Home Blog Page 125

QUALITY TIME, AGAIN จาก FIVE STAR คว้ารางวัลสุดยอดโฆษณา จาก The YouTube Works Awards 2023 บนเวทีในไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

0

‘ห้าดาว’ (FIVE STAR) ผู้นำธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คว้ารางวัล Best of Thailand Bronze จากเวที YouTube Works Award ประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งสุดยอดแคมเปญโฆษณา เรื่อง FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN นี้ได้สร้างความตรึงใจให้แก่ผู้ชม โดยร่วมมือกับ RABBIT’S TALE ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ในการวางแผนสื่อ การเล่าเรื่อง ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆ บน YouTube สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดและธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน ผลงานโฆษณาชิ้นนี้ยังเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในเวทีระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงาน The YouTube Works Awards SEA 2023 ที่จัดขึ้น ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยแคมเปญโฆษณา FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศจาก 2 สาขา ได้แก่ สาขา “The Fire Starter ” สุดยอดรางวัลแคมเปญโฆษณาที่สร้างความรู้สึกรัก สร้างแรงบันดาลใจ และความภักดี หรือการสนับสนุนแบรนด์ในกลุ่มเป้าหมาย ผ่าน YouTube อย่างสร้างสรรค์ และ สาขา “The Big Bang” รางวัลแคมเปญโฆษณาเปิดตัวหรือเปิดตัวใหม่ รวมถึงแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ตำแหน่งใหม่ สโลแกนใหม่ ฯลฯ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการธุรกิจห้าดาว บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด กล่าวว่า ห้าดาว ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานโฆษณาคุณภาพ จนคว้ารางวัลจาก The YouTube Works Awards ปี 2023 ทั้งในประเทศ และเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยไปสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพในการทำตลาดออนไลน์ และสร้างแบรนด์ให้ได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยสิ่งสำคัญ คือการตอบรับ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ที่ให้ห้าดาวเป็นแบรนด์ในใจ และเป็นมื้ออร่อยที่มีคุณภาพ ถูกปากทุกคนในครอบครัวส่งต่อรุ่นสู่รุ่นมาตลอดกว่า 39 ปี โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ทำให้คะแนน Brand for me เพิ่มขึ้น 18.5% เป็นแรงสนับสนุนให้ห้าดาวได้รับรางวัลนี้ อีกทั้งยังผลักดันให้แบรนด์พัฒนาและสร้างสรรค์แคมเปญดีๆ เพื่อทุกคนต่อไป

สำหรับ ภาพยนตร์โฆษณา เรื่อง FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN (รับชม https://youtu.be/ICMaMKLPjEc) บอกเล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงของความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ผู้จากไป กับรสชาติเมนูวัยเด็กที่คุ้นเคย ความสุขระหว่างมื้ออาหารที่มีค่าสำหรับการใช้เวลาทานข้าวร่วมกันของครอบครัว ตอกย้ำ “ความเป็นครอบครัว” ของแบรนด์ห้าดาว สะท้อนความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างแท้จริง รวมทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ชมได้สูงอีกด้วย

AIS ปลุกพลังพนักงาน ผ่านเทศกาลนอกกรอบประจำปีกับ “AIS INNOJUMP FESTIVAL 2023” ชู Innovation Culture คือ หัวใจขับเคลื่อนองค์กรสู่ Cognitive Tech-Co

0

AIS จัดงาน “AIS INNOJUMP FESTIVAL 2023” เปิดเวทีให้พนักงานกล้ากระโดดออกจากกรอบ ลองสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Cognitive Tech-Co หรือองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ เปิดให้ส่งผลงานเข้าประกวด พร้อม Pitching สดๆ กับกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากผู้บริหารในหลากหลายวงการ ชิงรางวัล พร้อมโอกาสในการนำไปพัฒนาสู่ตลาดจริง  

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท  AIS และกลุ่มอินทัช  กล่าวว่า “จากเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจขององค์กรไปสู่ Cognitive Tech-Co หรือ องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ บุคลากรในองค์กร คือ หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้องค์กรเดินไปสู่เป้าหมาย ดังนั้นนอกเหนือจากผลักดันให้พนักงานนำศักยภาพที่มีอยู่ออกมาใช้อย่างเต็มที่เพื่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆที่มิใช่เพียงสินค้า แต่หมายถึงการบูรณาการ การใช้ชีวิตตลอดจนส่งต่อบริการคุณภาพให้แก่ลูกค้าแล้ว AIS โดย AIS ACAEDMY ยังได้พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี ทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม หรือ Innovation mindset เพื่อผลักดันให้พนักงานกล้าที่จะแตกต่าง และกระโดดออกจากกรอบเดิมๆ พร้อมรังสรรค์วัฒนธรรมองค์กร แบบ Innovation Culture ในคอนเซ็ปต์ของ “INNOJUMP” พร้อมบรรยากาศซึ่งเอื้อต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่แตกต่าง  เพื่อก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล”

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และ อินทัช

“INNOJUMP เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560  เพื่อกระตุ้นให้พนักงานตื่นตัว และพร้อมกระโดดหาโอกาสใหม่ๆ รับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากกระแส Digital Transformation ซึ่งเวลานั้นเริ่ม Disrupt ธุรกิจทั่วโลก โดยแนวคิดนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในหลากหลายรูปแบบ โดยล่าสุด  “AIS INNOJUMP FESTIVAL 2023” คือ 1 ในกิจกรรมต่อยอดจากแนวคิดดังกล่าว ที่เปิดโอกาสให้พนักงาน AIS ทุกหน่วยงาน สามารถส่งผลงาน ผ่านกระบวนการ Pitching บ่มเพาะ Workshop เพื่อฝึกการคิดนอกกรอบจากไอเดียใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Core Capability Enhancement) ของหน่วยงานไอที วิศวกรรม หรือการแสดงผลงานของหน่วยงาน AIS Contact Center, AIS Fibre, Data Analytic และ AIS NEXT ที่นำเทคโนโลยีอนาคตอย่าง AI, IoT, Robotic และ Blockchain มาเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ (Future Capability Enhancement)  ทั้งในแง่ของกระบวนการทำงานหรือ Product ใหม่ ที่แก้ Pain point ซึ่งพนักงานจากทุกหน่วยงานจะช่วยกันคิดค้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ปัญหา พร้อมสามารถนำไอเดียไปต่อยอดได้จริงหากผลงานตอบโจทย์ทางธุรกิจของเอไอเอส อย่างชัดเจน”

