Home Blog Page 128

ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต เน้นหลัก Health and Wellness หนุนคนไทยสุขภาพดี

0

ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (CPF RD Center) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ คุณค่าโภชนาการสูง รสชาติอร่อย ตามหลัก Health and Wellness ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ร่วมหนุนคนไทยเข้าถึงอาหารสร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นางปาริฉัตร เหลืองทองคำ ผู้อำนวยการด้านวิจัย CPF RD Center กล่าวว่า CPF RD Center มุ่งเน้นวิจัยนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลก สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ด้วยการประยุกต์ใช้ Deep Tech ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของผู้บริโภค นักวิจัยจะทำงานร่วมกับเชฟ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารอาหารสำคัญที่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมากกว่าโภชนาการพื้นฐาน และส่วนช่วยป้องกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูสภาพร่างกายและที่สำคัญมีรสชาติดี อร่อย ปลอดภัย รับประทานง่าย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร พร้อมร่วมนำผลงานวิจัยเด่นๆ เข้าร่วมนำเสนอ ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) อีกด้วย

“CPF RD Center เป็นองค์กรเอกชนเพียงรายเดียวที่ได้รับโอกาสร่วมนำเสนอผลงานผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต โครงการร่วมนำเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติที่นำเสนอผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม จัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนทั่วโลก” นางปาริฉัตรกล่าว

ภายในบูธของ CPF RD Center นำเสนอ 3 ผลงานวิจัยด้านอาหาร ประกอบด้วย Just-Cheese ชีสวีแกนทำจากปลายข้าวหมักด้วยกระบวนการชีวภาพด้วยเชื้อยีสต์สายพันธ์คัดแยกพิเศษที่ให้กลิ่นและอะมิโน เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสีข้าวที่มีมูลค่าน้อยลง แต่ยังอุดมด้วยโปรตีน แร่ธาตุ ไขมัน และวิตามิน การแปรรูปเป็น “ชีส” ไขมันต่ำ มีคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบชีส และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ขณะเดียวกัน ยังมีรสชาติอร่อยเหมือนชีสที่ทำจากนม เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่แพ้นม ได้อีกด้วย

ชาหมักจุลินทรีย์คอมบูชา (Kombucha) เป็นชาหมักเพื่อสุขภาพ ที่นักวิจัยของ CPF RD Center ให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบหลัก คือ ชาอู่หลง เกรดพรีเมี่ยม คุณภาพสูงของไทย การคัดแยกหัวเชื้อสำหรับการหมักชาจากผลไม้จากทางภาคเหนือ ควบคู่กับการนำสายพันธุ์จุลินทรีย์โปรไบโอติกที่ได้รับการรับรองมาใช้ในกระบวนการหมักร่วมกับหัวเชื้อและชา จึงได้ Kombucha ที่มีรสชาติเปรี้ยวหวาน ซ่าสดชื่น ทั้งยังได้รสหวานและหอมจากชาอู่หลงช่วยให้ดื่มง่าย

สำหรับผลงานวิจัย “โปรตีนไฮโดรไลเซท” เพปไทด์ที่ได้จากโปรตีนเมล็ดกัญชง ซึ่งมี เพปไทด์สายสั้น และกรดอะมิโนอิสระในปริมาณสูง ทำให้ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารแห่งอนาคต เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

ผลงานวิจัยด้านอาหารของ CPF RD Center มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่คำนึงถึงอาหารมีคุณค่าโภชนาการสูงช่วยสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรสชาติอร่อย นอกจากนี้ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามแนวคิด Food Before Medicine เพิ่มทางเลือกให้คนไทยได้เข้าถึงอาหารที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย และโรคภัยต่างๆ

CPF RD Center เป็นตัวแทนจากภาคเอกชนเพียงองค์กรเดียวที่ได้เข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัยนวัตกรรมอาหารในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 ร่วมกับ ผลงานวิจัยกว่า 1,000 ผลงาน ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เชื่อมโยงสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ตลท. จัดงาน Thailand Focus 2023 โชว์ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและตลาดทุนไทย 23-25 ส.ค.นี้

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงาน “Thailand Focus 2023 : The New Horizon” ชูความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียนและศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยเชิญภาครัฐ ตลาดเงินตลาดทุน และผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจ ร่วมเวทีเสวนาให้ข้อมูลจุดแข็งของประเทศและภาคเอกชนไทย การผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตของประเทศ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยสู่บริบทใหม่แห่งการลงทุน โดยมีบริษัทจดทะเบียน 118 บริษัท ตอบรับเข้าร่วมให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลก ระหว่าง 23-25 สิงหาคม 2566
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน Thailand Focus ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิด “The New Horizon” ที่จะเปิดมุมมองใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนถึงศักยภาพของภาคเอกชนและตลาดทุนไทย โดยนำเสนอเนื้อหาที่ลงลึกในศักยภาพและโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมที่จะเป็นจุดขายใหม่ของประเทศ และนำมาสู่ความก้าวหน้าและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย

“งาน Thailand Focus 2023 จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกและชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในตลาดทุนไทย โดยได้รับเกียรติจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันควบคู่ไปกับการดูแลความเสี่ยงในภาคการเงินของประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากทั้งวงการธุรกิจและและตลาดทุน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่จะมาให้ข้อมูลถึงบริบทใหม่ของตลาดทุนและภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในความสนใจ เช่น การลงทุนของเอกชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างมิติใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นความหวังของประเทศ ตลอดจน soft power หรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนจุดเด่นของไทย รวมถึงการนำเสนอความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียนไทยในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ได้รับการยกย่องในระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจดทะเบียน 118 แห่งจากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมพบและให้ข้อมูลศักยภาพธุรกิจและทิศทางการเติบโตในอนาคตแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกกว่า 200 ราย อีกด้วย” นายภากรกล่าว

ซีพีเอฟ คัดสรร ไข่ไก่ Cage Free สด สะอาด ปลอดภัย มาตรฐานสากล ส่งต่อสุขภาพดีให้ผู้บริโภค

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชู ไข่ไก่ Cage Free สด สะอาด ปลอดภัย ปลอดสาร ปลอดโรค จากแม่ไก่อารมณ์ดี ที่เลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ในระบบปิดแบบปล่อยอิสระไม่ใช้กรง (Cage Free) ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคยุคใหม่

นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านกำกับดูแลและประกันการปฏิบัติงานตามข้อกำหนดธุรกิจไก่ไข่ กล่าวว่า ธุรกิจไก่ไข่ของ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มด้วยหลักสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีมนุษยธรรม สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยในห่วงโซ๋การผลิตให้กับผู้บริโภค

วราราชย์ เรืองศรี

สำหรับการเลี้ยงไก่ แบบไม่ใช้กรงในโรงเรือนระบบปิด ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจไก่ไข่ของซีพีเอฟ โดยฟาร์มวังสมบูรณ์ จังหวัดสระบุรี เป็นฟาร์มรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรงจากกรมปศุสัตว์

ซีพีเอฟ มีการคัดเลือกแม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษ ที่มีความแข็งแรงตามธรรมชาติ มีภูมิต้านทาน ให้ผลผลิตสูง เลี้ยงด้วยธัญพืช และน้ำสะอาด ให้แม่ไก่เข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอ มีความเป็นอยู่สุขสบาย อารมณ์ดี รวมถึงมีการติดตั้งเทคโนโลยีภายในฟาร์ม ให้สามารถตรวจสอบสุขภาพแม่ไก่ได้ทุกวัน ควบคู่กับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อป้องกันโรคสัตว์ ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยา ทำให้ไข่ไก่ Cage Free ของบริษัทฯ ปลอดฮอร์โมน และปลอดจากการใช้ปฏิชีวนะ 100% มีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาว ไข่แดงสดนูนสวย สด สะอาด ปลอดภัย

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังนำแนวทาง Biosecurity Hi-tech Farming ที่มีการควบคุมโรค 100% เพื่อให้แม่ไก่ทุกตัวปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อผ่านอาหารและอากาศภายนอก ตลอดจนระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศในโรงเรือนปิดอย่างเหมาะสมตลอดเวลา ควบคุมความเข้มของแสง และมีเวลาเปิดปิดไฟตามข้อกำหนดของสายพันธุ์ เพื่อให้ไก่ได้มีเวลาพักผ่อน

ขณะที่ในโรงเรือนมีความหนาแน่นอย่างเหมาะสม เลี้ยงแม่ไก่ไม่เกิน 9 ตัว ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร เพื่อให้แม่ไก่แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างอิสระ พร้อมเสริมสภาพแวดล้อมทางกายภาพ อาทิ คอนเกาะสำหรับเกาะพักผ่อน มีวัสดุปูรองพื้นสำหรับคุ้ยเขี่ยและไซ้ขนทำความสะอาดตัวเอง ช่วยยกระดับคุณภาพและสุขภาพสัตว์

“ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาส่งเสริมกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติในรูปแบบ Smart Farm มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงและเพิ่มผลผลิต ลดการปนเปื้อนจากการเข้าไปในโรงเรือนของมนุษย์ และมีการตรวจประเมินการดำเนินงานของฟาร์มเป็นประจำทุกปี” นายวราราชย์ กล่าว

ผลผลิตไข่ไก่ไร้กรง จะผ่านระบบการเก็บโดยใช้ระบบสายพานลำเลียงออกจากโรงเรือนไปยังห้องเก็บไข่โดยอัตโนมัติ และกระบวนคัดทำความสะอาดไข่ไก่ตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย ปราศจากการปนเปื้อนของเชื้อซาลโมเนลลา ที่สำคัญผ่านการตรวจสอบความสดของไข่ด้วยเครื่อง Freshness Test เพื่อยืนยันค่าความสดใหม่ของไข่ไก่ Cage Free ทุกฟอง ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค

นอกจากนี้ยังตรวจสอบรอยร้าวที่เปลือกไข่ด้วยระบบเสียง พร้อมระบุวันผลิตวัน หมดอายุ และแหล่งที่มาของไข่ไก่ทุกฟองด้วยเครื่องพิมพ์สีที่ปลอดภัยบนเปลือกไข่ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต และนำเครื่องจักรอัตโนมัติบรรจุไข่ไก่ Cage free โดยไม่สัมผัสมือคน อีกทั้งยังใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล 100% ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

ล่าสุด ไข่ไก่ Cage Free ซีพีเอฟ แบรนด์ “ยูฟาร์ม” (U Farm) ขึ้นทะเบียนได้รับฉลากคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Product) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้แก่ แพ็กเกจขนาด 4 ฟอง/แพ็ก และขนาด 10 ฟอง/แพ็ก นับเป็นไข่ไก่เคจฟรี (ไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบไม่ขังกรง) ปลอดคาร์บอนรายแรกของทวีปเอเชีย โดยมีการจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน จนถึงการกำจัดซากบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เท่ากับศูนย์

ส่วนผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection 21 รายการ ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไข่ไก่ทั่วไปถึงร้อยละ 30 และในปีที่ผ่านมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 617,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งไข่ไก่เคจฟรี ฉลากคาร์บอนนิวทรัล และไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน เป็นอีกทางเลือกให้คนไทยได้บริโภคอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ และช่วยลดโลกร้อน จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ สนับสนุนผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอีกด้วย

ซีพีเอฟ ส่งมอบสินค้าอาหารที่มีคุณภาพสูง ถูกสุขอนามัย มีกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับการผลิตที่ได้รับรองมาตรฐานในระดับสากล ทำให้มั่นใจได้ว่าไข่ไก่ Cage Free มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการผลิตไข่ไก่ของเกษตรกร ในด้านเทคนิควิชาการให้เหมาะสมกับการเลี้ยงไก่ไข่ ช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้ และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยให้กับคนไทย

หมูเถื่อน “เผือกร้อน” จุดชนวนตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐ

0
บทความโดย จุฑา ยุทธหงสา ที่ปรึกษาอิสระด้านปศุสัตว์

“หมูเถื่อน” เป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จุดชนวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐในกรมต่างๆ ต้องรีบออกมา “ฟอกขาว” ตัวเอง ที่ถูกพาดพิงขณะนี้ ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และอาจจะลามไปถึงการท่าเรือแห่งประเทศไทย หลังพบหลักฐานสำคัญตู้คอนเทนเนอร์แบบเก็บความเย็นตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ บรรจุหมูเถื่อน 4,500 ตัน ซึ่งเป็นล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบในประเทศไทย ทั้งที่ผู้คุ้มกฎการผ่านเข้า-ออกสินค้ามาในราชอาณาจักร และผู้คุ้มกฎตู้สินค้าบริเวณหน้าท่าเรือทั้งหมด ควรจะเป็นหน่วยงานที่ได้ “กลิ่นไม่ดี” เป็นด่านแรก แต่ก็ผิดหวัง

นอกจากนี้ งานปราบปรามที่ทำกัน “พอเป็นพิธี” ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ประจักษ์พยานจากผลงานระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2565 จับหมูเถื่อนได้เพียง 115 ตัน ทั้งที่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติให้เบาะแสกับทางราชการตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ว่ามีหมูเถื่อนรอการระบายอยู่อีกไม่น้อยกว่า 1,000 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง แต่การปราบปรามก็ยังเฉื่อยๆ เหมือนโดนมอมยา จนสมาคมฯ ประกาศจะไม่ทนอีกต่อไป รวมพลังผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศร้องเรียนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมถึงยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นการเดินหน้าทุกวิถีทาง ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงหมูมากกว่า 2,000 คน รวมตัวกันอีกครั้งยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปราบ “หมูเถื่อน” และขบวนการทุจริตอย่างจริงจัง ถึงวันนี้แม้จะจับไม่ได้ตามเบาะแสที่แจ้ง แต่ 161 ตู้ที่พบ คือจุดเปลี่ยนสำคัญของคดีนี้

โชคดีที่หลายฝ่ายเห็นความสำคัญไม่ทิ้งให้ผู้เลี้ยงหมูเดียวดาย ทั้งนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สองครั้งสามครา ให้รับคดีหมูเถื่อนมาดำเนินการ พร้อมมอบหลักฐานสำคัญว่าหมูเถื่อนยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก เพราะหากปล่อยไว้นาน เครือข่ายมิจฉาชีพจะทำความเสียหายให้กับประเทศมากกว่า 50,000 ล้านบาท ตามที่ประเมินกันไว้ขณะนี้

หลังจากนั้น กระแสการปราบปรามหมูเถื่อนไม่มีแผ่วอีกต่อไปหลังนายอัจฉริยะ “จุดไฟ” ตามด้วยพรรคการเมืองต่างๆ กระโจนเข้ามาโหนกระแส ยกระดับเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน จะด้วยเหตุผลทางการเมืองเพราะเป็นช่วงเลือกตั้ง หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทั้งพรรคก้าวไกล และล่าสุดพรรคเพื่อไทย ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เกษตรกรเข้าเรียกร้องให้ช่วยจัดการแก้ปัญหา เพราะหวังว่าพรรคที่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลจะไม่ลืมคำมั่นสัญญานี้

เมื่อโดนแรงกดดันจากหลายทาง กรมศุลกากร จำต้องตรวจตราและเปิดตู้สินค้าตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบังเมื่อเดือนเมษายน 2566 พบหมูเถื่อน 161 ตู้ ปริมาณ 4.5 พันตัน (4.5 ล้านกิโลกรัม) มูลค่า 225 ล้านบาท ทำให้ยอดปราบปรามหมูเถื่อนสะสมพุ่งสูงมากจากปี 2565 ทั้งปีประมาณ 1,350 ตัน ขณะที่ มกราคม 2566 – ปัจจุบัน จับได้มากกว่า 4,600 ตัน…ทำความเสียหายกับประเทศและเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย จากราคาที่ตกต่ำต่อเนื่อง ทั้งที่มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ให้อำนาจเต็มมือ

