Home Blog Page 126

แพทย์ยันเนื้อไก่ไม่ใช่ต้นเหตุโรคเกาต์ มีโปรตีนสูง ดีต่อสุขภาพ

0
สัตวแพทย์ แนะผู้บริโภคเลือกรับประทาน เนื้อไก่ โปรตีนสูง ไขมันน้อย แคลอรี่ต่ำ ดีต่อสุขภาพ พร้อมย้ำ การรับประทานเนื้อไก่อย่างพอดีไม่ได้ส่งผลให้เกิดโรคเกาต์

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ สินวัต อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ไขมันน้อย แคลอรี่ต่ำ โปรตีนสูง เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก สามารถรับประทานได้ทุกคน ทุกเพศวัย ทุกชนชาติ ศาสนา อีกทั้งราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเนื้อไก่ติดอันดับโลก ยืนยันได้ว่ามาตรฐานและความปลอดภัยในระบบการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัยด้านอาหาร

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ สินวัต

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ กล่าวว่า สำหรับความเชื่อว่าการรับประทานเนื้อไก่หรือสัตว์ปีก เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์นั้น ยืนยันว่า การกินไก่ไม่ใช่สาเหตุของการเกิดโรคเกาต์

โรคเกาต์ เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมกรดยูริก (Uric Acid) ให้อยู่ในระดับสมดุลได้ ร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้เป็นปกติ จึงเกิดการสะสมของกรดยูริกในกระแสเลือดและตามข้อปริมาณมากจนเกิดการอักเสบ ทั้งนี้ กรดยูริกเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นได้เองและอาหารที่รับประทานเป็นอีกส่วนหนึ่ง

ขณะที่ผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่ได้มีโรคประจำตัว ระบบการทำงานของร่างกายจะขับกรดยูริกออกมาทางปัสสาวะได้ตามปกติ ไม่เกิดการสะสมในร่างกายปริมาณมากเกินไป ร่างกายจึงอยู่ในภาวะปกติ

เนื้อไก่ มีสารทางชีวโมเลกุลที่เรียกว่า พิวรีน ที่ช่วยให้กระบวนการการทำงานของร่างกาย ระบบเซลล์ ทำงานได้ตามปกติ เมื่อพิวรีนเข้าสู่ร่างกาย จะผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึม ถูกเปลี่ยนแปลง ย่อยให้ไปอยู่ในรูปกรดยูริก ทั้งนี้ พิวรีนไม่ได้มีอยู่ในเฉพาะเนื้อไก่ แต่มีอยู่ในอาหารหลายๆ ประเภท อาทิ เนื้อสัตว์ชนิดอื่น หอย เครื่องในสัตว์ ผักบางชนิด รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในอาหารแต่ละชนิดจะมีปริมาณพิวรีนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ไม่ใช่เพียง เนื้อไก่ เท่านั้น ที่มีพิวรีน แต่อาหารชนิดอื่นๆ ก็มีพิวรีนด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ควรสังเกตอาการตนเองว่า เมื่อรับประทานเนื้อไก่แล้วมีอาการหรือไม่ หากไม่เกิดอาการก็สามารถรับประทานไก่ได้ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่พอดี รวมถึงอาหารชนิดอื่นๆ ด้วย หากรับประทานอาหารใดแล้วทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดข้อกำเริบ ต้องหลีกเลี่ยง ควบคู่กับการดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์

กรุงเทพโปรดิ๊วส และ แอลดีซี ร่วมมือใช้แผนที่ดาวเทียมตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่ถั่วเหลือง ยืนยันปลอดการตัดไม้ทำลายป่า

0
บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี บริษัทย่อยของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  และบริษัท หลุยส์ เดรย์ฟัส หรือ แอลดีซี ผู้ค้าและแปรรูปสินค้าเกษตรชั้นนำระดับโลก ลงนามบันทึกความเข้าใจ เพื่อสร้างความร่วมมือในการใช้แผนที่ดาวเทียมและข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับในการจัดหาถั่วเหลือง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบีเคพีปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า และร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์

