Home Blog Page 136

ซีพีเอฟ ผนึกพลังจิตอาสา เก็บขยะชายหาด 7 จุด 7 จังหวัด ดูแลท้องทะเล เนื่องในวันเก็บขยะชายหาดสากล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รวมพลังจิตอาสาพนักงานและชุมชนกว่า 2 พันคนเก็บขยะชายหาด 7 จุด ใน 7 จังหวัด เนื่องในสัปดาห์วันเก็บขยะชายหาดสากล (International Coastal Cleanup Day) ระหว่างวันที่ 6-15 กันยายน 2566 สามารถเก็บและคัดแยกขยะได้กว่า 5,861 กิโลกรัม เพื่อร่วมปกป้องระบบนิเวศ คืนสภาพทะเลสู่ความอุดมสมบูรณ์

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การดูแลสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของห่วงโซ่อาหารที่สำคัญของโลก เป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ในการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) จากที่ซีพีเอฟได้ขับเคลื่อนเป้าหมายความมุ่งมั่นปกป้องทะเลและมหาสมุทรโลก CPF Restore the Ocean ในปีที่ผ่านมา โดยสร้างการมีส่วนร่วมชุมชน ผนึกกำลังเครือข่ายภาคประสังคม พนักงานจิตอาสา เก็บและคัดแยกขยะชายหาดใกล้พื้นที่สถานประกอบการแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน ผลลัพธ์เชิงบวกจากกิจกรรมปีที่ผ่านมา พบว่าหลายพื้นที่มีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนที่ต่อเนื่อง ชายหาดสะอาดขึ้น เกิดความตระหนักด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่พนักงานและชุมชนเก็บคัดแยกขยะทะเลและบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี มีการนำขยะทะเลบางชนิดไปสู่การพัฒนาต่อยอดเป็น ผลิตภัณฑ์ Upcycle เช่น โฟม แห อวนพลาสติกไปผลิตอิฐมวลเบา ฝาขวดน้ำพลาสติกไปผลิตเป็นกระถางต้นไม้และภาชนะต่างๆ พร้อมทั้งสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านขยะทะเลในชุมชนที่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นที่ 7 พื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งใกล้สถานประกอบการของซีพีเอฟ ได้แก่ หาดหน้าทับ จ.ชุมพร หาดแพรกเมือง จ.นครศรีธรรมราช หาดม่วงงาม จ.สงขลา หาดเรือรบปากน้ำประแส จ.ระยอง หาดบางสัก จ.พังงา หาดหอยขาว จ.ตราด และศูนย์วิจัยและพัฒนาป่าชายเลนที่ 2 จ.สมุทรสาคร โดยจิตอาสาซีพีเอฟและพันธมิตร สามารถเก็บและคัดแยกขยะได้ทั้งหมดกว่า 5,861 กิโลกรัม จากผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 2,095 คน ส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก ขวดแก้ว โฟม อุปกรณ์ประมง และเศษวัสดุอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมและบันทึกอย่างเป็นระบบตามหลักการของ Ocean Conservancy องค์กรประชาสังคมที่เน้นสร้างเครือข่ายจัดการขยะชายฝั่งในระดับสากล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลที่ยั่งยืนต่อไป

นางกอบบุญ กล่าวทิ้งท้ายว่า “กิจกรรมนี้ช่วยปลูกฝังทั้งให้พนักงานและชุมชนได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมดูแลปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ซึ่งเป็นต้นทางความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้แนวทางการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลอย่างเป็นระบบ จากซีพีเอฟ สอดรับกับเป้าหมายของซีพีเอฟในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป”

AIS 5G เปิดให้ลูกค้าจอง iPhone 15 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 17 กันยายน 2566

0

AIS 5G เปิดให้ลูกค้าจอง iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 17 กันยายน 2566 ที่ https://m.ais.co.th/BBHdELbU8 มากไปกว่านั้น AIS ยังมีไฮไลท์ที่น่าสนใจให้กับลูกค้าที่พรีออเดอร์ iPhone 15 ทุกรุ่นกับ AIS พามาส่องความพิเศษแบบจุกๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับทุกคนกัน

  • เริ่มจาก โปรแกรม Guarantee Buy Back สำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone 15 ทุกรุ่นกับ AIS ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นปี พร้อมสมัครหรือใช้แพ็กเกจรายเดือน 699 บาท ขึ้นไป โดย AIS จะรับซื้อเครื่องคืนในปีถัดไปที่ราคาสูงสุดถึง 33,450 บาท ให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยน iPhone รุ่นใหม่ได้อย่างสบายใจ
  • นำเครื่อง iPhone เก่ามาแลกซื้อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อ iPhone ใหม่ AIS ให้มูลค่าสูงสุดถึง 35,000 บาท
  • ลูกค้าที่จอง iPhone 15 ทุกรุ่น รับสิทธิ์แพ็กเกจ AIS Care+ ฟรี 1 เดือนแรก เมื่อสมัครบริการ AIS Care+ บริการดูแลปกป้อง iPhone ทั้งเปลี่ยน ซ่อม และรับเครื่องทดแทน พร้อมให้บริการรับส่งเครื่องถึงหน้าบ้าน มีแพ็กเกจให้เลือกทั้งแบบรายเดือนและรายปี
  • ซื้อ iPhone 15 ทุกรุ่น กับ AIS รับสิทธิ์ชม Disney+ Hotstar นาน 1 ปี ฟรี (มูลค่า 2,290 บาท)(ไม่มีค่าใช้จ่าย)
  • ทั้งรับและแลกรับ AIS Points แบบจุกๆ จากการซื้อ iPhone
  • ลูกค้าที่ซื้อ iPhone 15 ทุกรุ่น กับ AIS ทุก 200 บาท รับพอยท์ 1 คะแนน / สำหรับลูกค้า AIS Serenade Gold ที่ซื้อมือถือในเดือนเกิด ทุก 150 บาท รับพอยท์ 1 คะแนน/ ส่วนลูกค้า AIS Serenade Platinum ที่ซื้อมือถือในเดือนเกิดทุก 100 บาท รับพอยท์ 1 คะแนน
  • ลูกค้าเอไอเอสที่ซื้อ iPhone 15 ทุกรุ่น กับ AIS ใช้พอยท์ 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลดค่าเครื่อง 500 บาท / สำหรับลูกค้า AIS Serenade ใช้พอยท์ 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลดค่าเครื่อง 1,000 บาท (เฉพาะลูกค้า Pre-Booking)
  • ผ่อน 0% นาน 36 เดือนกับบัตรเครดิตธนาคาร UOB, CITI BANK, Card X, SCB, KBANK, Krungsri และ First Choice พร้อมรับเครดิตเงินคืน เริ่มตั้งแต่ 15 กันยายน 2566 – 31 ตุลาคม 2566 (เงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนด)

“ไข่ไก่” ต้นทุนปริ่มราคาขาย เกษตรกรปาดเหงื่อ

0


บทความ โดย ศิระ มุ่งมะโน นักวิชาการอิสระ

“ดราม่า” ไข่ไก่แพง สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัยจนกลายเป็นหนึ่งในดัชนีการเมืองวัดความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้นๆ จึงไม่แปลกใจถ้าได้ยินเสียงบ่นอื้ออึงสร้างกระแสเป็นช่วงๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลชุดใหม่ที่โดนรับน้องตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบายต่อสภา “ไข่…เศรษฐา แพงทะลุ 5 บาท” โดยกล่าวว่าราคาขายปลีกไข่ไก่อยู่ที่ฟองละ 5.10 บาท หากเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงหรือผู้ค้าไข่ไก่ จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของการค้าตามกลไกตลาด เพราะต้องบวกค่าใช้จ่ายจากฟาร์มไปจนถึงจุดจำหน่าย ซึ่งต้องผ่านตัวกลางหลายทอดและขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมของแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ

ก่อนอื่น ต้องยอมรับความจริงว่า “ไข่ไก่” เป็นอาหารมหาชนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดและราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับโปรตีนชนิดอื่น ไข่ไก่จึงเป็นอาหารที่คนทุกเพศ ทุกวัย นิยมบริโภคเพราะหาซื้อง่ายที่สุด ทำอาหารได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะ ไข่ต้ม ไข่ทอด ไข่ลวก เมื่อมีการปรับราคาไข่คละหน้าฟาร์มแม้เพียง 10 สตางค์ ก็จะมีเสียงบ่นตามมา “ขึ้นอีกแล้ว…จะแพงไปถึงไหน” เพราะเราเอาราคาวันนี้ไปเทียบกับราคาในอดีต หรือแม้แต่ในช่วง 2-3 ปีผ่านมาก็ตาม ในวันเวลาดังกล่าวราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ พลังงาน และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ไม่ได้ดีดตัวแรงเป็นประวัติการณ์เหมือนในช่วงปีที่ผ่านมา

วันนี้ ผู้เลี้ยงไข่ไก่แบกต้นทุนการผลิตสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 4 บาทต่อฟอง เกือบเท่ากับราคาไข่คละหน้าฟาร์มที่ฟองละ 4 บาท และไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นราคาที่ผู้แทนจาก 4 สมาคมไก่ไข่ 4 สหกรณ์ไก่ไข่ พร้อมใจกันยืนหยัดราคานี้ไว้ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของผู้บริโภคในช่วงเศรษฐกิจขาลง “ผู้บริโภคอยู่ได้ ผู้เลี้ยงฯอยู่ได้”

คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ในฐานะผู้กำกับดูแลโครงสร้างต้นทุนการผลิตไข่ไก่ และรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ รายงานว่าต้นทุนการผลิตเดือนกันยายน 2566 เพิ่มขึ้น 13% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยอาหารสัตว์คิดเป็นต้นทุน 74% ของต้นทุนทั้งหมด

