Home Blog Page 125

“แม็คกรุ๊ป” คว้ารางวัลใหญ่ระดับเอเชีย Master Entrepreneur Award จาก APEA 2023

0

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รับรางวัล Master Entrepreneur Award ด้านธุรกิจรีเทล จากเวทีนานาชาติ Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2023 ในฐานะผู้นำองค์กรที่มีความสามารถโดดเด่นในการบริหารจัดการ โดย Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนระดับภูมิภาคที่สนับสนุนนการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ ความยั่งยืน นวัตกรรม และการเติบโต

โดยเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรธุรกิจ และผู้บริหารองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการชั้นนำทั่วภูมิภาคเอเชีย พร้อมกระชับความสัมพันธ์ระดับภูมิภาคและการเติบโตของผู้ประกอบการ รวมไปถึงการส่งเสริมหลักปฏิบัติ ที่เป็นธรรมและนวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้นไปพร้อมกัน

สำหรับรางวัลนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลแห่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งถือเป็นรางวัลเแห่งความภาคภูมิใจ และตอกย้ำความสำเร็จของ แม็คกรุ๊ป ในระดับสากล สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์การจับจ่ายสินค้าให้แก่ลูกค้า ทางด้านการบริการ การคัดสรรสินค้าคุณภาพ ความคุ้มค่า เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยปัจจุบันรางวัล Master Entrepreneur Award ได้ขยายไปยัง 16 ประเทศ รวมถึงจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ไทย ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม และอื่นๆ อีกมากมาย

AWCเปิดตัว “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” ห้องอาหารจีนโมเดิร์นชิคใน โรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดตัว “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” (Yue Restaurant and Bar) ห้องอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นชิค ที่โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มุ่งเป็นห้องอาหารจีนที่สร้างประสบการณ์ที่พิเศษที่สุด พร้อมด้วยเมนูที่หลากหลาย ประกอบกับห้องไพรเวทไดน์นิ่ง (private dining) ที่มีการออกแบบพิเศษสำหรับงานเลี้ยง งานสังสรรค์ งานประชุมได้อย่างครบครัน ผ่านการมอบประสบการณ์ด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์ให้แก่ชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตให้โดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารระดับโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “AWC มุ่งมั่นที่จะร่วมเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวและสร้างชื่อเสียงให้ภูเก็ตเป็นแหล่งรวมความสุขและความอร่อยระดับโลก ได้เปิดตัว “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” ที่โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ซึ่งบริหารโดยแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เครือโรงแรมระดับโลก พร้อมจุดเด่นของที่ตั้งบนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองภูเก็ต รายล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดดเด่นด้วยอาหารท้องถิ่น ร้านอาหารและบาร์ที่ได้รับความนิยม ซึ่งห้องอาหาร “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” นี้จะเพิ่มประสบการณ์ความอร่อยที่พิเศษให้กับเมืองภูเก็ต ผ่านบรรยากาศและอาหารจีนที่หลากหลาย สไตล์โมเดิร์นชิคได้ตลอดในทุกๆ วัน ด้วยเมนูติ่มซำสุดพิเศษที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเยี่ยมเพื่อร่วมสนับสนุนให้ภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกของประเทศไทย”

“เย่ว” 悅 (Yuè) ในภาษาจีนแปลว่า “ความสุข ความยินดีที่รื่นรมย์ (Delighted)” สะท้อนถึงความสุขของการได้สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารร่วมกับคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว คนรัก หรือเพื่อน ซึ่งการได้รับสุนทรีย์แห่งการรับประทานอาหารเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพที่ดีและความสุข โดยห้องอาหารจีน “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” นี้ จะนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์ พร้อมด้วยบรรยากาศและเมนูแบบโมเดิร์นชิค ซึ่งรังสรรค์โดยทีมเชฟผู้มีประสบการณ์กว่า 10 ปี โดดเด่นด้วยวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่คัดสรรจากชุมชนเพื่อสนับสนุนด้านความยั่งยืนพร้อมสร้างคุณค่ากลับสู่สังคม โดยมีเมนูไฮไลท์มากมาย อาทิ ติ่มซำสูตรจีนกวางตุ้ง หลากหลายรูปแบบที่ปั้นสดใหม่ทุกวัน เป็ดปักกิ่งสูตรต้นตำรับ หนังกรอบ เสริ์ฟพร้อมแผ่นแป้งบาง ตามด้วยเครื่องเคียงและซอสที่เป็นเอกลักษณ์ หมูสามชั้นตุ๋นที่เสิร์ฟพร้อมผักกาดดองและหมั่นโถว คู่กับซอสสูตรพิเศษจากห้องอาหาร และที่พลาดไม่ได้ คือ เมนูซิกเนเจอร์ ‘Chinese Peach’ สุดพิเศษที่โดดเด่นด้วยการใช้สีชมพูในการนำเสนอ สื่อถึงดอกท้อและลูกท้อแห่งความสิริมงคลตามตำนานของจีนได้อย่างละมุน รวมถึงซุปสมุนไพรอำพัน ดอกท้อหมื่นลี้ เมนูเพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง พร้อมเพลิดเพลินไปกับ ‘ที-บาร์’ บาร์ชาจีนที่คัดสรรชาระดับพรีเมียมที่มีชื่อเสียงจากประเทศจีน ผ่านการนำเสนอในสไตล์ชิคที่เป็นรูปแบบดอกไม้บาน (Blooming Tea) รับประทานไปพร้อมกับเมนูติ่มซำ ช่วยชูรสชาติมื้ออาหารให้อร่อยกลมกล่อมและลงตัวยิ่งขึ้น