“เราเชื่อมั่นว่าการจัดงานครั้งนี้  จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดให้กับเพื่อนๆพนักงาน กล้ากระโดด Jump ออกนอกกรอบ เพื่อสร้างนวัตกรรมไปด้วยกันแบบฟิตไอเดียล้ำ Jump สู่อนาคต พร้อมสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้แก่องค์กร ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นการมอบประโยชน์ให้แก่ลูกค้าและอุตสาหกรรม เพราะนวัตกรรม จะเป็นตัวสร้างประโยชน์และสร้างความต่างระหว่าง ผู้นำ กับ ผู้ตาม ได้เสมอ” นางสาวกานติมา กล่าวทิ้งท้าย

AIS ดึงดิจิทัล Greenovation ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สู่การสร้าง Sustainable Nation

0

“โลกเดือด” คือสัญญาณเตือนของสภาวะโลกร้อนที่กำลังเข้าสู่วิกฤติ สาเหตุหลักเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่เกินกว่าโลกจะรับไหว ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ถึงเวลาที่ความสามารถของ Digital จะเข้ามาช่วยลดหรือแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดย AIS เชื่อว่าพลังของดิจิทัลและพลังของทุกคน จะสามารถสร้าง Green Network ที่แข็งแรง เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจ Sustainable Nation หรือการเติบโตร่วมกันของผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของประเทศไทยที่ยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเติบโตทางธุรกิจที่เราได้สร้างความแข็งแกร่งของ Intelligence Infrastructure ให้กับลูกค้าและคนไทยแล้ว วันนี้ AIS ยังมีเป้าหมายใหญ่ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ ทั้งในมิติของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ด้วยความตั้งใจของเราในครั้งนี้จะเป็นการวิวัฒน์ครั้งสำคัญของโลกดิจิทัลและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีเป้าหมายในการสร้าง Sustainable Nation หรือทำให้ประเทศไทยของเราเติบโตอย่างยั่งยืน”

สำหรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่ยืนหยัดด้านสิ่งแวดล้อมของ AIS ถูกวางไว้ใน 2 แกนหลัก คือ 1) ลดผลกระทบผ่านการบริหารจัดการกระบวนการดำเนินธุรกิจและห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ 2)ลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้คนไทยร่วมกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS เปิดเผยว่า “การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยบริหารจัดการ การใช้พลังงานกับการทำงานเครือข่าย เป็นเรื่องสำคัญและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลก ซึ่งในส่วนของเอไอเอส ที่วันนี้นอกจากการปรับอุปกรณ์สถานีฐาน และเริ่มนำพลังงานทางเลือกจากธรรมชาติ อาทิ พลังงานจากแสงอาทิตย์ และพลังงานลม มาเริ่มใช้ควบคู่กับพลังงานหลัก ภายใต้แนวคิด Green Network แล้ว เรายังเริ่มทดลอง ทดสอบ นวัตกรรม โซลูชันต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ Traffic ของระบบเครือข่ายทั้งหมด กับเป้าหมายการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วเช่นกัน”

ทั้งนี้ การจะเป็น Go Green ได้นั้นต้อง Go Digital ควบคู่กันไปด้วย ทำให้เราเดินหน้า Moving to The Cloud เพื่อยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ภายในสถานีฐานให้ยาวนานขึ้น รวมถึงความตั้งใจในการพัฒนา Autonomous Network ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในสถานีฐานเพื่อบริหารจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งานของลูกค้า ได้แบบ More Bits, Less Watts เพื่อให้ลูกค้ายังคงได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ตรงใจ พร้อมกับการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของแนวทางการทำงานของ AIS เพื่อลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจรวมถึงมุ่งส่งเสริมให้คนไทยร่วมกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “เมื่อเราเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ปริมาณอุปกรณ์ ดีไวซ์ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับข้อมูลของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือ ITU ที่พบว่า ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกทิ้งหรือเผาทำลาย มีมูลค่าถึง 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีแค่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ที่มีการจัดเก็บอย่างถูกวิธีและนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ AIS ลุกขึ้นมาพูดและให้ความสำคัญกับปัญหา E-Waste เป็นรายแรกในอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2019

AIS อยากสร้าง HEALTHY ECOSYSTEM ในการทำงานด้าน E-Waste โดยที่ผ่านมา ได้เริ่มต้นจากภายในองค์กรด้วยการชวนพนักงานให้มีส่วนร่วมกับการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งอย่างถูกวิธี นำมาสู่การเชิญชวนเพื่อนบ้านองค์กรใกล้เคียงจนกลายเป็นกลุ่มกรีนพหลโยธินที่มาเข้าร่วมโครงการคนไทยไร้ e-waste หลังจากนั้นเราก็ขยายความร่วมมือไปยังภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ที่วันนี้มีกว่า 190 องค์กรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังเป็น Green Partnership ที่ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้าน E-Waste นอกจากนี้เรายังนำเทคโนโลยี Blockchain เข้ามายกระดับกระบวนการจัดการด้วยแอปพลิเคชัน E-Waste+ ที่สามารถติดตาม รับรู้เส้นทางของการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงคำนวณปริมาณ Carbon Scores ได้อีกด้วย

วันนี้ AIS พร้อมเป็นแกนกลางด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือ HUB of e-waste ที่มีความครอบคลุมทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ ด้านเครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ ๆ ด้านจุดรับทิ้ง ด้านการขนส่ง หรือแม้แต่ด้านรีไซเคิลตามเป้าหมาย Zero e-waste to Landfill โดยเราอยากเชิญชวนให้ทุกองค์กรส่งต่อความตระหนักรู้ในด้านนี้ไปยัง พนักงาน ลูกค้า หรือแม้แต่ Stakeholder ทุกกลุ่ม เพื่อต่อยอดการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป”

ส.ธนาคารไทย ยืนยันแอปฯ ธนาคารปลอดภัยมีเสถียรภาพ ต้องสแกนหน้าเมื่อโอนเงินเกิน 50,000 บาท ทุกครั้ง

0

รานงานข่าวเปิดเผยว่า​ สมาคมธนาคารไทย​ ได้ออกประกาศโดยมีเนื้อหาว่า​ ตามที่ปรากฏข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมโปรแกรมเมอร์ขายโปรแกรม เพื่อโอนเงินและปลดล็อกการสแกนใบหน้าในแอปฯ เพื่อทำให้การโอนเงินสามารถโอนผ่านโปรแกรมและให้ยกเลิกเงื่อนไขการสแกนใบหน้า ในกรณีที่มีการโอนเงินที่มีจำนวนตั้งแต่ 50,000 บาท นั้น

สมาคมธนาคารไทย โดยศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) รับทราบเรื่องและได้ตรวจสอบระบบของภาคธนาคารแล้ว ขอชี้แจงดังนี้

