Home Blog Page 130

AIS จับมือ​พันธมิตร 190 องค์กร ปักหมุดศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกในไทย​ เดินหน้าสู่ HUB of E-Waste

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ วันที่14 ตุลาคมปีนี้​ เป็นวันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล​(International E-Waste Day)​  AIS เดินหน้าภารกิจคนไทยไร้ e-waste ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกที่ลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเป้าหมายในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบปราศจากการฝังกลบหรือ Zero e-waste to landfill  เดินหน้ายกระดับการทำงานสู่การเป็น HUB of E-Waste หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ครั้งแรกของไทยที่ภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กรมาร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการนำขยะ E-Waste เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า AIS​ เป็นองค์กรแรกในไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน International E-Waste Day ของ WEEE Forum (Waste Electrical and Electronic Equipment) ซึ่งเป็นสมาคมระดับนานาชาติที่รวบรวมข้อมูลด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีสมาชิกจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งบนเว็บไซต์หลักของ WEEE Forum ก็มีกิจกรรมและการทำงานของ AIS จากประเทศไทย รวมถึงจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก

และเนื่องในวัน International E-Waste Day ปีนี้ AIS​ ขอประกาศว่า AIS พร้อมเป็น HUB of E-Waste หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของไทย ที่วันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กร มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ HUB of E-Waste ด้านต่างๆ อาทิ ด้านองค์ความรู้ ด้านเครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ด้านจุดรับทิ้ง ด้านการขนส่ง หรือแม้แต่ด้านรีไซเคิล  เพื่อขับเคลื่อนการทำงานในการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนคนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถมีช่องทางในการทิ้งที่จะนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีแบบไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบแบบ Zero e-waste to landfill”

การเป็น HUB of E-Waste ของ AIS แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน โดยมีภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อเร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา

  • HUB of Knowledge ศูนย์กลางความรู้ที่รวบรวมข้อมูล บทความ งานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม และขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการอัพเดทข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
  • HUB of Community ศูนย์กลางเครือข่าย Green Community สร้างชุมชนให้เกิดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะ E-waste และการระดม แลกเปลี่ยนไอเดียในการแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ กลุ่มกรีนพหลโยธิน , องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) , ARI Innovation District เป็นต้น
  • HUB of Drop Points ศูนย์กลางความร่วมมือในการขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ร่วมกันมากกว่า 2,500 จุดทั่วประเทศ
  • HUB of Transportation ศูนย์กลางระบบจัดการ E-Waste ที่ทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย ในการรับขยะ E-Waste รวมถึงการติดตามสถานะขยะ E-Waste ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ผ่านแอป E-Waste+ ที่สามารถตรวจสอบและติดตามได้ว่าขยะ E-Waste ทุกชิ้นจะถูกนำส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน
  • HUB of Circular ศูนย์กลางการจัดการและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับบริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์สยาม จำกัด (WMS) โดยมีเป้าหมายหลัก บริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีโดยปราศจากการฝังกลบ หรือ Zero e-waste to landfill

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://sustainability.ais.co.th/th/home

ททท. ผนึก AIS ชูแคมเปญ “Welcome Back to Thailand” มอบซิม Amazing Thailand SIM ฟรีให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ

0

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือ AIS 5G เดินหน้าร่วมกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย รับไฮซีซั่นส่งท้ายปลายปี 2566 ลุยเปิดแคมเปญยักษ์ใหญ่ “Welcome Back to Thailand” ผ่านการมอบประสบการณ์และอำนวยความสะดวกจากบริการดิจิทัลและระบบสื่อสารที่ดีที่สุดในไทยจาก AIS ผ่าน Amazing Thailand SIM ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่ง The Fastest Network in Thailand ให้ทุกการเชื่อมต่อบนโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกสุดในไทย พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวครอบคลุมทุกมิติกับสุดยอดสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ Premium Lifestyle ชั้นนำของไทย ผ่านการทำงานร่วมกับ Online Travel Agent ชั้นนำในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้รู้จักมากยิ่งขึ้น