ห้องอาหาร “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากเรื่องราวแห่งกาลเวลาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวเมืองภูเก็ตที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากชาวจีนฮกเกี้ยนที่เดินทางเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศไทยตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ทำกิจการค้าขายและนำความเจริญรุ่งเรืองสู่เมืองภูเก็ต โดยแรงบันดาลใจนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่านการตกแต่งภายใน ‘เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์’ ที่ใช้ลวดลายมังกรมาเป็นองค์ประกอบหลัก แสดงถึงสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมการเชิดมังกรของชาวจีน รวมถึงการใช้ผ้าสีขาวที่ถูกถักทอและห้อยระโยงระย้าบนเพดานของห้องอาหาร ผสมผสานกับการตกแต่งพื้นที่ด้วยเส้นสายที่มีลวดลายพริ้วไหวสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังของมังกร เสริมด้วยการใช้สีทองและสีแดงในการตกแต่งอย่างลงตัว สะท้อนเรื่องราวและความทรงจำอันทรงคุณค่าของความเป็นมาและวัฒนธรรมจีนที่เป็นมรดกตกทอดให้แก่ชาวเมืองภูเก็ตได้อย่างสมบูรณ์

 “AWC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ พร้อมสร้างประสบการณ์พิเศษและมีเอกลักษณ์ สะท้อนคุณค่าศิลปะวัฒนธรรมและความเป็นไทย ควบคู่การร่วมขับเคลื่อนประเทศและสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก โดย “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของชาวเมืองภูเก็ตที่นิยมรับประทานอาหารจีน และเป็นห้องอาหารแห่งที่ 4 ของโรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ซึ่งทุกห้องอาหารภายในโรงแรมได้รวบรวมหลากหลายแง่มุมของวัฒนธรรมเมืองภูเก็ตเข้าไว้ด้วยกัน อาทิ ตะลุงเลานจ์ กอและพูลบาร์ และครัวตลาดใหญ่ ทั้งนี้ โรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ยังมีห้องจัดเลี้ยงที่หลากหลายครบครัน และห้องบอลรูมขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่วีไอพีส่วนตัวพิเศษบนชั้นลอย สามารถเชื่อมต่อกับห้องบอลรูมได้ ทำให้สามารถรองรับการจัดงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ งานประชุมสัมมนา งานกิจกรรม และงานแต่งงาน โดย AWC เชื่อมั่นว่าการเปิดห้องอาหาร “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” แห่งนี้ จะช่วยเสริมจุดแข็งของโรงแรมให้ครบครันยิ่งขึ้น พร้อมรองรับงานประชุมสัมมนาระดับนานาชาติด้วยความพิเศษของอาหาร ไทย จีน และตะวันตก เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจการบริการและการท่องเที่ยวด้านอาหารในจังหวัดภูเก็ต มุ่งสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก (Global F&B Destination)” นางวัลลภา กล่าวสรุป

ทั้งนี้ ห้องอาหาร “เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์” ตั้งอยู่ชั้น 2 ของโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ เปิดให้บริการทุกวัน ช่วงเช้า เวลา 07.00 – 10.30 น.* ช่วงกลางวัน เวลา 11.00 – 14.30 น. และช่วงเย็น เวลา 18.30 – 22.30 น.

ม.ศิลปากร-ซีพีเอฟ ยกระดับความร่วมมือทางวิชาการ ผลิตบัณฑิตคุณภาพ ก้าวทันโลกแห่งอนาคต

0

มหาวิทยาลัยศิลปากร และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อพัฒนาหลักสูตรผลิตบัณฑิตที่มีทักษะและมีความรู้ด้าน STEM วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics)โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเรียนรู้โดยลงมือปฏิบัติจริงในสถานประกอบการของซีพีเอฟ ผ่านโครงการ Co-Creation Program ซึ่งพิธีลงนาม มีนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ลงนามร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมี น.สพ. สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์น้ำ นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ และคณะผู้บริหารระดับสูงของ ม.ศิลปากร ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชั้น 30 ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มีความมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการ
สอนที่บูรณาการองค์ความรู้และเน้นการปฏิบัติจริงมากขึ้น เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และทักษะจากประสบการณ์จริง เป็นบัณฑิตที่มีทักษะตรงตามความต้องการของธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาในการนำไปประยุกต์ในการทำงานเมื่อสำเร็จการศึกษา และเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนที่จะได้รับความคิดสร้างสรรค์จากคนรุ่นใหม่ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กรเป็นผู้นำในการผลิตอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการ ราคาสมเหตุสมผล ด้วยกระบวนการผลิตประสิทธิภาพสูง โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปากรในครั้งนี้ นับเป็นต้นแบบในการผนึกพลังกันเพื่อสร้างคน สร้างอนาคต และสร้างเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคง และเป็น “ครัวของโลก” อย่างยั่งยืน สอดคล้องตามหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่มุ่งดำเนินธุรกิจโดยก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กรตามลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติ

“เรามีความมั่นใจว่าโครงการนี้จะเป็นการเสริมสร้างทักษะให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย มีความพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงาน เรียนไปทำงานไป นำความรู้จากการศึกษามาทดลองใช้จริง ได้เห็นปัญหาและแนวทางการแก้ไข เป็นโครงการที่ตรงกับวิสัยทัศน์ของเครือซีพี โดยท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ มีนโยบายที่ชัดเจนว่าการดำเนินธุรกิจต้องมองประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กรก็จะได้ประโยชน์ด้วย หวังว่าโครงการ Co-Creation Program จะเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์กับนักศึกษาซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญของประเทศ ” นายประสิทธิ์กล่าว

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร. ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า มหาวิทยาลัยฯ มุ่งมั่นพัฒนาหลักสูตรที่โดดเด่นให้บัณฑิตรู้จริงและทำงานจริง ซึ่งโครงการ Co-Creation Program เน้นความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัทเอกชนในรูปแบบ Work-Based Learning (WBL) ทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติจริง ผลิตบันฑิตพร้อมใช้ (Ready to Use) เมื่อสถานประกอบการรับเข้าทำงานแล้ว สามารถทำงานในตำแหน่งนั้นๆ ได้ทันที ไม่ต้องทดลองงาน ขอขอบคุณซีพีเอฟที่มอบโอกาสดีๆ ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศชาติ และความร่วมมือในครั้งนี้ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยน่าจะได้รับประโยชน์หลายๆอย่าง ในความร่วมมือของมหาวิทยาลัยกับบริษัทเอกชน ที่จะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและผลิตบัณฑิตที่มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 โดยที่ซีพีเอฟใช้ศักยภาพของบริษัทมาพัฒนานักศึกษา นอกจากนี้ ยังเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 80 ปี ของมหาวิทยาลัยที่จะเดินหน้าผลิตบัณฑิตคุณภาพเพื่อตอบแทนสังคมและประเทศชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป

ทั้งนี้ การพัฒนาหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟและมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อร่วมผลิตบัณฑิตโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ของซีพีเอฟ ที่จะร่วมพัฒนาการเรียนการสอนแก่นักศึกษาผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยนับเป็นการเรียนการสอนตามรายวิชาที่นักศึกษาสามารถนับหน่วยกิตในการศึกษาได้ เป็นประโยชน์กับทั้งสถาบันการศึกษาที่สามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

ในขณะเดียวกันซีพีเอฟสามารถรับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Co-Creation Program เข้าทำงานกับซีพีเอฟได้ทันทีหลังจากจบการศึกษา โดยมีหลักสูตรนำร่องด้านวิทยาศาสตร์ (Science) อาทิ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสัตวศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี (Technology) หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร ด้านวิศวกรรมศาสตร์ (Engineering)หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ และหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ด้านคณิตศาสตร์ (Mathematics) อาทิ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการข้อมูล ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ร่วมพัฒนาหลักสูตรด้าน Digital Skills “Data Science and Machine Learning” เป็นต้น

เกษตรกรเลี้ยงหมู ฝากรบ.ใหม่ ดูแลเกษตรกร – กำจัดหมูเถื่อน – ยกระดับหมูไทย

0

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว โดยเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งมีประสบการณ์มาจากภาคธุรกิจชั้นนำ จะสามารถฟอร์มทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจนนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ โดยฝากความหวังให้คณะรัฐมนตรีใหม่ ดูแลเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ปราบปรามหมูเถื่อนต่อเนื่อง และเร่งผลักดันการยกระดับมาตรฐานสุกรไทยต่อไป

สุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

“ท่านนายกเศรษฐา ทวีสิน มีพื้นฐานประสบการณ์ด้านธุรกิจมาเป็นอย่างดี เชื่อมั่นว่าท่านจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น และขอฝากท่านดูแลธุรกิจสุกรอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรหายไปจากระบบเป็นจำนวนมาก ขณะที่ธุรกิจนี้ขับเคลื่อนด้วยเกษตรกรต้นน้ำ จึงอยากให้ท่านให้ความสนใจกับอาชีพเกษตรกรและคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ผลิตอาหารกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ” นายสุรชัยกล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกำกับดูแลการจำหน่ายสุกรหน้าฟาร์ม อย่าให้ผู้เลี้ยงสุกรต้องแบกรับภาระขาดทุนและขายผลผลิตได้ต่ำกว่าต้นทุนเป็นระยะเวลายาวนานดังเช่นที่ผ่านมา ควรมีการใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่เข้ามาดูแลอย่างทันเหตุการณ์ เนื่องจากสินค้าสุกรและปศุสัตว์ไม่มีการประกันราคาขั้นต่ำเหมือนสินค้าพืชไร่อื่นๆ

