Home Blog Page 140

รู้เก็บรู้ออม : CISA ใบเบิกทางสู่อาชีพการเงิน

0

การมีบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จขององค์กร ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องอัตราผลตอบแทนเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรด้วย

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ที่ผ่านมาได้ส่งเสริมและยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทยมาโดยตลอด สามารถผลิตบุคลากรด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ป้อนสู่ตลาดทุนไทยแล้ว จำนวน 2,359 คน ผ่านหลักสูตร CISA ที่เกิดจากความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) มาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน

หลักสูตร CISA ย่อมาจาก Certified Investment and Securities Analyst เป็นหลักสูตรด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุนที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. ในการใช้ขึ้นทะเบียนเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน มีจุดเด่นคือเป็นหลักสูตรที่รวบรวมความรู้ด้านการวิเคราะห์การลงทุน ทั้งหลักเกณฑ์ กฎระเบียบการซื้อขายหลักทรัพย์ จรรยาบรรณ มาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง หลักทรัพย์ทุกประเภทที่ซื้อขาย และวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องทิศทางพัฒนาการของตลาดทุนไทย

ที่สำคัญเป็นหลักสูตรที่สามารถศึกษาได้ด้วยตัวเอง จึงเปิดกว้างให้กับทุกคนที่สนใจ ทั้งคนที่มีพื้นฐานการศึกษาและทำงานด้านการเงินอยู่แล้วหรือคนที่อยากเปลี่ยนสายงาน นอกจากนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายไม่สูง จึงเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงความรู้ และสามารถต่อยอดไปขึ้นทะเบียนใบอนุญาตได้หลายวิชาชีพในตลาดทุน

หลักสูตรแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับ Foundation Knowledge (คุณวุฒิ AISA) และระดับ Advanced Knowledge (คุณวุฒิ CISA) โดยคุณวุฒิที่ได้รับจะเป็นใบเบิกทางสู่วิชาชีพงานการเงินที่หลากหลาย ถ้าเป็นสายสถาบันการเงิน ก็สามารถเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน ผู้จัดการกองทุน วาณิชธนากร นักวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต ส่วนสายบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ นักลงทุนสัมพันธ์ นักวิเคราะห์การเงิน ผู้จัดการด้านการลงทุน ไปจนถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) ขณะที่วิชาชีพอื่นๆก็สามารถใช้ CISA เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการทำงาน เช่น ผู้แนะนำการลงทุน ผู้วางแผนการลงทุน เป็นต้น

และล่าสุด ได้มีการจัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ที่สอบผ่านหลักสูตร CISA เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีหลังสถานการณ์โควิด ซึ่งตั้งแต่ปี 2563 จนถึงกลางปี 2566 มีผู้สอบผ่านหลักสูตร CISA ทุกระดับสูงถึง 540 คน นอกจากนี้ จะมีการมอบรางวัล CISA Achievement Award เป็นครั้งแรกให้กับคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระ ในฐานะบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงแก่หลักสูตรและสร้างคุณูปการต่อตลาดทุนไทย โดยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านงานวิเคราะห์หลักทรัพย์กว่า 30 ปี เคยได้รับรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนถึง 6 ครั้ง และเป็นวิทยากรอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี

คนที่สนใจอาชีพด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุน สามารถดูข้อมูลหลักสูตร CISA เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/cisa 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS โชว์ศักยภาพ คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีระดับเอเชียแปซิฟิก

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS  เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อยกระดับ Digital Infrastructure ของประเทศ โดยล่าสุด นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ได้รับรางวัลสุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับเอเชียแปซิฟิก Technology Leader of the Year Award ที่จัดขึ้นโดย FutureNet Asia เพื่อยกย่องผู้บริหารที่มีผลงานโดดเด่นและมีส่วนร่วมสำคัญต่อการพัฒนาและยกระดับวงการเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

และ AIS ยังได้รับรางวัล The APAC Operator Award ที่สะท้อนให้เห็นถึงการนำนวัตกรรมและขีดความสามารถของโครงข่ายในด้าน Autonomous Network เข้ามายกระดับประสบการณ์การดูแล Voice of Customer ของลูกค้าและภาคอุตสาหกรรม ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Huawei ถือเป็นองค์กรโทรคมนาคมไทยรายเดียวที่ได้รับถึง 2 รางวัลจากเวทีระดับเอเชียแปซิฟิก

นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก กล่าวว่า “ผมและทีมงาน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่เวที FutureNet Asia ได้มอบรางวัล Technology Leader Award และรางวัล The APAC Operator Award ให้แก่ AIS โดยทั้งสองรางวัลถือเป็นกำลังใจและเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ของเราในการยกระดับศักยภาพโครงข่ายของ AIS ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ในทุกมิติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมด้วยการก้าวสู่การเป็น Cognitive Tech-Co ที่สมบูรณ์แบบ”

ขอขอบคุณ FutureNet Asia ที่มองเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS เราขอยืนยันในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีว่า จะมุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่คนไทย นำพาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลส่งเสริมการเติบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป”

รู้เก็บรู้ออม : ยกเครื่องกติกาครั้งใหญ่!!

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือที่รู้จักในชื่อว่า ตลาดหุ้น นั้น ได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่เพื่อการลงทุนของนักลงทุนจำนวนมาก

เมื่อมีผู้เล่นลงสนามลงทุนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ และนักลงทุน จึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์โดยตรง

ปัญหาการตกแต่งงบการเงินและเปิดเผยข้อมูลไม่จริงของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนการสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลเสียหายต่อการลงทุน ทำให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการยกเครื่องกฎกติกามารยาทครั้งใหญ่ ทั้งหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติต่างๆ

“ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง” รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์ฯ พูดถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า อยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นในการยกระดับเกณฑ์กำกับดูแลใน 5 มิติ ที่จะครอบคลุมตั้งแต่ 1.กระบวนการ Listing ปรับปรุงคุณสมบัติบริษัทที่ขอจดทะเบียนทั้งใน SET และ Mai ไม่ว่าจะเป็น New Listing, Backdoor Listing รวมถึงการย้ายกลับมาซื้อขาย (Resume Trading) จะต้องผ่านการพิจารณาในลักษณะเดียวกัน

2.กระบวนการ Ongoing Obligations ให้เข้มงวดเพิ่มขึ้น แต่ไม่เป็นภาระกับ บจ.มากเกินไป โดยจะเพิ่มสัญญาณเตือนให้ผู้ลงทุนที่มากขึ้น ปรับปรุงเงื่อนไขการขึ้นเครื่องหมาย C ในกรณีของบริษัทที่มีรายได้น้อย ขาดทุนติดต่อหลายปี ผิดนัดชำระหนี้ ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน มีปริมาณถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือฟรีโฟลตน้อย

3.กระบวนการ Trade Surveillance ด้วยการเพิ่มระบบตรวจจับการซื้อขายที่ผิดปกติ ซึ่ง ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯและสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยอยู่ระหว่างร่วมกันจัดตั้ง “Securities Bureau” ที่จะช่วยให้รู้สถานะของลูกค้า เช่น วงเงินโดยรวมของทุกสมาชิก ช่วยให้โบรกเกอร์วิเคราะห์ความเสี่ยงได้ดีขึ้น

4.กระบวนการ Delisting ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเพิ่มเหตุในการถูกเพิกถอน และความเข้มงวดในการกำกับดูแลบริษัทที่เข้าข่าย

และ 5.กระบวนการ Escalation to Public โดยเพิ่มเหตุของการเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย C (Caution) และอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเติมในการแยกเครื่องหมาย C ตามเหตุที่แตกต่างกันที่จะช่วยบ่งบอกถึงความเข้มข้น

ส่วนการกำกับซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามใช้มาตรการจากเบาไปหนัก เห็นได้จากกรณีหุ้นไอพีโอ หรือกรณีที่มีความผิดปกติ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะใช้วิธีให้ข้อมูลกับนักลงทุน เพื่อใช้พิจารณาประกอบตัดสินใจซื้อขาย, การให้ บจ.ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อมีข้อมูลบางอย่างที่ส่งสัญญาณเตือนภัย, การออกข่าวเตือนกรณีหุ้นมีการซื้อขายที่ผิดปกติ และการสั่งให้หยุดพักซื้อขายชั่วคราว

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นความพยายามครั้งสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งกระบวนการ ให้เหมาะสม ทันต่อเหตุการณ์ ให้การซื้อขายเป็นไปอย่างเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรม.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยสไมล์คลับ ส่ง “Muang Thai Smile Premium Collection” แบบใหม่ เอาใจสมาชิกช่วงท้ายปี