  1. โปรแกรมดังกล่าว ไม่สามารถใช้กับบัญชีลูกค้าทั่วไปได้ เนื่องจากโปรแกรมจะใช้งานได้ จะต้องมีข้อมูลของเจ้าของบัญชีทั้งหมด ทั้งข้อมูลส่วนบุคคล คือ เลขที่บัญชีธนาคาร หมายเลขบัตรประชาชน ซิมโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ที่ใช้กับโมบายแบงกิ้ง ข้อมูลการยืนยันตัวตน ทั้ง รหัส PIN โมบายแบงกิ้ง รหัสผ่านใช้งานครั้งเดียว (OTP) และการสแกนใบหน้า จากกรณีที่เป็นข่าว พบว่า มิจฉาชีพได้ใช้โปรแกรมนี้ อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากบัญชีม้า โดยความยินยอมของเจ้าของบัญชีม้า ทำให้มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของบัญชีทั้งหมด จึงทำรายการได้
  2. การโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาท ต่อครั้ง และ 200,000 บาท ต่อวัน ยืนยันว่า ยังต้องยืนยันตัวตนโดยสแกนใบหน้า ซึ่งธนาคารมีระบบตรวจสอบความถูกต้องของการสแกนใบหน้า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดย กรณีของมิจฉาชีพรายนี้ พบว่า เป็นการหลบเลี่ยงรายการโอนเงิน เพื่อไม่ให้เข้าเงื่อนไขสแกนใบหน้
  3. ระบบโมบายแบงกิ้งของทุกธนาคารมีความปลอดภัย และมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยมีการลงทุนพัฒนายกระดับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้งานโมบายแบงกิ้งเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและปลอดภัย จึงขอให้ลูกค้าประชาชนมั่นใจว่า ระบบโมบายแบงกิ้งของทุกธนาคารมีความปลอดภัยสูง
    สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงภัยทางการเงินที่มีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและจัดการภัยทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน (ปปง.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการภัยทางการเงินได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
    สำหรับมาตรการในการแก้ปัญหาบัญชีม้า สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการขยายผลอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำผิด ซึ่งเจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566
    อย่างไรก็ตาม ลูกค้าและประชาชน ควรต้องติดตามข้อมูลและปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันภัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพ ดังนี้
  • ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมจากแหล่งอื่น นอกจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store อาทิ Play Store หรือ App Store เท่านั้น
  • ไม่เปิดเผยรหัสผ่านเข้าโมบายแบงก์กิ้ง รวมถึงรหัสผ่านใช้งานครั้งเดียว (OTP) กับบุคคลอื่น
  • ไม่สแกนใบหน้า หรือยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก
  • ไม่กดลิงก์จาก SMS แปลกปลอม โดยภาคธนาคารไม่มีนโยบายส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ทุกชนิด หรือมีข้อความให้แอด Line ID หากได้รับ SMS ดังกล่าว อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด
  • ควรสังเกตโล่ ที่อยู่ด้านหน้า Line account เสมอ ซึ่งมีโล่สีเขียว หรือน้ำเงินเข้ม เท่านั้น
  • หากมีข้อสงสัยเรื่องการทำธุรกรรมใด ๆ ควรโทรกลับไปที่หน่วยงานต้นสังกัดที่ถูกแอบอ้างด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบข้อมูลเสมอ

หากพบธุรกรรมผิดปกติหรือมีข้อสงสัย ขอให้ติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งานทันที เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด หรือ แจ้งไปยังสายด่วน 1441 ของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาภัยออนไลน์

ทั้งนี้ ขอแจ้งเตือนไปยังเจ้าของบัญชีที่ยินยอมให้มิจฉาชีพนำบัญชีของตนไปใช้เป็นบัญชีม้าว่า ขณะนี้สมาคมธนาคารไทยกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดำเนินการขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินการทางคดีกับผู้กระทำความผิดตาม พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งระบุว่า เจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

AWC โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิ 1,136 ล้านบาท ทุกกลุ่มธุรกิจโตต่อเนื่อง

0

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,666 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 1,136 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งแม้อยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถผลักดันศักยภาพของทรัพย์สิน Ramp Up สู่ระดับดำเนินงานปกติ มูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท สร้างผลตอบแทนกระแสเงินสดสูงถึงร้อยละ 10.2 (EBITDA Yield)ทั้งนี้ในไตรมาส 3/2566 บริษัทมีทรัพย์สินดำเนินงานที่สามารถสร้างรายได้อยู่ที่กว่าร้อยละ 85 รวมมูลค่า 125,758 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 52 เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 โดยสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED Strategy โดยสามารถเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารหลากหลายแห่งในไตรมาส 3 รวมมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท

“ผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกตามงบการเงินของปี 2566 AWC มีการเติบโตต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) ที่ 7,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.9  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ใน 9 เดือนแรกของปี สูงถึง 3,619 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail, Wholesale and Commercial) AWC ได้ปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้กับโครงการในพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง พร้อมตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว”

กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality)

ในไตรมาส 3/2566 ผลการดำเนินงานตามงบการเงินของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการเปรียบเทียบราคาห้องพักและอัตราการเข้าพัก (Revenue Generation Index หรือ RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม Courtyard by Marriott Phuket Town มีค่า RGI เท่ากับ 254 และโรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ AWC ยังมุ่งเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เสริมศักยภาพด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพในพอร์ตโฟลิโอ พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เพื่อสนับสนุนการเติบโตของทรัพย์สินดำเนินงานในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง

AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารชั้นนำระดับโลกมากมาย เพื่อรองรับความต้องการของตลาด พร้อมมอบประสบการณ์การท่องเที่ยว การบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มที่พิเศษให้กับลูกค้า ส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ AWC มีจำนวนห้องพักรวม 6,034 ห้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เทียบกับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 จากการเปิดดำเนินงานหลายโครงการ อาทิ การเปิดโรงแรม INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit ที่ออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE) การเปิดโรงแรม InterContinental Chiang Mai The Mae Ping ซึ่งเป็นโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ภายใต้แบรนด์ InterContinental แห่งแรกของภาคเหนือ และเป็นโรงแรมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งแรกของไทยที่ให้แขกได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและศิลปะล้านนา และเป็นโรงแรมที่ได้รับการพิจารณารับรองมาตรฐาน LEED สําหรับการออกแบบและก่อสร้างอาคาร และมาตรฐาน WELL Pre-certified แห่งแรกของภาคเหนือ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มลักซ์ชัวรี่จากทั่วโลก การเปิด Chiang Mai Marriott Hotel โรงแรมแบรนด์ Marriott แห่งแรกของภาคเหนือ ที่มีพื้นที่เพื่อรองรับการจัดงานประชุม MICE ระดับลักซ์ชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเปิดห้องอาหารใหม่ด้วยคอนเซ็ปที่มีเอกลักษณ์ ดึงดูดลูกค้าหลากหลายไลฟ์สไตล์ อาทิ การเปิดห้องอาหารจีน Yue Restaurant and Bar ที่โรงแรม Courtyard by Marriott Phuket Town และห้องอาหารญี่ปุ่นรวม 4 ร้านต้นตำรับระดับพรีเมี่ยม Kissuisen ที่โรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse ทั้งนี้ปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมของ AWC ที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 22 โรงแรม

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail, Wholesale and Commercial)

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้าปลีก (Retail) ในไตรมาส 3/2566 มีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) ตามงบการเงินอยู่ที่ 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 124.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงพัฒนาศูนย์การค้าให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ที่ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดสู่การเป็นรีเทล-เทนเม้นท์ริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งช่วยให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจค้าส่ง (Wholesale) AWC ได้ร่วมมือกับ “Koelnmesse” ผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำระดับโลกจากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมการค้าส่งไทย สร้างเครือข่ายระดับโลกเพื่อเชื่อมโยงพันธมิตร ผู้ซื้อ และผู้ขายผ่านฐานเครือข่ายของ AWC และ Koelnmesse สนับสนุนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการสรรหาสินค้า (International Sourcing Hub) ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระดับภูมิภาค

กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/2566 มีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกลยุทธ์การยกระดับอาคารสำนักงานให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับองค์กรและคนทำงานรุ่นใหม่ทั่วโลก (Global Workforce Destination) อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่รองรับเทรนด์อนาคตในการผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน รวมถึงการได้ต้อนรับ 2C2P บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมร่วมขับเคลื่อนดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าด้วยกัน ตอกย้ำอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัวที่แท้จริง

AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยล่าสุดได้คะแนนการประเมินด้าน ESG ประจำปี 2566 ในระดับสูงอยู่ที่ 77 คะแนนจาก S&P Global ESG และ ได้รับการจัดอันดับ SET ESG Rating  ‘A’ จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย AWC เป็นหนึ่งใน 193 บริษัทฯ ทั้งหมดที่ผ่านการคัดเลือก และได้รับการประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ในกลุ่มของอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นอกจากนี้ในไตรมาสที่ผ่านมา กลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือ AWC กว่า 18 แห่งได้รับประกาศนียบัตร “ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) จากทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี นอกจากนี้ AWC ได้แสดงความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์กรอบการดำเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERs ผ่านการเปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain” ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน เพิ่มความหลากลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ ควบคู่การสร้างรายได้ในชุมชนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว พร้อมสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

AIS ประกาศเดินหน้าสู่วิวัฒน์ครั้งใหม่ของโลกดิจิทัล THE NEXT EVOLUTION มุ่งสร้าง Sustainable Nation ส่งเสริมการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า AIS ประกาศเดินหน้าก้าวสู่การวิวัฒน์ครั้งใหม่ของโลกดิจิทัล THE NEXT EVOLUTION ด้วยการยกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและ AI สู่การส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลสุดล้ำให้กับคนไทยและองค์กรธุรกิจในทุกภาคส่วน สอดรับการเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ภายใต้แนวคิด Sustainable Nation ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยบน ECOSYSTEM ECONOMY ทั้ง ผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในโลกดิจิทัล

1.การวิวัฒน์ของ Intelligence Infrastructure สู่โครงข่ายเน็ตเวิร์คและนวัตกรรม

  • 5G Living Network ล้ำหน้าขั้นสุด ด้วยความร่วมมือกับ NT ที่จะทำให้ลูกค้าของ NT และ AIS รวมถึงคนไทยได้รับประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่า
  • โครงข่าย Fibre ที่จะร่วมกับ 3BB ยกระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมกว่า 13 ล้านครัวเรือน
  • Enterprise Platform – CPaaS (Communication Platform as a Service) และ AIS Paragon ที่เชื่อมต่อเครือข่าย 5G, Fibre, Edge Computing, Cloud, และ Software Application เพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมหลักของประเทศ

2. การวิวัฒน์ของ Cross Industry Collaboration อีกก้าวสำคัญของการร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม

  • ยกระดับ Software และ Hardware ด้วยการนำ Generative AI และ Cloud PC มาเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • ธนาคาร และ ร้านค้าปลีก ผ่าน Point Platform เชื่อมผู้ประกอบการรายย่อยร้านค้าถุงเงิน 1.8 ล้านร้านค้า และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงร้านค้าพาร์ทเนอร์ทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่ง

3. การวิวัฒน์ของ Sustainable เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการขยายความร่วมมือสร้าง Green Partnership และทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยให้เข้าถึงความรู้ สร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล และทักษะเพื่ออนาคต ผ่าน Academy for Thais

“เราเดินหน้าทำงานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจด้วยแนวคิด ECOSYSTEM ECONOMY หรือ เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน จากภารกิจทั้ง 3 ส่วน คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ การเชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม และการดำเนินงานอย่างยั่งยืนพร้อมกับการพัฒนาความสามารถของบุคลากร เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ อันจะนำไปเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย หรือ Sustainable Nation”

“เพราะวันนี้สถานการณ์โลกอยู่ท่ามกลางความท้าทายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากสงครามที่เกิดจากภูมิรัฐศาสตร์, การปิดกั้นทางการค้าระหว่างประเทศ, ปัญหาพลังงาน, ภาวะเงินเฟ้อ, ปัญหาสภาพแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้น AIS จึงพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการวิวัฒน์ครั้งสำคัญของโลกดิจิทัลและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย THE NEXT EVOLUTION ที่จะก้าวสู่การพลิกโฉมประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าในทุกมิติ

จากโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ เน็ตบ้าน บริการลูกค้าองค์กร และ Digital Service โดยวันนี้ AIS ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความล้ำหน้าไปอีกขั้น ตั้งแต่โครงข่าย 5G ที่ ยังคงความเป็นอันดับ 1 ในทุกด้านทั้งคุณภาพ และความเร็วของเครือข่ายสัญญาณ ที่ได้รับการรับรองจาก Ookla® รวมถึงการร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ NTบนคลื่น 700 MHz ที่นอกจากจะทำให้ลูกค้า NT และ AIS ได้รับคุณภาพการใช้งานที่เป็นเลิศแล้ว ยังเท่ากับเสริมความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้แก่องค์กรโทรคมนาคมแห่งชาติอีกด้วย”

นายสมชัย กล่าวว่า “สิ่งที่ AIS เชื่อมั่นเสมอมาก็คือ โครงข่ายโทรคมนาคมไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียง Dumb Pipe หรือท่อส่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถยกระดับเพิ่มความอัจฉริยะและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยวันนี้เราได้เตรียมทำการวิวัฒน์ครั้งใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ด้วย Living Network หรือ เครือข่ายที่มีชีวิตซึ่งทำได้มากกว่าการสื่อสาร เพราะลูกค้าสามารถเป็นผู้ควบคุม สามารถเลือกและออกแบบการใช้งานบน Data ได้เองตามไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะพร้อมให้บริการในเดือนธันวาคม 2566”

ในส่วนของโครงข่ายเน็ตบ้านนั้น ความร่วมมือกับ 3BB จะทำให้เกิดประโยชน์กับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ถึงกว่า 13 ล้านครัวเรือน และธุรกิจเน็ตบ้านของ AIS จะก้าวสู่การเป็นผู้เล่นหลักของตลาด ที่พร้อมมอบนวัตกรรม และ ความเป็นเลิศด้านบริการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกับความพร้อมในการเปิดตัวเทคโนโลยีล่าสุด WiFi 7 เป็นรายแรกในไทย ร่วมกับ TP-Link ที่มาพร้อมเราน์เตอร์มาตรฐาน WiFi 7 ในการรองรับดีไวซ์ Device ให้เชื่อมต่อได้ ลดปัญหาเกี่ยวกับช่องสัญญาณที่แออัด ทำให้ใช้งานได้ไหลลื่น รองรับการสตรีมแบบวีดีโอแบบ 8K การใช้งาน VR ที่ตอบโจทย์ทุกคนในบ้านได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ AIS ยังยกระดับ Enterprise Infrastructure และแพลตฟอร์ม ที่จะมาพลิกโฉมการทำงานขององค์กรภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมให้สามารถนำดิจิทัลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลกที่ครบและใหญ่ที่สุดในไทย ไม่ว่าจะเป็น Data Center, Bridge Alliance ,AIS PARAGON รวมถึง Communications Platform-as-a-Service หรือ CPaaS ที่เชื่อมตอบโจทย์ทุกการสื่อสารขององค์กรในรูปแบบของ Cloud-based

CEO AIS ย้ำเพิ่มว่า “นอกจากนี้เรายังเชื่อมต่อพลังของพาร์ทเนอร์ อาทิ ความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย นำแพลตฟอร์มเชื่อมโยงร้านค้าถุงเงิน ร้านธงฟ้า ร้านค้ารายย่อย โชว์ห่วย ร้านสตรีทฟู้ด รวมกว่า 1.8 ล้านร้านค้า และจับมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงร้านค้าพาร์ทเนอร์ทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่ง ทั่วประเทศ ผ่านความแข็งแกร่งของ ECOSYSTEM ที่มุ่งสร้างทั้งประโยชน์ แบ่งเบาภาระ และมอบความพิเศษให้แก่ลูกค้า พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและภาพรวมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

สำหรับในส่วนของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่องค์กรจากความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์นั้น เราได้ทำงานร่วมกับ ZTE เพื่อเตรียมเปิดตัวบริการ Cloud PC for Enterprise ให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในรูปแบบ Desktop as a Service (DaaS) บนระบบคลาวด์ที่จัดสรรได้ตามความเหมาะสมบนความปลอดภัยสูงสุดในการเก็บข้อมูล

นอกจากนี้เรายังมีความร่วมมือกับไมโครซอฟต์ ครั้งแรกใน South East Asia ที่พร้อมให้บริการ Microsoft Teams Phone ที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการระบบสื่อสารได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ประหยัดต้นทุน เพราะพนักงานสามารถโทรออกไปยังเบอร์ภายนอกและรับสายได้ผ่าน Microsoft Teams ที่คุ้นเคย รวมไปถึงการนำสุดยอดนวัตกรรม genAI ที่จะมาช่วยยกระดับการทำงานของโลกยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับ Microsoft 365 Copilot for Enterprise

ด้านการสร้างการวิวัฒน์เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของประเทศนั้น โลกในยุคปัจจุบันธุรกิจไม่สามารถใช้ตัวชี้วัดด้านผลกำไรมาบอกถึงความสำเร็จได้แต่เพียงด้านเดียว แต่องค์กรต้องมีส่วนร่วมในการดูแล เศรษฐกิจ ผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กัน ตามหลักของ SDGs ดังนั้นนอกเหนือจากการนำดิจิทัลเข้ามาสร้างการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมแล้ว AIS ยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยให้มีทักษะและเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพผ่านภารกิจ AIS อุ่นใจ CYBER นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้อุ่นใจไซเบอร์ 4P ที่มีผู้เรียนแล้วกว่า 300,000 ราย

“สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม เรามุ่งสร้าง Green Network ผ่านการบริหารจัดการด้วยนวัตกรรม อย่างการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในสถานีฐานเพื่อบริหารจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งานของลูกค้า หรือแม้แต่การเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนจากทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และในอีกด้านที่ดำเนินการควบคู่กันอย่างเข้มข้นคือ ชวนให้คนไทยมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ด้วยการปลูกจิตสำนึกและการตระหนักถึงความสำคัญของการแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ตามเป้าหมายในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบปราศจากการฝังกลบหรือ Zero e-waste to landfill โดยเราพร้อมเป็น HUB of e-waste ที่จะเป็นแกนกลางรวมทุกภาคส่วนมาร่วมกัน ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน”

นายสมชัย กล่าวอีกว่า “เราตระหนักดีว่า บทบาทหลักของ AIS นอกจากสร้างมาตรฐานทั้งมิติของสินค้า บริการ นวัตกรรม และการดูแลลูกค้าอย่างเป็นเลิศแล้ว เรายังมีภารกิจในการสนับสนุนการเดินหน้าของประเทศ สู่การเป็น Sustainable Nation ซึ่งพนักงาน AIS ทุกคน พร้อมอย่างยิ่งที่จะทุ่มเทและทำให้ภารกิจนี้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน”

ผู้ประกาศข่าว “หนอยแน่” เผยชีวิตคนเราคาดเดาไม่ได้ การวางแผนเอาไว้จึงสำคัญที่สุด

0

“หนอยแน่” – วาเนสสา  สมัครศรุติ พิธีกรและผู้ประกาศข่าวสาวสวย  ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว     เลือกวางแผนอนาคตด้วยประกันชีวิต เพื่อเป็นหลักประกันที่ส่งต่อเป็นทุนให้คุณแม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แม้ในวันที่ไม่มีเราดูแล 

 เมืองไทยประกันชีวิตนำเสนอเรื่องราวความรักความผูกพันที่ยิ่งใหญ่ ของคุณแม่และลูกสาวผู้เป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง   “คุณหนอยแน่” – วาเนสสา  สมัครศรุติ  ที่เล่าว่า การทำประกันชีวิตนับว่าเป็นการวางแผนการเงินให้กับคุณแม่อีกทางหนึ่ง เหมือนเป็นการมอบความรักและความห่วงใยในวันที่เราไม่อยู่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณแม่จะสามารถใช้ต่อชีวิตได้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในอนาคต 

“หนูว่าสิ่งที่ทำมันมากกว่าคำพูด อยากจะบอกว่าทุกวันที่เราตื่นขึ้นมาทำงาน พร้อมดูแลแม่ วางแผนอนาคตต่างๆ ไว้ให้ เป็นตัวแทนของความรักที่อาจจะไม่ได้บอกเป็นคำพูด แต่เชื่อว่าแม่รู้ และอยากจะบอกแม่ว่าทั้งหมดตรงนี้ทำให้แม่ก็เพราะว่ารักแม่นะคะ” คุณหนอยแน่เปิดประโยคสนทนาด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีค่ะ ชื่อหนอยแน่ วาเนสสา สมัคศรุติ ปัจจุบันเป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าวค่ะ การเป็นผู้ประกาศข่าวไม่ใช่แค่ความฝันของหนอยแน่อย่างเดียวนะคะ เป็นความฝันของคนในครอบครัว ก็คือความฝันของคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ  ตลอดระยะเวลาที่เรามีความฝันแล้วก็พุ่งเป้าไปที่ความฝันของเราว่าเราอยากจะเป็นผู้ประกาศข่าว จนบางทีคนในครอบครัวหรืออย่างคุณแม่บอกว่า มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอลูก มันต้องทุ่มเทขนาดนั้นเลยหรอ ไม่ห่วงแบบชีวิตตัวเองบ้างหรออะไรอย่างนี้ค่ะ”

สำหรับความรักความห่วงใยของคนในครอบครัว  คุณหน่อยแน่ให้ความเห็นว่า  “หน่อยแน่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว หนอยแน่ มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ที่บ้าน และก็รอคอยดูหนอยแน่ด้วยความภาคภูมิใจก็คือคุณแม่ที่หนอยแน่จะต้องดูแลไปพร้อมกัน เพราะฉะนั้นการที่เราดูแลตัวเองเนี่ย ไม่ได้ดูแลตัวเองแค่เท่านั้นแต่ว่าหนอยแน่ยังคิดถึงคนที่รักหนอยแน่ที่รออยู่ที่บ้านด้วยค่ะ แล้ววันที่แม่เริ่มแสดงความเป็นห่วงเรามาก ๆ  เรารู้สึกว่าถ้าวันนึงเราเป็นอะไรขึ้นมา วันนั้นมันอาจจะกลายเป็นวันที่แม้กระทั่งความฝันก็ไม่ได้ทำ รวมทั้งเราก็จะไม่มีแรงไปดูแลคนที่เรารักก็คือคุณแม่ด้วย ก็เลยเป็นจุดนึงที่เรารู้สึกว่าชีวิตมันไม่แน่นอนจริง ๆ”

“วันนี้เหมือนเราก็เป็นหัวหน้าครอบครัว พอมาถึงวันนี้ หนอยแน่ก็มองหาการวางแผนในชีวิตเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับตัวหนอยแน่เองด้วยค่ะ เพราะเวลาที่เห็นแม่มีความสุข เวลาเห็นแม่ยิ้ม เวลาเห็นแม่เขามองเราด้วยความภาคภูมิใจ พอแม่มีความสุข หนอยแน่ก็มีความสุข  และหนอยแน่เลือกฝาก

อนาคตในวันที่เราไม่อยู่  ส่งต่อหลักประกันให้กับคนข้างหลัง เป็นทุนได้ใช้ชีวิตต่ออย่างมั่นใจ ด้วยประกันชีวิตจากเมืองไทยประกันชีวิตค่ะ”  หนอยแน่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

เลือกประกันชีวิตเพื่ออนาคตมั่นใจ เลือกเมืองไทยประกันชีวิต

ติดตามชม  True Story “Whole Life” เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจทุกชีวิต

EP 3 : คุณหนอยแน่ – วาเนสสา สมัคศรุติ   พิธีกรและผู้ประกาศข่าว ได้ที่

YouTube : https://youtu.be/VryP4Ju7HAk
FB:  https://fb.watch/n-1vJU8una

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings 193 บจ.

0
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) เป็น SET ESG Ratings พร้อมยกระดับการประกาศผลในรูปแบบของเรตติ้ง โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ AAA, AA,  A  และ BBB เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 มีบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings 193 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 166 บริษัทในปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการให้ความสำคัญของบริษัทจดทะเบียนต่อการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG ที่เพิ่มขึ้น  

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เพื่อสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตที่ยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ​มีการประกาศผลหุ้นยั่งยืน THSI มาตั้งแต่ปี 2558 และมี บจ. สมัครใจเข้าร่วมประเมินและผ่านการประเมินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ บจ. ขณะเดียวกันผู้มีส่วนได้เสียในตลาดทุนต่างให้ความสำคัญและนำข้อมูลด้าน ESG มาใช้ประกอบการวิเคราะห์และพิจารณาลงทุนเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับข้อมูลทางการเงิน 

“ปัจจุบันปัจจัยด้าน ESG ไม่ว่าจะเป็นบรรษัทภิบาล ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็น
สิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน ล้วนมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งสิ้น ผู้ลงทุนต้องการข้อมูลเพื่อให้ทราบว่า บจ. มีการบริหารจัดการความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร ข้อมูล ESG จึงมีความสำคัญและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ลงทุนใช้พิจารณาการลงทุน การยกระดับประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในรูปแบบของเรตติ้งจะช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุนมีข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีคุณภาพ
มากขึ้น รวมทั้งสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนต่อไป ขณะที่ บจ. สามารถนำไปใช้เป็น benchmark ในการพัฒนาผลการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัท และยังช่วยสร้างความน่าสนใจต่อผู้ลงทุน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นได้อีกด้วย” นายภากรกล่าว   

บจ. ที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2566 มีจำนวน 193 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในระดับ AAA (คะแนนรวม 90-100) จำนวน 34 บริษัท ระดับ AA (คะแนนรวม 80-89) จำนวน 70 บริษัท ระดับ A (คะแนนรวม 65-79) จำนวน 64 บริษัท และระดับ BBB (คะแนนรวม 50-64) จำนวน 25 บริษัท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai (ณ 1 พฤศจิกายน 2566)

