Home Blog Page 138

AIS PLAY เอาใจแฟนบาสฯ​ ยิงสดครบทุกแมตช์ ศึก​Basketball Thai League2023 ดูฟรีทุกเครือข่าย

0


AIS PLAY ยังคงตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านคอนเทนต์กีฬาชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก ล่าสุดได้ผสานความร่วมมือกับ สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยเดินหน้าถ่ายทอดสดการแข่งขัน Basketball Thai League2023 หรือบาสเกตบอลไทยลีก บาสเกตบอลอาชีพสูงสุดของไทย ให้แฟนบาสเกตบอลชาวไทยได้รับชมฟรีทุกเครือข่าย แบบจัดเต็มทุกแมตช์ทั้งชมสดและรีรัน ผ่าน AIS PLAY ในทุกช่องทาง ประเดิมการแข่งขันนัดแรก 15 กรกฎาคม เวลา 12.00 น. เป็นต้นไ

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยให้โอกาส AIS ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งมอบประสบการณ์การรับชมสุดยอดการแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพไทยลีก 2023 ให้ลูกค้า และแฟนๆ บาสเกตบอลชาวไทยรับชมได้ฟรี แบบจัดเต็มครบทุกแมตช์ทั้งการชมสด และรีรัน นับเป็นการตอกย้ำถึงความตั้งใจของ AIS PALY ในการเป็นผู้นำคอนเทนต์ด้านกีฬาทั้งในและต่างประเทศที่มีความหลากหลายมากสุดในฐานะผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ชั้นนำของไทย”

สำหรับศึกบาสเกตบอลไทยลีก 2023 จัดโดยสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ นับเป็นการแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพรายการสูงสุดของประเทศ โดยคัดทีมยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ จำนวน 8 ทีมประกอบไปด้วย BANVAS SLAMMERS มรภ.พระนคร, SNIPERS BASKETBALL CLUB, HI-TECH BASKETBALL CLUB, WARRIORS THAILAND, NAGA HUNTERS NONG KHAI, สโมสรบาสเกตบอล มศว., สโมสรบาสเกตบอลมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ TGE BASKETBALL CLUB โดยจะเปิดสนามระเบิดศึกยัดห่วงพร้อมกัน วันที่ 15 กรกฎาคมนี้

แฟนบาสเกตบอลชาวไทยสามารถรับชมฟรีทุกแมตช์แบบจัดเต็มผ่านทาง AIS PLAY ในทุกช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชัน AIS PLAY, เว็บไซต์ ais.th/play, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TVและ Apple TV  

องคมนตรี และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ มอบรถรับส่งนร. ให้รร.พื้นที่ถิ่นทุรกันดาร จ.ประจวบคีรีขันธ์

0

พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นประธานในพิธีส่งมอบรถรับส่งนักเรียน ที่ได้รับการสนับสนุนจาก นายอดิเรก ศรีประทักษ์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ จัดเตรียมรถบรรทุก 6 ล้อ ขนาดกลาง จนเสร็จสมบูรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ที่กำหนดไว้ในงานบริการรับส่งนักเรียน

ในการนี้ นายวีรชัย รัตนบานชื่น รองประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร พร้อมด้วย น.สพ.สิทธิพร ปราณีนิจ ที่ปรึกษาอาวุโส เครือซีพี เป็นผู้แทน มอบให้กับ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ ต.บึงนคร อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้เป็นพาหนะอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน โดยมี นายเจริญ เหมือนศรีเพ็ง ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา นางอรเยาว์ อาจหาญ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ พร้อมบุคลากรและนักเรียน ร่วมรับมอบ ณ ทำเนียบองคมนตรี กรุงเทพฯ

“โรงเรียนบ้านห้วยไคร้” เป็นหนึ่งในโครงการกองทุนการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เปิดสอนในระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียน 325 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ และบางส่วนอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งสภาพภูมิศาสตร์ของโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ถนนที่ใช้สัญจรบางส่วนเป็นดินลูกรัง ทำให้ยากลำบากต่อการเดินทางมาโรงเรียน จึงมีนักเรียนบางส่วนพักค้างที่โรงเรียน ซึ่งเดินทางมาเรียนในเช้าวันจันทร์ และพักอยู่ในโรงเรียนจนถึงเย็นวันศุกร์จึงกลับไปพักกับผู้ปกครอง ปัจจุบันโรงเรียนมีรถยนต์บรรทุกโดยสารขนาดกลาง (ชนิด 6 ล้อ) เป็นพาหนะในการรับส่งนักเรียน 1 คัน

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน เดินหน้าช่วยเหลือสังคม ส่งมอบพาหนะอำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ เพื่อให้อนาคตของชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเตรียมพร้อมสำหรับการการขยายชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่อไป

ซีพีเอฟ – ศูนย์ FLEC สงขลา ก้าวสู่ปีที่ 8 ผนึกพลัง 7 องค์กร ร่วมต่อต้านการค้ามนุษย์ หนุนสร้างห่วงโซ่อาหารทะเลยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับองค์กรพันธมิตร ขับเคลื่อน“ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา” (Fishermen Life Enhancement Center หรือ ศูนย์ FLEC) เข้าสู่ปีที่ 8 มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตครอบครัวแรงงานประมงต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลและคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม สร้างเสริมทักษะชีวิต เพื่อร่วมต่อต้านการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างยั่งยืน