นายฉัททันต์  กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า “ตามที่ ททท. ขานรับนโยบายของรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับมาตรการการอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาท่องเที่ยว (Ease of Traveling) เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้มีความสะดวกสบายและถ่ายทอดประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซั่นส่งท้ายปลายปี 2566 โดยบูรณาการร่วมกับพันธมิตรบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่มีความพร้อมเรื่องการให้บริการโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านแคมเปญ “TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand” มอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น”

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “ภาคการท่องเที่ยว คือ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสารที่แข็งแกร่งของประเทศ จึงพร้อมทำหน้าที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกด้านตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางถึง และตลอดการใช้เวลาอยู่ในประเทศไทย”

“จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน จะพบว่านิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก ดังนั้นโครงข่ายดิจิทัลเทคโนโลยีที่จะทำให้การเชื่อมต่อออนไลน์ไม่สะดุด และเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็วจึงมีความสำคัญสูงสุด เราจึงไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาโครงข่ายทั้ง 5G , Fixed Broadband พร้อม WiFi ที่มีคุณภาพดีที่สุดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกสุดในไทย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม หรือ Unseen จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand โดยผ่านหัวใจหลักที่นักท่องเที่ยวจะเชื่อมต่อตลอดเวลาที่อยู่ในไทย คือ Amazing Thailand SIM ที่นอกจากจะมาพร้อมแพ็กเกจการใช้งานสุดพิเศษที่คุ้มค่า ดีที่สุดเท่าที่เคยมีแล้ว ยังได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสุดยอดพันธมิตร Premium Lifestyle ที่ร่วมมอบสุดยอดสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้แก่นักท่องเที่ยว เบื้องต้น ประกอบด้วย Bangkok Insurance, Central Group, Central Retail, Central Pattana, Centara Hotels & Resorts, Grab Thailand, King Power, Siam Piwat, Singha Park Chiang Rai, SIXT, และ TAGTHAi อีกด้วย”

นายปรัธนา ย้ำว่า “เครือข่ายสื่อสารที่ดี นอกจากจะสนับสนุน อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังเป็นสื่อกลางที่จะประชาสัมพันธ์ประเทศผ่านมุมมองของนักท่องเที่ยวที่ Share ประสบการณ์ผ่าน Social Media อีกด้วย ที่สำคัญ AIS ยังขอยืนยันความเป็นเครือข่ายปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวในระหว่างใช้เวลาในเมืองไทย ผ่านการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่นักท่องเที่ยว อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัยแน่นอน โดยทั้งหมดนี้เป็นเพียงมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อย่างดีที่สุด”

สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่วางแผนเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย สามารถร่วมกับแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่านพันธมิตร Online Travel Agent ชั้นนำในแต่ละประเทศ เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการใน Platforms นักท่องเที่ยวสามารถรับฟรีซิม  Amazing Thailand SIM ที่มอบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุด 8GB ไปทดลองใช้งานฟรี และสามารถติดตามข่าว BBC NEWS และ กีฬาทางช่อง beIN SPORTS CONNECT ผ่าน AIS PLAY, ใช้ AIS 1 Point แลกรับฟรีหรือส่วนลดร้านStreet food และช้อปปิ้งจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เช่น ถนนเยาวราช พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ทั้งประกันการเดินทาง มูลค่าสูงสุด 50,000 บาท, ส่วนลดช้อปปิ้ง, โรงแรมที่พักและร้านอาหารชื่อดัง จากพันธมิตรชั้นนำ ที่ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ โดยแคมเปญนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.ais-amazingthailandsim.com

“Meat Zero” ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีช่วงเทศกาลกินเจ

0

Meat Zero (มีทซีโร่) นวัตกรรมโปรตีนเนื้อจากพืช เป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลกินเจ มีโปรตีน-ไฟเบอร์สูงดีต่อสุขภาพ ตอบโจทย์ความมั่นคงทางด้านอาหาร และดีต่อสิ่งแวดล้อม

นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ (CPF RD Center) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช แพลนต์เบสมีท (Plant-Based Meat) เป็นนวัตกรรมโปรตีนทางเลือกที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงออกแบบให้มีรูปลักษณ์ และรสสัมผัสไม่ต่างจากเนื้อสัตว์ทั่วไป สำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์แต่ยังคงต้องการรักษาสุขภาพด้วยการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง ตอบโจทย์ในเรื่องสุขภาพ ความมั่นคงทางด้านอาหาร และใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นลินี โรบินสัน

“Meat Zero ทำมาจากโปรตีนพืชคุณภาพดีและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงหลายชนิด อาทิ โปรตีนจากถั่วเหลือง ข้าวสาลี ถั่วลันเตา และถั่วเขียว ทำให้ผู้ที่บริโภคได้รับปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ ตอบโจทย์เรื่องโปรตีนเป็นอย่างดี และช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี เพราะมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ที่สำคัญมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์และไม่มีคอเลสเตอรอล ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะเป็นโปรตีนทางเลือกในช่วงเทศกาลกินเจ ที่ผู้บริโภคงดรับประทานเนื้อสัตว์ ให้ได้รับความสุขใจและมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน” นางนลินี กล่าว

ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Meat Zero ให้มีเนื้อสัมผัส รูปร่างหน้าตา รสชาติ คุณภาพและความอร่อยที่เสมือนเนื้อสัตว์จริง ตอบโจทย์ผู้บริโภค ด้วยราคาที่เหมาะสม ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายและมีรสชาติที่อร่อย ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่วัตถุกันเสีย มีทั้งแบบพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน

สำหรับข้อแนะนำในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส ให้คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลัก แนะอ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อ เพราะแต่ละคนมีความต้องการคุณค่าอาหารที่แตกต่างกัน จึงควรคำนึงถึงปริมาณคุณค่าอาหารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ว่ามีปริมาณพลังงาน โซเดียม น้ำตาล และไขมัน ให้เหมาะสมกับสุขภาพของผู้บริโภค หรืออยู่ในปริมาณตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน รวมถึงสังเกตฉลากวันเดือนปีผลิตและวันหมดอายุบนผลิตภัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยผลิตสินค้า “Meat Zero” ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น โดยจะทำให้รสชาติอร่อยตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เน้นคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติ และเนื้อสัมผัสให้เสมือนเนื้อสัตว์มากที่สุด ทั้งนี้ แพลนต์เบส เป็นเทรนด์อาหารโลกที่ได้รับความนิยมสูง เพราะตอบโจทย์เรื่องโปรตีนทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพที่ดีด้วยการกินอาหารที่มีโปรตีนสูงทดแทน พร้อมช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหารในอนาคต นับว่าโปรตีนจากพืชเป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่สร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

AIS เอาใจคอซีรี่ส์ ปล่อยแพ็กเกจ PLAY ASIAN รวม 3 แพลตฟอร์มดัง iQIYI – VIU – WeTV

0

AIS PLAY เอาใจแฟนหนัง ซีรีส์ และความบันเทิงชั้นนำระดับเอเชียทั้ง จากไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน จัดให้ตามคำเรียกร้องกับแพ็กเกจ PLAY ASIAN แพ็กเดียวที่สามารถรับชมคอนเทนต์ได้มากถึง 3 แพลตฟอร์มชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น iQIYI, VIU และ WeTV พร้อมรับชมช่องพรีเมียม อาทิ HITS Movies, Paramount Network, 3BB Asian, Nickelodeon และอีกมากมายที่สามารถรับชมได้บน AIS PLAY ในราคาที่คุ้มค่ามากที่สุดเพียง 159 บาทต่อเดือน พิเศษสำหรับลูกค้า AIS เท่านั้น

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “จากพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องสมัครแพ็กเกจเพื่อรับชมคอนเทนต์ที่หลากหลายจากผู้ให้บริการ OTT ที่ต่างกันแบบแยกแพ็กแยกโปร ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เราจึงเดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวีดีโอชั้นนำระดับเอเชีย ในการส่งมอบประสบการณ์การรับชมกับแพ็กเกจแห่งปี PLAY ASIAN ครั้งแรกของวงการที่รวมผู้ให้บริการ OTT มาไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นแพลตฟอร์ม iQIYI, VIU และ WeTV รวมถึงเรายังจัดเต็มให้ลูกค้าด้วยทัพคอนเทนต์จากช่องพรีเมียม อาทิ HITS Movies, Paramount Network, 3BB Asian, Nickelodeon ด้วยราคาที่คุ้มค่ามากสุดสำหรับลูกค้า AIS เพียง 159 บาทต่อเดือนเท่านั้น”

ลูกค้าสามารถรับชมคอนเทนต์สุดพรีเมียมระดับเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นแพลตฟอร์ม iQIYI (อ้ายฉีอี้) แพลตฟอร์มที่ได้รับการโหวตจากแฟนๆ ทั่วทั้งเอเชียในการเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับการรับชมคอนเทนต์คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น ซีรีส์จีน ซีรีส์วาย วาไรตี้ ภาพยนตร์ และอนิเมะ ที่ดีที่สุดทั่วเอเชียกว่า 4,000 คอนเทนต์ และยังเป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตแบบก้าวกระโดดสร้างกำไรติดกัน 3 ไตรมาสอย่างต่อเนื่อง, VIU แพลตฟอร์ม OTT ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากความนิยมของผู้บริโภคชาวไทยด้วยจุดเด่นจากการรวมซีรีส์เกาหลีมาให้แฟนๆ ได้รับชมก่อนใคร สดใหม่ และ WeTV สุดยอดสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มจากจีนที่รวมคอนเทนต์ทั่วทั้งเอเชียรวมกว่า 1,200 คอนเทนต์ ทั้งซีรีส์ อนิเมะ รายการวาไรตี้ จากจีน ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น สามารถสมัครแพ็ก PLAY ASIAN แบบง่ายๆ เพียงกด 678159# โทรออก และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://m.ais.co.th/ASN159Bfb

ธุรกิจห้าดาว สร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้มั่นคง “วิว-นวพร สมานพันธุ์นุวัฒน์” มั่นใจเป็นโอกาสที่จับต้องได้

0

“ตอนเด็กๆ ในวันพิเศษ มื้อพิเศษ หรือวันหยุดที่ทุกคนรวมตัวกันไปเที่ยวน้ำตก ภูเขา หรือชมธรรมชาติ ก็จะได้ทานไก่ย่างห้าดาวอร่อยๆ น้ำจิ้มแซ่บๆ ทุ กครั้งที่ได้ทานไก่ห้าดาวทำให้คิดถึงวัยเด็กเสมอ เมื่อคิดทำอาชีพเสริม จึงตัดสินใจลงทุนกับธุรกิจห้าดาวเท่านั้น ไม่มองธุรกิจอื่นเลย เพราะใครๆก็รู้จักห้าดาว แบรนด์นี้อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 38 ปี ถามใครก็ได้ต้องรู้จักและต้องเคยทานไก่ย่างห้าดาว เราไม่ต้องพรีเซนท์มาก ผลิตภัณฑ์มีทั้งความอร่อย มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย และแน่นอนว่าจะไม่เอาเงินไปทิ้ง” นวพร สมานพันธุ์นุวัฒน์ หรือ วิว อายุ 32 ปี คนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ห้าดาว บอกเล่าที่มาในการเลือกธุรกิจห้าดาวให้เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้จากงานประจำ

วิว เกิดที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จบมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และ Ntec Concordia Institute of Business จาก Auckland ปัจจุบันทำงานประจำในตำแหน่ง Sale representative อุตสาหกรรมโรงงาน ในบริษัทญี่ปุ่นที่จังหวัดชลบุรี แต่ด้วยแนวคิดที่อยากมีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ จึงอยากทำแฟรนไชส์กับห้าดาว ธุรกิจเดียวที่อยู่ในใจของเธอ โดยที่ไม่มองธุรกิจอื่นเลย เพราะไม่อยากต้องเสี่ยง หรือมาทำตลาดเองให้เสียเวลา แต่ข้อสำคัญคือเรื่องโลเคชั่นที่ดี จึงใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจะได้พื้นที่ที่ต้องการ คือพื้นที่ตลาด กลางชุมชน ผู้บริโภคหนาแน่น เมื่อได้พื้นที่ตั้งร้าน วิวใช้เวลา 5 วัน ในการเข้าเรียนรู้ธุรกิจ เรียนวิธีการบริหารจัดการร้าน การขาย ฯลฯ เพื่อให้พร้อมในการเป็นเถ้าแก่ โดยเริ่มเปิดร้านแรก Five Star ตลาดทองคุ้ง ในรูปแบบกลาสเฮาส์ (Glass House) เมื่อเดือนตุลาคม 2565 พอเริ่มขายจริงก็ขายดีเป็นพลุแตกอย่างที่หวังไว้จริงๆ