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ชวนสมาชิกฯ ร่วมสัมผัสความน่ารักกับของพรีเมียมสุดพิเศษ  “Muang Thai Smile Premium Collection 2023” ให้ทุกคนได้เช็กความน่ารัก..น่าแลก กับของพรีเมียมคอลเลกชันใหม่  เพียงใช้คะแนนสะสมเริ่มต้น 15 Smile Points แลกรับไอเทมสุดคิวท์ไม่ซ้ำใครไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจกัน มีสินค้าให้เลือกถึง 6 ไอเทม ดังนี้ Griptok ที่ติดโทรศัพท์ลายน้องรักษ์ยิ้ม 15 Smile Points , กระเป๋าใส่เหรียญทรงสามเหลี่ยม 15 Smile Points, แก้วกาแฟรักษ์ยิ้ม 50 Smile Points , กระเป๋าคล้องแขนสไตล์ญี่ปุ่น 50 Smile Points  และ ผ้าห่มคลุมไหล่รักษ์ยิ้ม 80 Smile Points ขนนุ่มอุ่นเวอร์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด) โดยสมาชิกฯ ที่สนใจสามารถใช้สิทธิ์แลกรับของพรีเมียมได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เมืองไทยสไมล์คลับ พร้อมมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกฯ ในทุกวัน โดยสมาชิกฯ สามารถเช็กคะแนนสะสม  รวมถึงติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุก   ไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ทุก Gen ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทย   ประกันชีวิต

AIS ผนึก​ สช.​ ขยายผลหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ปักหมุด​ รร.เอกชน​ 4,000​ ​ แห่งทั่วประเทศ

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS)​ และภาคีเครือข่ายภาครัฐ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จับมือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เดินหน้าขยายผลหลักสูตร “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์” ที่เป็นการยกระดับจากองค์ความรู้สู่หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ครั้งแรกของไทย ที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาไทย พร้อมส่งต่อให้แก่ นักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สช. มากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป็นโรงเรียนภาคเอกชนกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ ให้มีทักษะดิจิทัล และมีความรู้เท่าทันการใช้สื่อโซเชียลได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย สร้างเด็ก เยาวชนและคนไทยเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ ให้สามารถใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และร่วมกันยกระดับดัชนีสุขภาวะดิจิทัล (Thailand Cyber Wellness Index) ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ​ สช. กล่าวว่า “บทบาทของ สช. มีภารกิจในการขับเคลื่อนการศึกษาเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มอบหมายไว้ คือ “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งจะต้องมีความสมดุล ทั้งการเรียนด้านวิชาการและการมีทักษะชีวิตที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไปด้วยกัน โดยในปีนี้ สช.ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชน ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลโดยตรงต่อการศึกษา โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดเวลา ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการใช้งาน และอาจตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามทางไซเบอร์ ดังนั้นเราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ให้นักเรียนมีองค์ความรู้ในการรับข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ และรู้จักหลีกเลี่ยงภัยไซเบอร์ต่างๆ ที่เข้ามาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง AIS กับกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะมาช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนให้ยกระดับไปอีกขั้น

ด้วยการจัดอบรมการเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สช.​ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Online และ Onsite เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษานำหลักสูตรดังกล่าวไปบูรณาการผ่านการเรียนการสอนที่หลากหลาย อาทิ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และวิทยาการคำนวณ ให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 และจะขยายผลให้ครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สช. กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ รวม 2,000,000 คน  ได้เริ่มเรียนรู้เนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ภายในภาคเรียนของปีการศึกษา 2/2566 เพื่อเสริมสร้างทักษะดิจิทัล ให้สามารถรับมือและใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย ตามเป้าหมายการทำงานของ สช.”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม  หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า​หลังจากที่ก่อนหน้านี้ AIS ได้ขยายผลนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ส่งต่อไปยังเยาวชน นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศ ทั้งความร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านไปยังโรงเรียนในสังกัดกว่า 29,000 แห่งทั่วประเทศ โรงเรียนในสังกัด กทม.ทั้ง 437 แห่ง รวมถึงยังขยายไปยังภาคอุดมศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา นอกจากนี้เรายังส่งต่อไปยังภาคประชาชนผ่านหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สกมช. รวมทั้งกลุ่มผู้สูงวัยในสหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุ กทม.และชมรมอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์เพื่อผู้สูงวัย หรือ OPPY CLUB By Loxley ซึ่งมีผู้เข้าอบรมหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์แล้วกว่า 300,000 คน