กรุงเทพโปรดิ๊วส และแอลดีซี มีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2568 เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของสินค้ามากขึ้น โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันทั้งทุกมิติ ทั้งด้านการค้า ด้านเทคนิค และความยั่งยืน ครอบคลุมเรื่องการใช้ข้อมูลระบบตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงการประยุกต์ใช้แผนที่ดาวเทียมในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดหาถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจากประเทศบราซิล สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบีเคพีและซีพีเอฟในประเทศไทย รวมถึงกิจการในภูมิภาคเอเชีย

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับสร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อยกระดับการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การลงนามกับแอลดีซีในครั้งนี้เพื่อบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน มุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 และเป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนของระบบการผลิตอาหารของโลก” นายไพศาลกล่าวสรุป

นายเจมส์ โจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้า กลุ่มแอลดีซี ผู้บริหารสูงสุดด้านโซลูชั่นอาหารและอาหารสัตว์ และผู้บริหารสูงสุดประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า แอลดีซียินดีที่ได้ร่วมมือกับกรุงเทพโปรดิ๊วสในการดำเนินโครงการนำร่องการตรวจสอบย้อนกลับวัตุดิบทางการเกษตร เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยั่งยืน และช่วยลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“โครงการนี้ยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของแอลดีซีที่จะส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดทั้งกิจกรรมและการดำเนินธุรกิจของเรา โดยนำโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค เพื่อสนับสนุนอนาคตของการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน” นายเจมส์ โจว กล่าว

ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทฯ ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนและบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าร่วมกันเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังจะแสวงหาโอกาสในการบูรณาการระบบต่างๆที่รวมถึงการถ่ายโอนข้อมูลแบบเรียลไทม์ และปรับปรุงโซลูชันด้านดิจิทัลสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับให้สอดคล้องกับกฎหมายสินค้าปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR, Regulation (EU) 2023/1115) รวมถึงมาตรฐานการรับรองความยั่งยืน เช่น Round Table on Responsible Soy (RTRS) การรับรองความยั่งยืนและคาร์บอนระหว่างประเทศ (International Sustainability and Carbon Certification :ISCC) และมาตรฐาน ProTerra ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม ที่ผ่านขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และนำไปแปรรูป โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแผนปี 67-69 ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน สู่ตลาดทุนที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน

0
ตลาดหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก้าวสู่ปีที่ 50 โดยกำหนดแผนกลยุทธ์ 3 ปี (2567-2569)  มุ่งสร้างตลาดทุนไทยที่มีคุณภาพสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Delivering Market Quality x Growth)  ยกระดับความเชื่อมั่นด้วยการพัฒนาระบบและนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการป้องปรามการกระทำผิด ปกป้องผู้ลงทุน รวมทั้งติดตามคุณภาพบริษัทจดทะเบียน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยและสนับสนุนบริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียน ดึงดูดผู้ลงทุนผ่าน In-bound / Out-bound roadshow พร้อมทั้งสนับสนุน SMEs / Startups ผ่าน LiVE Platform  พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับโลกเพื่อเป็น Platform ในการขยายธุรกิจของผู้ร่วมตลาด ตลอดจนสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระสำคัญของตลาดทุนไทยและประเทศสู่ความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ตามเป้าหมายในปี 2050

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า  ท่ามกลางความท้าทายและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะการกำกับดูแลให้ตลาดทุนมีความโปร่งใสและเป็นธรรม (Market Integrity) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเพิ่มการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนทั้งกระบวนการ ตั้งแต่เริ่มเข้าจดทะเบียน การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน ไปจนถึงการเพิกถอน โดยทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุน พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างความน่าสนใจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งการระดมทุนและการลงทุน สร้างโอกาสแก่ผู้ร่วมตลาดทุน รวมทั้งขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศ พร้อมก้าวสู่ปีที่ 50 พัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนภายใต้วิสัยทัศน์  “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ผ่านแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2567-2569 “สร้างตลาดทุนที่มีคุณภาพ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน” ใน 3 ด้านหลัก 1) ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน 2) เสริมศักยภาพการแข่งขัน 3) สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ดังนี้