สำหรับประเด็นหมูเถื่อนนั้น ยังคงต้องขอให้รัฐตรวจสอบปราบปรามอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดความเข้มงวดในการป้องกันและติดตามตรวจสอบ อย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำสอง เพราะนี่คืออีกปัจจัยหลักที่ทำให้เกษตรกรต้องหายไปจากระบบ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับหมูเถื่อนผิดกฎหมายเหล่านั้นได้ กระทั่งต้องประสบภาวะขาดทุนสะสมติดต่อกันหลายเดือน

ขณะเดียวกันผู้เลี้ยงสุกรในประเทศไทย มีความพยายามในการยกระดับมาตรฐานการผลิตสุกรให้เข้าสู่ระบบไบโอซีเคียวริตี้จนประสบความสำเร็จ เป็นการป้องกันโรคระบาด ASF ที่มีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มอัตราการให้ลูกของแม่พันธุ์จากปกติ 21-22 ตัว/แม่/ปี เป็น 23-24 ตัว/แม่/ปี หรือมากขึ้นถึง 5% นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาวงการสุกรไทยที่หวังให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ให้ความสนใจเดินหน้าพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้าน พร้อมผลักดันนโยบายยกระดับให้สุกรกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในอนาคต

นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ไม่ว่าผู้ใดจะเข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ กระทรวงพาณิชย์ ขอให้มั่นใจว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงและทุกคนในแวดวงสุกรไทยทำงานเต็มที่ และพยายามอย่างที่สุดในการผลิตสุกรคุณภาพเพื่อผู้บริโภค และผลผลิตสุกรไทยเป็นที่ยอมรับจากทุกๆประเทศในภูมิภาค หากได้รับการสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเอาใส่ใจถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรภาคปศุสัตว์ ช่วยดูแลเสถียรภาพราคา หรือผลักดันการสร้างความมั่นใจในการนำเข้าสุกรไทยให้แก่ประเทศต่างๆ อุตสาหกรรมสุกรของไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศไทยได้อย่างมากแน่นอน

สารทจีนนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ เน้นสด สะอาด ปรุงสุกใหม่

0

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร แนะวิธีเลือกซื้อ เนื้อสัตว์ เพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสารทจีน โดยสังเกตจากลักษณะภายนอกของเนื้อสัตว์ ทั้ง กลิ่น สี เนื้อสัมผัส ความสด สะอาด และปลอดภัย มาจากผู้ผลิตที่ได้รับรองมาตรฐาน มีฉลากระบุวันเดือนปีผลิต รวมถึงรายละเอียดที่สำคัญ และต้องปรุงสุก อุ่นร้อน ก่อนรับประทานเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้คำแนะนำกับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลไหว้สารทจีนที่จะมาถึงในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ว่า หลักการจัดของไหว้ที่นิยม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ตามประเพณี ได้แก่ ชุดเนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ) หรือชุดเนื้อสัตว์ 5 อย่าง (โหงวแซ) โดยเป็น เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ กุ้ง ปลา หรือ ชุดของหวาน 3 อย่าง (ซาก้วย) หรือ ชุดของหวาน 5 อย่าง (โหงวก้วย) ซึ่งเป็นผลไม้และขนม 2. อาหารที่บรรพบุรุษเคยชอบกิน โดยลูกหลานจะคัดเลือกอาหารและปรุงเป็นเมนูพิเศษนำมาไหว้

ดร.รชา เทพษร

สำหรับวิธีการเลือกซื้อเนื้อสัตว์คุณภาพดี ให้สังเกตจาก กลิ่น สี และเนื้อสัมผัสเป็นหลัก เนื้อหมูต้องมีสีแดงธรรมชาติ เนื้อแน่น กดแล้วเนื้อไม่บุ๋ม ไม่มีกลิ่น ไม่มีเมือก ขณะที่ ไก่ นิยมไหว้ทั้งตัวแบบที่ยังไม่ได้นำเครื่องในออก เพราะถ้าเครื่องในแตก จะทำให้เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ส่วน ปลาสด เหงือกต้องแดง ตาใส กดไม่บุ๋ม ไม่มีกลิ่น และ กุ้ง หัวติดตัวแน่น ตัวโต ตัวใส

นอกจากนี้ การเลือกผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายของไหว้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 1. เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จากร้านสะดวกซื้อ คอนวีเนียนสโตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดสดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาดจากกรมอนามัย และ 2. เลือกผู้ผลิตที่มีตราสัญลักษณ์ รับรองจากหน่วยงานรัฐ อาทิ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ยืนยันความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า

ดร.รชา เทพษร กล่าวย้ำว่า การแสดงฉลากสินค้าบนอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย ที่ผู้ผลิตต้องแสดงข้อมูลสำคัญบนฉลาก ได้แก่ 1. ผู้ให้การรับรองความปลอดภัย อาทิ เครื่องหมายรับรองจาก อย. ถือเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐาน เชื่อมั่นได้ 2. แสดงชื่อสินค้าชัดเจนว่าคืออะไร เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ 3. ผู้ผลิต คือใคร ผลิตที่ไหน ภายในประเทศหรือนำเข้า ถ้านำเข้าโดยใคร ประเทศต้นทางอยู่ที่ไหน เพราะผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นกับสินค้า ผู้บริโภคมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายอย่างเป็นธรรมจากผู้ผลิต 4. วัน เดือน ปี ที่ผลิต และวันหมดอายุ วันหมดอายุจะถูกคำนวณและศึกษามาแล้วว่า อยู่ในระยะเวลาที่สามารถบริโภคสินค้าได้อย่างปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรพิจารณา

ทั้งนี้ยังมีเครื่องหมายตราสัญลักษณ์นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด เช่น “ปศุสัตว์ OK” ตราสัญลักษณ์ที่รับรองคุณภาพของเนื้อสัตว์จากกรมปศุสัตว์ เป็นเครื่องหมายยืนยันการรับรองการตรวจสอบสารตกค้าง และจุลินทรีย์ในสินค้าปศุสัตว์ และเครื่องหมาย HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) แสดงถึงมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตรายต่อผู้บริโภคที่อาจได้รับจากอาหาร

สำหรับวิธีการเก็บรักษาเนื้อสัตว์อย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย ผู้บริโภคต้องคำนึงถึง แดนเจอร์โซน (Danger Zone) คืออุณหภูมิอันตราย อยู่ระหว่าง 5 – 62 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงที่จุลินทรีย์เจริญได้ดีและเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเก็บเนื้อสัตว์ ต้องเก็บรักษาอยู่อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ให้เร็วที่สุด เก็บในช่องแช่แข็ง และต้องเก็บให้เป็นสัดส่วน ไม่แช่รวมกับผักสดหรือสิ่งอื่นๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามจากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งหนึ่งโดยมีตัวกลาง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียง่าย กรณีนำเนื้อสัตว์แช่น้ำแข็ง ต้องระวังน้ำแข็งที่ไม่สะอาด เพราะหลังจากน้ำแข็งละลาย เนื้อสัตว์ที่แช่อยู่จะเกิดการปนเปื้อนข้ามจากน้ำแข็งมาที่เนื้อสัตว์ รวมถึงห้ามนำน้ำแข็งที่แช่ของต่างๆ มาบริโภค เพราะอาจมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ในน้ำแข็ง อาทิ แบคทีเรีย “อีโคไล” ทำให้เกิดอาการท้องเสีย และแบคทีเรีย “สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส” ซึ่งสร้างสารพิษที่ทนความร้อนได้ดี การนำอาหารไปอุ่นร้อนไม่สามารถทำให้สารพิษนั้นหายไปได้

ด้านการปรุงอาหารอย่างปลอดภัย แนะนำให้ปรุงสุกที่อุณหภูมิสูงกว่า 62.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่จุลินทรีย์ก่อโรคถูกทำลาย ทำให้ความเสี่ยงในการรับเชื้อน้อยลง

ส่วนวิธีการประกอบอาหารมีหลากหลาย แต่วิธีที่ดีคือการทำให้สารอาหารเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด อาทิ การต้ม แม้วิตามินบางตัวจะละลายลงไปในน้ำและเกิดการสูญเสียไปบ้าง แต่ยังได้กินเข้าไปกับน้ำซุปที่ต้ม การทอด อุณหภูมิน้ำมันที่สูงเกินไปจะทำให้เกิดสาร “อะคริลาไมด์” (Acrylamide) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และการปิ้งย่าง ทำให้เกิดสาร “พาร์” (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ซึ่งมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งสูง ดังนั้นการต้มจึงเป็นวิธีที่ดีและยังคงคุณค่าอาหาร ไม่แนะนำการลวก เพราะเสี่ยงมากที่เนื้อสัตว์จะไม่สุก ซึ่งในเนื้อหมู และเนื้อไก่ ห้ามกินดิบ เพราะมีจุลินทรีย์อันตรายที่ทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมถึงพยาธิต่างๆ ด้วย

อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ วิธีการเก็บรักษาอาหารที่เหลือ อาหารไหว้ที่อยู่ในช่วงธูปหมดดอกประมาณ 30 นาทีแรก ยังสามารถรับประทานได้ปลอดภัย แต่หากทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง จุลินทรีย์ก่อโรคอาจเพิ่มจำนวนขึ้นและเกิดการปนเปื้อนได้ แม้การนำไปแช่ตู้เย็นจะทำให้จุลินทรีย์ที่แช่แข็งไว้ไม่เพิ่มจำนวน แต่เมื่อนำออกมาบริโภคใหม่ต้องอุ่นร้อนเสมอเพื่อทำลายจุลินทรีย์ด้วยความร้อน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค สร้างหลักประกันความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร

รู้เก็บรู้ออม : SET Social Impact GYM เปิดเทอมใหม่

0

เป็นเวลานาน 7 ปีแล้วที่โครงการ SET Social Impact GYM  ทำหน้าที่เป็นเวทีถ่ายทอดความรู้  และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับผู้ประกอบการเพื่อสังคมหลายต่อหลายรุ่น รวมทั้งยังเป็นพี่เลี้ยง ด้วยการจัดหาโค้ชมากฝีมือ จากผู้ประกอบการมืออาชีพ และผู้บริหารระดับสูง มาช่วยถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการสังคมที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้