โดยการทำงานร่วมกับสช.ครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้กลุ่มนักเรียนในโรงเรียนเอกชนเข้าถึงเนื้อหาหลักสูตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยมีภูมิคุ้มกัน ไม่ตกเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์ และเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีและมีคุณภาพ ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลเราขอเป็นศูนย์กลางในการสร้างและส่งเสริมการใช้งานที่ถูกต้อง เหมาะสม และมีความปลอดภัยให้กับลูกค้าและคนไทยทุกกลุ่ม”

“ธนูลักษณ์” ออกขายหุ้นกู้ 300 ล. 24-26 ต.ค.นี้ มั่นใจกระแสตอบรับดีเดินหน้ารุกธุรกิจการเงิน

0

“ธนูลักษณ์” บริษัทในเครือสหพัฒน์ฯ ประเดิมตลาดออกขายหุ้นกู้ 300 ล้านบาท 24-26 ต.ค.นี้ มั่นใจได้รับกระแสตอบรับที่ดี หลังพันธมิตรบีทีเอสฯ เข้าร่วมทุน เดินหน้ารุกธุรกิจให้บริการทางการเงิน ทั้งธุรกิจให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) พร้อมสยายปีกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายต่อยอดเสริมธุรกิจการเงิน ชี้ฐานะการเงินแกร่ง มีส่วนผู้ถือหุ้นกว่าหมื่นล้าน ขณะที่มีหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ เพียง 0.18 เท่า

น.ส.สุธิดา จงเจนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) (TNL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมระดมทุนโดยออกและเสนอขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 6.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 ประเภทหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มจำนวนไม่เกิน 200 ล้านบาท รวมไม่เกิน 500 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาการเสนอขายระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566

สำหรับวัตถุประสงค์การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายพอร์ตสินเชื่อ และ/หรือ ใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย จำนวน 400-500 ล้านบาท และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวนไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้

น.ส.สุธิดา กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้นกู้ของบริษัทจะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุน ทั้งนี้ ภายหลังจากปลายปี 2565 ที่ผ่านมา TNL ได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยการปรับโครงสร้างองค์กร และปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเพิ่มทุนขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมและขายให้บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (หรือ BTSG) พันธมิตรทางกลยุทธ์ของบริษัทเข้ามาถือหุ้น ทำให้บริษัทมีฐานทุนรวมกันเกินกว่าหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มเครื่องยนต์หรือ New Engines มาเสริมทัพธุรกิจเดิมให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยรุกขยายเข้าไปทำ 3 ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยซื้อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีหลักประกันจากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ นอกจากนี้ยังลงทุนในบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate for Sale) ขณะที่ยังคงดำเนินธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่เดิม

“ทีมผู้บริหารมั่นใจว่า การเพิ่ม 3 Engines ใหม่ จะสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทได้ และเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่งการที่บริษัทมีธุรกิจ Asset Financing ซึ่งมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันหลัก และมีธุรกิจ AMC ที่เน้นสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน รวมถึงการมี Engine ของการพัฒนา Real Estate for Sale ทำให้เรามี Network และความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี จะเป็นจุดแข็งและ Synergy ที่สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาวได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 ที่ผ่านมา” น.ส.สุธิดากล่าว

สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 TNL มีรายได้รวม 1,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 187 ล้านบาท หรือ 435% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจใหม่ด้านธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตรากำไร (Net Profit Margin) ที่สูง ทั้งนี้ หลังการปรับโครงสร้างบริษัท TNL มีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ 30 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 10,288 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ต่ำเพียง 0.18 เท่า

ซีพีเอฟ ส่งเสริมการผลิต-บริโภคอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ใน “วันอาหารโลก” 16 ต.ค. 2023

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการผลิตอย่างรับผิดชอบ ใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รสชาติอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก สอดรับแนวคิดวันอาหารโลกปี 2023 (World Food Day 2023) “น้ำคือชีวิต น้ำคืออาหาร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน

นลินี โรบินสัน

นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ (CPF RD Center) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก มีนโยบายหลักในการสร้างอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร โดยให้ความสำคัญกับการส่งมอบอาหารปลอดภัย คุณภาพดี ตรงตามความต้องการอาหารของผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัย ตลอดจนได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนากระบวนผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งพลังงาน น้ำ และวัตถุดิบต่างๆ ลดการสูญเสียในขั้นตอนการผลิต (food loss) ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัทฯ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050

สอดคล้องกับที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) กำหนดให้วันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันอาหารโลก” (World Food Day) โดยในปีนี้ แนวคิดในการรณรงค์การผลิตและการบริโภคอาหาร คือ “Water is life, Water is food, Leave No One Behind” หรือ “น้ำคือชีวิต น้ำคืออาหาร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตอกย้ำคุณค่าของน้ำ ทั้งน้ำดื่มและน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในห่วงโซ่การดำเนินชีวิตของมนุษย์ จำเป็นต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนให้ใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด และเพียงพอสำหรับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารตระหนักดีถึงความสำคัญของการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิตอย่างรับผิดชอบ ทั้งการใช้น้ำภายในองค์กรและลดการพึ่งพาแหล่งน้ำภายนอก อีกทั้งยังมีนโยบายบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำหลัก 3 Rs ได้แก่ 1.ลดการใช้น้ำ (Reduce) 2.นำน้ำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านการบำบัด (Recycle) และ 3.นำน้ำกลับมาใช้ซ้ำโดยไม่ผ่านการบำบัด (Reuse) ส่งเสริมบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ ยังมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามนโยบายการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น ส่งเสริมการสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพของประชากรทั่วโลก ร่วมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-Being) และการผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production) ตอบโจทย์แนวโน้มประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น พร้อมคำนึงถึงสมดุลระบบนิเวศ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการผลิตอาหาร (Climate Change)

“ซีพีเอฟ ผลิตอาหารที่มีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มคน ทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและทั่วโลก ตอบโจทย์ไลฟ์สเตจ (Lifestage) ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย ตั้งแต่อาหารวัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ในทุกโอกาสของการกิน ตั้งแต่ อาหารเช้า อาหารระหว่างวัน อาหารกินเล่น อาหารกินอิ่มท้อง หรือ ตอบโจทย์เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม หรืออาหารโปรตีนทางเลือกอย่าง Meat Zero ช่วยเรื่องสุขภาพให้ดีขึ้น” นางนลินี กล่าว

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร CPF RD CENTER มีทีมนักวิจัยและเชฟที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการดำเนินการศึกษาวิจัยพัฒนาอาหารเชิงลึก เพื่อคิดค้นและสร้างสรรค์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเพิ่มขึ้น และมีรสชาติอร่อยตรงใจผู้บริโภคที่สุด โดยมีการควบคุมคุณภาพและการผลิตทุกขั้นตอน สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนาและผลิตอาหารให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคที่เหมาะสม เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับผู้ป่วยทางการแพทย์ สนับสนุนการเข้าถึงอาหารของทุกคนในทุกรูปแบบที่แตกต่างกัน ตามแนวทางการผลิต-การบริโภคอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกในอนาคต

แจ้งนักลงทุนขอให้ศึกษางบการเงินของ NEWS พร้อมติดตามคำชี้แจง

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NEWS) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินงวด 6 เดือน ปี 2566 เกี่ยวกับ การบันทึกผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน 90 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรากฏรายการต้นทุน   ในการจัดจำหน่าย 127 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กับกิจการที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่มีรายได้ 7 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 308 ล้านบาท ซึ่งมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน สภาพคล่อง และผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ให้ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ NEWS และติดตามคำชี้แจงของบริษัท

สรุปข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงินงวด 6 เดือน ปี 2566  

รายการมูลค่า (ล้านบาท)ข้อมูลในงบการเงิน / คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ
ขาดทุนจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน90 (36% ของมูลค่า เงินลงทุน)ในระหว่างงวด 6 เดือน ปี 2566 เงินลงทุนในตราสารทุน
ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเพิ่มขึ้น 203 ล้านบาท เป็น 249 ล้านบาท โดยมีมูลค่ายุติธรรมคงเหลือ 142 ล้านบาท
ต้นทุนในการ    จัดจำหน่าย127 (47% ของค่าใช้จ่าย)บริษัทชี้แจงใน MD&A ว่าต้นทุนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากส่วนงานหลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์  ในขณะที่หมายเหตุประกอบงบการเงิน มีค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์       92 ล้านบาท เป็นรายการกับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน และมีภาระผูกพัน     ที่จะต้องจ่ายค่าบริการจากการทำสัญญาค่าประชาสัมพันธ์กับบริษัท     ที่เกี่ยวข้องกัน 76 ล้านบาท

ประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ NEWS ชี้แจง คือ รายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ความเหมาะสมของรายการและแนวทางบริหารความเสี่ยง รวมถึงความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวข้างต้น ว่าได้พิจารณาอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน สภาพคล่อง และฐานะการเงินของบริษัทอย่างไร

ตลท. แจ้งนักลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ AQUA และติดตามคำชี้แจง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (AQUA) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2566 เกี่ยวกับรายการเงินลงทุนในตราสารทุนที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนที่มีมูลค่าลดลง 68% ของมูลค่าต้นงวด ทำให้งวด 6 เดือน ปี 2566 ปรากฏผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุน (Unrealized Loss) ดังกล่าว 54 ล้านบาท และนับตั้งแต่ปี 2565 บริษัทลงทุนในตราสารทุนในความต้องการของตลาด 311 ล้านบาท และมี Unrealized Loss จากการลงทุนดังกล่าวรวม 101 ล้านบาท

ทั้งนี้ ให้ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ AQUA และติดตามคำชี้แจงของบริษัท

AQUA ได้นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2566 โดยปรากฏรายการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนในตราสารทุน และผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนดังกล่าว สรุปดังนี้

หน่วย : ล้านบาท เงินลงทุนในตราสารทุนในความต้องการของตลาด31 ธันวาคม 256530 มิถุนายน 2566
ยอดคงเหลือต้นงวด79
บวก  เพิ่มระหว่างงวด3112
หัก   ลดลงระหว่างงวด(185)
ยอดคงเหลือปลายงวด12681
บวก  กำไร (ขาดทุน) จากการขายเงินลงทุน0.1
(หัก)  กำไร (ขาดทุน) จากการวัดมูลค่ายุติธรรม(47)(54)
มูลค่ายุติธรรม7927

ประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ AQUA ชี้แจง คือ รายละเอียดการลงทุน นโยบายการลงทุน หลักเกณฑ์และขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติลงทุน แนวทางบริหารความเสี่ยง ความเห็นของคณะกรรมการต่อความเหมาะสมของนโยบายการลงทุน และกระบวนการติดตามการลงทุน

AIS ช่วยเต็มกำลัง ให้โทรและส่ง SMS ฟรี หนุนภารกิจช่วยคนไทยจากเหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล

0

AIS เดินหน้าสนับสนุนระบบสื่อสารอย่างเต็มกำลังในภารกิจช่วยเหลือคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอิสราเอล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ AIS ได้เร่งส่ง SMS แจ้งเตือนแสดงความห่วงใยให้กับลูกค้าที่ใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติ รวมถึงยังเปิดให้ลูกค้าสามารถโทรติดตามขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และ AIS Call Center ได้ฟรี นอกจากนี้ AIS ยังเข้าไปสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในภารกิจช่วยเหลืออพยพคนไทย ให้ทีมคณะทำงานสามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังร่วมสนับสนุนภารกิจของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ในการสื่อสารให้ประชาชนทราบสถานการณ์ข่าวสารที่มีความจำเป็นต่อการตัดสินใจและความปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตผ่าน SMS และเพื่อเป็นการเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อคนไทย AIS ได้เพิ่มเติมมาตรการพร้อมอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยการเปิดบริการให้ลูกค้าสามารถโทร และส่ง SMS ภายในประเทศอิสราเอล และกลับมายังครอบครัวที่ประเทศไทยได้ฟรี

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราได้ส่งกำลังใจและเฝ้าติดตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลอย่างใกล้ชิด โดย AIS แสดงความห่วงใยเข้าร่วมภารกิจในการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารให้กับคนไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่และคณะทำงานในการอพยพช่วยเหลือคนไทยที่ทำงานและอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้กลับสู่ประเทศไทย จนถึงวันนี้สถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายและเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เราจึงเพิ่มเติมมาตรการดูแลช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงสามารถติดต่อกับครอบครัวในประเทศไทยได้อย่างราบรื่น  AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายและระบบสื่อสารขอแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น โดยเราพร้อมเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อให้คนไทยได้รับความปลอดภัยสูงสุด”