“ธุรกิจห้าดาว ตอบโจทย์ที่คิดไว้ หลังจากเปิดร้านก็มียอดขายดีทุกวัน โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถามว่าอะไรคือหัวใจของความสำเร็จ สำหรับร้านเราคือการเลือกโลเคชั่น เพราะกลยุทธ์การขายของห้าดาวดีอยู่แล้ว มีทีมงานหลังบ้านที่ดี การเปิดร้านในจุดที่มีคนจำนวนมาก ไม่มีร้านในรูปแบบเดียวกันอยู่ ย่อมทำให้ลูกค้าคิดถึงแค่เรา เมื่อร้านแรกไปได้สวย จึงเปิดสาขา 2 และ 3 ต่อมา ซึ่งทุกร้านก็มียอดขายที่ดีเหมือนกันเพราะมีโลเคชั่นที่ดี” วิว กล่าว

อีกข้อดีของธุรกิจห้าดาวคือ การมีทีมงานที่ดีมาก ถือเป็น “เพื่อนทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกด้าน มีการติดตามการขาย ซัพพอร์ตเรื่องโปรโมชั่นใหม่ๆ ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องและไม่ต้องคิดแคมเปญการตลาดเอง ทุกเดือนจะมีโปรโมชั่นดีๆให้อยู่แล้ว

วิวบอกว่า ที่สำคัญคือ “ธุรกิจห้าดาวช่วยสร้างโอกาสที่จับต้องได้” โดยเฉพาะการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอนให้กับเถ้าแก่ห้าดาวและทีมงานทั้งหมด และถือว่าเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการมองหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ สำหรับคนที่เงินเดือนไม่สูงมาก ก็สามารถเริ่มต้นทำร้านแบบซุ้มห้าดาวที่ลงทุนไม่มาก หากทำเองก็ได้กำไรแบบเต็มๆ แล้วค่อยขยับขยายร้านหรือเปิดสาขาเพิ่มเติมได้ วิวมั่นใจว่าธุรกิจห้าดาวจะกลายเป็นอาชีพหลักในอนาคตได้อย่างแน่นอน และยังฝากถึงผู้ที่สนใจร่วมครอบครัวห้าดาว ก็สามารถติดต่อได้หลายช่องทางทั้งที่โทร.02-800-8000 และเว็บไซต์ fivestars-allfranchises.com

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่ระดับสากล ด้านบริหารทรัพยากรบุคคลและความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมในองค์กร

0

เมืองไทยประกันชีวิตคว้า 3 รางวัลใหญ่ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมในองค์กร ประจำปี 2566 ได้แก่ รางวัล HR Asia Best Companies to Work For in Asia 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จัดโดย HR Asia พร้อมรางวัลประเภท Excellence in HR Innovation (ระดับ Gold) และรางวัลประเภท Best HR Team (ระดับ Silver) จากงาน HR Excellence Awards 2023 โดยสถาบัน Human Resources Online

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมุ่งเน้นพัฒนาและบริหารจัดการด้านบุคลากรอย่างมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะและเสริมสร้างความสุขให้แก่พนักงาน เพื่อความสำเร็จขององค์กรอย่างยั่งยืน

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลใหญ่ระดับสากล 3 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล HR Asia Best Companies to Work For in Asia 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จัดโดย HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลอันเป็นเลิศ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ยอมรับในคุณค่าของพนักงาน และเน้นความสุขของพนักงานเป็นสำคัญ

พร้อมรับอีก 2 รางวัลจากงาน “HR Excellence Awards 2023” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยสถาบัน Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสื่อด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในภูมิภาคเอเชีย และในระดับสากล โดยบริษัทฯ ได้รับรางวัลประเภท Excellence in HR Innovation (ระดับ Gold) ซึ่งมอบแก่องค์กรที่มีนวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเน้นการทำงานรูปแบบใหม่ และรางวัลประเภท Best HR Team (ระดับ Silver) ซึ่งมอบแก่องค์กรที่มีหน่วยงาน HR ที่มีบรรยากาศทำงานอย่างสร้างสรรค์ เน้นการสื่อสาร การประสานงาน และการใช้กลยุทธ์ที่เกิดประสิทธิผล มุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้ตอกย้ำอีกหนึ่งความสำเร็จด้านการดูแลบุคลากร ด้วยการได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานประจำปี 2566 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยเป็นผลสัมฤทธิ์จากความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพ พร้อมเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“นับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลเหล่านี้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าความพยายามและความร่วมมือของทีมงานในการสร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดี รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลที่เต็มไปด้วยความห่วงใยต่อพนักงานของเราสัมฤทธิ์ผล โดยเราจะยังคงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บริษัทฯ เป็นสถานที่ที่น่าทำงานและเปิดโอกาสให้พนักงานเรียนรู้อยู่เสมอ” นายสาระ กล่าวสรุป

“หมูชีวา” นวัตกรรมเนื้อหมูมีโอเมก้า-3 ดีต่อสุขภาพ

0
 นวัตกรรม “หมูชีวา” เนื้อหมูที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 จากธรรมชาติ ยกระดับอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพของไทย ให้ผู้บริโภคดูแลสุขภาพเชิงรุก ด้วยหลัก สุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากอาหารที่รับประทาน

ดร.อนันตวัฒน์ กุลธนเตชานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า หมูชีวา เป็นนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่มีโอเมก้า-3 สะสมอยู่ในไขมันของเนื้อหมู จากการที่หมูกินอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 จากธรรมชาติ 100% ได้แก่ สาหร่ายทะเลน้ำลึก น้ำมันปลา เมล็ดแฟลกซ์ซีด เพื่อให้หมูชีวาสะสมโอเมก้า-3 นับเป็นการยกระดับอาหารไทยไปอีกขั้น ให้คนไทยเข้าถึงอาหารที่มีโอเมก้า-3 ได้ง่าย ด้วยราคาที่เหมาะสม และเหมาะกับวิถีการบริโภคของคนไทยที่นิยมนำเนื้อหมูมาประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทำให้รับประทานได้ทุกวัน

“หมูชีวา เป็นเนื้อหมูคุณภาพพรีเมียม ที่ผ่านการคัดเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะต่อการสะสมของกรดไขมันโอเมก้า-3 ด้วยการที่หมูกินอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของโอเมก้า-3 จากธรรมชาติ ตามแนวคิดที่ว่า “ทานอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” ซึ่งโอเมก้า-3 จะช่วยปรับสมดุล และลดการอักเสบของร่างกาย ทั้งยังช่วยการทำงานของระบบหลอดเลือดและหัวใจ ตลอดจนบำรุงสายตา ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพ โดยหมูชีวาได้ผ่านการวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อจากห้องแล็บที่ได้การรับรองมาตรฐาน เพื่อตรวจสอบปริมาณโอเมก้า-3 พบว่าทุกส่วนมีปริมาณโอเมก้า-3 ตรงตามที่กำหนด

ขณะเดียวกัน หมูชีวาได้รับอาหารที่เสริมด้วย โปรไบโอติก (Probiotic) ช่วยปรับสมดุลลำไส้ของสัตว์ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่ทำให้สัตว์ป่วย และลดปัญหาสุขภาพของสัตว์ ทำให้หมูชีวามีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ได้รับการรับรอง “การเลี้ยงโดยปราศจากยาปฏิชีวนะ” (Raise Without Antibiotics หรือ RWA) จาก NSF (National Sanitation Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรจากประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้นำในระดับนานาชาติด้านการรับรองผลิตภัณฑ์และความปลอดภัยในอาหาร เป็นเครื่องยืนยันให้ผู้บริโภคมั่นใจถึงความปลอดภัยในเนื้อสัตว์ ว่าไม่มียาปฏิชีวนะ ไม่มีสารตกค้างและไม่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง” ดร. อนันตวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ หมูชีวา ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีด้วยระบบคลีนฟาร์มแสตนดาร์ด (CPF Clean Farm Standard) ซึ่งเป็นการเลี้ยงในฟาร์มระบบปิดที่ใช้ระบบป้องกันความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-security) เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์มอย่างเข้มงวด เป็นผลให้ฟาร์มมีความสะอาด ปราศจากเชื้อ ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ ควบคู่กับการเลี้ยงอย่างถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ให้หมูมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย โดยจุดเด่นของระบบคลีนฟาร์มที่แตกต่างจากการเลี้ยงหมูในระบบปิดมาตรฐานทั่วไป คือ การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู และเสริมด้วยโปรไบโอติกร่วมกับวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 จากธรรมชาติ 100%