นางสาวนาตยา เพชรรัตน์ ผู้จัดการศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา ในฐานะกรรมการศูนย์ FLEC สงขลา กล่าวว่า ศูนย์ FLEC ดำเนินงานตั้งแต่ปี 2559 สำหรับปีนี้ ศูนย์ FLEC มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ให้ได้รับการศึกษา ควบคู่กับการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง สนับสนุนให้เด็กข้ามชาติเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อร่วมต่อต้านปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กอย่างผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์ FLEC บูรณาการความเชี่ยวชาญของ 7 องค์กรจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ภายใต้ความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติภาคประมงและครอบครัว ให้ได้รับการคุ้มครองและสามารถประกอบอาชีพได้ตามหลักมนุษยธรรม พร้อมยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) และสุขภาพ คุ้มครองและเคารพสิทธิเยาวชน สอดคล้องหลักการชี้แนะเรื่องสิทธิมนุษยชนสำหรับธุรกิจขององค์การสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) และเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่ครอบครัวแรงงานประมง รวมถึงการมีส่วนร่วมปกป้องเรื่องการจัดการขยะทะเลและชายฝั่ง (Ocean Stewardship)

ศูนย์ FLEC ดำเนินการในระยะที่ 2 ( 2564 – 2568) ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อสร้างรากฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) โดย ศูนย์เรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัวแรงงานเพื่อนบ้าน (Learning Quarter for Neighboring Migrant Children and Family) เป็นแกนหลักในการจัดการเรียนตามช่วงวัย ตั้งแต่ความรู้ขั้นพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ และกัมพูชา เตรียมความพร้อมเข้าเรียนต่อในโรงเรียนรัฐในจังหวัดสงขลา ควบคู่กับการสร้างเสริมทักษะการใช้ชีวิต สร้างแหล่งอาหารส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร อาทิ การปลูกผักสวนครัวไว้รับประทาน และการแยกขยะนำไปขายอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ พึ่งพาตนเอง ได้ สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา มีลูกหลานแรงงานประมงในพื้นที่ท่าเรือสงขลา กว่า 268 คนได้เข้าถึงการศึกษาตามระบบการศึกษาของไทย ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนจำนวน 34 คนกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเทศบาล 1 (ถนนนครนอก) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรพันธมิตรร่วมก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานศูนย์ FLEC สงขลาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยบูรณาการความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ระหว่างซีพีเอฟ กับ 6 องค์กรพันธมิตร ประกอบด้วย องค์การสะพานปลา ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บริษัท จี.อี.พี.พี. สะอาด (เก็บสะอาด) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (GC) มีเป้าหมายสร้างความเท่าเทียมและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานประมงข้ามชาติและครอบครัวในทุกมิติ ผ่านการเพิ่มพูนความรู้เรื่องความปลอดภัยและชีวอนามัยในสถานที่ทำงาน การดูแลสุขภาพ การสร้างเสริมทักษะอาชีพ มุ่งลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนผ่านโครงการปลูกผักสวนครัวรับประทาน เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในการร่วมต่อต้านปัญหาการค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

ศูนย์ FLEC ได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงยังได้ร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ดำเนิน โครงการ “ขยะดีมีค่า” เพื่อส่งเสริมความรู้การคัดแยกขยะ และนำมาขยะที่สามารถรีไซเคิลได้แลกเป็นของใช้อุปโภค เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้ครองชีพ นอกจากนี้ ศูนย์ FLEC ยังมีส่วนร่วมเก็บขยะทะเลในวันเก็บขยะชายหาดสากล (International Ocean Clean Up Day) ตามแนวทางสากล Ocean Conservancy ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นกว่า 13,000 กิโลกรัม เพื่อร่วมปลูกฝังจิตสำนึกในการร่วมพิทักษ์ และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล อันเป็นต้นทางความมั่นคงในระบบทางอาหารของโลก

KCC ยกระดับเป็นโฮลดิ้ง​ ปลดล็อกให้ซื้อหนี้จาก Non bank ได้

0

บอร์ด KCC ไฟเขียวปรับโครงสร้าง ตั้ง “ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง” ปูพรมประมูลหนี้ Non bank ทั้งหนี้หุ้นกู้ หนี้ที่อยู่ในการฟื้นฟูกิจการจากนิติบุคคลอื่น ซึ่งจากเดิมซื้อหนี้ได้เฉพาะจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินตามที่ใบอนุญาต AMC กำหนดเท่านั้น แต่จะยังคงเน้นธุรกิจ AMC ที่บริษัทมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จมายาวนานเป็นหลัก พร้อมเปิดสูตรแลกหุ้น 1 หุ้น KCC ต่อ 1 หุ้นโฮลดิ้ง ดันโฮลดิ้งจดทะเบียนใน mai แทน

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566  มีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น      และการจัดการของบริษัทฯ (แผนปรับโครงสร้างฯ) และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ โดยจัดตั้ง “บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง  จำกัด (มหาชน)” (Knight Club Capital Holding Public Company Limited) (บริษัทโฮลดิ้ง) โดยบริษัทจะต้องขออนุมัติต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่          11 กันยายน 2566

ทั้งนี้ การยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง มีวัตถุประสงค์หลัก คือ 1.เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ ลดข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทฯ เพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว 2.เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ 3.เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต และ 4.เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน

“การยกฐานะขึ้นเป็นโฮลดิ้งจะทำให้มีความคล่องตัว  สามารถลงทุนซื้อหนี้จากบุคคลและนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะหนี้จากสถาบันการเงินเท่านั้น ในการปรับโครงสร้างหนี้โดยการฟื้นฟูกิจการ จะมีหนี้อื่นๆ เช่น หุ้นกู้ หนี้การค้า ซึ่งโดยมากจะถือโดยนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ซึ่ง AMC ไม่สามารถเข้าไปซื้อได้ การปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งจึงทำให้บริษัทสามารถขยายช่องทางในการซื้อหนี้ได้มากขึ้น เพราะบริษัทมีความชำนาญในเรื่องของการซื้อหนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี KCC จะยังคงเน้นธุรกิจ AMC ที่บริษัทมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จมายาวนานเป็นหลัก ตามทิศทางการเปิดประมูลหนี้ของสถาบันการเงินยังที่มีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทก็เห็นโอกาสเข้าไปประมูลหนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายที่เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น”  นายทวีระบุ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าวต่อว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทโฮลดิ้งจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้ง และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทโฮลดิ้งเสร็จสิ้น จะนำหุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) แทนหุ้นสามัญของบริษัทฯ หรือ KCC  ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และKCC จะถือหุ้นเกือบ100% โดยบริษัทโฮลดิ้ง

นอกจากนี้การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะไม่กระทบต่อหุ้นกู้ของบริษัท เพราะฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ หรือความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ไม่แตกต่างไปจากเดิมเนื่องจาก บริษัทฯ ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ยังคงมีรายได้มาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากการประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ได้เหมือนเดิมทุกประการ 

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ผนึก เมืองไทยประกันชีวิต​ เปิดตัวแคมเปญ “Living A Better Life” ให้ความคุ้มครองสุขภาพที่รู้ใจสำหรับผู้ซื้อบ้านทุกแบบ

0
เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จับมือ เมืองไทยประกันชีวิต จัดแคมเปญ “Living A Better Life” มอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ซื้อบ้านทุกแบบ ครอบคลุม 10 โครงการ ด้วยความคุ้มครองสุขภาพโครงการ Smart Silver Plus โดดเด่นด้วยการเลือกความคุ้มครองได้ตรงใจ กังวลโรคไหนก็เลือกได้ ส่งมอบความอุ่นใจ พร้อมสร้างความสุขที่ยั่งยืนและความมั่นคงในทุกช่วงของชีวิต

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง เป็นผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบ แนวสูง ภายใต้แนวคิด Home Expert Living Care : รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ คุณภาพมาตรฐาน ISO รายแรกของไทย ดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าแบบ Full Service และพัฒนาเทคโนโลยีบ้านเพื่อความสุข อีกทั้งการหาพันธมิตรเพื่อส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดี เพราะเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต เพราะการมีร่างกายที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเป็นไปอย่างมีความสุข 

อีกทั้งประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและในอนาคต จะเป็นยุค Super Aged Society  เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จึงได้คำนึงถึงความสุขทุกครอบครัว พร้อมตอบรับความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อบ้านแบรนด์เอ็น.ซี ด้วยการจับมือกับ เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต ที่โดดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมความคุ้มครองสุขภาพ จัดแคมเปญ “Living A Better Life เพื่อมอบสิทธิพิเศษในการสร้างความอุ่นใจ  ด้วยความคุ้มครองสุขภาพกับโครงการ  Smart  Silver  Plus  (สมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส)  พร้อมชำระค่าเบี้ยประกันภัยปีแรก* ให้ทุกครอบครัวที่ซื้อบ้านในโครงการทุกแบบบ้าน ตอบโจทย์การสร้างความสุขที่ยั่งยืนและความมั่นคงในทุกช่วงของชีวิต 

ด้านนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ในแคมเปญ “Living A Better Life” ในการส่งมอบความอุ่นใจให้กับผู้ซื้อบ้าน ด้วยความคุ้มครอง “โครงการสมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส”  ซึ่งโดดเด่นด้วยการเลือกความคุ้มครองได้ตรงใจ กังวลโรคไหนก็เลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน รวมถึงคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ จนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองอย่างถาวรตั้งแต่ 3 ใน 6 อย่าง ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 180 วัน ประกอบด้วย 1.การเคลื่อนย้าย  2.การเดินหรือเคลื่อนที่  3.การแต่งกาย      4.การอาบน้ำชำระร่างกาย  5.การรับประทานอาหาร  และ  6.การขับถ่าย วงเงินความคุ้มครองสูงสุด        2 ล้านบาท อีกทั้งยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีกระดูกแตกหัก วงเงินสูงสุด 500,000 บาท

โดยสามารถเลือกรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน หรือแบบรายเดือน เดือนละเท่าๆ กัน สูงสุด 120 เดือน(1) รวมถึงสามารถเลือกจ่ายผลประโยชน์รายเดือนไปยัง Siri Arun Wellness ศูนย์ฟื้นฟูและดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง ในเครือของ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  หรือสถานให้บริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ที่มีรายชื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทฯ(2) โดยสมัครได้ตั้งแต่อายุ 40 – 80 ปี พร้อมให้ความคุ้มครองดูแลยาวถึงอายุ 81 ปี  ซึ่งจะช่วยคลายความกังวล สร้างความอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับผู้ซื้อบ้านของ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ได้เป็นอย่างดี

สำหรับโครงการบ้าน เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  ที่เข้าร่วมแคมเปญ Living A Better Life  ครอบคลุมบ้านทุกแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้ง 10 โครงการคุณภาพ  ประกอบด้วย  โครงการโซนตะวันตก
1. โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ชัยพฤกษ์ บ้านเดี่ยวราคาพิเศษ  7.13 ล้านบาท บ้านแฝด ราคาเริ่มต้น 5.2  ล้านบาท 2.โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้าเพชรเกษม Modern Art Deco Style ทาวน์โฮม ( RENE ) พื้นที่ใช้สอย 120 ตาราเมตร  ขนาด 20 ตารางวา  3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน  บ้านแฝดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 38 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 5.5 ล้านบาท  บ้านเดี่ยว (MERDITH ) พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ครัวไทย  2 ที่จอดรถ  ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้าน  3.โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอร์รี่ นีโอลา รังสิตคลอง 2  บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 84 ตารางวา  ราคาเริ่มต้น 7.89     ล้านบาท และบ้านแฝดสไตล์เหมือนบ้านเดี่ยว ขนาดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 39 ตารางวา ราคาช่วงแนะนำโครงการ 3.89 ล้านบาท 4. บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ นีโอลา วงแหวน–ลำลูกกา คลอง 7  บ้านแฝด ขนาด 42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 133.5 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 4.29     ล้านบาท  