SET Social Impact GYM เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” กับ สมาคมบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA)  เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเพื่อสังคมและ บจ. ได้แบ่งปันความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจให้กับผู้ประกอบการเพื่อสังคม   รวมถึงการเปิดโอกาสนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 

และสำหรับปีนี้  SET Social Impact GYM 2023 ได้ฤกษ์เปิดเทอมใหม่  จัดอบรมแบบเข้มข้นตลอดเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม  ตลอดระยะเวลาโครงการนาน 8 สัปดาห์เต็ม

คุณภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกว่า ปีนี้ โครงการมีความพิเศษตรงที่เพิ่มพันธมิตรใหม่อีก 3 รายที่เข้ามาให้ความร่วมมือ ได้แก่  กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สนับสนุนด้านทุน การแลกเปลี่ยนเครือข่ายการทำงานและร่วมพัฒนาองค์ความรู้,  บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะมาช่วยให้ข้อมูลความรู้การวางแผนเตรียมความพร้อมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเสริมทักษะด้านบริหารจัดการเงินทุนที่ได้มาให้มีประสิทธิภาพ และ บริษัท PwC ประเทศไทย ช่วยให้คำปรึกษาด้านบัญชี กฎหมาย และภาษี

นอกจากนี้ ยังมีโค้ชจิตอาสาที่เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ ผู้บริหารระดับสูงจากบจ. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาด เอ็ม เอ ไอ  จำนวน 22 คน ที่จะมาร่วมให้คำแนะนำ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดเชิงธุรกิจ ร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจในรูปแบบการโค้ชตัวต่อตัว

สำหรับ ผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่เข้าร่วมโครงการปีนี้ มีจำนวน 9 ราย  แบ่งเป็นผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อม 2 แห่ง ด้านผู้เปราะบาง 3 แห่ง ด้านพัฒนาชุมชน 3 แห่ง และด้านการเกษตร 1 แห่ง ครอบคลุมการสร้างผลลัพธ์ทางสังคมในทุกด้าน

จากความสำเร็จของโครงการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  มั่นใจได้ว่า ผู้เข้าร่วมโครงการปีนี้ จะได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ได้เรียนรู้ และปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาศักยภาพ และเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรุ่นก่อนหน้านี้

โดยตลอดระยะเวลา 7 ปี มีผู้ประกอบการเพื่อสังคมผ่านการอบรมไปแล้วกว่า 80 ราย  สามารถแบ่งตามสัดส่วนการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม 5 ด้าน  คือ  40% เป็นด้านพัฒนาชุมชนและสังคม  อีก 60% เป็นด้านสุขภาพ ด้านผู้เปราะบาง ด้านเกษตรและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ที่พร้อมต่อยอดความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาคสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกัน

ส่วนผู้ประกอบการสังคมที่พลาดโอกาสปีนี้ ไม่ต้องเสียใจ ไว้รอสมัครใหม่ปีหน้า  คอยติดตามข่าวสารได้ทาง  www.setsocialimpact.com  

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ ขับเคลื่อนแผนพัฒนา “ทะเลสาบสงขลา” พัฒนาอาชีพชุมชนชาวประมง

0

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า โครงการพัฒนาอาชีพ ตามดำริ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ภายใต้แผนงาน “ทะเลสาบสงขลายั่งยืน” มุ่งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาอาชีพชุมชนชาวประมงรอบทะเลสาบสงขลา ไปพร้อมๆกับการปกป้องฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล สู่ความยั่งยืนในทุกมิติ

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ เล็งเห็นความสำคัญของทะเลสาบสงขลา ในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เนื่องจากเป็นทะเลสาบแบบลากูนแห่งเดียวของประเทศไทย และมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ “โลมาอิรวดี” ซึ่งจัดเป็นสัตว์ทะเลสถานะใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงมีป่าพรุและป่าชายเลนโดยรอบทะเลสาบ มูลนิธิฯ จึงมุ่งขับเคลื่อนโครงการพัฒนาอาชีพ ตามดำริ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ภายใต้แผนงาน “ทะเลสาบสงขลายั่งยืน” เพื่อสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน ควบคู่ไปกับการปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติในทะเลสาบสงขลา

“มูลนิธิฯ เดินหน้าแผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทะเลสาบสงขลายั่งยืน ปี 2566 – 2568 มุ่งปกป้องและฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา พัฒนาอาชีพประมงพื้นบ้านยั่งยืน และอนุรักษ์สัตว์ในทะเลสาบ ครอบคลุมทะเลสาบตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง ที่สำคัญ ทะเลสาบสงขลาถือเป็นทั้งแหล่งอาชีพและแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชนกว่า 4 แสนครัวเรือน มูลนิธิฯ จึงมีแผนสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในอนาคต” นายจอมกิตติ กล่าว

ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ มีการแลกเปลี่ยนทิศทางการขับเคลื่อนงานร่วมกับภาคีเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชน ได้แก่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง พัทลุง-สงขลา ในการหาแนวทางอนุรักษ์ “โลมาอิรวดี” พร้อมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยว และสนับสนุนเด็กและเยาวชนลูกหลานชาวประมง สร้าง “มัคคุเทศก์น้อย” ผ่านหลักสูตร Thai Lagoon เพื่อปลูกฝังการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทะเลสาบสงขลา และมีความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตนเอง พร้อมทั้งหารือร่วมกับสมาคมรักษ์ทะเลไทย ในการสนับสนุนการสร้างอาชีพยั่งยืน อาทิ การทำธนาคารกุ้งก้ามกรามเพื่อการเพิ่มพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจ การเลี้ยงปลาในกระชังในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา เพื่อส่งเสริมอาชีพและรายได้ และได้เข้าพบมูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศน์พื้นที่ทะเลสาบสงขลาตอนบน บริเวณชุมชนปากประ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของโลก รวมถึงการอนุรักษ์ “ควายน้ำ” ระบบการเลี้ยงควายปลักพื้นที่ทะเลน้อย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของไทย

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังเข้าหารือสถาบันทักษิณคดีศึกษา สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดสงขลา ในการร่วมมือด้านการท่องเที่ยวชุมชน การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหารท้องถิ่น และเข้าศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตโหนด นา เล บ้านท่าหิน อ.สทิงพระ จ.สงขลา ต่อยอดการยกระดับผลิตภัณฑ์จากตาลโตนด พร้อมช่องทางการจำหน่ายเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด โดยมีเป้าหมายขยายสู่กิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise และ การพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทำ “นาริมเล” บ้านปากประ ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

CPF ขับเคลื่อนสร้าง 4 สวนป่า มุ่งประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยธุรกิจสุกร ผนึกกำลังภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชน ปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ในโครงการ สวนป่าชุมชน ขับเคลื่อนผืนป่า 4 แห่ง ปลูกต้นไม้ไปแล้วมากกว่า 1 แสนต้น มุ่งประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และช่วยกักเก็บคาร์บอน ล่าสุด คิกออฟสร้างผืนป่าแห่งที่ 4 “สวนป่าวราห์นาดี” ที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ตั้งเป้าหมายปลูกต้นไม้เต็มพื้นที่ 200 ไร่ ภายในปี 2571

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นปกป้องพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพ ดำเนินโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการของบริษัท รวมทั้งร่วมมือกับชุมชน ขับเคลื่อนโครงการ”สวนป่าชุมชน” ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และต้นไม้ บนหลักของการสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดประโยชน์สูงสุด นับจากริเริ่มโครงการสวนป่าแห่งแรก คือ ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศ โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ขยายพื้นที่สร้างสวนป่าทั้งหมด 4 แห่ง ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ไปแล้วรวมมากกว่า 100,000 ต้น ต่อยอดสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนของชุมชน แหล่งอาหาร แหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศพืชและสัตว์ แหล่งอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายาก ฯลฯ เกิดผลกระทบทางบวกทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

โครงการสวนป่าชุมชนทั้ง 4 แห่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างกลไกความร่วมมือกับชุมชน ได้แก่ สวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร สวนป่าเชิงนิเวศในชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โครงการปลูกป่าชุมชน ฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์หนองคาย ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย โดยร่วมกับ บริษัท เอซีวายซี จำกัด ซึ่งเป็นคู่ค้าของซีพีเอฟ และสวนป่าวราห์นาดี อ. นาดี จ.ปราจีนบุรี จากการริเริ่มดำเนินโครงการแห่งแรก มาตั้งแต่ปี 2557 เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดรับกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟ ภายใต้นโยบายฟาร์มสีเขียว (Green Farm)และหนุนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชุมชนและเกษตรกร

“โครงการสวนป่าชุมชน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างแหล่งอาหาร เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธฺุุ์ไม้หายาก กักเก็บคาร์บอน ที่สำคัญ คือ ส่งเสริมความตระหนักของชุมชนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ สร้างความร่วมมือของชุมชนในการบริหารจัดการป่าไม้ ต้นไม้ และใช้ประโยชน์จากป่าเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ” นายสมพร กล่าว

ปัจจุบัน โครงการสวนป่าชุมชนทั้ง 4 แห่ง ซึ่งปลูกต้นไม้ไปแล้วรวมมากกว่า 100,000 ต้น นอกจากทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชและสัตว์แล้วยังพัฒนาสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้และห้องเรียนธรรมชาติ เช่น สวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร สวนป่าเชิงนิเวศในชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ที่เปิดให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงาน เป็นสถานที่จัดอบรมให้ความรู้การวัดต้นไม้ให้กับพนักงาน เพื่อเตรียมขอรับรองการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกโครงการ LESS ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ร่วมบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ล่าสุด ซีพีเอฟ ได้ขยายพื้นที่สร้างผืนป่าชุมชนเป็นสวนป่าแห่งที่ 4 ที่ดำเนินการโดยธุรกิจสุกร ได้แก่ สวนป่าวราห์นาดี อ. นาดี จ.ปราจีนบุรี พื้นที่รวม 200 ไร่ นำร่องกิจกรรมปลูกต้นไม้ในปีนี้ 10,000 ต้น อาทิ ต้นประดู่ ยางนา มะค่า ตะเคียน พะยอม และพะยูง และมีเป้าหมายปลูกต้นไม้ให้เต็มพื้นที่ ภายในปี 2571 ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ มีนายสุมาตร รุ่งกำจัด ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ นำจิตอาสาซีพีเอฟกว่า 240 คน ร่วมกันปลูกต้นไม้ และปล่อยปลา 10,000 ตัว ที่ได้รับการสนับสนุนพันธุ์ปลาจากกรมประมง โดยมี นายภักดี ไทยสยาม ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า และผู้บริหารภาครัฐในพื้นที่ ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนจากกรมประมง และชุมชน ร่วมกิจกรรม เมื่อเร็วๆนี้