ทั้งนี้ ฟาร์มสุกรซีพีเอฟทุกแห่งเป็นฟาร์มรักษ์โลก โดยใช้มาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือกรีนฟาร์ม (CPF Greenfarm) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อนให้กับโลก

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นในการค้นคว้าและวิจัย ตลอดจนนำเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงองค์ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์เชิงบูรณาการที่หลากหลาย (Integrated Science) ครอบคลุมในหลายมิติ มาใช้ในนวัตกรรมเนื้อสัตว์ที่ดี มีความปลอดภัย และมีคุณภาพสูง เพื่อให้เป็นวัตถุดิบอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Functional Food)  ช่วยในการสร้างสุขภาพเชิงรุกของผู้บริโภค และสามารถนำไปต่อยอดในอนาคต โดยสร้างนวัตกรรมอาหารไทยที่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยโอเมก้า-3 เป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและความมั่นคงทางสุขภาพให้แก่คนไทย

“สลากออมสินพิเศษ 2 ปี” ลุ้นรับ อภิมหารางวัล ⑤⓪ ล้าน

0

การซื้อสลากออมสิน ถือเป็นการฝากเงินประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่อยากลุ้นรางวัล โดยผู้ฝากสลากออมสิน มีสิทธิลุ้นรางวัลเป็นประจำทุกเดือน และหากเป็นผู้โชคดีถูกรางวัลใหญ่ ก็เหมือนกับการได้รับกำไรก้อนงามจากการออม แต่ถึงแม้ไม่ถูกรางวัล ผู้ฝากก็ยังจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นประจำทุกเดือน และเมื่อครบกำหนด ก็ได้รับเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่า “สลากออมสิน” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจของการออมเงิน

ธนาคารออมสิน เห็นถึงความสำคัญของภาคการออม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ที่ผ่านมา จึงได้มีการออกแคมเปญ ผ่านผลิตภัณฑ์สลากออมสินประเภทต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มเงินรางวัล รวมทั้งการเพิ่มรางวัลพิเศษขึ้นมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมในภาคประชาชน

และล่าสุด ธนาคารออมสิน ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการออม กับ “สลากออมสินพิเศษ 2 ปี แบบใบสลากและแบบดิจิทัล” โดยผู้ฝากสลาก นอกจากจะมีสิทธิลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาททุกเดือนแล้ว ยังได้มีการเพิ่มรางวัลพิเศษ มูลค่าสูงถึง 50 ล้านบาท มาให้ได้ลุ้นเพิ่มอีกด้วย

ราคาสลากฯ หน่วยละ 100 บาท อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ย 0.80 บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.40 ต่อปี) สำหรับเงื่อนไขสำคัญของสลากออมสินพิเศษ 2 ปี คือ 1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอนสำหรับรับโอนเงินต้น, ดอกเบี้ย และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก และ 2. ต้องสมัครใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) สำหรับทำรายการฝาก-ถอน ผ่านแอปฯ MyMo

สำหรับรางวัลพิเศษ 50 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล มีกำหนดออกรางวัลในวันที่ 1 ธ.ค. 2566 โดยมีข้อกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติม คือ ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี แบบดิจิทัล หรือ ใบสลาก ระหว่างวันที่ 21 ก.ย. – 30 พ.ย. 2566 จึงจะมีสิทธิลุ้นรางวัลพิเศษ

ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ได้แล้วทางแอปฯ MyMo by GSB และ ธนาคารออมสินทุกสาขา โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gsb.or.th/promotions/salak2yrs-66-2/
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook Fanpage : GSB Society

รีบหน่อย อย่ามัวรอช้า สายรักการออม ห้ามพลาดกับโอกาสครั้งสำคัญในการลุ้นได้เป็นผู้โชคดีรับอภิมหารางวัลกับ “สลากออมสินพิเศษ 2 ปี”

รู้เก็บรู้ออม : ตลาดรองหนุนความมั่นคง!!

0

มีคนจำนวนมากคิดว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหุ้นไทยคือตลาดทุน (Capital Market) แต่จริงๆแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของระบบนิเวศของตลาดทุนเท่านั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเป็นองค์กรหนึ่งในหลายองค์กรที่รวมอยู่ในตลาดทุน

บทบาทหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ในด้านของผู้ประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุน และแหล่งรวมเครื่องมือทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการ ส่วนด้านของนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งทางการเงิน

คุณแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างการอบรมความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนไทยว่า โครงสร้างตลาดทุนไทย ประกอบด้วยตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งได้รับอำนาจการกำกับดูแลมาจากรัฐบาลและในตลาดหุ้นเองก็มีหน่วยงานต่างๆ เป็นองค์ประกอบ

ตลาดทุนไทย เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศไทย โดยมีตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็น “ตลาดรอง” ที่ช่วยสนับสนุนกลไกนี้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้น

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 มาร์เกตแคปโตขึ้นมาอยู่ที่ 18.7 ล้านล้านบาท เทียบกับปี 2556 ที่มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท สาเหตุหลักมาจากจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เพิ่มเป็น 886 บริษัทในปัจจุบัน จากจำนวน 615 บริษัทในปี 2556 และการเติบโตของ บจ. แต่ละราย

อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯเองได้พัฒนาและสร้างการเติบโตให้กับตัวเอง เพื่อให้สามารถแข่งกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกได้ ตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศเองก็มีการปรับตัวให้รองรับความต้องการของตลาดทุน นักลงทุน และผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆ

เช่น ตลาดหุ้น KRX ของเกาหลีใต้ เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกในภูมิภาคที่มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตตลาดหุ้นของจีน ตั้งกระดานซื้อขายใหม่ชื่อ SSE Star Market สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ รวมถึงตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่มีพัฒนาการการเติบโตที่น่าสนใจ และโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ของไทย มีการพัฒนาในฟากของ บจ. และผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาเชิงคุณภาพ ผ่านการกำกับดูแลและให้คำปรึกษา เพื่อให้ บจ.มีมาตรฐานด้านโครงสร้างธุรกิจ ด้านการทำบัญชี ด้านการเปิดเผยข้อมูล และด้านบรรษัทภิบาล

ขณะที่ด้านของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯก็มีการให้ความรู้ด้านการลงทุน ช่วยติดตามและเฝ้าระวัง พร้อมกับส่งสัญญาณเตือนผู้ลงทุนในกรณีที่อาจเกิดปัญหาจากการลงทุนซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ลงทุนเอง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระหนักดีถึงบทบาทและหน้าที่ของการเป็นตลาดรองที่สำคัญของประเทศ ซึ่งช่วยหนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของชาตินั่นเอง!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ย้ำ! ไม่ชวนใครลงทุนผ่านโซเชียล เตือนปชช.มีสติรู้ทันมิจฉาชีพ

0

รายงานข่าวจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ภาพในช่องทางโซเชียลมีเดียแอบอ้างการนำโลโก้และภาพผู้บริหารของ AIS ไปชักชวนการลงทุนจนสร้างความเข้าใจผิดต่อลูกค้าและผู้พบเห็นนั้น AIS ขอยืนยันว่า ข้อความการแอบอ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง บริษัทฯไม่มีนโยบายและไม่มีการโฆษณา เชิญชวนการลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ หรือสื่อโซเชียลต่างๆ อาทิ Facebook , LINE , ฯลฯ ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบร่วมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิดในการปิดการเข้าถึง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน

การกระทำดังกล่าวเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดต่อผู้กระทำการดังกล่าวอย่างถึงที่สุดต่อไป

ดังนั้นจึงขอความกรุณาลูกค้าและประชาชนใช้ความระมัดระวังในการรับสื่อจากบัญชีปลอม ไม่หลงเชื่อคำเชิญชวน หลอกลวงให้ลงทุนทุกรูปแบบ ทั้งการใช้คำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ว่าเป็นการเทรดหุ้นระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูง หรือแม้แต่การติดต่อโดยแอบอ้างการใช้ ชื่อบริษัทฯ โลโก้ และ ภาพผู้บริหารของ AIS ทั้งนี้ หากพบเห็นภาพโฆษณาชักชวนลงทุน สามารถตรวจสอบได้ที่ช่องทางอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ www.ais.th