะมากขึ้น มองเป็นวัสดุชิ้นหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ โดยหลังจากนี้จะเริ่มไปจัดการขยะที่บ้านของตัวเอง แยกเป็น 3 ประเภท คือ ขวดพลาสติก ขยะจากเศษอาหาร และขยะพลาสติกทั่วไป

โครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” เกิดขึ้นจากนโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมงของ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ESG ตอกย้ำความเป็นผู้นำร้านสะดวกซื้อเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยโครงการนี้จะมุ่งเน้นกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อร่วมสร้างสังคมสีเขียว อาทิ โครงการลดวันละถุง…คุณทำได้ ที่ลูกค้าปฏิเสธถุงพลาสติกที่ร้าน 7-Eleven, โครงการปลูกป่า ปลูกอนาคต เพื่อเพิ่มพื้นที่เขียว, โครงการต้นกล้าไร้ถัง ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการขยะ ผ่านการปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่เยาวชน มีความรับผิดชอบต่อสังคมสู่โครงการ Green Living “รักษ์เกาะ 24 ชั่วโมง” ในครั้งนี้

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2023

0

SET IN THE CITY อีเวนต์การลงทุนที่นักลงทุนและผู้สนใจเรื่องเงินๆทองๆ ตั้งตารอทุกปี กลับมาแล้ว! โดยปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดจัดงาน SET IN THE CITY 2023 ระหว่างวันที่ 8 และ 9 กรกฎาคม 2566 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5

เป็นภารกิจสำคัญทุกปีของตลาดหลักทรัพย์ฯที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ความรู้เรื่องการเงินการลงทุนแก่คนไทย ยิ่งสำหรับมือใหม่หัดลงทุนด้วยแล้ว ไม่ควรพลาดเด็ดขาด เพราะงานนี้จะทำให้เราได้เปิดรับโอกาส และยังได้ค้นหาสูตรลับ กลเม็ดเคล็ด (ไม่) ลับเรื่องการเงิน อีกมากมาย

คอนเซปต์ของงานปีนี้ คือ “เริ่มลงทุน เพื่อเป้าหมาย ในสไตล์ที่เป็นคุณ” “คุณนายพารวย” ขอการันตีว่า มาเดินงานนี้แล้ว จะทำให้เรารู้จักตัวเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผนการเงิน และแนวทางการลงทุนที่ตรงกับใจและสไตล์ตัวเองแน่นอน

ตลอดงานทั้ง 2 วัน พบกับสัมมนา-เสวนา อัดแน่นหลากหลายเนื้อหาความรู้เรื่องลงทุน ผ่านประสบการณ์ตรงจากกูรู ผู้รู้จริง ที่มาแชร์ความรู้ในหลายเรื่องที่น่าสนใจ ใครที่อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ต้องมาฟังหัวข้อ “Checklist พิชิตแผน สร้าง Financial Freedom” นอกจากนี้ยังมีหัวข้ออื่นๆที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “เลือกลงทุนที่ใช่ สไตล์คุณ”, “Workshop ก้าวแรกสู่วิถีนักลงทุนเน้นคุณค่า”, “เรื่องกราฟต้องรู้ของมือใหม่สายเทรด”

ยิ่งดูชื่อหัวข้อสัมมนาของงานวันที่สองแล้ว ก็ชวนติดตามไม่แพ้กัน ทั้ง “แกะเครื่องมือปั้นพอร์ตจาก VI รุ่นพี่”, “เทคนิคง่ายๆ ช่วยมือใหม่หาหุ้นตัวแรก”, “เปิดแนวทางสร้างเงิน (หลาย) ล้านของคนทำงาน” และลงทุนทันเทรนด์สไตล์ Growth Investing”

นอกจากนี้ ยังพบกับกิจกรรมเวิร์กช็อปจากนักวางแผนการเงิน CFP ที่จะมาช่วยวางแผนการเงิน ทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นมา อย่าง “เริ่มต้น (ลงทุน) ทีละน้อย สอยเงินล้าน”, “วางแผนการเงินฉบับ First Jobber”, “พลิกภาษีเป็นเงินเกษียณ”, “เก่งการเงินฉบับรวยสุขแบบคนโสด”, “ตัดสินใจมีหนี้ก้อนแรก ต้องวางแผนอะไรบ้าง” และ “Checklist ประเมินความพร้อม วัยเริ่มสร้างครอบครัว”

และยังมี Stock & Fund Pick Up จาก บล., บลจ. และ บลน. ชั้นนำ ที่จะมาช่วยคัดหุ้น-กองทุนเด่น เพื่อมือใหม่ ในรูปแบบเกมโชว์ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้โผหุ้นและกองทุนติดไม้ติดมือกลับบ้านไปลงทุนกันต่อ แถมด้วยการจัด Mini Stage : Investing Hacks แนะนำทางลัดช่วยเทรด รู้จักเครื่องมือลงทุนง่ายๆ ใน 20 นาที

ภายในงาน ยังจะได้มีโอกาสพบปะกับผู้เชี่ยวชาญ จาก 35 บูธการลงทุนที่จะมาให้คำปรึกษาเรื่องลงทุน ช่วยให้เราลงสนามลงทุนได้อย่างมั่นใจ และโปรโมชันพิเศษสำหรับคนที่เปิดบัญชีลงทุนในงานนี้อีกด้วย

แฟนพันธุ์แท้เรื่องลงทุน กาปฏิทินไว้เลย สองวันเท่านั้น 8-9 กรกฎาคม 2566 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า รับฟรีหนังสือ Wealth Design และกระเป๋า #investnow www.set.or.th/setinthecity

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังงสือพิมพ์ไทยรัฐ

AWC จับมือ SCB ลงนามสินเชื่อความยั่งยืน 20,000 ล้านบ. หนุนไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2566 บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก (Mega global destination) ร่วมนำมาตรฐานใหม่เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมถึงสนับสนุนโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล และการพัฒนาสังคมในอนาคต พร้อมร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารยินดีที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้านบาท แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทางธุรกิจของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ AWC ผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่าร้อยละ 75 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ”

AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1) การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2) การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3) การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น

AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ “AA” ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)

เมืองไทยประกันชีวิต จัดกิจกรรม “Zyndromes x MTL Station” สเตชันสุขภาพคนเจนใหม่ ชวนคนรักสุขภาพ กระทบไหล่ “บิวกิ้น-พีพี”

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 72 ปีเมืองไทยประกันชีวิต เรายังคงเดินหน้าเปิดประสบการณ์แห่งความสุขและรอยยิ้ม เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเคียงข้างในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ ทุกความต้องการของผู้บริโภค

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้จัดกิจกรรมงาน “ZYndromes x MTL Station สเตชันสุขภาพคนเจนใหม่” ชวนคนรักสุขภาพ เพิ่มความอุ่นใจด้วยความคุ้มครองสุขภาพที่ใช่จากเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมชิงสิทธิ์ร่วมกระทบไหล่ “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ “พีพี” กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ตัวแทนคนเจนใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ เพราะอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ จึงต้องเตรียมรับมือกับปัญหาสุขภาพ ของคนเจนใหม่ไว้ พร้อมเตรียมพบกับกิจกรรมสุดฟิน และโมเม้นท์สุดประทับใจ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ณ ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมแคมเปญเพื่อชิงสิทธิ์เข้าร่วมงาน เพียงซื้อแบบประกันชีวิตและสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบใดก็ได้ หรือจะเลือกความคุ้มครองสุขภาพมาแรงเหมาะสำหรับคนเจนใหม่ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) คุ้มครองเหมาจ่ายค่ารักษาสูงสุดถึง 5 ล้านบาท* ครอบคลุมตั้งแต่โรคเล็กโรคแรง ๆ โรคทั่วไป อุบัติเหตุ เบี้ยไม่แพง แอดมิตก็เหมาจ่ายในวงเงินเดียว ปรับเปลี่ยนแผนได้ ถ้ามีสวัสดิการเลือกแผนมีความรับผิดส่วนแรก เบี้ยถูกลงอีก และอัปเกรดได้เมื่อถึงวัยเกษียณ ซื้อง่ายได้ทุกช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต ช่องทางออนไลน์ ช่องทางธนาคารกสิกรไทย ช่องทางธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) หรือ สาขาเมืองไทยประกันชีวิต เป็นต้น ตั้งแต่วันนี้ – 15 กรกฎาคม 2566

และนำเลขกรมธรรม์ลงทะเบียนผ่าน Google Form ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 5 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป โดยจะแชร์ลิงค์ทาง Line Open Chat : MTLxBKPP ZYndromes Facebook Twitter Official Account ของ Muang Thai Life โดยผู้โชคดี 190 ท่านแรก ที่ลงทะเบียนถูกต้องครบถ้วน ตามกติกาจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงาน ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงานในวันที่ 10 สิงหาคม 2566 เวลา 17.00 น. ผ่านทาง Line Open Chat : MTLxBKPP ZYndromes หรือ Facebook Muang Thai Life และ www.muangthai.co.th เท่านั้น

“การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องตอกย้ำว่าเมืองไทยประกันชีวิตเราตระหนักถึงความสำคัญของการมีสุขภาพดี และเราพร้อมสนับสนุนให้คนเจนใหม่สามารถเข้าถึงความคุ้มครองสุขภาพได้อย่างทั่วถึง ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และความคุ้มครองสุขภาพ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์คนเจนใหม่ รวมทั้งคนทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ได้อย่างเหมาะสมและเข้าถึงได้จริง” นายสาระ กล่าว

สนใจความคุ้มครองสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส เพื่อเป็นการวางแผนสุขภาพของคุณวันนี้
โทรสอบถามที่ เมืองไทยประกันชีวิต 02-015-5447 (เวลาทำการ 09.00 – 17.00 น.)
คลิกแชท https://webmtl.co/3JOmakD หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.muangthai.co.th
พิเศษ! ซื้อเลย รับส่วนลดสูงสุด 15% สำหรับเบี้ยประกันปีต่ออายุ เพียงทำกิจกรรมผ่านแอปฯ MTL Fit

“เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน” ดอกเบี้ยแรงท้าฝน ผลตอบแทนไว ไม่เสียภาษี

0

⛈️ เงินฝากดอกเบี้ยจัดเต็ม แรงท้าฝน!! ผลตอบแทนไว ไม่เสียภาษี* กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน รับอัตราดอกเบี้ย 1.32% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.55% ต่อปี)
⏏️ เงื่อนไข

  • เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  • ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด
  • ฝากได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
  • *บุคคลธรรมดาไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย
  • เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน ถอนหรือปิดบัญชีก่อนครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ยเผื่อเรียก

รายละเอียดเงินฝาก :

เงื่อนไขการฝาก

  1. เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  2. บุคคลธรรมดาที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป
  3. นิติบุคคลทุกประเภท
  4. บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกประเภท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน 

อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.32 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 1.55 ต่อปี)

ระยะเวลารับฝาก

  • ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2566

เงื่อนไขการถอน

  • ถอนครั้งละเท่าใดก็ได้
  • ถอนหรือปิดบัญชีก่อนฝากครบ 8 เดือนนับตั้งแต่วันที่ฝาก จำนวนเงินที่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยเผื่อเรียก

ภาษี ณ ที่จ่าย

  • บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
  • นิติบุคคลหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประกาศกรมสรรพากร

? เปิดรับฝากวันที่ 1 – 31 ก.ค. 66 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/44uZXki
⚠ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

AIS ผนึก Evolt และ MuvMi จัดเต็มสิทธิพิเศษให้ลูกค้าสายกรีน

0

รถยนต์ไฟฟ้า รถพลังงานทางเลือก หรือแม้แต่ระบบขนส่งสาธารณะ กลายเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์สายกรีนที่หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดสูงถึง 321.7% เพื่อเป็นการตอบโจทย์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์สายกรีนของผู้บริโภค ทำให้วันนี้ AIS ยังคงมุ่งมั่น เชื่อมต่อประสบการณ์และสิทธิพิเศษที่ดีที่สุดให้ทุกการเดินทางของลูกค้า สะดวกและยังมีส่วนช่วยลดการก่อเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการทำงานร่วมกับ Green Mobility ที่มีเป้าหมายเดียวกัน

Evolt ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรที่มีอยู่กว่า 200 แห่ง ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ MuvMi ผู้ให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าปลอดมลพิษ ในระบบ Ride Sharing ที่ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 12 แห่งทั่วกรุงเทพฯ กับการมอบสิทธิพิเศษภายใต้แนวคิด AIS Go Green ที่ให้ลูกค้า AIS และ AIS Serenade ทั้งลูกค้ามือถือและไฟเบอร์ มอบเครดิตโบนัสให้ลูกค้าสูงสุด 200 บาท เมื่อเติมเงินผ่านแอปพลิเคชัน Evolt และรับส่วนลดสุดพิเศษเมื่อใช้คะแนนสะสม AIS Points กับบริการ MuvMi

นางสาวใจพร ศรีสกุล รักษาการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจบริหารลูกค้าและการบริการ AIS กล่าวว่า “AIS มุ่งมั่นที่จะดูแลลูกค้าในทุกมิติ เพื่อค้นหาความต้องการและเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งเราพบว่าเทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อมกลายมาเป็น Green Lifestyle ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญโดยจะเห็น การเติบโตของรถยนต์ EV ที่มีปริมาณการใช้งานมากขึ้นบนท้องถนน หรือแม้แต่บริการขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน วันนี้ AIS ได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งมอบความพิเศษและประสบการณ์ที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้าทุกท่าน เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ ร่วมมือกับ 2 พาร์ทเนอร์ Green Mobility ที่เป็นตัวจริงในเรื่องสิ่งแวดล้อม อย่าง Evolt และ MuvMi มาร่วมกันเชื่อมประสบการณ์การเดินทางที่มีส่วนช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อน”

โดย AIS ได้ส่งมอบสิทธิพิเศษภายใต้แนวคิด AIS Go Green ให้ทั้งลูกค้า AIS และ AIS Serenade ไม่ว่าจะเป็น

  • สุดยอดความพิเศษกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรจาก Evolt ที่มีให้บริการกว่า 200 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ จุดพักรถ มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้า Serenade รับโบนัสเครดิตชาร์จเพิ่มสูงสุดถึง 300 บาท เมื่อเติมเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปผ่านแอปพลิเคชัน Evolt
  • เปิดประสบการณ์การเดินทางด้วยรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าจาก MuvMi ที่มีบริการกว่า 12 แห่งทั่วกรุงเทพ อาทิ จุฬาลงกรณ์-สามย่าน, อารีย์–ประดิพัทธ์, รัตนโกสินทร์, สุขุมวิท, พหลโยธิน, บางซื่อ, และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น ให้ลูกค้าใช้ AIS Points 20 คะแนน รับส่วนลดค่าเดินทาง 20 บาท จำกัด1สิทธิ์ / เดือน และพิเศษ! สำหรับลูกค้า AIS Serenade ใช้ 50 คะแนน รับฟรี Top up โบนัสเติมเงินบนแอปพลิเคชัน MuvMi เพิ่ม 50 บาท เมื่อเติมเงินขั้นต่ำ 250 บาทขึ้นไป

ด้าน นายธนกร คติวิชชา Head of Business Development ผู้บริหารบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “ขอขอบคุณ AIS ที่ชวน Evolt ในฐานะผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความพิเศษให้กับลูกค้า เพราะวันนี้แนวโน้มรถยนต์ไฟฟ้ามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเทียบจากตัวเลขผู้ใช้งานบนแอปEvolt ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทมีกว่า 42% จาก User Active จึงมองว่าจุดชาร์จเป็นอีกหนึ่งบริการที่มีความสำคัญกับผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เราเชื่อว่านอกเหนือจากที่ลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่จะช่วยส่งเสริมให้ทุกคนเห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการเดินทางได้เป็นอย่างดี”

ขณะที่ นายศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์ Co-founder / Chief Business Development ผู้บริหาร เออร์เบิน โมบิลิตี้ เทค หรือ มูฟมี กล่าวว่า “ที่ผ่านมา MuvMi ทำงานร่วมงานร่วมกับ AIS มาอย่างต่อเนื่องทั้งในการผลักดันบริการรถตุ๊กตุ๊กแบบ EV ให้บริการรับ ส่งผู้โดยสารตามแนวรถไฟฟ้าในย่านต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด Ride Sharing ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MuvMi กว่า 4 แสนครั้ง ให้บริการผู้โดยสารมาแล้วกว่า 5.6 ล้านคน และครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่มาร่วมกันส่งมอบให้กับลูกค้า ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นและทำให้เกิดพฤติกรรมของการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

สามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดสิทธิพิเศษในทุกการเดินทางที่ทำให้ลดปัญหาที่ก่อให้เกิดสภาวะด้านสิ่งแวดล้อมได้ที่ แอปพลิเคชัน myAIS

“ธุรกิจห้าดาว” สร้างอาชีพมั่นคง สานฝันผู้ประกอบการ “กุลวัฏ แซ่จึง” มั่นใจเดินหน้าสู่ร้านห้าดาว 6 สาขา

0

สถานการณ์โควิด-19 สำหรับใครหลายๆคนอาจหมายถึงวิกฤติที่ต้องฟันฝ่า แต่ไม่ใช่กับ “เต้ย-กุลวัฏ แซ่จึง” เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ห้าดาว 6 สาขา ที่บอกได้อย่างเต็มปากว่า “โควิดเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจอาหารที่รู้จักปรับตัวอย่างแท้จริง”

กุลวัฏ ในวัย 31 ปี เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นก่อนเข้าสู่วงการธุรกิจแฟรนไชส์ว่า ก่อนนี้เขาเป็นพนักงานบริษัททำงานประจำเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไป อยู่ในแผนกจัดซื้อและซัพพลายเชน ของหลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทด้านเทคโนโลยี และด้วยความฝันที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจในระหว่างที่ทำงานกินเงินเดือนก็เก็บออมเพื่อเริ่มธุรกิจหลายๆอย่าง แต่ด้วยขาดประสบการณ์และไม่ถนัดด้านการตลาด จึงล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง

จนมาเจอกับธุรกิจห้าดาวด้วยความบังเอิญ เมื่อปลายปี 2562 จึงเริ่มลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์นี้ เพราะใช้เงินลงทุนไม่มาก ตอนนั้นลงทุนเพียง 1 แสนบาท ก็เป็นเจ้าของร้าน 2 สาขา บนทำเลทองหน้าห้างแม็คโครบางบอนกับแม็คโครกัลปพฤกษ์ ทำให้มียอดขายดีมาก ขณะนั้นคิดว่าน่าจะปรับมาทำร้านไก่ย่างห้าดาวเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค จึงต่อยอดกำไรที่ได้จากร้านน้ำมาเป็นเงินทุนในการเปิดร้านห้าดาวในสาขาถัดๆไป

“ตอนที่เริ่มทำธุรกิจนี้ยังไม่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตอนนั้นยอดขายปังมาก ทำให้มีกำไรเป็นทุนเปิดร้านไก่ย่างห้าดาวสาขาต่อๆไป จนเมื่อเกิดโควิด-19 ลูกค้าปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหาร งดการออกไปทานอาหารนอกบ้าน บางคนบอกว่าเป็นวิกฤติของร้านอาหาร แต่กลับเป็นโอกาสของไก่ย่างห้าดาว ที่ยังขายของได้ โดยเฉพาะแบบซื้อกลับ เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภค เรียกว่ายอดขายพุ่ง กำไรค่อนข้างดี จนสามารถขยายได้ถึง 6 สาขาได้ภายใน 1 ปี” กุลวัฏ กล่าว