ย้อนไป สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ปี 2554 ราคาขายปลีกไข่ไก่ฟองละ 4-4.10 บาท จนถึงสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เฉลี่ยราคาไข่คละหน้าฟาร์มอยู่ที่ฟองละ 3.20-4 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่อเนื่องถึงรัฐบาล “เศรษฐา 1” โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ 5- 5.10 บาทต่อฟอง (เบอร์ 0) ขณะที่ไข่เบอร์ 3 ราคาเฉลี่ยฟองละ 4.70-4.80 บาท เห็นได้ว่าราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังมีความเสี่ยงกับปัจจัยแวดล้อมหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ราคาพลังงานและการป้องกันโรคระบาด เป็นต้น

วัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญเป็นสัดส่วน 60% ของต้นทุนการผลิต ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาธัญพืชและวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้นมากกว่า 30% ในปี 2565 โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในสูตรอาหารสัตว์ ปรับราคาสูงเป็นประวัติการณ์ จาก 9-10 บาท เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าปัจจุบันจะปรับลดลงบ้างแต่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ต้นทุนการผลิตยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง

ไข่ไก่ เป็นอาหารประชานิยม หากพิจารณาจากต้นทุนและราคาที่เกษตรกรขายได้แล้ว นับว่าเป็นราคาที่ “ปริ่มๆ” มีกำไรเพียงเล็กน้อยเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยง ไม่ใช่เฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ พลังงาน ป้จจัยการผลิตอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม อากาศ ภัยพิบัติ โรคระบาด ที่เหนือการควบคุม ที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ทั้งฟาร์มในครั้งเดียว ซึ่งต่างกับสินค้าอุตสาหกรรมที่สามารถควบคุมขบวนการผลิตได้ดีกว่า จึงอยากให้ผู้บริโภคเข้าใจภาระและความลำบากของผู้เลี้ยงไก่ไข่ก่อนตัดสินใจว่า “ไข่ไก่แพง”

เตือนกินหมูดิบ เสี่ยงติดเชื้อไข้หูดับ แนะกินหมูปรุงสุกเพื่อความปลอดภัย

0

แพทย์เฉพาะทาง เตือนผู้บริโภคกินหมูดิบ เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับ ย้ำปรุงสุกเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย แนะสายชาบู-ปิ้งย่าง สำคัญต้องแยกตะเกียบคีบหมูสุกและหมูดิบ พร้อมไขความจริงแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรคในอาหาร

นายแพทย์ต้นกล้า พลางกูร แพทย์เฉพาะทางสาขาวิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า “ไข้หูดับ” เป็นโรคติดต่อจากหมูสู่คน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis: S. suis) ที่พบเฉพาะในหมูโดยไม่พบในสัตว์ชนิดอื่นๆ และไม่มีรายงานพบการติดเชื้อจากคนสู่คน

นายแพทย์ต้นกล้า พลางกูร

สาเหตุที่พบโรคนี้บ่อยที่สุด คือการกินหมูดิบที่ปนเปื้อนเชื้อ ทำให้ร่างกายได้รับเชื้อและเกิดการติดเชื้อ แต่หากนำเนื้อหมูไปปรุงสุกจะทำให้เชื้อตาย และสามารถกินได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นการไม่กินหมูดิบจึงเป็นการป้องกันการติดโรคได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีตัวเลขยืนยันแน่นอนถึงปริมาณที่กินเข้าไปว่าจำนวนเท่าไหร่จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าปริมาณเชื้อในเนื้อหมูปริมาณเท่าใด และยังมีอีกหลายปัจจัย อาทิ ภูมิคุ้มกันของผู้บริโภคแต่ละคน หากภูมิคุ้มกันไม่ดีแม้ได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถฟักตัวในร่างกายและเพิ่มปริมาณขึ้นมาได้

ส่วนอาการ “หูดับ” มาจากที่พบการติดเชื้อของแบคทีเรียชนิดนี้ได้บ่อยในบริเวณเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหูชั้นใน เมื่อเชื้อแพร่กระจายไปบริเวณหูชั้นในแล้วจะเกิดการอักเสบและทำให้การได้ยินลดลงได้ถึง 75% เกิดภาวะหูดับถึงเกณฑ์หูหนวก ซึ่งการรับเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-4 วัน จึงเริ่มมีอาการ ไข้สูง ซึมลง ปวดศรีษะ คอแข็ง ชักเกร็ง หมดสติ และหากติดเชื้อในกระแสเลือดสามารถทำให้เสียชีวิตได้

สำหรับวิธีการรักษา ทางการแพทย์จะให้ยาฆ่าเซื้อจำเพาะในตำแหน่งของการติดเชื้อ เมื่อผู้ป่วยหายแล้วแต่หากกลับไปกินหมูดิบหรือไปสัมผัสตัวเชื้อจนได้รับเชื้อก็สามารถกลับมาติดโรคนี้ได้อีก

ประเทศที่พบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หูดับได้บ่อย อาทิ ไทย เวียดนาม และจีน พบว่าการเกิดโรคสัมพันธ์กับพฤติกรรมการกินหมูดิบ โดยประเทศไทยพบมากที่ภาคเหนือ ซึ่งมีวัฒนธรรมชื่นชอบการกินหมูดิบ ทั้งยังมีความเชื่อในกลุ่มสายนักดื่มที่ว่าแอลกอฮอลล์ในเครื่องดื่มจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่อันตรายมาก การดื่มแอลกอฮอล์คู่กับอาหารปรุงไม่สุก อาจจะทวีคูณความรุนแรงของโรคได้ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเป็นประจำจนถึงขั้นเป็นตับแข็งภูมิคุ้มกันจะไม่ดี การที่รับเชื้อเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้การติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทั้งนี้วิธีรับประทานเนื้อหมูอย่างปลอดภัย คือทำให้หมูสุก ไม่ว่าจะจากการต้ม ตุ๋น ผัด แกง หรือปิ้งย่าง โดยสังเกตสีของเนื้อหมู ถ้าสียังเป็นสีแดงหรือมีเลือดฉ่ำอยู่ อาจจะยังมีเชื้อโรคที่ยังไม่ตาย จึงควรทำให้สุกจนสีเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีหมูสุก และที่ต้องระวังอย่างมาก คือ การปนเปื้อนข้าม โดยเฉพาะเวลากินชาบูหรือปิ้งย่าง ตะเกียบที่ใช้แนะนำว่าควรแยกตะเกียบในการคีบระหว่างหมูดิบและหมูที่สุกแล้ว

ด้านการป้องกันโรคที่ดี ต้องเริ่มจากการเข้าใจถึงสาเหตุของโรค วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เพราะนอกจากการรับประทาน แล้ว เชื้อโรคในหมูสามารถเข้ามาสู่คนได้หลายวิธี โดยเชื้อจะอยู่ในตัวของหมูทั้งที่ยังมีชีวิตและชำแหละแล้ว ตามเยื่อบุต่างๆ เยื่อจมูก ทางเดินหายใจ ลำไส้ และสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำลาย รวมถึงในเลือดของหมู หากมือสัมผัสโดนสารคัดหลั่งแล้วมีช่องทางให้เชื้อโรคเข้าได้ เช่น มีบาดแผล หรือสัมผัสกับดวงตาก็สามารถติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้น อาชีพที่ต้องมีการสัมผัสหมู ทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยง โรงชำแหละ ผู้จำหน่าย รวมถึงผู้ประกอบอาหาร แนะนำให้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นถุงมือ หรือหน้ากาก และหลังทำงานเสร็จทุกครั้งต้องล้างมือให้สะอาด

นายแพทย์ต้นกล้า ย้ำถึงผู้บริโภคว่าโรคไข้หูดับ เป็นโรคที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่เป็นโรคที่ป้องกันได้ เพียงผู้บริโภคตระหนักถึงอันตรายของโรค สาเหตุการเกิดโรค และการป้องกันโรค สำหรับผู้บริโภคที่ชื่นชอบการกินหมูดิบ หากทราบถึงอันตรายและโทษ ก็อาจจะช่วยให้เขาสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ ส่วนอาชีพที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสหมู ควรได้รับข้อมูลเพียงพอถึงวิธีการและให้ความสำคัญกับการป้องกันมากขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดโรคได้มากขึ้น

AIS จับมือ คณะพาณิชย์ฯ จุฬาฯ พัฒนาหลักสูตรพิเศษจากประสบการณ์ของบุคลากรมืออาชีพ สร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่

0

AIS จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn Business School) ร่วมกันจัดทำหลักสูตร “Strategic Leadership in the Future Digital by CBS x AIS” ถ่ายทอดประสบการณ์จากการทำงานของบุคลากรมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญเชิงกลยุทธ์การบริหาร การตลาด เทคโนโลยีและนวัตกรรมส่งต่อองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ สร้างภาวะความเป็นผู้นำให้นิสิต มีความพร้อมต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “เอไอเอส ได้เดินหน้าผลักดันองค์ความรู้ให้คนไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสให้คนไทยเข้าถึงหลักสูตรการเรียนรู้ที่ทันสมัยผ่านแพลตฟอร์ม AIS Academy เสริมขีดความสามารถและการพัฒนาตนเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกและเทคโนโลยี  ผ่านการใช้ศักยภาพความแข็งแกร่งของ AIS ในด้านโครงข่ายและดิจิทัลเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อเป็นการต่อยอด “ภารกิจ คิดเผื่อ เพื่อคนไทย” ที่จะยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถของคนไทยให้มีทักษะความรู้ ความเข้าใจและเท่าทันต่อดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้นอกจากจะก้าวสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญและชี้นำทิศทางของโลกดิจิทัลได้แล้ว ยังทำให้บุคลากรของเอไอเอสเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการขับเคลื่อนประเทศจากทุนมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน

วันนี้ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง AIS และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการร่วมจัดทำหลักสูตร “Strategic Leadership in the Future Digital by CBS x AIS” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะในการคิดและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ โดยมีเนื้อหาด้านการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดจากดิจิทัล การตัดสินใจและการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อผลลัพธ์เชิงพาณิชย์  กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล  การส่งเสริมนวัตกรรมการปฏิบัติและการเป็นผู้ประกอบการด้านดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน  พร้อมนำ used case ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆที่เป็นความสำเร็จขององค์กรจากผู้เชี่ยวชาญของเอไอเอสในแต่ละด้าน มาถ่ายทอดให้แก่นิสิตระดับปริญญาตรี และปริญญาโทของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสร้างภาวะความเป็นผู้นำและสามารถเผชิญกับความท้าทายในธุรกิจของโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ”  

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  หรือ Chulalongkorn Business School (CBS) กล่าวว่า “เราเล็งเห็นความสำคัญของเทรนด์การทำธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธุรกิจที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล เราจึงได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันยุคสมัย พร้อมส่งเสริมให้นิสิตได้มีความรู้ ทักษะและมีประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงการได้ลงมือฝึกปฏิบัติจากการทำงานจริง ซึ่งสอดคล้องกับนโนบายของคณะฯ ที่ได้มีการจัดตั้ง Chulalongkorn Business Enterprise ซึ่งเป็นบริษัทจริง เน้นการปฏิบัติงานจริงอยู่ในคณะฯ เพื่อให้นิสิตได้พัฒนาศักยภาพ เพิ่มพูนทักษะต่างๆ และสร้างเสริมประสบการณ์ตลอด 4 ปี

เช่นเดียวกับความร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ เราเห็นถึงศักยภาพของบุคลากรมืออาชีพและมีประสบการณ์ด้านธุรกิจและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งสามารถนำองค์ความรู้มาแลกเปลี่ยนให้กับนิสิตทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท และยังเปิดกว้างให้แก่ศิษย์เก่าและประชาชนที่สนใจอีกด้วย  ในขณะเดียวกันการเป็นสถาบันการศึกษาที่มีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารธุรกิจและมีความถนัดในการสร้างคน ทางคณะฯ ก็ได้จัดผู้ทรงคุณวุฒิเป็นวิทยากรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน Digital Marketing และ Digital Engagement ให้แก่บุคลากรของเอไอเอสด้วยเช่นกัน เพื่อนำความรู้ไปต่อยอดในการทำงาน เพราะความมุ่งหวังของเราคือ การเป็น  Digital Social Enterprise School ที่เป็นสถาบันแห่งการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อสร้างธุรกิจในโลกดิจิทัลที่แข็งแรงควบคู่ไปกับการแบ่งปันให้แก่สังคมในโลกยุคดิจิทัล สมกับแนวคิดของคณะฯ ที่ว่า Real business in the school”

โรงงานของ CPF 29 แห่ง ได้รับรางวัล CSR-DIW Award จากกรอ. รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม

0

กรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม มอบรางวัล CSR-DIW Continuous Award โรงงานอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และรางวัล CSR-DIW Award โรงงานอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี 2566 ให้แก่สถานประกอบการของซีพีเอฟ 29 แห่ง มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ในพิธีมอบรางวัลโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน เพื่อเป้าหมายการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจและสังคม โดยมี คุณจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน และมอบโล่รางวัลให้กับผู้บริหารและตัวแทนจากโรงงานของซีพีเอฟ ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ซึ่งความสำเร็จที่ได้รับถือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมต้นแบบที่จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมไทย และเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน หวังว่าโรงงานที่ได้รับรางวัลจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชน สร้างสังคมที่ดี สร้างทัศนคติ อยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน

สถานประกอบการซีพีเอฟที่ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award ได้นำมาตรฐานสากล ISO 26000 มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมให้มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการกำกับดูแลองค์กร (Organizational Governance) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) การปฏิบัติด้านแรงงาน (Labour Practices) สิ่งแวดล้อม ( Environment) การปฏิบัติดำเนินงานอย่างเป็นธรรม (Fair Operating Practices) ประเด็นด้านผู้บริโภค (Consumer Issues) การมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชน (Community Involvement and Development)

การได้รับรางวัลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงความยั่งยืน ปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลชุมชน ตลอดจนการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคม ดำเนินธุรกิจอยู่ร่วมกับชุมชนโดยรอบได้อย่างยั่งยืน พัฒนาสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว และสอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