จากผลการประเมินความยั่งยืนปี 2566 พบว่า บจ. ส่วนใหญ่มีการดำเนินการและสามารถเปิดเผยข้อมูลได้ดีขึ้น โดยเฉพาะนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า/พลังงาน ลดการใช้น้ำ และการจัดการของเสียอย่าง
มีประสิทธิภาพ การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัย
อาชีวอนามัยต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บจ. ยังต้องปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลการบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการจัดการประเด็นสิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน และการวัดผลสำเร็จที่ได้จากโครงการพัฒนาชุมชนและสังคม

การประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในปีนี้ได้พัฒนาแบบประเมินความยั่งยืนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและแนวโน้ม  ESG ที่สำคัญทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ เช่น ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน เป็นต้น โดยในการคัดเลือก SET ESG Ratings คัดเลือกจาก บจ. ที่มีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่าน 50%
ในแต่ละมิติ (มิติบรรษัทภิบาลเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม) และผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น เป็นบริษัทที่มีผลการประเมิน CGR 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากหน่วยงานทางการ มีผลกำไรสุทธิ 3 ใน 5 ปีย้อนหลัง เป็นต้น ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ นำผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ไปใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETESG เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังใช้ในการคัดเลือกรางวัล SET Awards กลุ่ม Sustainability Excellence เพื่อเฟ้นหา บจ. ต้นแบบด้านความยั่งยืน ผู้สนใจสามารถติดตามกระบวนการและวิธีการประเมิน รวมทั้งผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ได้ที่ www.setsustainability.com/
ESG-ratings

รู้เก็บรู้ออม : ดูสัญญาณหุ้นบวก–ลบ!!

0

ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยนอกประเทศที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ระหว่างนี้ “คุณนายพารวย” จึงต้องหาความรู้การลงทุนเพิ่มเติม

ได้เจอบทความที่น่าสนใจเรื่อง “สัญญาณเหตุการณ์ของหุ้นที่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจ” ที่เขียนโดยคุณ “สมบัติ นราวุฒิชัย” เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ซึ่งลงใน SET SOURCE เว็บความรู้เรื่องการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน จึงอยากนำมาถ่ายทอดต่อ เพื่อให้เรามีเวลามาทำความเข้าใจทบทวน และรู้จักกับหุ้นที่เลือกซื้อ หรืออยู่ในลิสต์ที่กำลังจะซื้อ

โดยหุ้นที่เราจะเลือกลงทุนนั้น นอกจากดูปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นแล้ว ผู้เขียนแนะนำว่า นักลงทุนควรนับเอาสัญญาณเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดกับหุ้นตัวนั้น มาเป็นเกณฑ์เพื่อพิจารณาเพิ่มหรือลดคะแนนความน่าลงทุนซึ่งมีทั้งสัญญาณที่เป็นบวกและลบ

สัญญาณบวกที่เห็นแล้วน่ากดไลค์ให้คะแนนบวก ในบทความนี้ได้แนะให้ดูจากเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น เรื่องการส่งงบการเงิน ผู้บริหารที่ส่งงบไวไม่ชักช้า แถมตัวเลขดีมีกำไรหรือมีค่าการเติบโต สะท้อนถึงธุรกิจที่มีระบบบริหารดี กิจการราบรื่น ไม่มีประเด็นที่ผู้สอบบัญชีต้องใช้เวลานานไปกับการสอบถามภายในบริษัทจนทำให้ส่งงบล่าช้า

และให้ดูว่ามีบทวิเคราะห์จากหลายสำนักแนะนำให้ซื้อ ก็จะช่วยเพิ่มคะแนนของตัวหุ้น แต่ต้องเป็นบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่บทวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือกราฟราคา ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไปดูข้อมูลที่รวบรวมไว้ให้ได้ใน IAA Consensus ในเว็บ settrade.com

นอกจากนี้ยังดูความใส่ใจของผู้บริหารบริษัทที่มาร่วมให้ข้อมูลในงานนักลงทุนสัมพันธ์ หรือ Opp Day อย่างสม่ำเสมอ เป็นการส่งพลังบวกที่แสดงถึงความมั่นใจของผู้บริหารว่าธุรกิจมีเรื่องราวหรือทิศทางที่ดีมานำเสนอ ส่วนบริษัทที่ไม่มาอาจเป็นช่วงธุรกิจไม่ดีจึงไม่ค่อยอยากมาให้ข้อมูล โดยเฉพาะบริษัทที่เกิดประเด็นทางลบหนักๆ สังเกตว่าจะไม่มาชี้แจงหรือร่วมงาน Opp Day เลย!! นอกจากนี้ การได้รับรางวัลผู้บริหารยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิเคราะห์ฯ (IAA) และของตลาดหลักทรัพย์ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ

รวมทั้งการที่หุ้นตัวนั้นๆ มีชื่ออยู่ใน Theme การลงทุน ที่วิเคราะห์หลายสำนักแนะให้ลงทุน ซึ่งการกำหนดธีมลงทุนที่มีแนวโน้มที่ดี เช่น ธีมหุ้นปันผลดี ธีมหุ้นเปิดประเทศ ธีมหุ้น Growth ธีมหุ้นท่องเที่ยว นักวิเคราะห์ได้คัดสรรตัวหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมลงทุนให้มาแล้ว นอกจากนี้ยังดูสัญญานบวก จากการที่ผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ก็สามารถเพิ่มคะแนนความน่าลงทุนหุ้นตัวนั้นได้ด้วย

ส่วนสัญญาณลบที่นักลงทุนเห็นแล้ว ต้องระวัง เช่น การถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมายเตือนรุนแรง ทั้ง T3, C, SP และการถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของบริษัทและติดตามคำชี้แจงของบริษัท, ผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นแบบมีเงื่อนไข หรือเห็นว่างบไม่ถูกต้อง หรือไม่แสดงความเห็น ซึ่งหมายถึงมีประเด็นทางลบที่มีน้ำหนักพอสมควร รวมถึงการเปลี่ยน CFO กรรมการตรวจสอบแบบถี่มากอย่างผิดปกติ ซึ่งสะท้อนถึงความหนักใจบางเรื่องที่ไม่ธรรมดา

ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงสัญญาณบวก-ลบที่ผู้เขียนบทความนี้ยกมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนใช้เป็นแนวทางพิจารณาไตร่ตรอง เพิ่ม-ลดคะแนนความน่า-ไม่ลงทุนของหุ้นที่หมายตาอยู่ จนสามารถคัดกรองได้หุ้นที่ดี และหนีหุ้นที่แย่ได้!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS พา Startup สาย ESG สัญชาติไทย โชว์ศักยภาพบนเวทีโลก Singtel Group Future Maker