แม้จะพยายามชี้แจง เรื่องกฎระเบียบการตรวจค้นสินค้านำเข้าที่มีเงื่อนเวลากำหนดไม่ให้เปิดตู้ตรวจสอบจนกว่า ผู้นำเข้าจะมาแจ้งขอนำสินค้าออกจากท่าเรือ หรือตั้งวางตู้สินค้าที่ท่าเรือเกินกำหนดเวลา รวมถึงมีข้อยกเว้นให้กับผู้นำเข้าที่มีประวัติดี สามารถผ่าน Green Line ได้โดยไม่ต้องเปิดตู้สินค้า ทำให้มีการสำแดงเท็จเป็นปลา อาหารทะเล หรือ โพลิเมอร์ ล้วนทำให้การตรวจสอบมีช่องว่าง “หมูเถื่อน” ที่ควรจะจับได้คาท่าเรือจึงเล็ดลอดออกสร้างความเสียหายได้นานกว่า 1 ปี

วันนี้ “หมูเถื่อน” ถูกยกระดับเป็นปัญหาระดับประเทศและเป็นที่จับตาของสังคมกลายเป็น “เผือกร้อน” ของหน่วยงานราชการขณะนี้โดยเฉพาะกรมศุลกากร ที่รุดออกมา “ปฏิเสธ” ไม่มีตู้ตกค้างอีก 1,000 ตู้ตามที่มีการให้ข้อมูล และไม่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตใดๆ แต่เป็นการทำงานตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศยังคงตามติดเพราะหวังจะเห็นภาครัฐกระชากหน้ากาก “ขบวนการค้าหมูเถื่อน” มาลงโทษตามกฎหมาย และปราบทุจริตในหน่วยงานราชการที่ยังรักษาตำนาน “ส่วย” ไว้อย่างเหนียวแน่นให้หมดไป

CPF สร้างเครือข่ายเด็ก เยาวชน ชุมชน แนวร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน

0

ภายใต้วิสัยทัศน์เป็น”ครัวของโลก”ที่ยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน ซึ่งถือเป็นต้นทางของวัตถุดิบในการผลิตอาหาร และมุ่งมั่นรักษาสมดุลของระบบนิเวศ นอกจาก “พนักงาน”ในองค์กรที่ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญแล้ว บริษัทฯ สร้างการรับรู้และสร้างเครือข่ายเด็ก เยาวชน และชุมชนในพื้นที่

“กิจกรรมปันรู้ ปลูกรักษ์” เกิดจากความตั้งใจปลูกฝังความตระหนักให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อม ดูแลและหวงแหนทรัพยากรในพื้นที่ของตัวเอง เป็นแนวร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืนไปกับซีพีเอฟที่มีการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมหลากหลาย

คิกออฟ….. ที่โรงเรียนวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้พื้นที่”โครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” เป็นโครงการที่ซีพีเอฟ ร่วมมือกับภาครัฐ และชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนมาตั้งแต่ปี 2557 โดยกิจกรรมครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียน นำโดยนางสาวณัฐกาญจน์ นุชประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ และคณะครู นำน้องๆนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นป.1- ม.3 รวม 300 คนเข้าร่วมกิจกรรมผ่านฐานการเรียนรู้ 4 ฐาน ประกอบด้วย ฐานเรียนรู้โลกรวน ฐานเรียนรู้ต้นกล้าสู่ป่าใหญ่ ฐานเรียนรู้ป่าชายเลนต้นทางของอาหาร และฐานเรียนรู้ขยะพลาสติกแปลงร่าง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากสมาชิกชุมชนโครงการกับดักขยะทะเลชุมชนบางหญ้าแพรกที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุนอยู่ มาเป็นวิทยากรในฐานเรียนรู้ขยะแปลงร่าง สร้างการรับรู้ และปลูกฝังความตระหนักสู่เด็กๆที่สามารถมีส่วนร่วมช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้เช่นกัน

นางสาวณัฐกาญจน์ นุชประเสริฐ ผู้อำนวยการ รร. วัดบางหญ้าแพรก ซึ่งพื้นบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ในช่วงปีแรกๆที่ซีพีเอฟเข้ามาทำกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน โรงเรียนนำเด็กนักเรียนไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า เพื่อปลูกฝังความตระหนักรู้ ให้เด็กๆมีโอกาสมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ และหลังจากที่พี่ๆซีพีเอฟเข้ามาจัดฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน ให้กับน้องๆ เด็กๆได้เรียนรู้และสามารถนำไปใช้กับกิจกรรมในโรงเรียน อาทิ การแยกขยะ แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลน เป็นกิจกรรมที่โรงเรียนทำอยู่แล้ว โดยคาดหวังว่าภาคเอกชนที่มาศักยภาพอย่างซีพีเอฟจะช่วยสนับสนุนโครงการดีๆอย่างต่อเนื่อง และโรงเรียนพร้อมจะต่อยอดกิจกรรมต่างๆ ให้กับเด็กๆ โดยโรงเรียนเข้าไปคุยกับชุมชนเพื่อต่อยอดกิจกรรมขยะแปลงร่าง โดยจะนำนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเรียน ระดับชั้น ม.1-ม.3 เรียนรู้และร่วมทำกิจกรรมดังกล่าวกับชุมชนโครงการกับดักขยะทะเล ที่นำฝาขวดพลาสติกมาใช้แปลงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้น้องๆได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เป็นทักษะชีวิต รวมทั้งเรียนรู้และดูงานการประดิษฐ์และต่อเรือจำลอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพของคนในชุมชน

ทางด้านน้องๆ ที่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ด.ญ.แพรวพราว เทียมเกาะ หรือน้องแพรว อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม. 3 เล่าว่า มีความสุขและรู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมที่พี่ๆ ซีพีเอฟนำมาถ่ายทอดให้ ทั้ง 4 ฐานการเรียนรู้ และพร้อมจะนำไปทำต่อ เช่น การแยกขยะในโรงเรียน ซึ่งในกลุ่มของเด็กนักเรียน ม.1 -ม.3 สามารถแยกขยะได้ถูกต้อง แต่น้องเล็กๆ เช่น ชั้น ป.1 ที่ยังทิ้งขยะไม่ถูก พี่ๆก็จะต้องช่วยแนะนำให้ นอกจากนี้ แพรวยังบอกด้วยว่า อยากให้ทุกคนมาช่วยปลูกต้นไม้และปลูกป่ากันให้มากขึ้น เพราะทำให้สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีไปถึงชุมชุนที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาชีพประมง

ด.ช.สิทธิพงศ์ หงษ์กลิ่น หรือน้องมิค อายุ 14 ปี เพื่อนร่วมชั้นเรียนของน้องแพรว กล่าวว่า ได้เรียนรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน การปลูกป่า สัตว์ชนิดต่างๆที่อาศัยในป่าชายเลน รวมไปถึงการแยกขยะ จากฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยร่วมกิจกรรมเก็บขยะและปลูกต้นไม้ ที่โรงเรียนนำนักเรียนไปร่วมกิจกรรม รู้สึกว่าตอนนี้ป่าชายเลนในพื้นที่บ้านเรามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน อยากให้มีการปลูกป่ากันเยอะๆ จะได้อากาศที่ดี น้ำใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่บ้านเราอยากให้มีการรณรงค์ไม่ให้มีการทิ้งขยะลงแม่น้ำ

ซีพีเอฟ มีเป้าหมายขยายการสร้างเครือข่ายพันธมิตรรักษ์โลกให้กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ให้กับเด็ก เยาวชน ซึ่งในปี 2566 นี้ บริษัทฯมีเป้าหมายเข้าถึงเด็กนักเรียนในสถานศึกษาต่างๆรวม 6,000 คน ปลูกฝังความตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังสำคัญ คิด สร้างสรรค์ และสานต่อโครงการดีๆ โดยใช้กิจกรรม “ปันรู้ ปลูกรักษ์” เป็นส่วนหนึ่งของการนำร่องความร่วมมือทำสิ่งดีๆ เพื่อตอบแทนชุมชน สังคม และประเทศชาติที่ต้องทำด้วยใจ ซึ่งซีพีเอฟพร้อมเดินหน้าสร้างแนวร่วมรักษ์โลกที่จะมาช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน สร้างสังคมและสร้างโลกใบนี้ให้น่าอยู่ไปด้วยกัน

“ทรีนีตี้” จัดบรรยายความรู้การเงินการลงทุนให้นักศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ฯ ม.กรุงเทพ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้จัดบรรยาย Technical Analysis ในหัวข้อ “รู้แค่ 5 ข้อก็ลงทุนได้ ฉบับมือใหม่สายลงทุน” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนให้แก่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์และการลงทุน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 240 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อเร็วๆ นี้   

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 2 ปีซ้อน

0

เมืองไทยประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตชั้นนำ ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานประจำปี 2566 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน  จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน  โดยเป็นผลสัมฤทธิ์จากความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพ พร้อมเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า  บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาและการบริหารจัดการด้านบุคลากรอย่างมืออาชีพ  มุ่งมั่นส่งเสริมการทำงานเป็นทีมที่มีแรงบันดาลใจสูง โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบและความร่วมมือ     ทำให้พนักงานมีความเชื่อมั่นในองค์กรและมีความสุขในการทำงาน เราเชื่อว่าความสำเร็จขององค์กรขึ้นอยู่กับความพอใจและความสุขของพนักงานที่เป็นประโยชน์ต่อกันและต่อองค์กรโดยรวม  ทั้งนี้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและเอื้อต่อการเติบโตของพนักงาน บริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถ ตลอดจนการเสริมสร้างสวัสดิการแรงงานที่ดีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของพนักงานในทุกมิติ  รวมถึงสวัสดิการทางการเงิน สวัสดิการสุขภาพ และโอกาสความก้าวหน้าในการพัฒนาทางอาชีพ  เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพทางทีมงานและวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง  ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในการสร้างการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างผลงานที่ดีขึ้น

สาระ ล่ำซำ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายและกฎระเบียบด้านแรงงานและสวัสดิการแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของพนักงานในปัจจุบันที่มีความหลากหลายของพนักงานและความหลากหลายทางเจนเนอเรชัน   สำหรับในด้านสวัสดิการและสิทธิพิเศษนั้น บริษัทฯ มีการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมที่มีความเปลี่ยนแปลงและหลากหลาย  อาทิ  การอนุญาตให้ลาหยุดเพื่อการสมรสของพนักงานโดยไม่จำกัดเพศ   การอนุญาตให้ลาหยุดพิเศษในเดือนเกิด  การให้พนักงานชายสามารถลาหยุดกรณีภรรยาคลอดบุตร  นโยบาย  Working from anywhere (WFA)    การส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงาน  ไม่ว่าจะเป็น การสนับสนุนให้ออกกำลังกาย โดยการจัดแข่งขันวิ่งมาราธอน การจัดแข่งขันไตรกีฬา  ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการฝึกอบรมและฝึกซ้อมก่อนการลงแข่งขันจริง  

การดำเนินการด้านส่งเสริมสถานที่การออกกำลังกาย (Live & Fit @ Muangthai Fitness) ให้มีความพร้อมรองรับพนักงานและมีความทันสมัย โดยบริษัทฯ ได้ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดให้มีการฝึกสอนจากผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้อย่างถูกต้อง   ในด้านสุขภาพทางใจนั้น บริษัทฯ ยังได้รับจัดนักจิตวิทยามาให้คำปรึกษาแก่พนักงาน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการทำงาน 

การปรับสวัสดิการแบบยืดหยุ่นให้ตรงกับความต้องการของพนักงาน  (Personalized Benefits)  ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญในการบริหารสวัสดิการและการจัดการทรัพยากรบุคคลขององค์กร เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญและใส่ใจในความเป็นอยู่ของพนักงาน  โดยสามารถดำเนินการเพื่อปรับสวัสดิการแบบยืดหยุ่น จัดแผนสวัสดิการที่หลากหลายเพื่อให้พนักงานได้เลือกตามความต้องการและสถานการณ์ส่วนบุคคล เช่น แผนประกันสุขภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีครอบครัวหรือโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพส่วนบุคคล

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดจากคณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐ ในการพิจารณาตัดสิน โดยผลสัมฤทธิ์ที่ออกมานั้น บริษัทฯ ได้รับการพิจารณาและคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานประจำปี 2566 เป็นครั้งที่ 2  นับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งและเป็นแรงผลักดันให้บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานสำหรับพนักงาน บริษัทฯ จะดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับพนักงานเป็นสำคัญ และพร้อมเป็นสถานประกอบการที่เต็มไปด้วยโอกาสและมอบสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน

 “บริษัทฯ ขอขอบคุณพนักงานทุกคนที่มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอขอบคุณกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ที่ได้รับการพิจารณาและคัดเลือกให้เราเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นในด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน  ทั้งนี้บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อประโยชน์ของพนักงานทุกคน” นายสาระ กล่าว

รู้เก็บรู้ออม : Smart Choice พอยต์แลกกองทุน

0

“คุณนายพารวย” เป็นคนหนึ่งค่ะที่ชื่นชอบการสะสมคะแนนจากการใช้บัตรเครดิต เพราะถ้าเราใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีแล้ว ต้องถือว่าเป็นวิธีการบริหารเงินที่ดีเลยทีเดียว ส่วนคะแนนที่สะสมไว้ ก็สามารถใช้แลกเป็นส่วนลด ทำให้เราจ่ายค่าสินค้าและบริการได้ถูกกว่าการจ่ายด้วยเงินสด

จนได้มารู้จักโครงการ Point to Invest ของ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” นี่แหละ ที่ช่วยทำให้คุณนายพารวยสามารถใช้คะแนน หรือพอยต์ในบัตรได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ใช่มีพอยต์เท่าไร ก็หมดไปกับการช็อปปิ้งเสียหมด เรียกได้ว่า โครงการนี้ ตอบโจทย์คนที่ชอบสะสมพอยต์และสนใจเรื่องการเงินการลงทุนได้แบบถูกใช่เลยทีเดียวค่ะ

Point to Invest เป็นทางเลือกใหม่ให้คนมีพอยต์สามารถใช้แลกคะแนนสะสมได้หลากหลายทางเลือกมากขึ้น เป็นการส่งเสริมให้เกิดการเริ่มต้นการลงทุนแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่เปลี่ยนพอยต์หรือคะแนนจากการใช้จ่ายบัตรเครดิตที่มีสะสมอยู่มาเป็นกองทุนรวม

ตอนนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรหลายแห่ง เพิ่มความหลากหลายให้มากยิ่งขึ้น ทั้งบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ ทั้งของไทยพาณิชย์, กรุงเทพ, กสิกร, กรุงศรี, กรุงศรี First Choice, KTC, ทหารไทยธนชาต และยูโอบี รวมไปถึงบัตรสะสมคะแนนต่างๆ อย่างบัตรเมืองไทยสไมล์คลับ, บัตรสมาชิกบางจาก, บัตรสมาชิก Blue Card และบัตรสมาชิก OCEAN CLUB

เรียกได้ว่าเป็น “Smart Choice ใช้พอยต์แลกกองทุนรวม” ตัวเลือกสุดคุ้ม ที่ช่วยให้เราเปลี่ยนทุกคะแนนจากการใช้จ่ายเป็นกองทุนรวมกับหลากหลายพาร์ตเนอร์ที่ร่วมโครงการ เปิดโอกาสให้เราใช้ประโยชน์จากพอยต์บัตรเครดิตหรือบัตรสะสมคะแนนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

ส่วนประเภทกองทุนรวมที่สามารถใช้พอยต์แลกได้ ก็มีหลากหลายประเภท ทั้งกองทุน SSF RMF กองทุนรวมตลาดเงิน และอื่นๆ โดยแต่ละบัตรเครดิตและบัตรสะสมคะแนนก็มีเงื่อนไขการใช้พอยต์แตกต่างกัน ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.setinvestnow.com/th/pointtoinvest 