5.โครงการ NC On Green Palm Park 2  ทาวน์โฮม ขนาด 19-30 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท  แบบบ้านทาวน์โฮม ทรงอิสระ  ขนาด 27 -35 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 125 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท  และบ้านแฝด สไตล์บ้านเดี่ยว  ขนาดพื้นที่ 38-42 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาด  3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท  6.โครงการ Nc On Green Charm Classic  ให้ความรู้สึกของความเป็นเจ้าของวิวสนามกอล์ฟขนาดใหญ่   บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น  5.59-19 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด ตั้งแต่ 55-100 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 155-400 ตารางเมตร  7.บ้านฟ้าปิยรมย์นอร์เดิร์น บ้านเดี่ยวนอร์ดิกสไตล์  ราคาเริ่ม 6.39-12  ล้านบาท ตามด้วยโครงการใหม่  8.บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม ลำลูกกา คลอง 7 ให้คุณภาพชีวิตดีๆ พร้อมพื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชั่นลงตัวในราคาที่เอื้อมถึง ทาวน์โฮม ราคาเพียง 1.83 ล้านบาท พิเศษสุดโซนตะวันออก เมืองพัทยา 9. โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ลอฟท์ บ้านแฝด สไตล์บ้านเดี่ยว ดีไซน์ลอฟท์ ฟังก์ชั่นลงตัว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก บนนถนนชัยพรวิถี-พัทยาเหนือ ราคาสุดพิเศษ เริ่ม 3.99 ล้าน และโครงการใหม่ล่าสุดโซนบางนา  10.โครงการบ้านฟ้าทาวน์นี่ ศรีนครินทร์ เทพารักษ์ ไพเวททาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น  2.49 ล้านบาท 

นายสมนึก กล่าวปิดท้าย  เอ็น.ซี. ขอมอบทางเลือกการเป็นเจ้าของบ้าน ทั้ง 10 โครงการด้วยสิทธิพิเศษที่ได้ร่วมผนึก กับ เมืองไทยประกันชีวิต และถือเป็นแคมเปญใหญ่ ไตรมาส 3 ของปีนี้  เพื่อสนับสนุนมอบโอกาส สำหรับผู้ที่อยากมีบ้าน เพื่อเริ่มต้นสร้างครอบครัว อย่างมีความสุข 

หมายเหตุ

        *     บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยปีแรก และผู้ซื้อบ้านเป็นผู้ชำระเบี้ย  ประกันภัยปีต่ออายุ

  1. สำหรับความคุ้มครองโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ และโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน และความคุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเท่านั้น
  2. เป็นสถานให้บริการผู้มีภาวะพึ่งพิงหรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุคู่สัญญาที่ได้รับมาตรฐาน ผ่านการจดทะเบียนรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข โดยตรวจสอบรายชื่อได้ที่ www.muangthai.co.th 
  • โครงการสมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส เป็นชื่อทางการตลาดของ สัญญาเพิ่มเติมสมาร์ท แคร์ พลัส 
  • ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
  • การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต
  • เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ผลประโยชน์ เงื่อนไข และความคุ้มครองโดยละเอียด เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • เงื่อนไขสิทธิพิเศษเป็นไปตามที่ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กำหนด 

คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ผนึก เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขที่ยั่งยืน 

ผ่านแคมเปญ “Living A Better Life”

เพิ่มความอุ่นใจด้วยความคุ้มครองสุขภาพที่รู้ใจสำหรับผู้ซื้อบ้านทุกแบบ

เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จับมือ เมืองไทยประกันชีวิต จัดแคมเปญ “Living A Better Life มอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ซื้อบ้านทุกแบบ ครอบคลุม 10 โครงการ ด้วยความคุ้มครองสุขภาพโครงการ Smart Silver Plus โดดเด่นด้วยการเลือกความคุ้มครองได้ตรงใจ กังวลโรคไหนก็เลือกได้ ส่งมอบความอุ่นใจ พร้อมสร้างความสุขที่ยั่งยืนและความมั่นคงในทุกช่วงของชีวิต

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง เป็นผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบ แนวสูง ภายใต้แนวคิด Home Expert Living Care : รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ คุณภาพมาตรฐาน ISO รายแรกของไทย ดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าแบบ Full Service และพัฒนาเทคโนโลยีบ้านเพื่อความสุข อีกทั้งการหาพันธมิตรเพื่อส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดี เพราะเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต เพราะการมีร่างกายที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเป็นไปอย่างมีความสุข 

อีกทั้งประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและในอนาคต จะเป็นยุค Super Aged Society  เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จึงได้คำนึงถึงความสุขทุกครอบครัว พร้อมตอบรับความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อบ้านแบรนด์เอ็น.ซี ด้วยการจับมือกับ เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต ที่โดดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมความคุ้มครองสุขภาพ จัดแคมเปญ “Living A Better Life เพื่อมอบสิทธิพิเศษในการสร้างความอุ่นใจ  ด้วยความคุ้มครองสุขภาพกับโครงการ  Smart  Silver  Plus  (สมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส)  พร้อมชำระค่าเบี้ยประกันภัยปีแรก* ให้ทุกครอบครัวที่ซื้อบ้านในโครงการทุกแบบบ้าน ตอบโจทย์การสร้างความสุขที่ยั่งยืนและความมั่นคงในทุกช่วงของชีวิต 

ด้านนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ในแคมเปญ “Living A Better Life” ในการส่งมอบความอุ่นใจให้กับผู้ซื้อบ้าน ด้วยความคุ้มครอง “โครงการสมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส”  ซึ่งโดดเด่นด้วยการเลือกความคุ้มครองได้ตรงใจ กังวลโรคไหนก็เลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน รวมถึงคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ จนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองอย่างถาวรตั้งแต่ 3 ใน 6 อย่าง ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 180 วัน ประกอบด้วย 1.การเคลื่อนย้าย  2.การเดินหรือเคลื่อนที่  3.การแต่งกาย      4.การอาบน้ำชำระร่างกาย  5.การรับประทานอาหาร  และ  6.การขับถ่าย วงเงินความคุ้มครองสูงสุด        2 ล้านบาท อีกทั้งยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีกระดูกแตกหัก วงเงินสูงสุด 500,000 บาท

โดยสามารถเลือกรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน หรือแบบรายเดือน เดือนละเท่าๆ กัน สูงสุด 120 เดือน(1) รวมถึงสามารถเลือกจ่ายผลประโยชน์รายเดือนไปยัง Siri Arun Wellness ศูนย์ฟื้นฟูและดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง ในเครือของ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  หรือสถานให้บริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ที่มีรายชื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทฯ(2) โดยสมัครได้ตั้งแต่อายุ 40 – 80 ปี พร้อมให้ความคุ้มครองดูแลยาวถึงอายุ 81 ปี  ซึ่งจะช่วยคลายความกังวล สร้างความอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับผู้ซื้อบ้านของ เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ได้เป็นอย่างดี

สำหรับโครงการบ้าน เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  ที่เข้าร่วมแคมเปญ Living A Better Life  ครอบคลุมบ้านทุกแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้ง 10 โครงการคุณภาพ  ประกอบด้วย  โครงการโซนตะวันตก
1. โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ชัยพฤกษ์ บ้านเดี่ยวราคาพิเศษ  7.13 ล้านบาท บ้านแฝด ราคาเริ่มต้น 5.2  ล้านบาท 2.โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้าเพชรเกษม Modern Art Deco Style ทาวน์โฮม ( RENE ) พื้นที่ใช้สอย 120 ตาราเมตร  ขนาด 20 ตารางวา  3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน  บ้านแฝดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 38 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 5.5 ล้านบาท  บ้านเดี่ยว (MERDITH ) พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ครัวไทย  2 ที่จอดรถ  ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้าน  3.โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอร์รี่ นีโอลา รังสิตคลอง 2  บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 84 ตารางวา  ราคาเริ่มต้น 7.89     ล้านบาท และบ้านแฝดสไตล์เหมือนบ้านเดี่ยว ขนาดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 39 ตารางวา ราคาช่วงแนะนำโครงการ 3.89 ล้านบาท 4. บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ นีโอลา วงแหวน–ลำลูกกา คลอง 7  บ้านแฝด ขนาด 42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 133.5 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 4.29     ล้านบาท  

5.โครงการ NC On Green Palm Park 2  ทาวน์โฮม ขนาด 19-30 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท  แบบบ้านทาวน์โฮม ทรงอิสระ  ขนาด 27 -35 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 125 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท  และบ้านแฝด สไตล์บ้านเดี่ยว  ขนาดพื้นที่ 38-42 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาด  3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท  6.โครงการ Nc On Green Charm Classic  ให้ความรู้สึกของความเป็นเจ้าของวิวสนามกอล์ฟขนาดใหญ่   บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น  5.59-19 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด ตั้งแต่ 55-100 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 155-400 ตารางเมตร  7.บ้านฟ้าปิยรมย์นอร์เดิร์น บ้านเดี่ยวนอร์ดิกสไตล์  ราคาเริ่ม 6.39-12  ล้านบาท ตามด้วยโครงการใหม่  8.บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม ลำลูกกา คลอง 7 ให้คุณภาพชีวิตดีๆ พร้อมพื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชั่นลงตัวในราคาที่เอื้อมถึง ทาวน์โฮม ราคาเพียง 1.83 ล้านบาท พิเศษสุดโซนตะวันออก เมืองพัทยา 9. โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ลอฟท์ บ้านแฝด สไตล์บ้านเดี่ยว ดีไซน์ลอฟท์ ฟังก์ชั่นลงตัว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก บนนถนนชัยพรวิถี-พัทยาเหนือ ราคาสุดพิเศษ เริ่ม 3.99 ล้าน และโครงการใหม่ล่าสุดโซนบางนา  10.โครงการบ้านฟ้าทาวน์นี่ ศรีนครินทร์ เทพารักษ์ ไพเวททาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น  2.49 ล้านบาท 

นายสมนึก กล่าวปิดท้าย  เอ็น.ซี. ขอมอบทางเลือกการเป็นเจ้าของบ้าน ทั้ง 10 โครงการด้วยสิทธิพิเศษที่ได้ร่วมผนึก กับ เมืองไทยประกันชีวิต และถือเป็นแคมเปญใหญ่ ไตรมาส 3 ของปีนี้  เพื่อสนับสนุนมอบโอกาส สำหรับผู้ที่อยากมีบ้าน เพื่อเริ่มต้นสร้างครอบครัว อย่างมีความสุข 

หมายเหตุ

        *     บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยปีแรก และผู้ซื้อบ้านเป็นผู้ชำระเบี้ย  ประกันภัยปีต่ออายุ

  1. สำหรับความคุ้มครองโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ และโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน และความคุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเท่านั้น
  2. เป็นสถานให้บริการผู้มีภาวะพึ่งพิงหรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุคู่สัญญาที่ได้รับมาตรฐาน ผ่านการจดทะเบียนรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข โดยตรวจสอบรายชื่อได้ที่ www.muangthai.co.th 
  • โครงการสมาร์ท ซิลเวอร์ พลัส เป็นชื่อทางการตลาดของ สัญญาเพิ่มเติมสมาร์ท แคร์ พลัส 
  • ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
  • การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต
  • เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ผลประโยชน์ เงื่อนไข และความคุ้มครองโดยละเอียด เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • เงื่อนไขสิทธิพิเศษเป็นไปตามที่ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กำหนด ฃง​ๆ

AIS​ – ARV​ ยกระดับวงการ​โดรน​สู่​ AI Autonomous Drone System บนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ครั้งแรกในไทย​

0

จากการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง AIS 5G และ กลุ่ม ปตท. ตั้งแต่ปี 2561 ในการนำ 5G และ​ แพลตฟอร์มมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ พัฒนาโดยกลุ่ม ปตท.​และเป็นฐานที่ตั้งสำคัญของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัท ARV ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ของไทย ภายใต้ ปตท.สผ. เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม วันนี้ได้ยกระดับการทำงานของโดรนไปอีกขั้นสู่ 5G AI Autonomous Drone System (Horrus) ครั้งแรกของไทยที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทย ซึ่งนำเทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มีความฉลาดและอัจฉริยะเข้ามาเสริมขีดความสามารถการทำงาน

และเป็นครั้งแรกของโดรนที่ทำงานจริงบนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ผ่านเทคโนโลยี Autonomous Network มาใช้ในการบริหารจัดการระบบ Network ได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้บริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชม. ในพื้นที่เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City พร้อมทั้ง Regulatory & Innovation Sandbox หรือ พื้นที่ผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับการพัฒนานวัตกรรม ทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านอากาศยานไร้คนขับ ด้านยานยนต์อัตโนมัติ ด้านนวัตกรรมพลังงาน และด้านคลื่นความถี่พิเศษ ซึ่งเป็นจุดแข็งของพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ทำให้พื้นที่นี้มีความพร้อมและเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการพัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคต นับเป็นการพลิกโฉมการทำงานของโดรนที่จะเข้ามามีบทบาทต่อภาคอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงหรือมีข้อจำกัด

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการทำงานของ AIS ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ผ่านแนวคิด Ecosystem Economy ด้วยการสร้างการเติบโตแบบร่วมกัน ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของภาคอุตสาหกรรมและองค์กรภาคธุรกิจของประเทศ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ กลุ่ม ปตท. ในฐานะ Strategic Partner ที่ร่วมทำงานกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่สำหรับภาคอุตสาหกรรมในหลากหลายพื้นที่รวมถึงการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม ในพื้นที่โครงการวังจันทร์วัลเลย์และ EECi ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาและทดสอบโซลูชัน โดยมุ่งเน้นการขยายผลเพื่อการใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทีมวิศวกรของ AIS ได้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างสมบูรณ์ อาทิ การออกแบบ Network Architecture หรือ สถาปัตยกรรมโครงข่าย 5G SA (Standalone) บนคลื่น 2600 MHz โดยใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีAutonomous Network ซึ่งมีความอัจฉริยะในการจัดการระบบได้ด้วยตัวเอง, การใช้ Network Slicing เพื่อตอบสนองแอปพลิเคชันที่ต้องการคุณสมบัติทางเครือข่ายที่แตกต่างกัน รวมถึงบริการ MEC (Multi-access EDGE Computing) และ PARAGON Platform เพื่อรองรับการบริหารจัดการ และพัฒนาโซลูชันที่ต้องการความหน่วงต่ำด้วย ถือเป็น 5G Testbed พื้นที่สำหรับทดสอบทดลองที่เปิดกว้างให้องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยในการพัฒนาโซลูชันเพื่อการใช้งานจริง

ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมงานทุกฝ่ายที่ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของคนไทยในการพัฒนาแพลตฟอร์มอัตโนมัติสำหรับโดรน ด้วยการผสานเทคโนโลยี AI และขีดความสามารถของ 5G เป็นครั้งแรก เพื่อรองรับและตอบโจทย์การทำงานของ AI Autonomous Drone System(Horrus) ที่พัฒนาโดยบริษัท ARV ในด้านต่างๆ ที่ต้องครอบคลุมเส้นทางการบินให้มีความเสถียรและปลอดภัย สามารถทำงานได้อย่างอัจฉริยะในการตรวจสอบ รับและส่งต่อข้อมูลทั้งภาพ เสียง และวีดีโอ กลับมายังศูนย์ควบคุมได้แบบรวดเร็วและ Real time นับเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการนำขุมพลังของ 5G เข้ามาสร้างโอกาสใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรม และนำไปสู่การสร้างจุดแข็งให้กับประเทศต่อไป”

ด้าน ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) ในเครือ ปตท. สผ. กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ของไทย เรามุ่งสร้างความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนความเป็นอยู่ของผู้คนในทุกระดับ โดย 5G AI Autonomous Drone System (Horrus) เป็นอีกหนึ่งใน Use Case ที่ประสบความสำเร็จ สามารถใช้งานได้จริงแล้วในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ที่มีความพร้อมด้านพื้นที่เพื่อการทดสอบทดลอง จากการผ่อนปรนกฎระเบียบพิเศษ สำหรับทดลองทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม หรือ UAV Regulatory Sandbox และความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่นำมาใช้พัฒนา Solution นี้  ถือเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาโดรนอัจฉริยะฝีมือคนไทยที่มีระบบ AI เข้ามาเป็นหัวใจหลักในการทำงานด้วยเครือข่ายไร้สายอัจฉริยะ”

5G และ Network Slicing ช่วยเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล ลดความหน่วงในการสั่งการควบคุมโดรน อีกทั้งยังรองรับการควบคุมระยะไกลที่เสถียรมากกว่าสัญญาณวิทยุและ Wifi  การทำงานร่วมกับ AIS ในครั้งนี้เป็นการยกระดับศักยภาพการทำงานของโดรนให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามเวลาและเส้นทางการบินที่กำหนด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติและส่งแจ้งเตือนกลับมาที่ศูนย์ควบคุมได้แบบ Real time ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการบริหารจัดการความปลอดภัย และยังลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงหรือมีข้อจำกัด อาทิ การใช้โดรนตรวจสอบการทำงานในพื้นที่โรงงาน หรือในพื้นที่สำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติ และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ในธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ดังนั้นการทำงานร่วมกันในครั้งนี้จึงเป็นการเชื่อมโยงกับภารกิจหลักของบริษัท ARV และที่สำคัญยังสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องการสร้าง New
S-Curve ด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลเทคโนโลยี

AIS และ ARV พร้อมร่วมผลักดันการพัฒนานวัตกรรมให้กับองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรม เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน  ผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลโครงการวังจันทร์วัลเลย์ได้ที่ www.wangchanvalley.com หรือ ข้อมูลการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นบน 5G ได้ที่  https://business.ais.co.th/5g/

กุมารแพทย์ ย้ำไก่ไม่ได้ทำให้เด็กเป็นสาวก่อนวัย

0

กุมารแพทย์โรคระบบต่อมไร้ท่อ ย้ำไก่ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กโตไวหรือเป็นสาวก่อนวัย เด็กสามารถกินไก่ได้ตามปกติ แต่ให้เลี่ยงวิธีการทอดเพราะมีไขมันสูง และให้กินอาหารที่หลากหลาย ไม่กินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ

ผศ.พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ (โรคระบบต่อมไร้ท่อ) ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า มีผู้ปกครองหลายท่านที่ยังกังวลว่า การกินไก่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กโตไวหรือเป็นสาวก่อนวัย เรื่องนี้ “ไม่เป็นความจริง” การที่เด็กโตไวหรือเป็นสาวก่อนวัย เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากเรื่องของพันธุกรรมหรือยีนที่เกิดความผิดปกติ และหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กเป็นสาวก่อนวัยเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน พบว่าเกิดจากภาวะอ้วนในเด็ก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญแต่สามารถป้องกันและแก้ไขได้

ผศ.พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์

“จากงานวิจัยล่าสุดในเด็กไทยกว่า 8 พันคน พบว่า “ไก่” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาวะเป็นสาวก่อนวัย เด็กสามารถกินไก่ได้ แต่ให้เลี่ยงวิธีการทอดเพราะมีไขมันสูง และกินอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ไม่กินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ” ผศ.พญ.กัลย์สุดา กล่าว

นอกจากนี้ ข้อมูลที่ผู้ปกครองต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกคือ ปัจจุบันเด็กเป็นประจำเดือนเร็วขึ้น อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11 ปี และเริ่มมีเต้านมที่อายุประมาณ 8 ปีปลายๆ จนถึง 9 ปีต้นๆ ซึ่งเป็นอายุปกติในปัจจุบัน จากภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยของเด็กที่ดีขึ้นกว่าในอดีต เด็กจึงมีแนวโน้มเป็นสาวเร็วขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นสาวก่อนวัย ขณะที่ในอดีตเด็กผู้หญิงจะโตเป็นสาวและเริ่มมีประจำเดือนที่อายุประมาณ 12-13 ปี

ผศ.พญ.กัลย์สุดา กล่าวย้ำว่า “ภาวะโรคอ้วนในเด็กที่เป็นปัจจัยทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตรวดเร็วเกินวัย เกิดจากการกินเยอะ ทั้งแป้ง และไขมัน ทำให้เด็กได้รับปริมาณแคลอรี่ที่มากเกินไป แต่เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ โดยฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ดูแลน้ำหนักตัวบุตรหลานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ตามใจปาก และอย่าคิดว่าให้เด็กกินเยอะๆ เดี๋ยวเด็กโตขึ้นจะผอมลงเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดและจะทำร้ายสุขภาพเด็กโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งเรื่องโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันโลหิตสูง และโรค NCDs (non-communicable diseases) กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แบบที่ผู้ใหญ่เป็นจะตามมาในอนาคต”

รับชมคลิป :
https://youtu.be/9KIH7b0L2do

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และกรมกิจการผู้สูงอายุ พาคณะผู้สูงอายุบ้านบางแค และ บ้านปทุมธานี เหมารอบดูละครเวที พิษสวาท

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม พร้อมด้วยนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ และนางสาวชวนชม จันทะวงษ์ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำคณะผู้สูงอายุจากศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดปทุมธานี ที่ผ่านการลอกต้อกระจกในโครงการแสงแก้ว ร่วมกิจกรรมเหมารอบชมละครเวที “พิษสวาท”

โดยกิจกรรมดังกล่าวฯ ถือเป็นการต่อยอดโครงการคืนโลกสดใสให้ผู้สูงอายุที่ผ่านการลอกต้อกระจกในโครงการแสงแก้วให้กลับมาพบความสุขจากการมองเห็นที่ชัดเจนอีกครั้ง อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย และสนับสนุนการใส่ใจ ดูแลผู้สูงอายุ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับให้ผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ศูนย์การค้าเอสพละนาด รัชดาภิเษก