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ (Cognitive Tech-Co) ล่าสุดนำ Startup ไทย สาย ESG ทั้ง Muvmi และ GEPP Sa-Ard เป็นตัวแทนจากโครงการ AIS The StartUp เข้าร่วมโชว์ศักยภาพบนเวทีระดับโลก Singtel Group Future Maker ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยมี Startup จำนวน 9 ราย จาก 6 ประเทศ ในเครือ Singtel ได้แก่ AIS ประเทศไทย, Airtel อินเดีย, Globe ฟิลิปปินส์, Optus ออสเตรเลีย และ Singtel จากประเทศสิงคโปร์ เข้าร่วมสำหรับการจัดงาน Singtel Group Future Maker ในปีนี้ยังคงมองหา Startup ที่มีศักยภาพในการเติบโตและตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจแบบ ESG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ซึ่ง GEPP Sa-Ard โชว์ผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่สร้าง Value การเติบโตของธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คว้ารางวัลระดับ Gold พร้อมรางวัลพิเศษได้รับเงินทุนในการพัฒนาโปรเจคเพื่อทดลองตลาดร่วมกันกับ StartUp จากประเทศออสเตรเลียอย่าง Charopy เพื่อการสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต

ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้านเอไอเอส สตาร์ทอัพ กล่าวว่า AIS ได้นำ 2 Startup อย่าง Muvmi แพลตฟอร์ม Eco-Mobility ที่ให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าปลอดมลพิษ และ GEPP Sa-Ard แพลตฟอร์มสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลขยะที่เป็นไปตามมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) เพื่อช่วยบริหารจัดการข้อมูลขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าร่วมโครงการ Singtel Group Future Maker เวทีระดับโลกที่จะเชื่อมต่อโอกาสให้ Startup ก้าวสู่การเติบโตในธุรกิจ จากการใช้ศักยภาพของ AIS และกลุ่ม Singtel ทั้งในเรื่อง Digital Infrastructure ที่มีความพร้อมและแข็งแรงมากที่สุด เครื่องมือด้านดิจิทัลโซลูชัน องค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ หรือแม้แต่การขยายตลาดจากการเข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 770 ล้านคน รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจและกลุ่มนักลงทุน

นอกจากนี้ ยังเปิดประสบการณ์ผ่านกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟในการเข้าดูงานด้านนวัตกรรมและร่วมพูดคุยกับพาร์ทเนอร์จาก Singtel ที่จะเป็นการสร้างเครือข่ายการทำงานเพื่อร่วมกันเติมเต็ม Ecosystem ของวงการ Startup ไทยให้ก้าวไปอีกขั้น และมากไปกว่านั้นเรายังต่อยอดโอกาสให้ Startup ได้เข้าร่วมงาน Singapore Week of Innovation and Technology (SWITCH) ที่จัดโดยรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งมีสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมงานดังกล่าว โดย NIA ได้คัดเลือกให้ Muvmi และ GEPP Sa-Ard ร่วมออกบูธใน Thai Pavilions ถือเป็นอีกหนึ่งประตูบานสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสในการพบกับกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก

สำหรับแนวคิดการจัดงานในปีนี้ยังคงเน้นย้ำเรื่อง ESG Business ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ซึ่งในปีนี้ GEPP Sa-Ard สามารถนำเสนอผลงานที่ชี้ให้เห็นถึงการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาสร้างการเติบโตผ่านการวาง Business Model ที่แข็งแรง ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาด้านการจัดการขยะ และยังใช้แนวคิดที่สร้าง Positive Impact ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

นายแอนดรู บอย รองประธานด้านความยั่งยืนกลุ่มบริษัทสิงเทล กล่าว่า Singtel Group Future Makers เป็นโครงการที่มุ่งพัฒนากลุ่ม Startup โดยนำขีดความสามารถของดิจิทัลเทคโนโลยีมาสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การสร้างความเท่าเทียมด้านเศรษฐกิจสังคม หรือแม้แต่ประเด็นด้านสาธารณสุข ในปีนี้ผู้ชนะจากโครงการ Singtel Group Future Maker ได้แสดงให้เห็นถึงการใช้ศักยภาพของโครงข่าย 5G AI และ IoT ที่สามารถพัฒนาออกมาเป็นโซลูชันที่ช่วยแก้ปัญหาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สนับสนุนพวกเขาด้วยพลังเครือข่ายของกลุ่มสิงเทล ทั้งความเชี่ยวชาญ รวมถึงทรัพยากรต่างๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถเติบโต และส่งมอบนวัตกรรมนี้ไปยังกลุ่มตลาดใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัทสิงเทลที่ต้องการสร้างโอกาสและพลังให้คนทุกกลุ่ม เราจะเดินหน้าสนับสนุนการทำงานเพื่อให้กลุ่ม Startup ส่งต่อประโยชน์ไปยังผู้คนและสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไป

นางสาวมยุรี อรุณวรานนท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร GEPP กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าร่วม โครงการ Singtel Group Future Makers เพราะไม่เพียงแต่การได้รับโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการส่งต่อความเชื่อของพวกเราที่ว่า องค์กรภาคธุรกิจคือจุดเริ่มต้นที่มีส่วนสำคัญ ในการทำให้ผู้บริโภค และ ประชาชน เข้าใจถึงเรื่องของการบริหารจัดการขยะ ทำให้ GEPP Sa-Ard ถูกพัฒนาขึ้นเป็น Waste Management Platform ที่ประกอบไปด้วย Data Analytics System ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ขายขยะ กับผู้รับซื้อขยะเพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการจัดการและรีไซเคิลได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ไปจนถึงการจัดเก็บและการติดตามปลายทางของขยะ และสามารถสร้างรายงานตาม Global Reporting Initiative (GRI) ที่ทุกคนสามารถเข้ามาดูได้ถึงการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ”

นายศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาธุรกิจ MuvMi กล่าวว่า “ขอขอบคุณโครงการ AIS The StartUp ที่มองเห็นถึงความตั้งใจของพวกเราในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขปัญหาการเดินทางของผู้คน MuvMi ดำเนินธุรกิจภายใต้ Ride Sharing ที่ไม่ได้มองเพียงแค่ความสามารถของระบบบริหารจัดการเส้นทางที่ตอบโจทย์ผู้คนในย่านต่างๆ แต่เรายังมองถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการใช้รถบนท้องถนน โดยเราทำงานร่วมกับ AIS มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การผลักดันบริการรถตุ๊กตุ๊กแบบ EV ให้บริการรับ ส่งผู้โดยสารตามแนวรถไฟฟ้าในย่านต่างๆ ทั่วกรุงเทพ ทำให้วันนี้ MuvMi มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MuvMi กว่า 5.4 แสนครั้ง ให้บริการผู้โดยสารมาแล้วกว่า 7 ล้านคน และการเข้าร่วมโครงการ Singtel Group Future Makers ในครั้งนี้ ทำให้ได้รับประสบการณ์และมุมมองที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เราสามารถส่งต่อความตั้งใจในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมต่อไป”