“คุณนายพารวย” อยากชวนให้คนยุคใหม่มาสร้างโอกาสในการลงทุนสำหรับทุกการใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ด้วยการเปลี่ยนแต้มเป็นเงินลงทุนกันดีกว่า เพราะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และความมั่นคงทางการเงินในอนาคต ทำให้เงินมีโอกาสงอกเงยจากพอยต์ที่เราเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนในกองทุน ซึ่งสามารถขายกลับคืนมาเป็นเงินต้นและผลตอบแทนในภายหลัง

ที่สำคัญ โครงการดีๆแบบนี้ นอกจากจะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและสะดวกแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนของคนไทยให้มากขึ้นอีกด้วย

เริ่มเลยวันนี้…ลงทุนได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เงิน แค่ใช้พอยต์แลกคุ้มค่าจริงๆค่ะ.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กรมปศุสัตว์ สนธิกำลัง ตำรวจ ปคบ. บุกจับ “ช็อปหมู” กวาดล้าง “หมูเถื่อน”

0

 กรมปศุสัตว์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) บุกค้น “ช็อปหมู” ในจังหวัดชลบุรี พบการเคลื่อนย้ายซากสุกรผิดกฎหมายมาจากจังหวัดนครปฐม และจังหวัดนครราชสีมา น้ำหนักรวม 10,307.4 กิโลกรัม ซึ่งเป็นปฏิบัติการตามนโยบายป้องกันโรคระบาดสัตว์และการปราบปราม “หมูเถื่อน” เพื่อความมั่นคงทางอาหารของไทย
 
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า วันนี้ (11 ส.ค. 2563) เมื่อเวลา 00.03 น. ชุดเฉพาะกิจกรมปศุสัตว์ ประกอบด้วย ด่านกักกันสัตว์ชลบุรี ด่านกักกันสัตว์ลาดกระบัง และด่านกักกันสัตว์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. เข้าตรวจสอบร้านโชคอำไพหมูสด ตลาดรัตนากร ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายเนื้อและชิ้นส่วนสุกรรายใหญ่ เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าร้านดังกล่าวมีการลักลอบเคลื่อนย้ายเนื้อและชิ้นส่วนสุกรมาจากพื้นที่ต่างจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ทราบแหล่งที่มา การขนย้ายไม่ถูกสุขอนามัย อาจทำให้มีการปนเปื้อนเชื้อก่อโรคที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และนำมาจำหน่ายในราคาถูกเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด

ชุดเฉพาะกิจกรมปศุสัตว์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. ได้แสดงตนขอเข้าตรวจค้นห้องเย็นของร้านจำนวน 3 ห้อง และรถกระบะ 3 คัน ซึ่งใช้เป็นพาหนะในการขนย้ายซากสุกรน้ำหนักรวม 10,307.4 กิโลกรัม มาจัดเก็บไว้ที่ห้องเย็นของร้านโชคอำไพหมูสด ประกอบด้วย

  • รถกระบะห้องเย็น ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 1ฒฒ 2193 กทม เคลื่อนย้ายซากสุกรมาจากจังหวัดนครปฐม มีน้ำหนักชิ้นส่วนสุกร จำนวน 3,123.8 กิโลกรัม
  • รถกระบะคอก ยี่ห้อมิตซูบิชิ ทะเบียน 1ฒย 4488 กทม เคลื่อนย้ายซากสุกรมาจากจังหวัดนครปฐม น้ำหนักชิ้นส่วนสุกร จำนวน 3,391.7 กิโลกรัม
  • รถกระบะคอก ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บย-9373 กำแพงเพชร น้ำหนักชิ้นส่วนสุกร จำนวน 3,791.9 กิโลกรัม
     
    จากการตรวจสอบพบว่า รถกระบะทั้ง 3 คัน เข้าข่ายการเคลื่อนย้ายซากสุกรโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ และผู้ประกอบการตัดแต่งและจำหน่ายเนื้อสัตว์ดังกล่าว เข้าข่ายมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 22 เคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ในเขตเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ มีความผิดตามมาตรา 65 จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ประกอบการตัดแต่งและจำหน่ายเนื้อสัตว์ดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ.2559 มาตรา 37 ห้ามมิให้ผู้ใดชำแหละและตัดแต่งเนื้อสัตว์ เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ ที่มิได้รับการรับรองให้จำหน่ายเนื้อสัตว์ มีโทษตามมาตรา 56 จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 38 ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่มิได้รับการรับรอง (ไม่มีใบ รน.) มีโทษตามมาตรา 62 จำคุก ไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
     
    ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการอายัดเนื้อสุกรทั้งหมดไว้ที่ห้องเย็นโชคอำไพหมูสด และรถยนต์ทั้ง 3 คัน ที่ใช้กระทำความผิด และสุ่มเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ เพื่อตรวจหาเชื้อโรคระบาดสัตว์ เชื้อจุลินทรีย์ ก่อโรค และสารตกค้างปนเปื้อน ตามมาตรฐานการป้องกันที่ดี โดยได้นำเอกสารการเข้าตรวจสอบ ไปลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี ที่สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
     
    “การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “หมูสะอาด” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของกรมปศุสัตว์ ที่มีเป้าหมายในการควบคุม เฝ้าระวังโรคระบาด ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรเลี้ยงและขายสุกรได้ในราคาที่พออยู่ได้ไม่ขาดทุน เพื่อสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารให้กับคนไทยทุกคน” นายสัตวแพทย์สมชวน กล่าว

AIS เปิดแคมเปญ “อุ่นใจมากแม่” ให้ดูฟรี HBO จัดเต็มสิทธิพิเศษและประกันอุบัติเหตุ พร้อมเน็ตฟรี

0

AIS เชื่อมต่อความอุ่นใจให้ทุกการบอกรักแม่มีความหมายมากขึ้น กับแคมเปญ “อุ่นใจมากแม่” เต็มอิ่มกับช่วงเวลาพิเศษด้วยสุดยอดความบันเทิงดูฟรี HBO ทั้ง 5 ช่อง ตลอดวัน จัดเต็มสิทธิพิเศษและรับประกันอุบัติเหตุ คุ้มครองนานสูงสุด 1 ปี พร้อมเน็ตฟรี 3  GB นาน 24 ชั่วโมง ให้ลูกได้บอกรักเเม่

AIS ร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งการบอกรักแม่ พร้อมเป็นสื่อกลางเชื่อมต่อความรักและความอุ่นใจให้วันแม่ปีนี้พิเศษมากยิ่งขึ้นแบบคูณ 2 กับแคมเปญ “อุ่นใจมากแม่” Happy Mother’s Day ด้วยการมอบประสบการณ์ความพิเศษที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น มอบอินเทอร์เน็ตบอกรักแม่ 3 GB ใช้งานได้ฟรี 24 ชม. พร้อมการรับชมคอนเทนต์ ความบันเทิงระดับโลกให้แม่ลูกได้ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันด้วยการดูฟรี 5 ช่องจาก HBO ตลอดทั้งวัน และยังมอบประกันอุ่นใจแทนความห่วงใยให้กับทุกคนในครอบครัวที่คุ้มครองนานถึง 1 ปี รวมถึงสุดยอดสิทธิพิเศษกับของขวัญส่งความสุขให้ลูกได้ พาแม่อิ่ม พาแม่เที่ยว พาแม่ช้อป ที่จะทำให้การบอกรักแม่มีความหมายมากยิ่งขึ้น

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “วันแม่ปีนี้ ผมขอเป็นตัวแทนชาว AIS ในการเป็นศูนย์กลางเพื่อเชื่อมต่อความสุข และส่งมอบความอุ่นใจให้ลูกค้า ได้แสดงความรักที่มีต่อแม่ผ่านประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดจาก AIS พร้อมกันนี้ เรายังมอบความพิเศษให้คุณแม่และทุกคนในครอบครัวได้รับชมความบันเทิงระดับโลก ดูฟรี 5 ช่องของ HBO บน AIS PLAY และที่สำคัญวันนี้เรายังจัดเต็มสิทธิพิเศษที่จะเป็นของขวัญแทนใจให้ลูกได้ใช้เวลาพิเศษร่วมกัน เพื่อทำให้วันแม่ปีนี้อุ่นใจมากกว่าเดิม และมีความหมายมากยิ่งขึ้น”

อุ่นใจมากขึ้นกับอินเทอร์เน็ตฟรีบอกรักแม่ พิเศษสำหรับลูกค้ารายเดือน และเติมเงินของ AIS รับอินเทอร์เน็ตบอกรักแม่ 3 GB ฟรี!! สามารถใช้งานได้ 24 ชม. โดยกดรับสิทธิ์ผ่าน myAIS app จำกัดเพียง 100,000 สิทธิ์เท่านั้น (ช่วงเวลาการรับสิทธิ์ 11-13 สิงหาคม 2566)

อุ่นใจไปกับช่วงเวลาพิเศษมอบคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลก ดูฟรี HBO 5 ช่อง HBO, HBO Signature, HBO Hits, HBO Family และ Cinemax บนแอพพลิเคชั่น AIS PLAY และกล่อง AIS PLAYBOX เต็มอิ่มตลอดทั้งวันที่ 12 สิงหาคมนี้ สามารถรับชมได้ทุกคน ไม่ต้องกดรับสิทธิ์ และไม่ต้องมีแพ็ก ก็ชมฟรีได้เลย!!

ประกันอุ่นใจ แทนความห่วงใยให้กับทุกคนในครอบครัว แจกฟรี ประกันอุบัติเหตุ คุ้มครองนานถึง 1 ปี คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 500 บาท/ครั้ง คุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 40,000 บาท จำกัดเฉพาะ 50,000 ท่านแรกเท่านั้น รับสิทธิ์ผ่านทาง myAIS ไลฟ์สไตล์ & บริการ หมวดประกัน ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม – 30 กันยายน 2566 

อุ่นใจยิ่งกว่าด้วยสิทธิพิเศษ เป็นของขวัญ และสร้างช่วงเวลาพิเศษให้คุณแม่ AIS Serenade คัดสิทธิพิเศษให้เข้ากับทุกเทศกาลเพื่อมอบให้กับลูกค้า อย่างเทศกาลวันแม่ในเดือนสิงหาคมกับสิทธิพิเศษตรงใจ ทั้งพาแม่อิ่ม พาแม่เที่ยว พาแม่ช้อป และสิทธิพิเศษอีกมากมาย เพื่อมอบเป็นของขวัญสุดเอ็กคลูซีฟ พร้อมเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว

สามารถติดตามข้อมูลและรับสิทธิพิเศษได้ผ่านแอปพลิเคชัน myAIS