สำหรับโรงงานของซีพีเอฟที่ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award และ CSR-DIW Award จำนวน 29 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานผลิตอาหารสัตว์บก 11 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกโคกกรวด โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกปักธงชัย โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกขอนแก่น โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกธารเกษม โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกท่าเรือ โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกศรีราชา โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหาดใหญ่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกราชบุรี โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกพิษณุโลก โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกลำพูน

นอกจากนี้ ยังมี โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ มีนบุรี โรงงานอาหารแปรรูปมีนบุรี 1 โรงงานอาหารแปรรูปมีนบุรี 2 โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ สระบุรี โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นครราชสีมา โรงงานแปรรูปเนื้อไก่-เป็ดบางนา โรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก โรงงานอาหารสำเร็จรูปมหาชัย โรงงานอาหารสำเร็จรูปสระบุรี โรงงานอาหารสำเร็จรูปวังน้อย โรงงานอาหารสำเร็จรูปแปดริ้ว โรงงานอาหารแปรรูปสัตว์น้ำแกลง โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำมหาชัย โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านพรุ โรงงานแปรรูปไข่หนองจอก โรงงานแปรรูปไข่บ้านนา ส่วนรางวัล CSR-DIW Award 1 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์กบินทร์บุรี ซึ่งในจำนวน 29 โรงงานที่ได้รับรางวัล เป็นโรงงานที่เข้าร่วมโครงการฯมาแล้วมากกว่า 10 ปี จำนวน 15 โรงงาน

กว่าจะได้เป็น ‘ไก่อวกาศ’ CPF เปิดโรงงานโชว์กระบวนการผลิตเนื้อไก่ปลอดภัย ส่งมอบผู้บริโภคด้วยมาตรฐานที่นักบินอวกาศยอมรับ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำผู้นำเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิตเนื้อไก่ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน มีความปลอดภัยอาหารสูงสุด ปลอดสารตกค้าง สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยผลิตภัณฑ์ ไก่ซีพี ดีต่อสุขภาพ ดีต่อใจ แบรนด์ไทยหนึ่งเดียวที่ได้การรับรองมาตรฐานเดียวกับนักบินอวกาศรับประทาน วางรากฐาน 5 หลักการเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองผู้อำนวยการด้านมาตรฐานฟาร์มและข้อกำหนดลูกค้า ธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อ ครบวงจร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญเรื่อง คุณภาพ และความปลอดภัยทางอาหารอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้บริโภคทุกคนได้คุณค่ามากที่สุด มีการนำขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ โดยยึดมาตรฐาน 5 ประการ ประกอบด้วย 1.) ไก่สายพันธุ์คัดเลือกพิเศษตั้งแต่ระดับ DNA ต้องแข็งแรงตั้งแต่พ่อแม่พันธุ์ 2.) การพัฒนาสูตรอาหารให้เหมาะสมกับไก่ในแต่ละช่วงวัยเพื่อให้เติบโตได้ดี พร้อมทั้งเสริมภูมิคุ้มกันไก่ด้วยจุลินทรีย์โปรไบโอติก เพื่อทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันจากภายในร่างกาย ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะและสารฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยงดู อีกทั้งเสริมด้วยวิตามิน และเกลือแร่ 23 ชนิด

ส่วนมาตรฐานข้อที่ 3.) ตรวจสอบวิเคราะห์โรคแบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจว่าไก่ปลอดภัยจากเชื้อโรคตลอดเวลาที่เลี้ยงดู 4.) ฟาร์มแลป (Farm Lab) ซึ่งเป็นจุดแข็งของซีพีเอฟ โดยเป็นบริษัทที่มีห้องปฏิบัติการตรวจสอบกระบวนการเผาผลาญอาหารของไก่และกำหนดโภชนาการได้อย่างแม่นยำ 5.) ฟาร์มระบบปิด มีมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับสูง โดยเลี้ยงไก่ในโรงเรือนปิด มีการปรับสภาพสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิ การระบายอากาศที่เหมาะสม ด้วยการดูแลตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพื่อให้มั่นใจว่าไก่อยู่อย่างสบาย สุขภาพแข็งแรง ตามธรรมชาติ ทั้งนี้มาตรฐานทั้ง 5 ประการในการผลิตไก่ เป็นผลจากการรวบรวมมาตรฐานความปลอดภัยอาหารระดับสากล ควบคู่กับแนวคิดในการพัฒนาอาหาร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสูงให้ผู้บริโภค