AIS ส่งต่อหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ เสริมภูมิคุ้มกันดิจิทัลให้แก่ผู้สูงวัย

0

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์  AIS  เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่มผู้สูงวัยใช้สื่อโซเชียลในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น เพื่อหาข้อมูลข่าวสาร พบปะเพื่อนฝูง และซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งหากมีการใช้อย่างไม่รู้เท่าทัน  อาจเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพเข้ามาหลอกลวงได้อย่างง่ายดาย เห็นได้จากผลการศึกษา “ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล” หรือ Thailand Cyber Wellness Index (TCWI) จากความร่วมมือระหว่าง AIS อุ่นใจ CYBER, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนักวิชาการจากหลากหลายสาขา ที่รายงานว่า คนไทยที่ถือเป็นผู้สูงวัย อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มีระดับสุขภาวะดิจิทัลอยู่ที่ 0.28 เมื่อเทียบกับกลุ่มวัยอื่นๆที่อยู่ในระดับพื้นฐาน 0.5  ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ต้องเพิ่มทักษะความรู้ความเข้าใจให้สามารถใช้งานดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยไซเบอร์  โดยทักษะดังกล่าว ประกอบไปด้วย การพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ ทั้งการรู้เท่าทันดิจิทัล การสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนดิจิทัล การเข้าใจสิทธิทางดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล และการแสดงความสัมพันธ์ทางดิจิทัล เพื่อยกระดับดัชนีสุขภาวะดิจิทัลของกลุ่มผู้สูงอายุให้อยู่ในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไป”

ทั้งนี้จากข้อมูลของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ พบว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการแจ้งความทางออนไลน์สูงถึง 296,243 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเกือบ 40,000 ล้านบาท โดยมูลค่าความเสียหายมากถึง 30,000 ล้านบาท เป็นคดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ที่เกิดขึ้นเยอะที่สุด และมีการเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุขึ้นไป โดยมูลค่าความเสียหายรวมกว่าพันล้านบาท

“ด้วยความห่วงใยและใส่ใจในสังคมผู้สูงอายุ วันนี้ AIS จึงได้ขยายผลหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ โดยปรับเนื้อหาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ อาทิ สุขภาวะดิจิทัล, การจัดการความเป็นส่วนตัวและการจัดการสิทธิ์แบบมีส่วนร่วม, การจัดการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล และการจัดการร่องรอยทางไซเบอร์ พร้อมส่งต่อทักษะดิจิทัลให้แก่สมาชิกผู้สูงวัยในกลุ่มสหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร ในการร่วมกิจกรรมเนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติและเผยแพร่ภูมิปัญญาผู้สูงอายุ ประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยสหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร และกองสร้างเสริมสุขภาพ สำนักอนามัย เพื่อให้ผู้สูงวัยมีความรู้เท่าทัน มีความรอบคอบในการใช้สื่อออนไลน์ และสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย และเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีในสังคมผู้สูงวัยต่อไป”

CEO ออมสิน คว้ารางวัลผู้บริหารรัฐวิสาหกิจดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์ 2566

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้รับรางวัลผู้บริหารรัฐวิสาหกิจดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์ และรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์ ประจำปี 2566 จากการพิจารณาและคัดเลือกของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารให้ความสำคัญในการบริหารจัดการแรงงานสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการร่วมคิดร่วมทำร่วมกันปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของธนาคาร ตลอดจนส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานและลูกจ้างให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การฝึกอบรมพัฒนาให้ความรู้ การให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตโควิด-19 การปรับปรุงสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งเปิดช่องทางใหม่ในการรับแจ้งปัญหาผ่านทางไลน์เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของลูกจ้างและพนักงาน ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว เป็นต้น

นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังได้รับรางวัลคุณธรรมอวอร์ด ปี 2565 ประเภทชุมชนและองค์กร Moral Awards 2022 จากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยการเป็นองค์กรที่มีบทบาทด้านคุณธรรมเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ยึดมั่นในค่านิยมการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และปฏิบัติตนตั้งมั่นในคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมและเยาวชนไทย สอดคล้องกับภารกิจของธนาคารออมสินที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยนโยบายขับเคลื่อนแนวทาง Social Mission Integration สู่การเป็นธนาคารเพื่อสังคมเต็มรูปแบบ และพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน