Home Blog Page 127

รู้เก็บรู้ออม : เชียร์ตลาดหุ้นไทยมูฟออน

0

สวัสดีปีใหม่ แฟนๆคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมฯ” คุณนายพารวยขอถือโอกาสนี้ อวยพรให้ทุกท่านมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังทุกประการ รวมทั้งเรื่องการลงทุน ถือหุ้นตัวไหนไว้ ก็ขอให้เขียวยกพอร์ต

ต้องยอมรับว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยสดใส ทั้งจากปัจจัยภายในที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ดีนัก แล้วยังมาโดนซ้ำเติมจากเกมการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล และโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ จนทำให้ตลาดหุ้นบ้านเราปรับตัวลงอีกรอบ และแม้ว่าเราจะได้รัฐบาลใหม่แล้ว แต่บางนโยบายที่ยังไม่ชัดเจน เช่น การแจกเงินดิจิทัล ก็สร้างแรงกดทับให้ตลาดหุ้นไทยสาละวันเตี้ยลงไปอีก

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นและจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ, สงครามรัสเซีย-ยูเครน, สงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยสะบักสะบอม จนตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนติดลบ ถือเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเจอคลื่นปัญหาอุปสรรคโหมกระแทกเข้าใส่หลายระลอก

อย่างไรก็ตาม “คุณนายพารวย” ได้อ่านบทความเรื่อง “ถูกแล้วถูกอีก…ถึงเวลาซื้อหุ้นไทยแล้วหรือยัง” โดยคุณอธิป กีรติพิชญ์ ทำให้รู้สึกกลับมามีความหวัง และกำลังใจอีกครั้ง ด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัจจัย 3 ตัวที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว และคึกคักอีกครั้งในปี 2567 นี้

ปัจจัยตัวแรก คือ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายน่าจะสิ้นสุดแล้ว เราไม่น่าเห็นขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นหลายครั้งแบบปีที่ผ่านมาอีก แต่ดอกเบี้ยนโยบายจะมีทิศทางเป็นขาลง เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

ปัจจัยตัวต่อมา คือ “การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน” คาดว่าปี 2567 นี้ กำไรสุทธิจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว, การฟื้นตัวของการบริโภคจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา โดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ช่วยสร้างกำลังซื้อในประเทศ รวมทั้งการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวแรง และประเด็นความขัดแย้งที่เป็นความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จนทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ไทย ทำให้คาดว่า GDP จะขยายตัว 6% โดยปี 2567 นี้ ไทยจะเป็นไม่กี่ประเทศที่ GDP มีการเติบโต เพราะคาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจชะลอตัวทั้งในสหรัฐฯ และจีน จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทย จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

และปัจจัยสุดท้าย คือ “มูลค่าหุ้น” ตลอดปี 2566 ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงในระดับที่ถือว่ามากแล้ว หุ้นใหญ่ และหุ้นพื้นฐานหลายตัวมีมูลค่าหุ้นที่ต่ำลงอยู่ในระดับที่น่าสนใจต่อการลงทุน จากค่า P/E และ P/BV ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต จะส่งผลให้ความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น

ปัจจัยทั้งสามตัวนี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนคงต้องจับตามอง เพื่อเล็งโอกาสลงทุน พร้อมกับส่งใจเชียร์ให้ตลาดหุ้นไทยได้ฟื้นตัว และใส่เกียร์มูฟออน กลับมาคึกคักไปตลอดปี 2567 นี้ !

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภาคใต้

0

 

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งประสบเหตุอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ จึงได้ร่วมกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานจิตอาสา ร่วมจัดถุงยังชีพ จำนวน 2,000 ชุด ซึ่งบรรจุด้วยอาหาร เครื่องใช้ และสิ่งของจำเป็นต่อการยังชีพ เพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน โดยมีตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิตในพื้นที่ดำเนินการส่งมอบ      ถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยต่อไป กิจกรรมจัดถุงยังชีพจัดขึ้น ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการตอบแทนเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังการพัฒนา สร้างสรรค์ ให้สังคมเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและอยู่ได้อย่างยั่งยืน  ซึ่งการจัดกิจกรรมจัดถุงยังชีพ      ในครั้งนี้ เราหวังว่าจะเป็นส่วนช่วยในการฟื้นฟูและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี และขอเป็นกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ดังกล่าวไปได้

“แม็คยีนส์” ร่วม Easy E-Receipt 2024 ชวนช้อป ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ทุกสาขาทั่วไทย!

0

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ขานรับมาตรการ “Easy E-Receipt” หรือการลดหย่อนภาษี ปี 2567 ของภาครัฐ ที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท เฉพาะที่ได้รับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น (เงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนด ของกรมสรรพากร)

เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าร่วมสนับสนุนมาตรการรัฐลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt พร้อมหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2567 สูงสุดถึง 50,000 บาท เพียงซื้อสินค้าที่ร้านแม็คยีนส์ ทุกสาขาทั่วประเทศ 557 จุดขาย หรือซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.mcshop.com ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ (สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีเฉพาะใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น)

สำหรับโครงการ Easy E-Receipt ที่เริ่มขึ้นในต้นปี 2567 นี้ เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ พร้อมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสนับสนุนการใช้จ่ายได้ตรงจุด ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงต้นปีนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในตลาดค้าปลีกภาพรวมทั้งประเทศที่จะทำให้มีเงินสะพัดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ซื้อสินค้าที่ร้านแม็คยีนส์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.mcshop.com พร้อมหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2567 สูงสุดถึง 50,000 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/mcjeans

เมืองไทยประกันชีวิต จัดพิธีทำบุญเสริมสิริมงคล ต้อนรับปีใหม่ 2567

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญเสริมสิริมงคล เนื่องในโอกาสต้อนรับปีใหม่ ปี 2567 เริ่มต้นศักราชใหม่กับปีมังกร (ปีมะโรง) โดยมี นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ            เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนางยุพา ล่ำซำ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นางนวลพรรณ ล่ำซำ  ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ  ผู้บริหารและพนักงานร่วมในพิธี  

พร้อมประกาศเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง  รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และคุณภาพการให้บริการที่ดี เข้าถึงได้ง่าย เพื่อส่งมอบแก่ผู้เอาประกันทุกท่าน  ในฐานะองค์กรที่มีการบริหารงานอย่างมีจรรยาบรรณและยึดหลักบรรษัทภิบาล (Good Corporate Governance) ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาวเพื่อสร้างสมดุล   ทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง  พร้อมอยู่เคียงข้างดูแลในทุกช่วงของชีวิต  ทุกเจนเนอเรชัน และทุกบทบาทของชีวิต  โดยงานจัดขึ้น  ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ 

แนะเลือกภาชนะอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟให้ปลอดภัย

0
อาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ ย้ำภาชนะพลาสติกสามารถใช้อุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย ระบุต้องใช้พลาสติกสำหรับเข้าเตาไมโครเวฟเท่านั้น ชี้การทดลองในต่างประเทศที่พบไมโครพลาสติกในน้ำยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ขอผู้บริโภคอย่าเพิ่งตระหนก
รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เตาไมโครเวฟ เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับอุ่นอาหาร โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ไมโครเวฟ ทำให้อาหารสุกได้ในระยะเวลาสั้น มีความปลอดภัย อำนวยความสะดวกในการปรุงอาหารได้มาก โดยเฉพาะตามร้านสะดวกซื้อ เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ จึงเป็นที่นิยมในทุกครัวเรือน

สำหรับกลไกการทำงานของเตาไมโครเวฟ เกิดจากน้ำที่อยู่ในอาหาร ซึ่งดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ไมโครเวฟได้ดีที่สุด ทำให้โมเลกุลของน้ำสั่นสะเทือน เสียดสีจนเกิดความร้อนขึ้น ทำให้อาหารร้อนและสุก ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันตรายกับมนุษย์ และสามารถพบเจอคลื่นไมโครเวฟได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น เร้าเตอร์ ไวไฟ (router wifi)

การอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ ยังคงคุณค่าสารอาหารมากกว่าการให้ความร้อนชนิดอื่น เพราะใช้ความร้อนในระยะเวลาที่น้อยกว่า ทั้งนี้คลื่นไมโครเวฟไม่มีการทิ้งของเสียหรือสารเคมีลงไปในอาหาร เพราะเป็นเพียงคลื่นที่วิ่งผ่านไปมา จึงไม่ได้ก่อให้เกิดเป็นมะเร็ง

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “ข้อควรระวัง ในการใช้เตาไมโครเวฟ ควรเลี่ยงภาชนะที่เป็นโลหะ เช่น จาน-ชามที่มีขอบทอง หรือ ช้อนส้อม ที่อาจเผลอใส่เข้าไป แม้แต่ฟอยล์ก็ตาม คลื่นไมโครเวฟที่เจอโลหะ จะทำให้อิเล็คตรอนที่อยู่ในโลหะขยับไปมาอย่างรวดเร็ว และอาจเกิดประกายไฟทำให้ตู้เสียหายได้ ส่วนการระเบิดเกิดจากการนำอาหารบางอย่างเข้าไป อาทิ การทำไข่ต้ม เพราะภายในไข่มีน้ำอยู่ ความร้อนจะทำให้น้ำขยายตัวและเกิดความดันขึ้นทำให้ไข่แตกระเบิดได้ ส่วนภาชนะที่เหมาะสมสำหรับใส่เตาไมโครเวฟ คือ จานกระเบื้อง แก้ว และเซรามิก”

นอกจากนี้ หากเป็นภาชนะพลาสติก ควรใช้ภาชนะพลาสติกคุณภาพดีสำหรับเข้าเตาไมโครเวฟเท่านั้น ซึ่งสังเกตได้โดยพลิกดูเครื่องหมายสามเหลี่ยม ซึ่งจะมีตัวเลขระบุชนิดของพลาสติก โดยเบอร์ 1 จะเป็นพลาสติกประเภท PET (Polyethylene Terephthalate) และเบอร์ 5 จะเป็นประเภท PP (Polypropylene) ที่สามารถนำเข้าเตาไมโครเวฟได้เพราะมีจุดหลอมเหลวสูง ข้อควรระวังแม้ว่าจะเป็นพลาสติก PET แต่ต้องมีระบุว่า ไมโครเวฟเซฟ (Microwave Safe) ด้วย โดยผู้ผลิตที่เชื่อถือได้และใส่เครื่องหมายนี้บนภาชนะ แสดงให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าภาชนะพลาสติกนั้นสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้นำกลับมาใช้ซ้ำ

กรณีการเผยแพร่ผลงานวิจัย เรื่องเตาไมโครเวฟ โดยนำผลงานวิจัยจากหลายแห่งมารวมกัน และให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการสลายตัวของพลาสติกเป็นไมโครพลาสติกด้วยการใช้เตาไมโครเวฟ โดยผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา สหรัฐอเมริกา ได้ทำวิจัยทดลองนำขวดนม PP ของเด็กใส่น้ำและเติมกรดลงไปเล็กน้อย เป็นการจำลองเหมือนใส่อาหาร จากนั้นนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ 3 นาที และนำไปตรวจหา ไมโครพลาสติก หรือ นาโนพลาสติก พบว่ามีจำนวนในระดับ พันล้านชิ้น ต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรของพลาสติก จากนั้นมีการทำวิจัยต่อ โดยนำเนื้อเยื่อของตับไปแช่ในสารละลายที่มีไมโครพลาสติกปริมาณสูง พบว่าเนื้อเยื่อเหล่านั้นตาย แต่งานวิจัยสองส่วนนี้มีความเข้มข้นของปริมาณไมโครพลาสติกต่างกันมากถึงหลักล้านเท่า จึงไม่สามารถเชื่อมโยงงานวิจัยกันได้โดยตรงว่าไมโครพลาสติกทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อตับของผู้บริโภค

แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะพบไมโครพลาสติกอยู่จริง และกล่าวอ้างว่าเด็กที่กินนมจากน้ำที่อุ่นด้วยเตาไมโครเวฟจะได้รับไมโครพลาสติก แต่ไม่ได้เป็นปริมาณที่ยืนยันทางการแพทย์ว่ามากพอที่จะทำให้เด็กได้รับอันตราย ทั้งนี้ ไม่เคยมีการทดลองกับมนุษย์ด้วยการดื่มน้ำและเจาะเลือดหาไมโครพลาสติก จึงไม่อาจทราบได้ว่าร่างกายสามารถกำจัดไมโครพลาสติกเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด แม้จะพบงานวิจัยในหนู หรือเนื้อเยื่อของหนูบางสายพันธุ์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าปริมาณนั้นถือว่าน้อยหรือมากและอันตรายหรือไม่

ทั้งนี้ไมโครพลาสติกยังสามารถพบได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำ เช่น เวชสำอาง ลิปมัน เกลือ หรือแม้แต่ถุงชา จึงยังต้องใช้การวิจัยอีกพอสมควรจึงจะทราบถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งปัญหาของการทดลองประเภทนี้ คือ ขาดกลุ่มควบคุม (control group) เพราะปัจจุบันไม่มีมนุษย์ที่ไม่เคยเจอไมโครพลาสติกเลย มาทดลองเจาะเลือดเพื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ที่เจอไมโครพลาสติกอยู่เป็นระยะในชีวิตประจำวัน

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟยังไม่เคยพบปัญหาที่ทำให้มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยหรือเกิดโรคภัย ทั้ง ๆ ที่มีการใช้เตาไมโครเวฟอย่างแพร่หลายเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันที่ดีว่าอาหารที่อุ่นจากเตาไมโครเวฟไม่สร้างปัญหาสุขภาพ ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ สิ่งที่ผู้บริโภคควรตระหนักคือ การเลือกภาชนะที่ใช้อย่างเหมาะสม และเตาไมโครเวฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะมั่นใจในการใช้งานเตาไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย

ซีพีเอฟ ชวนร่วมดูแลโลกยั่งยืน พัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ รักสุขภาพ รักษ์โลก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำความมุ่งมั่นบนเส้นทางธุรกิจสีเขียว (Green Business) พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและผลิตภัณฑ์ปลอดคาร์บอน ชวนคนไทยร่วมดูแลโลกอย่างยั่งยืน สนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ไปด้วยกัน ชูกลุ่มผลิตภัณฑ์หมู ไก่ กุ้ง และไข่ไก่ ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส รายแรกของไทยที่ได้รับรองฉลากคาร์บอน ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์สีเขียวเป็น 40 % ภายในปี 2030

นางสาวอรพรรณ มั่งมีศรี ผู้อำนวยการสำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการที่ดี และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา บริษัทฯไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) และดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG (Environment Social Governance) ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งตั้งแต่ปี 2552 – ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Label) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. รวม 880 รายการ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ หมู ไก่ กุ้ง เป็ด และ ไข่ไก่ ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) อาทิ ในกลุ่มกุ้ง ได้รับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตั้งแต่ อาหารกุ้ง ลูกกุ้ง กุ้งสด กุ้งแช่แข็ง และเกี๊ยวกุ้ง เป็นต้น

ซีพีเอฟมีผลิตภัณฑ์คาร์บอนตํ่าที่ได้รับรองฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction Label) จำนวน 56 รายการ อาทิ อาหารไก่เนื้อ ไก่มีชีวิต สุกรขุน เนื้อไก่สด เนื้อหมูสด และไข่ไก่ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ยังได้รับฉลากคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Product) รวม 2 รายการ ได้แก่ ไข่ไก่ Cage Free แบรนด์ยูฟาร์ม (U Farm) แพ็กเกจขนาด 4 ฟอง/แพ็ก และขนาด 10 ฟอง/แพ็ก นับเป็นไข่ไก่เคจฟรี (ไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบไม่ขังกรง) ปลอดคาร์บอนรายแรกของทวีปเอเชีย ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการลดคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด และจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เท่ากับศูนย์

นอกจากนี้ ในปี 2566 มีผลิตภัณฑ์ใหม่ของซีพีเอฟที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก. จำนวน 62 รายการ และในจำนวนดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส อาทิ นักเก็ตไก่จากพืช เนื้อบดจากพืช ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส รายแรกของประเทศไทยที่ได้รับรองฉลากคาร์บอน

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 880 รายการ ผลิตภัณฑ์คาร์บอนตํ่าที่ได้รับรองฉลากลดโลกร้อน 56 รายการ และไข่ไก่ปลอดคาร์บอน 2 รายการ ช่่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่ต่ำกว่า 2.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยซีพีเอฟ มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2023 สัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์สีเขียวของบริษัทฯจะอยู่ที่ 38 % และเพิ่มเป็น 40 % ในปี 2030 ซึ่งปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำที่ได้รับรองจากอบก. หลายรายการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม อาทิ ไข่ไก่สด ซีพี ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 30 % เนื้อไก่สด 50 % และเนื้อหมูสด 13 % สอดคล้องกับความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำของผู้บริโภคทั่วโล

ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ซีพีเอฟ ได้มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ โดยปฏิบัติตามหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐาน ISO 14040 ISO 14044 และ ISO 14067 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกใช้วัตถุดิบ การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ และการแปรรูปอาหาร รวมถึงการประเมินประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศ (Eco-Efficiency Analysis) ซึ่งเป็นการประเมินประสิทธิภาพด้านต้นทุนการผลิตควบคู่ไปกับการประเมินผลกระทบของผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม

DR น้องใหม่ ‘HK 13’ อ้างอิง EIF ฮ่องกง พร้อมซื้อขาย 3 ม.ค.นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับหลักทรัพย์ DR ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่อ้างอิง ETF ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ออกโดย บล. เคจีไอ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ม.ค. นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “HK13”

DR “HK13” อ้างอิงกับ Tracker Fund of Hong Kong (2800.HK) ซึ่งเป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี Hang Seng โดยลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดย DR “HK13” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2567

DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มี ด้วยเงินบาท โดย DR จะเปิดซื้อขายแบบต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียด DR “HK13” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) www.kgieworld.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com

เมืองไทยสไมล์คลับ ส่งมอบความสุข ช้อปสนุกส่งท้ายปี Season of happiness

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี เมืองไทยประกันชีวิต โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ได้รวบรวมสิทธิพิเศษจากศูนย์การค้าชั้นนำ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขพร้อมเอาใจสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสายช้อป ช้อปได้ทุกสไตล์แบบจัดเต็มส่งท้ายปี ณ ศูนย์การค้าชั้นนำหรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ร่วมรายการ ตอบโจทย์ทุกโมเมนต์แห่งความสุขได้ง่ายๆ เพียงแลกคะแนนสะสม Smile point ผ่าน MTL Click Application ดังนี้

Central let’s celebrate 2024  ใช้คะแนนสะสม 30 Smile Points แลกรับบัตรของขวัญเซ็นทรัล  มูลค่า  100 บาท จำนวน 1 ใบ จำกัดจำนวน 5 สิทธิ์ / ท่าน / เดือนกดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ แผนกลูกค้าสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ภายใน 15 นาที ระยะเวลารับสิทธิ์ 14 พฤศจิกายน 2566 -9 มกราคม 2567

THE MALL LIFESTORE JOY OF GIVING ต่อที่ 1 ใช้คะแนนสมสะ 35 Smile Points แลกรับบัตรกำนัลศูนย์การค้ามูลค่า 100 บาท จำกัด 15 สิทธิ์ / ท่าน / สัปดาห์  กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ จุดแลกรับของสมนาคุณของศูนย์การค้า ภายใน 30 นาที ระยะเวลารับสิทธิ์ 27 พฤศจิกายน 2566 – 14 มกราคม 2567 ต่อที่ 2 ช้อปในศูนย์การค้า ครบทุก 2,000 บาท รับ 2 สิทธิ์ (ลูกค้าทั่วไป 1 สิทธิ์) ลุ้นรางวัลใหญ่ CAMRY 2.5 PREMIUM มูลค่า 1,599,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ระยะเวลารับสิทธิ์ 27 พฤศจิกายน 2566 –  7 มกราคม 2567 ต่อที่ 3 ช้อปในศูนย์การค้า เพียง 7,000 บาทขึ้นไป (ปกติ 8,000 บาท) รับ Holiday Party Set (Placement 4 ชิ้น Coaster 4 ชิ้น ) มูลค่า 1,490 บาทจำกัด 1 สิทธิ์ / ท่าน / ตลอดรายการ ระยะเวลารับสิทธิ์  27 พฤศจิกายน 2566 – 14 มกราคม 2567 สถานที่รับสิทธิ์ต่อที่ 2-3 ณ จุดแลกรับของสมนาคุณของศูนย์การค้า  เดอะมอลล์ทุกสาขา โดยแสดงรูปบัตรสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับผ่าน MTL Click Application รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับสิทธิ์ (สงวนสิทธิ์งดเว้นการถ่ายภาพหน้าจอ)

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แลกพ้อยท์ช้อปฟินเวอร์ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสม 35 Smile Points  แลกรับบัตรกำนัล Magic Gift Card มูลค่า 100 บาท สมาชิกฯ 1 ท่าน แลกรับได้สูงสุด 5 สิทธิ์ / สัปดาห์ ระยะเวลารับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 พิเศษทุกวันอังคาร (Pink Day) เฉพาะเดือน ธันวาคม 2566 – มกราคม 2567 รับฟรี the1 Point 1,000 Points เมื่อช้อปสินค้าร้านใดๆ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ครบ 1,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ กรุณาแสดงใบเสร็จที่ระบุวันที่ตรงกับวันรับสิทธิ์พร้อมรหัสกับเจ้าหน้าที่ สมาชิกฯ แลกได้ 1 สิทธิ์ / สัปดาห์ / หมายเลข The1ระยะเวลารับสิทธิ์วันที่ 5, 12, 19, 26 ธันวาคม 2566 และ 2, 9,16, 23, 30 มกราคม 2567 กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ จุดแลกของสมนาคุณของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกสาขาภายใน 60 นาที

VIZ Coin ร้านค้าในเครือ ONE SIAM และ ONESIAM SuperApp สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสม 35 Smile Points เปลี่ยนเป็น 100 VIZ Coins สำหรับใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้า/บริการ ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, สยามดิสคัฟเวอรี่, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, ไอซีเอสและร้านค้าบน ONESIAM SuperApp  จำกัด จำนวน 5 สิทธิ์ / ท่าน / วัน กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application นำรหัสที่ได้ รับ VIZ Coins ผ่านแอปพลิเคชัน ONESIAM SuperApp ระยะเวลารับสิทธิ์ 1 พฤศจิกายน 2566 – 31 ตุลาคม 2567

ส.ผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร ผนึก “ลีโอ” จัดงาน KhaoSan Countdown 2024 จัดเต็มความสนุกควบคู่ความปลอดภัย ปลุกกระแสท่องเที่ยวไทยรับปีใหม่

0

สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร จับมือ แบรนด์ลีโอ, สถานีตำรวจชนะสงคราม และหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ผนึกกำลังจัดงาน “KhaoSan Countdown 2024” ร่วมส่งท้ายปี 2566 ต้อนรับปี 2567 เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2566 โดยมีกิจกรรมไฮไลท์ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 16.00 - 24.00 น. จัดเต็มความสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน และ DJ รวมไปถึงโชว์ต่างๆ ที่จะมาร่วมสร้างความสุขให้กับนักท่องเที่ยวที่มาร่วมเฉลิมฉลอง

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายลง ตลอดปี 2566 ถือเป็นปีแห่งการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ กับการจัดงาน “เคาท์ดาวน์”ตามสถานที่ไฮไลท์ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีกิจกรรมรอต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย ซึ่ง “ถนนข้าวสาร” ถือเป็นอีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรอคอยเพื่อมาพบกับความสุขและสนุกสนานต้อนรับปีใหม่

งาน KhaoSan Countdown 2024 จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “เที่ยวเมืองไทย สนุก ปลอดภัย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างความจดจำของผู้มาร่วมงาน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าสู่ปี 2567 ด้วยความสนุก ปลอดภัยกับประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจที่ไม่รู้ลืม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต และทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

กิจกรรมดังกล่าวยังถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ถนนข้าวสาร สู่เป้าหมาย 10 ล้านคน ในปี 2567 พร้อมยกระดับให้ถนนข้าวสารเป็นอีกหนึ่งจุดบนแผนที่เคาท์ดาวน์ของประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย พร้อมก้าวสู่ “แลนด์มาร์ค” สถานที่เคาท์ดาวน์ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

รู้เก็บรู้ออม : ทุนสอบ AISA สู่อาชีพการเงิน

0

อาชีพในแวดวงนักการเงินการลงทุน ถือเป็นสายอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนักวางแผนการเงิน, นักวิเคราะห์, ผู้จัดการกองทุนล้วนเป็นตำแหน่งงานที่มีรายได้สูง ยิ่งปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล ทำให้มีการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น ส่งผลให้อาชีพสายการเงินการลงทุนเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่อย่างมาก

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” มีบทบาทด้านส่งเสริมและสนับสนุน ในการยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทย รวมทั้งผลิตบุคลากรด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ป้อนสู่ตลาดทุนไทยเป็นจำนวนมาก ผ่านหลักสูตร Certified Investment and Securities Analyst (CISA) ที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

และ “โครงการ New Breed Capital Market Financial Professionals 2024” ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนา เตรียมความพร้อมให้บุคลากรมีความรู้ และทักษะตรงกับความต้องการของตลาดทุนไทย

โครงการนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนในระดับอุดมศึกษา ได้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ผ่านหลักสูตร CISA ระดับ Foundation Knowledge หรือที่เรียกว่าคุณวุฒิ AISA ซึ่งเป็นคุณวุฒิความรู้ด้านการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการใช้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเชิญชวนน้องๆนิสิต นักศึกษามาสมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อติดอาวุธความรู้ พร้อมใบเบิกทางสู่วิชาชีพด้านการเงิน โดยน้องๆ จะได้โอกาสร่วมเรียนรู้ เพื่อเข้าสอบคุณวุฒิ AISA โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนทุนในการสอบ สำหรับคนที่ผ่านเงื่อนไขที่กำหนด

สำหรับคุณสมบัติผู้สมัคร ต้องเป็นนิสิต นักศึกษาที่กำลังเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป และอายุไม่เกิน 25 ปี และปีนี้ยังขยายโอกาสให้กับคนที่จบปริญญาตรีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 25 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2545 เป็นต้นไป) สมัครได้ด้วย รวมทั้งนิสิต นักศึกษา ที่กำลังเรียนปริญญาโท หรือเอก มีอายุไม่เกิน 35 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2533 เป็นต้นไป) ก็สามารถสมัครได้เช่นกัน

ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนและสอบคัดเลือก เพื่อชิงทุนสอบคุณวุฒิ AISA จำนวน 250 ทุน และคัดเลือกเหลือ 100 คนเท่านั้นที่จะได้ร่วมกิจกรรม Exclusive Financial Career Camp สัมผัสโลกธุรกิจและการทำงานของมืออาชีพผ่านการเยี่ยมชมกิจการ ตลอดจนกิจกรรม Workshop เพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพบนเส้นทางวิชาชีพสายการเงิน

น้องๆ ที่ใฝ่ฝันอยากทำงานในวิชาชีพสายการเงินการลงทุน ต้องไม่พลาดโอกาสครั้งนี้ รีบสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 ก.พ.2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครได้เลยที่ www.set.or.th/newbreed2024  หรืออัปเดตกิจกรรมต่างๆ ของโครงการได้ที่ Facebook: SETYoungGen

คุณนายพารวย