  1. ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน

1.1 เสริมสร้างคุณภาพและเครื่องมือในการปกป้องผู้ลงทุน โดยพัฒนาเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์และติดตามคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการจัดทำระบบ Financial Data Health Check และ Surveillance Prevention and Analytics (SPA)  รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตร เช่น สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียน และนำมาใช้ประมวลผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น

1.2 ปกป้องและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจจับข่าวปลอมหลอกลงทุนที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียล เพื่อเตือนผู้ลงทุนผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และรายงานไปยัง Anti-Fake News Center ในการดำเนินการเตือนสาธารณชนต่อไป นอกจากนี้ จะพัฒนาระบบที่จะแจ้งไปยังผู้ประกอบการสื่อโซเชียลในการนำข่าวปลอมออกและปิดเพจปลอม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่มากขึ้น คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2567

    2. เสริมศักยภาพการแข่งขัน

    2.1 เพิ่มความน่าสนใจดึงดูดการลงทุน

    • Supply side สนับสนุนบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Target industries) เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ และอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตร พร้อมนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งบริษัทที่จะระดมทุนและบริษัทจดทะเบียน เช่น One Report และ Digital IPO System และสนับสนุนการทำงานของบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนา LiVE Platform ให้ผู้ประกอบการ SMEs / Startups สามารถเข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย และเข้าใช้งานง่าย นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนเพื่อดึงดูดผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศผ่านการทำ In-bound / Out-bound roadshow
    • Demand side  เพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม (More Choice) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ลงทุนรุ่นใหม่ เช่น Small Size Thai Share รวมถึงสภาวะตลาดเพื่อประโยชน์ในการบริหารความเสี่ยง เช่น Inverse ETF เตรียมพร้อมขยายระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ ปรับปรุงการพัฒนาดัชนีใหม่ ๆ การทำให้การเข้าถึงตลาดทุนเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (More Streamline) ทั้งการเปิดบัญชีซื้อขายที่สะดวกรวดเร็ว และพัฒนาช่องทางที่เข้าถึงการลงทุนที่ง่ายขึ้นและรองรับการซื้อขายสินทรัพย์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ จะมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชนในวงกว้างผ่านโครงการต่างๆ พร้อมให้ความรู้เชิงลึกเพื่อเพิ่มทักษะแก่ผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน

    2.2 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน

    พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามมาตรฐานโลก เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของผู้ร่วมตลาด ขยายความร่วมมือในรูปแบบพันธมิตรทั้ง IT Service และ Data Solution

    3. สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

    • ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) มุ่งให้ความรู้แก่บริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ SET ESG Academy และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน ESG ผ่านโครงการ Climate Care Collaboration Platform และ SET Carbon ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดจาก ESG Data Platform  นอกจากนี้ จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการยกระดับ SET ESG Assessment สู่มาตรฐานระดับโลก
    • ด้านสังคม (Social)  มุ่งเน้นพัฒนาผู้ประกอบการที่เป็นธุรกิจครอบครัว (Family Business) และธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)  โดยเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวสู่ LiVE Platform ให้มากขึ้น รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุนให้กับกลุ่ม Multi-jobber & Freelance
    • ด้านบรรษัทภิบาล (Governance) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุนและการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม และสนับสนุนให้มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน

    ขณะเดียวกัน กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการด้าน ESG ภายในองค์กรอย่างเข้มข้น เช่น การต่อยอดโครงการ SET’s Journey Towards Net Zero เพื่อมุ่งสู่การเป็น Net Zero Organization การพัฒนาองค์กรให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Culture transformation)  พร้อมกับการพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพ (Risk management & Enhancing governance)

    สรุปพัฒนาการสำคัญตามแผนงานปี 2566

    1)  สร้างโอกาสการระดมทุนและลงทุน

    • หุ้น IPO มีมูลค่าระดมทุน 38,260 ล้านบาท สูงสุดอันดับ 7 ในเอเชีย โดยมี 12 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น New Economy
    • ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2566 มีมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ย 53,331 ล้านบาทต่อวัน
    • TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 534,898 สัญญา
    • เพิ่ม 11 สินค้าที่อ้างอิงหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ฮ่องกง ยุโรป อเมริกา (รวม 23 หลักทรัพย์) SMEs / Startups กว่า 3,000 รายเข้าร่วม LiVE Platform และมี 4 บริษัทจดทะเบียนใน LiVEx
    • ผลักดันจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

    2)  ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและรักษาความน่าเชื่อถือตลาดทุน

    • SET CONNECT เปลี่ยนระบบซื้อขายใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่เป็นมาตรฐานสากล มีประสิทธิภาพสูง
    • TDX เปิดซื้อขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน เรียลเอ็กซ์ (RealX) เป็นสินค้าแรก
    •  สนับสนุนการเปิดเผยและเชื่อมโยงข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนผ่าน ESG Data Platform โดยมี 658 บริษัทเข้าร่วม (74% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด)
    • ยกระดับกระบวนการกำกับดูแลทั้ง 5 ขั้นตอน
    • Listing: เพิ่มคุณสมบัติบริษัทเข้าจดทะเบียน
    • Ongoing Obligations: เพิ่มการกำกับดูแล บจ. ที่มีปัญหาด้านผลการดำเนินงาน โดยเพิ่มเหตุ C-sign
    • Trade Surveillance: เพิ่มระบบตรวจจับการซื้อขายที่ผิดปกติ และศึกษาแนวทางการจัดตั้ง “Securities Bureau”
    • Delisting: เพิ่มเหตุในการถูกเพิกถอน
    • Escalation to Public: ให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลเพิ่มกรณีมีเหตุสงสัย และตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ข้อมูลกรณีการซื้อขายร้อนแรง รวมทั้งเปิดเผยข้อมูล Program trading

    3)  พัฒนาตลาดทุนเพื่อสังคมและประเทศ

    • 28 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในดัชนี DJSI มากที่สุดในอาเซียน
    • จัดทำ “คู่มือการใช้สัญญามาตรฐานสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต” แก่บริษัทจดทะเบียนและสร้าง ESG partners ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
    • ประกาศเป้าหมาย Net-Zero Commitment ในปี 2050 และเข้าร่วมการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD)
    • ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน / การลงทุนแก่คนไทยและธุรกิจ ผ่านโครงการ Happy Money, รู้สู้หนี้, LiVE Platform และ Family Business
    • ร่วมมือกับพันธมิตร องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ ริเริ่มโครงการ “ร่วมมือ จับปลอมหลอกลงทุน”
    • เสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม โดยมี 51 business co-creation ระหว่างพันธมิตรภาคธุรกิจและ Social Enterprise

    รู้เก็บรู้ออม : หุ้นท่องเที่ยวปลุกเศรษฐกิจไทย

    0

    ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยมาตลอด หลายฝ่ายฝากความหวังว่า ปีนี้ภาคท่องเที่ยวจะช่วยปลุกเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ปี 2567 ไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 88% ของช่วงก่อนเกิดโควิด นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจจาก Dragon Trail International บริษัทด้านการตลาดในจีน พบว่าไทยยังเป็น 3 อันดับแรกที่คนจีนอยากมาเที่ยว

    บทความเรื่อง “ทำไมกลุ่มท่องเที่ยวน่าสนใจสำหรับลงทุน” จากเว็บไซต์ SETINVESTNOW เขียนโดย คุณวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย จำกัด (มหาชน) ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุน ต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุน เพราะการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน สร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่างๆ สามารถแบ่งเป็นสัดส่วนหลักๆ ได้แก่ ที่พัก คิดเป็น 28% ของค่าใช้จ่ายรวม, การซื้อสินค้าหรือช็อปปิ้ง 24% ของค่าใช้จ่ายรวม เมื่อพิจารณา ด้านการลงทุนแล้ว จะมีหุ้นหลายอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ ประกอบด้วย

    1.สนามบิน (AOT) AOT เป็นเจ้าของสนามบินที่ครอบคลุมมากสุดในไทย ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ และเชียงราย โดยมีรายได้จากค่าบริการขึ้นลงของเครื่องบิน ค่าบริการผู้โดยสารขาออก รวมไปถึงรายได้ที่ไม่ได้มาจากการบิน เช่น ส่วนแบ่งรายได้จากร้านอาหารและร้านสินค้าปลอดภาษี สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณา คือ จำนวนนักท่องเที่ยวเพราะรายได้ของ AOT ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว

     2.สายการบิน (AAV) สายการบินเป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ แต่อาจจะไม่ตรงเท่ากับกลุ่มสนามบิน เพราะผู้บริโภคมีหลายสายการบินที่เป็นทางเลือก ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา คือจำนวนนักท่องเที่ยว, คู่แข่งรายใหม่ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจสายการบิน

    3.โรงแรม (AWC, CENTEL, ERW, MINT) ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบ ได้แก่ อัตราการเข้าพัก รายได้ต่อห้อง และบางโรงแรมที่มีร้านอาหาร จึงควรพิจารณาการเติบโตของยอดขายต่อสาขา รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของต้นทุนอาหาร ทั้งราคาหมู ไก่ ผัก ผลไม้

    4.ค้าปลีก (BJC, CPALL) การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นอุปสงค์ ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณา คือการเติบโตของยอดขายต่อสาขา, จำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการยอดขายต่อใบเสร็จ และภาวะเศรษฐกิจมหภาค

    5.ร้านอาหาร (AU, M) ร้านอาหารตามศูนย์การค้าจะได้ประโยชน์ เพราะการเดินศูนย์ การค้าของไทยเป็นอีกกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบ นักลงทุนจึงต้องดูการเติบโตของรายได้ ผ่านการขยายตัวของยอดขายต่อสาขา รวมถึงต้นทุนในการประกอบธุรกิจ ทั้งวัตถุดิบและค่าแรง

    ทั้งนี้ เมื่อดูจากดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) แล้ว หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว มีมูลค่ากิจการรวมกัน คิดเป็น 9% ของมูลค่าตลาดรวม ดังนั้น หากผลประกอบการในกลุ่มท่องเที่ยวเติบโต ก็จะส่งผลบวกต่อ SET Index

    ปิดท้ายนักลงทุนควรหมั่นศึกษาและติดตามข้อมูลตัวเลขการท่องเที่ยวจากกระทรวงท่องเที่ยวฯ ตลอดจนข่าวสารต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นท่องเที่ยว เช่น สงคราม โรคระบาด ภัยธรรมชาติ เพื่อจับจังหวะการลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว.

    คุณนายพารวย

    ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

    ปปง.-ก.ล.ต.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมหารือกรณี MORE

    0

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นำโดย นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. พร้อมด้วย สำนักงาน ก.ล.ต. นำโดย นางสาวเกษราภรณ์ กิจบรรณเดช ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 1 ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ และนายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายและการมีมาตรการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้ลงทุน กรณี บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) จะมีการเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน

    ซีพี จับมือ พ่อค้าข้าวโพด ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลจุดความร้อนตรวจจับการเผาแปลงข้าวโพด เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5

    0

    บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้คู่ค้าของบริษัททั่วประเทศทุกรายใช้ข้อมูลจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียม ตรวจจับการเผาแปลงข้าวโพดของเกษตรกรแบบระบุเป็นรายแปลง และกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและแผนงานของโครงการ “Partner To Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน”ที่ทางบริษัทเปิดตัวตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2566 ที่ผ่านมาเพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตร หนึ่งในต้นเหตุปัญหาฝุ่นและหมอกควัน

    นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทเดินหน้าทำงานร่วมกับคู่ค้าทุกรายทั่วประเทศใช้ระบบตรวจจับแปลงเผา ติดตามจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในแปลงข้าวโพดของเกษตรกรที่จำหน่ายผลผลิตให้บริษัทผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ กรณีพบจุดความร้อนในแปลงเกษตรกร คู่ค้าพันธมิตรจะต้องลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรภายใน 7 วัน หลังจากได้รับการรายงาน เพื่อชี้แจงมาตรการการรับซื้อตามนโยบาย “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” นอกจากนี้ บีเคพียังส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ความรู้เกษตรกรเปลี่ยนวิธีการจัดการตอซัง ทางบริษัทฯ มีมาตราการหยุดซื้อ 1 ปี ในกรณีที่พบว่าเกษตรกรยังมีการเผาซ้ำ บีเคพีจะส่งข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจุดความร้อนให้กับคู่ค้าทุกรายทั่วประเทศทุกวันตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป

    นายสง่า พรมเมือง คู่ค้าพันธมิตรรับซื้อข้าวโพด ในจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ด้วยระบบตรวจจับการเผาแปลงจะช่วยให้พ่อค้ารับซื้อข้าวโพดมีเครื่องมือและข้อมูล ให้ผู้ซื้อ ผู้ปลูกและผู้ขาย บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทั้งห่วงโซ่อุปทาน

    นอกจากนี้ ซีพียังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มีส่วนช่วยเฝ้าระวังการเผาแปลงของเกษตรกร โดยเปิดช่องทางแจ้งเบาะแสการเผาแปลงข้าวโพด “เจอเผาแปลง แจ้งแอป ฟ.ฟาร์ม” โดยแอป ฟ.ฟาร์ม เป็นแอปที่ช่วยเหลือเกษตรกรทั้งข้อมูล ความรู้ การพยากรณ์อากาศ และสามารถแจ้งร้องเรียนพบการเผาแปลงข้าวโพดได้ผ่านแอป ทั้งนี้ในกรณีที่แปลงเผาที่ถูกร้องเรียนไม่อยู่ในเครือข่ายเกษตรกรที่ลงทะเบียนจำหน่ายผลผลิตให้กับซีพี บริษัทฯ จะประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อช่วยกันพิชิตปัญหาฝุ่นควัน

    บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแรกที่จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่ปี 2559 รับซื้อข้าวโพดจากแหล่งที่ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า และปลอดการเผา พร้อมขับเคลื่อนโมเดล public-private partnership สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถคู่ค้าพันธมิตรในกระบวนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดำเนินงานการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบต่อโลก และสนับสนุนเครือซีพีและบริษัทในเครือฯ ให้บรรลุเป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050

    เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “DM & NEXT KICK OFF 2024” ปลุกพลังผู้บริหารและตัวแทนฝ่ายขาย

    0

    นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธานจัดงาน “DM & NEXT KICK OFF 2024 ” ต้อนรับศักราชปีมะโรง ภายใต้ธีมงาน The Battle Games The New Ballad of DM and MTL Next  แก่ผู้บริหารและตัวแทนฝ่ายขาย Direct  Marketing และ MTL Next  ทั่วประเทศ

    ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเพื่อปลุกพลัง สร้างขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นให้กับตัวแทนทุกท่าน รวมถึงการมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์เป้าหมายของปี 2567  โดยมี นายนริศ  อจละนันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นายปณัยณัฐ  อินทราวุธ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นางสาวแจ่มจันทร์ พิมพ์เพี้ยน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (ขวาสุด) นางสาวเนตรวรัตม์ ปัญคิวจณาณ์ ผู้อำนวยการอาวุโส และคุณชาคริต เส้นขาว ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมงานด้วย ณ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

    “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง CPF” โมเดลส่งเสริมเกษตรกรในห่วงโซ่คุณค่า เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

    0

    ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานรากของ “ความมั่นคงทางอาหาร” … คอนแทรคฟาร์มมิ่งเป็นระบบการผลิตสินค้าเกษตร ที่สนับสนุนให้เกษตรกร มีความรู้ด้านมาตรฐานการผลิต และมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง แบบไร้ความเสี่ยงด้านราคาและการตลาด

    บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ได้นำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ผ่าน “โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย” ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำฟาร์มปศุสัตว์ที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม สู่สมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) ภายใต้มาตรฐานฟาร์มสีเขียว เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาชีพ ให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง ช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

    โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้รับความเสี่ยงด้านการตลาด ด้วยการรับซื้อผลผลิตทั้งหมดของเกษตรกร โดยตกลงราคากันไว้ล่วงหน้า เกษตรกรไม่ต้องเสี่ยงกับราคาผลผลิตที่ผันผวน CPF ได้ปรับปรุงระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ตามแนวทางสากลของ UNIDROIT หน่วยงานอิสระทางกฎหมายสากล อันดับ 1 ของโลก ให้เป็นสัญญาที่มี “ความทันสมัย โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้” และเป็นบริษัทแรกที่ทำประกันภัยให้เกษตรกรกลุ่มประกันรายได้ เพื่อลดความเสี่ยงของโรงเรือนและอุปกรณ์ หากเกิดภัยพิบัติ

    CPF ริเริ่มโครงการคอนแทรคฟาร์มมิ่ง เพื่อส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงสัตว์รายย่อย ทั้งการเลี้ยงสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ โดยบริษัทเป็นผู้ให้ความรู้และเทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ ผลักดันเกษตรกรสู่ระบบ Smart Farm เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง

    ความมุ่งมั่นขับเคลื่อนระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรของ CPF ช่วยส่งต่อมรดกอาชีพ จากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่า ระบบนี้ เป็นโมเดลที่ช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงแก่เกษตรกรรายย่อยของประเทศไทย ให้เป็นห่วงโซ่การผลิตอาหารปลอดภัย และสร้างอาหารมั่นคงเพื่อผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน

    รู้เก็บรู้ออม : DR น้องใหม่ลุยหุ้นฮ่องกง-ญี่ปุ่น

    0

    ปัจจุบัน การลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่าน DR หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ถือได้ว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่อยากโกอินเตอร์ เปิดประตูการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ฮ่องกง และสิงคโปร์

    เห็นได้ว่า DR ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” สนับสนุนให้เกิดขึ้น สามารถทำหน้าที่บรรลุเป้าหมายได้อย่างดี ช่วยนักลงทุนไทยกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ ทำให้การลงทุนหุ้นและกองทุน ETF ในต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายขึ้น เห็นได้จากความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อ DR หลายตัวที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ จนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้นไทย มี DR อ้างอิงหุ้นต่างประเทศรวมกว่า 20 ตัว ทั้งในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป

    และล่าสุด ตลาดหุ้นไทยกำลังจะเปิดบ้านต้อนรับ 3 DR น้องใหม่ที่ลงทุนใน 3 กองทุนใหญ่ในฮ่องกงและญี่ปุ่น มาให้นักลงทุนไทยได้เทรดกัน โดย DR ทั้งสามตัวนี้ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

    ประกอบไปด้วย DR “HK 13” อ้างอิงกับ Tracker Fund of Hong Kong (2800.HK) ซึ่งเป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี Hang Seng โดยลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

    ตามด้วย DR “HKTECH 13” อ้างอิงกองทุน Hang Seng TECH Index ETF เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 30 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนี Hang Seng TECH

    และ DR “JAPAN 13” อ้างอิงกองทุน ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นโดยอ้างอิงดัชนี MSCI Japan 100% Hedged to USD ที่จะสร้างผลตอบแทนสอดคล้องกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น พร้อมกับมีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินเยน

    เป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่อยากเปิดประสบการณ์ลงทุนต่างประเทศ และเล็งหุ้นในตลาดฮ่องกงและญี่ปุ่นอยู่ เพราะการซื้อขาย DR สามารถทำรายการโดยใช้บัญชีเทรดหุ้นของตัวเองที่มีอยู่ได้เลย ไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศให้ลำบาก และสามารถซื้อขายด้วยเงินสกุลบาท โดย DR จะเปิดซื้อขายได้ตลอดเวลาตามเวลาซื้อขายของตลาดหุ้นไทย

    ผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้ว สามารถทำรายการผ่านแอปฯ Streaming หรือหากยังไม่มีบัญชี สามารถติดต่อเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการอยู่ ส่วนขั้นตอนการเทรดก็ทำได้ง่ายๆ แค่พิมพ์ชื่อย่อของ DR ตัวที่สนใจ เช่น DR น้องใหม่ 3 ตัวนี้ ก็แค่พิมพ์ HK 13, HKTECH 13, JAPAN 13 หรือถ้าสนใจ DR รุ่นพี่ตัวอื่นที่ออกมาก่อนหน้านี้ ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดหรือรายชื่อ DR ทั้งหมดได้ที่ www.setinvestnow.com/th/newdr   แล้วไปลุยตลาดหุ้นต่างประเทศด้วยกัน!

    คุณนายพารวย

    ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

    “สาธิตเกษตรฯ” ประกาศกำหนดวันสอบเข้าป.1 ปีการศึกษา 2567

    0

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เผยแพร่ประกาศมหาวิทยาลัยฯ เรื่อง กำหนดการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา 2567 มีรายละเอียดดังนี้

                -การรับใบสมัคร ผู้สมัครต้องเป็นผู้ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ถึง 15 ธันวาคม 2561

                บุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีคุณสมบัติตามประกาศข้อ 3.2.2 รับใบสมัคร วันจันทร์ที่ 5กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงเรียนสาธิตฯ

                บุคคลทั่วไป รับใบสมัคร ผ่านระบบออนไลน์ ที่ www.kus.ku.ac.th วันอังคารที่ 6 ถึงพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 กรอกใบสมัครและพิมพ์ใบสมัครจากระบบ วันพุธที่ 7 – วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567

                -การรับสมัคร วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2567 และวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2567 ตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ในใบสมัคร ณ อาคารอุบล เรียงสุวรรณ โรงเรียนสาธิตฯ

                -การประเมินความพร้อม วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ โรงเรียนสาธิตฯ

                ประกาศผลการคัดเลือก วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 น. ณ อาคาร 1 โรงเรียนสาธิตฯ และ www.kus.ku.ac.th ผู้ปกครองโปรดศึกษาข้อมูลและรายละเอียดการคัดเลือกฯ จากประกาศมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-942-8800-9 หรือ www.kus.ku.ac.th

    โดยจำนวนนักเรียนที่รับเข้าเรียนทั้งหมด 280 คน โดยแบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้ 

    • บุคคลทั่วไป 130 คน
    • ทรัพยากรบุคคลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนกลางบางเขน ซึ่งได้แก่ บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย (ไม่รวมบุตรบุญธรรม) ของข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัยเงินงบประมาณ และทรัพยากรบุคคลทางการศึกษา ซึ่งได้แก่ บุตรหลานของบุคคลที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษาของโรงเรียน และ/หรือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างสม่ำเสมอต่อเรื่อง รวมจำนวน 150 คน