“ซีพีเอฟ – พม. – UNDP” ร่วมเวที CPF Spreading Pride 2023 มุ่งสู่องค์กรแห่งความหลากหลายและสร้างสรรค์พลังบวกคืนสู่สังคม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมให้พนักงานยอมรับความหลากหลายความแตกต่าง และความเท่าเทียมในองค์กร (Diversity, Equity และ Inclusion: DEI) พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพสร้างสรรค์พลังบวกแก่องค์กรและสังคม ล่าสุด บริษัทได้จัดงานเสวนา “CPF Spreading Pride 2023” ภายใต้แนวคิด Put Our Heat Into Diversity พร้อมเชิญตัวแทนจากภาครัฐ และองค์กรชั้นระดับโลก จาก กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ United Nations Development Programme (UNDP) มาแบ่งปันองค์ความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานทุกระดับได้นำไปปฏิบัติใช้จริงในการทำงานและการดำเนินชีวิต

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหาร ทรัพยากรบุคคล เครือซีพี-ซีพีเอฟ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เครือซีพี-ซีพีเอฟ ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียมของพนักงานในองค์กรครอบคลุมทุกมิติ อาทิ เพศ สัญชาติ ศาสนา และความทุพพลภาพ เช่น การจัดตั้งชมรม LGBTQ+ การจัดจ้างคนพิการทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 728 ราย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งการทำงานในฟาร์มและโรงงานของบริษัทฯ โครงการไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน สพฐ. และ ตชด. โครงการนักกีฬา Wheel Chair และสนับสนุนอาหารให้ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยในการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์อีกด้วย

นโยบายด้าน DEI ของซีพีเอฟ ครอบคลุมกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีประมาณ 10,000 ราย ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ เช่น หอพัก รถรับ-ส่ง ค่ารักษาพยาบาล ภาษา/ล่าม ผลตอบแทนเท่าเทียมกับคนไทย รวมทั้งโอกาสในการก้าวหน้า พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของพนักงานได้โดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่งผลทำให้แรงงานต่างด้าวกลับมาทำงานกับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง

ความมุ่งมั่นการดำเนินงานด้านการสนับสนุนความเท่าเทียมในองค์กรของบริษัทฯ ส่งผลให้ซีพีเอฟได้รับการยกย่องในระดับสากล อาทิ รางวัล “UN Women 2022 Thailand WEPs Awards” ในสาขาสถานที่ทำงานที่มีการบริหารจัดการด้านความเสมอภาคทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม จากองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women)

“ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ได้แก่ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม และองค์กร การสร้างแรงบันดาลใจ ความรู้ ความเข้าใจ กับพนักงานทุกระดับเรื่องการยอมรับความแตกต่าง จะทำให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ การรับฟังมุมมองจากผู้ที่มีความแตกต่างจากเรา จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ นวัตกรรมที่หลากหลาย ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นางสาวพิมลรัตน์ กล่าว

ซีพีเอฟ โดย ชมรม LGBTQ+ จัดเวทีเสวนา CPF Spreading Pride 2023 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งขับเคลื่อนการยอมรับความหลากหลายและแตกต่าง และส่งเสริมความเท่าเทียม (Diversity, Equity, Inclusion) ส่งเสริมการนำศักยภาพสร้างสรรค์พลังบวกคืนสู่สังคม โดยมี นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหาร ทรัพยากรบุคคล เครือซีพี-ซีพีเอฟ พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำ ได้แก่ นางสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ก.พม.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และตัวแทนจาก United Nations Development Programme (UNDP) ร่วมแบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดีในการอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน แก่สมาชิกชมรมฯ และประชาชนที่สนใจ ณ ทรูสเฟียร์ สาขาไอคอนสยาม พร้อมทั้งถ่ายทดสดผ่านระบบออนไลน์ด้วย

ออมสิน ตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านด้วย “สินเชื่อเคหะ”

0

การมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง นับเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนไม่น้อย ซึ่งการจะเป็นจริงได้นั้น ต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และระยะเวลา เพราะบ้าน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในชีวิต การตัดสินใจซื้อ หรือปลูกสร้างบ้าน ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่และสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้ง การดูแลรักษา ซ่อมแซม และต่อเติมบ้านที่อยู่อาศัย ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงของเจ้าของบ้าน ทำให้ ต้องมีการวางแผนบริหารจัดการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับการสถานะทางการเงิน จนเกิดเป็นปัญหาทางด้านการเงินตามมา

นับเป็นโอกาสดีของ เจ้าของบ้าน และคนรักบ้าน ที่ปัจจุบันนี้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่เข้ามาเป็นทางเลือก ช่วยทำให้ความต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง ตลอดจนการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

เช่นเดียวกับ “สินเชื่อเคหะ” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเข้าใจคนรักบ้าน และตระหนักดีถึงภาระทางการเงินจากบ้าน จึงออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบครบทุกความต้องการเรื่องบ้าน โดยเป็นสินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งซื้อ / ปลูกสร้าง / ต่อเติมซ่อมแซม ด้วยเงื่อนไขพิเศษให้ผ่อนต่ำ ล้านละ 3,555 บาท/เดือน ระยะเวลานาน 6 เดือนแรก พร้อมอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.140% (MRR-3.855%)

สำหรับผู้กู้ต้องมีคุณสมบัติ คือ มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ประกอบอาชีพและมีรายได้แน่นอน กรณีกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดังนี้ คือ หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้ แต่หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากข้างต้นแล้ว ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

สามารถติดต่อยื่นกู้สินเชื่อเคหะได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43Pd008 ติดต่อสอบถาม และสมัครขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือทาง www.gsb.or.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society