เมื่อถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จ กุลวัฏบอกว่า ธุรกิจอาหารมีการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ห้าดาวที่เปิดมากว่า 38 ปีแล้ว และเชื่อว่าห้าดาวคือหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค ทำให้การขายเป็นไปได้ไม่ยาก เมื่อผนวกกับความแข็งแรงของระบบหลังบ้าน ที่มีซีพีเอฟเป็นบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบคุณภาพที่ไม่มีวันขาด มีการนำระบบ POS (Point of sale system) หรือระบบขายหน้าร้าน มาใช้ ช่วยให้สามารถดูยอดขายแบบทันที (Real Time) ดูระบบสต๊อกเข้าออกได้รวดเร็ว ทำให้ทราบจำนวนสินค้าคงคลัง สามารถตรวจสอบรายรับได้ตลอดเวลา และนำข้อมูลมาวิเคราะห์สินค้าขายดี เพื่อนำไปวางแผนการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าให้เหมาะสมกับจุดขายแต่ละจุดได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ อีกตัวแปรสำคัญ คือการดูแลที่ดีของทั้งผู้บริหารและทีมงานห้าดาว ที่มีรูปแบบการอบรมก่อนการเปิดร้าน ด้วยการส่งไปอบรมที่ร้านครูฝึก ช่วยให้ผู้ประกอบการมือใหม่สามารถเริ่มต้นดำเนินกิจการได้ตามมาตรฐาน มีการตรวจสอบให้รักษามาตรฐานและการบริการที่ดี ที่สำคัญห้าดาวไม่เคยตกกระแสทันยุคทันเหตุการณ์ มีความแปลกใหม่ตลอดเวลา โดยเน้นคุณภาพ ความอร่อย มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มีการสื่อสารกับลูกค้าที่ดี และจัดโปรโมชันเหมาะสม และยังช่วยติดต่อผู้ให้บริการ Food Delivery ซึ่งช่วยผู้ประกอบการได้มาก

“สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจอาหาร ผมอยากให้มาเริ่มต้นกับธุรกิจห้าดาว ที่เป็นทางลัดของความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผมมาก เพราะห้าดาวเป็นผู้ช่วยในการปิดจุดอ่อนของตนเอง ที่ไม่ถนัดด้านการตลาด โดยมีทีมงานเป็นผู้การวางแผนการตลาดแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม ทำให้ร้านเป็นที่รู้จัก และยังมีสินค้าตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ราคาจับต้องได้ ผลกำไรก็เพิ่มตามไปด้วย เมื่อไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องที่ไม่ถนัดแล้ว ก็มีเวลาในการบริหารจัดการหน้าร้าน การบริการ การดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง และการรักษามาตรฐาน” กุลวัฏ กล่าว

วันนี้ห้าดาวสำหรับกุลวัฏแล้ว ไม่ใช่เพียงคู่ค้าทางธุรกิจ แต่เป็นเหมือน “ครอบครัว” จากร้านห้าดาวเล็กๆ ที่สามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้น ช่วยให้น้องๆทีมงานมีอาชีพ ช่วยให้อีก 10 ครอบครัวมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การจ้างงานในพื้นที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องทิ้งครอบครัวเข้าเมืองหางานทำ นี่คือสิ่งที่เขาภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งใน “ครอบครัวห้าดาว”

แพทย์ย้ำกินเนื้อไก่ ไม่ทำให้เป็นโรคเก๊าท์ คนเป็นเก๊าท์ยังกินไก่ได้ แต่ในปริมาณที่พอดี

0

“หมอนุ้ย” ย้ำการบริโภคเนื้อไก่ ไม่ได้ทำให้เป็นโรคเก๊าท์ ผู้ที่เป็นเก๊าท์ยังกินไก่ได้ โดยแนะนำให้ควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่พอดี

แพทย์หญิงศศพินทุ์ วงษ์โกวิท (หมอนุ้ย) ศัลยแพทย์หญิง เจ้าของเพจ หมอนุ้ย และช่อง TikTok doctor nuiz กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นเนื้อสัตว์กลุ่มเนื้อขาว โปรตีนสูง ไขมันน้อย แคลลอรี่ต่ำ มีวิตามินและแร่ธาตุ มีเส้นใยละเอียดที่ดีต่อสุขภาพ ย่อยง่าย กลิ่นคาวน้อย สามารถรับประทานได้ทุกคน เหมาะกับทุกช่วงวัย

แพทย์หญิงศศพินทุ์ วงษ์โกวิท (หมอนุ้ย)

“สำหรับผู้ที่กังวลว่าการบริโภคเนื้อไก่ จะทำให้เป็นโรคเก๊าท์ ขอยืนยันว่า โรคเก๊าท์ ไม่ได้เกิดจากการกินไก่” แพทย์หญิงศศพินทุ์ กล่าวย้ำ

โรคเก๊าท์ เกิดจากการที่กรดยูริกไปตกผลึกอยู่ตามข้อต่างๆ และเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลัน จึงเรียกว่า เป็นโรคเก๊าท์ การวินิจฉัยโรคเก๊าท์ ไม่ใช่การเจาะเลือดแล้วเจอกรดยูริกสูง แต่จะพบได้จากการเจาะน้ำไขข้อ แล้วเจอการตกผลึกของกรดยูริกในข้อ ซึ่งข้อที่มักจะเกิดการตกผลึกและเป็นเก๊าท์ จะเป็นข้อที่อยู่ในที่เย็น เช่น ข้อนิ้วโป้งเท้า แม้แต่หลังหูก็สามารถเป็นได้

อาหารที่ทำให้กรดยูริกสูงไม่ได้ทำให้เป็นโรคเก๊าท์ แต่อาหารบางประเภทกระตุ้นให้อาการของโรคเก๊าท์กำเริบขึ้นมาได้ อันดับแรก คือ แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะ เบียร์ แนะนำให้เลิก อันดับสองคือ อาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อย่างตับ รวมถึงอาหารทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยทะเล ที่จะมีพิวรีนสูงมาก ส่วนเนื้อไก่แม้จะมีพิวรีนแต่อยู่ในระดับต่ำกว่าอาหารที่กล่าวมา และอันดับสาม แนะนำให้เลี่ยงคือ กลุ่มน้ำตาลอุตสาหกรรม ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในน้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยว

อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กรดยูริกสูงทั้งหมด เพราะร่างกายของแต่ละคนมีการตอบสนองที่แตกต่างกัน โดยให้สังเกตตนเองว่า เมื่อรับประทานอาหารพิวรีนสูงชนิดใดแล้วทำให้อาการเก๊าท์กำเริบแนะนำให้เลี่ยงเฉพาะอาหารชนิดนั้น

“สำหรับผู้ที่เป็นเก๊าท์ หากกินไก่แล้วไม่ได้มีอาการกำเริบก็ยังสามารถรับประทานได้ โดยแนะนำให้ควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่พอดี”

ทั้งนี้โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่ต้องปรับสมดุลกรดยูริกตลอดเวลา อาหารที่ควรบริโภคคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แป้งไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว ธัญพืช ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้น้ำหนักไม่ไปกดตรงข้อที่เป็นโรคได้