“กระบวนการแปรรูปเนื้อไก่ของซีพีเอฟ ได้นำระบบ Smart Factory เทคโนโลยีที่ทันสมัยในกระบวนการผลิตอาหาร ประกอบด้วย ระบบอัตโนมัติ AI และ IoT เชื่อมการทำงานแบบอัจฉริยะ และติดตามผลได้แบบ Real Time ช่วยให้เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารมีความปลอดภัยสูง และเพิ่มความมั่นใจด้วยกระบวนการทดสอบในห้องปฏิบัติการ Food Lab ตรวจสอบสารตกค้าง และเชื้อก่อโรค ด้วยความแม่นยำสูงและรวดเร็ว ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เสริมสร้างความมั่นใจว่า อาหาร ปลอดโรค ปลอดภัย ปลอดสารตกค้าง สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังผสมผสานมาตรฐานความปลอดภัยอาหารพื้นฐาน อาทิ GHP HACCP BRC รวมทั้งมาตรฐานสากลระดับโลกด้านคุณภาพความปลอดภัยอาหาร มาเป็นมาตรฐานของซีพีเอฟ (CPF Food Standard) ซึ่งเป็นจุดแข็ง ที่สามารถการันตีผลิตภัณฑ์ไก่ซีพี มีคุณภาพได้มาตรฐานระดับโลก คนไทยได้บริโภคที่มีมาตรฐานเดียวกับนักบินอวกาศ

สำหรับ ผลิตภัณฑ์ไก่ซีพี ยังการันตีด้วยรางวัล ‘KFC Asia Recipe For Good Award 2022’ สะท้อนความเป็นเลิศในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ที่สำคัญซีพีเอฟยังผ่านการประเมินผลการดำเนินงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ตามมาตรฐานของเคเอฟซีได้ครบถ้วน 100% ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่เคเอฟซีกำหนดไว้ปี 2571 ในการมีส่วนร่วมพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน (Responsible Supply Chain) เพื่อส่งมอบคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับผู้บริโภคอย่างยาวนาน

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 15 และ 15 Plus

0

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ที่มาในดีไซน์ใหม่สวยงาม กล้องหลัก 48MP พร้อมเทเลโฟโต้ 2 เท่าอันทรงพลัง บวกกับชิป A16 Bionic และ ขั้วต่อ USB‑C; iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ซึ่งเป็นรุ่น Pro ที่เบาที่สุดของ Apple เท่าที่เคยมีมา ในดีไซน์จากไทเทเนียมที่ทั้งแข็งแกร่งและเบา กล้องอันทรงพลังที่ได้รับการอัปเกรดด้วยระบบกล้องหลัก 48MP ที่ล้ำสมัย ชิป A17 Pro และขั้วต่อ USB‑C; Apple Watch Series 9 และ Apple Watch Ultra 2 ใหม่สุดล้ำพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ได้แก่ คำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง” อันน่าทึ่ง; และ AirPods Pro (รุ่นที่ 2) ที่มาพร้อมชั้วต่อ USB-C

ลูกค้าสามารถสั่งจองกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 15 ล่วงหน้ากับ AIS ได้ตั้งแต่ วันที่ 15 กันยายน 2566 เวลา 19.00 น. โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 22 กันยายน 2566 เวลา 8.00 น. สำหรับ Apple Watch ใหม่ และ AirPods Pro โปรดตรวจสอบวันจำหน่ายอีกครั้ง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.ais.th/consumers/store/recommend/apple/iphone/iphone-15-pro

ไฟเขียว ขยับฐานะ KCC เป็นโฮลดิ้ง ประมูลหนี้ Non bank

0

ผู้ถือหุ้น KCC อนุมัติแผนปรับโครงสร้าง ตั้ง “ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง” เดินหน้าแลกหุ้น 1 หุ้น KCC ต่อ 1 หุ้น โฮลดิ้ง คาดกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นหุ้นโฮลดิ้งกลับเข้าเทรด mai ประมาณไตรมาส 2 ปี 67

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 มีมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างการถือหุ้น และการจัดการของบริษัทฯ (แผนปรับโครงสร้างฯ) และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ โดยจัดตั้ง “บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” (Knight Club Capital Holding Public Company Limited) (บริษัทโฮลดิ้ง)

ทวี กุลเลิศประเสริฐ

ทั้งนี้ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทจะดำเนินการตามเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ของทางการ เช่น เดือนมี.ค. 2567 จะสามารถยื่นแบบคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามแบบ 69/247-1 หลัง ก.ล.ต. อนุมัติคำขอและหลังจากนั้นบริษัทโฮลดิ้งเริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 620 ล้านหุ้น มีราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท คิดเป็น 310 ล้านบาท โดยวิธีแลกหุ้นในอัตรา 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้ง และคาดว่า บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง  จะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2567

นายทวี  กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง คือ 1.เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ ลดข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทฯ เพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว 2.เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ 3.เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต และ 4.เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน

“ การยกฐานะขึ้นเป็นโฮลดิ้งจะทำให้มีความคล่องตัว  สามารถลงทุนซื้อหนี้ที่ไม่ใช่เฉพาะหนี้จากหนี้สถาบันการเงินได้เท่านั้น เช่น เข้าไปซื้อหนี้ที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้หรือหนี้ที่เข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ หนี้การค้าและหนี้หุ้นกู้ต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจขยายฐานได้กว้างมากขึ้น เพราะบริษัทมีความชำนาญในเรื่องของการซื้อหนี้อยู่แล้ว ชึ่งการที่  KCC ดำเนินธุรกิจภายใต้ใบอนุญาต AMC จะซื้อได้เฉพาะหนี้จากสถาบันการเงินเท่านั้น”  นายทวีกล่าว

 นายทวี กล่าวว่า ในส่วนการทำธุรกิจของ KCC ช่วงครึ่งแรกปี 2566 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทมีส่วนของเจ้าของหรือส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,131.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 36.40 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน โดยงวด 6 เดือน และไตรมาส 2 ของปี  2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ  49.53  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ  20.62  ล้านบาทตามลำดับ ขณะเดียวกันบริษัทก็เห็นโอกาสจากการเข้าไปประมูลหนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายที่เริ่มมีเพิ่มมากขึ้นในระบบขณะนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 ร่วมกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน ยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียน

0
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 โดยตลาดหลักทรัพย์อาเซียนทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ร่วมกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติในระดับสากล รวมถึงหารือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้าน ESG ในภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการลงทุนที่ยั่งยืน เมื่อ 8 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเจ้าภาพการประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ระหว่างตลาดหลักทรัพย์อาเซียน 6 แห่ง จาก 6 ประเทศ เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันในด้านต่างๆ อาทิ การขับเคลื่อนความยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อขยายโอกาสการลงทุน พร้อมยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการลงทุนที่ยั่งยืน

“จากการเติบโตของภูมิภาค ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสการลงทุนต่อเนื่อง โดยในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน (cross-border products) รวมถึงการขยายการรับรู้ถึงศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนแก่ผู้ลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ประเด็นด้าน ESG ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนจึงได้จัดทำตัวชี้วัดร่วม เพื่อเป็นแนวทางให้บริษัทจดทะเบียนได้เปิดเผยข้อมูล และให้ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงข้อมูล พร้อมช่วยส่งเสริมการไหลเข้าของเงินทุนสู่ภูมิภาค” นายภากรกล่าว

ในการประชุม ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้ร่วมกำหนด 10 ตัวชี้วัดด้านบรรษัทภิบาล  (Governance) เพิ่มเติมจากการประชุมก่อนหน้านี้ ที่ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้ประกาศตัวชี้วัดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) และสังคม (Social) ไปแล้ว เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แต่ละแห่งนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาเซียน โดยส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ครอบคลุมหัวข้อที่มีความสำคัญ เป็นการสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และสอดคล้องกับเทรนด์สากลที่ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การประชุมครั้งนี้ทำให้มีการกำหนดตัวชี้วัดครบถ้วนทั้ง 3 มิติของ ESG ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ

สำหรับ 10 ตัวชี้วัดด้านบรรษัทภิบาลที่กำหนดร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่

ลำดับที่ประเด็นด้านบรรษัทภิบาลตัวชี้วัด
1ความหลากหลายของคณะกรรมการร้อยละของจำนวนกรรมการชายและกรรมการหญิง
2ความเป็นอิสระของคณะกรรมการร้อยละของจำนวนกรรมการอิสระ
3ความเป็นอิสระของคณะกรรมการประธานกรรมการและผู้บริหารสูงสุดไม่เป็นบุคคลเดียวกัน (ใช่/ไม่ใช่)
4การเลือกตั้งกรรมการใหม่และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งกลับมาใหม่หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกกรรมการใหม่ (มี/ไม่มี)
5การประชุมคณะกรรมการร้อยละการเข้าประชุมคณะกรรมการของกรรมการแต่ละคนในรอบปี
6การประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปีของคณะกรรมการการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการและการเปิดเผยหลักเกณฑ์และกระบวนการจัดการภายหลังประเมิน (มี/ไม่มี)
7การพัฒนาและอบรมคณะกรรมการนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการส่งเสริมให้กรรมการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง (มี/ไม่มี)
8จริยธรรมธุรกิจการเปิดเผยรายละเอียดจริยธรรมธุรกิจและ/หรือคู่มือจรรยาบรรณ (มี/ไม่มี)
9การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกันนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการป้องกันการใช้ข้อมูลภายในของกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน (มี/ไม่มี)
10การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกันนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการรายงานการมีส่วนได้เสียและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของกรรมการ (มี/ไม่มี)

การประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์อาเซียน 6 แห่ง จาก 6 ประเทศ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (Indonesia Stock Exchange) ตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ (Philippine Stock Exchange) ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange Group) ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (Vietnam Exchange) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand) นอกจากนี้ ยังมีตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (Cambodia Stock Exchange) และ ตลาดหลักทรัพย์ลาว (Lao Securities Exchange) เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ข้อมูลการซื้อขาย บริษัทจดทะเบียน ได้ที่ www.aseanexchanges.org