ตลท. และพันธมิตร เปิดตัว DIF Web Portal บริการออกตราสารหนี้ดิจิทัล

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และสมาคมธนาคารไทย (Main Operator) ร่วมกับ ก.ล.ต. CMDF และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ให้บริการ Digital Infrastructure for Capital Market โดยเริ่มจากระบบ Web Portal รองรับการเสนอขายตราสารหนี้ภาคเอกชนในตลาดแรกด้วยดิจิทัลตลอดทั้งกระบวนการเป็นครั้งแรกในไทย ตั้งแต่การออกเสนอขาย ซื้อขาย ตลอดจนการชำระราคาและส่งมอบ โครงการนี้อยู่ในระยะนำร่องของสำนักงาน ก.ล.ต. (Sandbox) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการให้บริการของตลาดทุนไทย ลดต้นทุน และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงตลาดทุนของผู้ระดมทุนและผู้ลงทุน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแล พลิกโฉมตลาดทุนไทยสู่ตลาดทุนดิจิทัลรับกระแสโลกที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ความสำเร็จในวันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดทุนในการเชื่อมโยงการทำงานของผู้ร่วมตลาดที่จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการในตลาดทุนเป็นดิจิทัล 100% เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพให้กับตลาดทุนไทย และส่งเสริมให้ตลาดทุนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะร่วมกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายการพัฒนาโครงการ การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรม การส่งเสริมการใช้งานระบบ และการนำข้อมูลมาต่อยอดในการพัฒนาตลาดทุนต่อไป

นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองประธานกรรมการ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เปิดเผยว่า การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนนั้น เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ CMDF และการให้ทุนสนับสนุนการพัฒนา DIF Web Portal ที่ผ่านมา เป็นหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการสนับสนุนในด้านดังกล่าว โดย CMDF มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ เพราะนอกจากจะเป็นการพัฒนาระบบที่เห็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วนั้น ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพในการร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุน อันจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการพัฒนาตลาดทุนสู่ความยั่งยืนต่อไป”

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทน Main Operator เปิดเผยว่า “DIF Web Portal เป็นระบบให้บริการออกเสนอขายตราสารหนี้ในตลาดแรกในรูปแบบดิจิทัลตลอดทั้งกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การออกเสนอขาย ซื้อขาย ตลอดจนการชำระราคาและส่งมอบตราสารหนี้ในรูปแบบไร้ใบ (Scripless) ระบบนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) โดยได้จัดตั้ง บริษัท ซีเอ็มดีเอฟ โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล จำกัด เป็นเจ้าของระบบ และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เป็นหน่วยงานปฏิบัติการของระบบ”

ดร. สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ในฐานะฝ่ายปฏิบัติการของโครงการ DIF กล่าวว่า “ThaiBMA มีส่วนร่วมในโครงการ DIF ในสองบทบาท คือ ในฐานะผู้รับขึ้นทะเบียนตราสารหนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของสมาคมอยู่แล้ว และที่สำคัญยังได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติการธุรกิจของโครงการ DIF

DIF Web Portal นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เชื่อมต่อกับระบบการทำธุรกรรมการเสนอขายตราสารหนี้ดิจิทัลระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันอย่างครบวงจรด้วยมาตรฐานข้อมูลเดียวกันในรูปแบบดิจิทัล (Standard Messages) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ลดต้นทุน ลดการใช้กระดาษ และลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน การส่งข้อมูลอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งนำข้อมูลไปประมวลผลต่อได้ (Machine readable) และผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในตลาดทุนไทยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบนิเวศการลงทุน และรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ในอนาคต

ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีผู้ออกหลักทรัพย์เสนอขายตราสารหนี้ดิจิทัลผ่านระบบดังกล่าวกลุ่มแรก จำนวน 4 ราย คือ (1) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (2) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (3) บริษัท โตโยต้าลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (4) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.7 พันล้านบาท

จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันพัฒนา DIF Web Portal ให้เสร็จสมบูรณ์ ได้นำร่องให้บริการออกตราสารหนี้ดิจิทัลภาคเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดกว้างรับผู้ออกหลักทรัพย์และผู้ร่วมตลาดรายอื่นเข้ามาร่วมกันทดสอบและสร้างนวัตกรรมการลงทุนใหม่แก่ผู้ลงทุน โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วม Sandbox ที่ร่วมทดสอบระบบแล้วจำนวน 16 ราย และจะมุ่งเดินหน้าพัฒนาต่อยอดสู่กระบวนการและผลิตภัณฑ์การลงทุนประเภทอื่นต่อไป