Home Blog Page 123

CPF ส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกผู้บริโภค พัฒนาอาหารลดโซเดียม หนุนเครือข่ายบริโภคลดเค็ม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ หนึ่งในผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร แสดงเจตนารมณ์ให้คนไทยมีสุขภาพดี ร่วมดูแลสุขภาพผู้บริโภค พัฒนาอาหารลดโซเดียม ให้อร่อยฟินใจ ห่างไกลโรค รับประกันด้วยรางวัล 10 Years Lowsalt Awards ตอกย้ำผู้ผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มาตรฐานสากลที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า การขับเคลื่อนเพื่อรณรงค์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียม เริ่มตั้งแต่ปี 2555 ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากการสำรวจของเราพบว่าคนไทยกินเค็มลดลง 15% เห็นได้ว่าคนไทยมีการตื่นตัว เริ่มหาผลิตภัณฑ์ที่ลดโซเดียมมากขึ้น ขณะที่ภาคผู้ผลิตอุตสาหกรรมอาหารได้ให้ความร่วมมือในการที่จะปรับสูตรอาหารลดเกลือลง ออกผลิตภัณฑ์สูตรลดโซเดียมให้ผู้บริโภคได้เลือกมากขึ้น เป็นสิ่งที่ดีที่ผู้บริโภคและผู้ผลิตอาหารมีการปรับตัว สำหรับองค์กรเอกชนที่เข้ามาช่วยร่วมขับเคลื่อนการรณรงค์ลดการบริโภคเค็ม ถือเป็นการทำเพื่อคืนกำไรให้สังคม ให้ประชาชนสุขภาพดีมีอายุยืนยาว

นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การลดบริโภคเกลือและโซเดียมเป็นหนึ่งภารกิจที่ต้องดำเนินการ และมีพันธสัญญากับต่างประเทศว่าต้องลดการบริโภคเกลือและโซเดียมของคนไทยให้ได้ร้อยละ 30 ภายใน 2 ปีข้างหน้า ถือเป็นภารกิจยิ่งใหญ่และสำคัญเพราะการผลักดันเรื่องนี้ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ในวันนี้เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ผู้ประกอบการอาหารหลายบริษัทได้เข้ามาร่วม เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกรับประทานอาหารปรุงสุก อาหารสำเร็จรูปที่มีเกลือและโซเดียมลดลง เป็นการป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคเกลือและโซเดียมที่มากเกินไปเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ โกลบอลฟู้ด โซลูชั่น กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหาร ตระหนักดีถึงการผลิตอาหารที่ปลอดภัย รสชาติอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมส่งเสริมการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทย และได้รับรางวัล 10 Years Lowsalt Awards สาขา ผู้ประกอบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สูตรลดโซเดียม จากเครือข่ายบริโภคลดเค็ม ตอกย้ำความเป็นผู้นำผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงรุก ด้วยผลิตภัณฑ์อาหารลดโซเดียม ให้อร่อยฟินใจ ห่างไกลโรค

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาอาหารที่ทั้งดีต่อสุขภาพ และมีรสชาติอร่อย เพื่อให้ผู้บริโภคได้อร่อยฟินใจ ห่างไกลโรค และมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารปรับสูตรลดโซเดียม และได้ออกสู่ตลาดแล้วหลายรายการ” นางสาวอนรรฆวีกล่าว

เนื่องจากสถานการณ์กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี หนึ่งในสาเหตุสำคัญ มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ได้เล็งเห็นความสำคัญและตระหนักในสถานการณ์ดังกล่าว จึงมุ่งมั่นส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพเชิงรุก และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นผ่านการรับประทานอาหาร โดยบริษัทฯ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดโซเดียมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยผลิตอาหารลดโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์ ควบคู่กับคุณค่าทางโภชนาการที่ดีและมีรสชาติอร่อย สอดรับนโยบายภาครัฐและองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการส่งเสริมการบริโภคลดเค็ม ปริมาณโซเดียมแนะนำไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

ทั้งนี้ ในโอกาส ครบรอบ 10 ปี เครือข่ายบริโภคเค็ม บริษัทฯ ได้รับเกียรติจากเครือข่ายฯ เข้าร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการตระหนักรู้แก่ผู้บริโภคในการดูแลสุขภาพเชิงรุกด้วยอาหารที่รับประทาน และการบริโภคที่ลดเค็ม โดยบริษัทฯ จะนำเสนอสินค้าอาหารลดโซเดียมที่ได้ปรับพัฒนาสูตรแล้วและยังคงความอร่อยให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิม ในงาน “นิทรรศการ ครบรอบ 10 ปี” ภายใต้คำขวัญ “ลดเค็ม ลดโรค เค็มน้อย อร่อยได้” ระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2566 ณ บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

CPF ปลื้ม หนังโฆษณา ไก่ไทยจะไปอวกาศ กวาด 11 รางวัล แอดแมน อวอร์ดส 2566 พร้อมคว้ารางวัลสูงสุด AD THAT WORKS

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับ 11 รางวัล ADMAN AWARDS 2023 จากภาพยนต์โฆษณา เรื่อง ครั้งแรกของโลก! ไก่ไทยจะไปอวกาศกับซีพี CP Chicken :  Go For Launch   โดยมี นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ร่วมรับรางวัล ในงาน ADMAN AWARDS and SYMPOSIUM 2023 จัดโดยสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยเพื่อยกย่องคุณค่าของงานสร้างสรรค์ที่ไม่ตีกรอบแค่งานโฆษณา ณ สามย่านมิตรทาวน์

งานนี้ CPF สามารถคว้ารางวัล AD THAT WORKS ซึ่งเป็นรางวัลที่วัดผลจากโฆษณาที่มีความคิดสร้างสรรค์โดดเด่น สร้าง Impact ต่อผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้น ถือเป็นโฆษณาที่สร้างประสิทธิผลสูงสุดต่อธุรกิจ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสด ความปลอดสาร ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง คือสิ่งที่ผู้บริโภคมองหา CP ต้องการเล่าเรื่องความปลอดภัยที่สูงที่สุดด้วย เทคโนโลยีการเลี้ยง และกระบวนการผลิตอาหารที่ดีที่สุด ไปสู่ผู้บริโภคอย่างโปร่งใส จริงใจ และ Impact ไอเดียโฆษณาชิ้นดังกล่าว ได้ปฎิวัติอุตสาหกรรมอาหารสด ด้วยการ ท้าทายขีดจำกัดของคำว่า “มาตรฐาน” ที่สูงที่สุดให้แก่ผู้บริโภค กับการได้ริเริ่มโครงการส่งไก่ไทยไปพิสูจน์ความปลอดภัยระดับอวกาศผ่านการทำวิจัยตรวจสอบความปลอดสาร ปลอดภัย ตั้งแต่ต้นน้ำตลอดจนปลายน้ำ ร่วมกันกับ Johnson space food lab เพื่อตอกย้ำความมั่นใจว่าเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย มีความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศทานได้ เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP จะก้าวสู่มาตรฐานที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่เป็นความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ กล่าวว่า แคมเปญโฆษณา ครั้งแรกของโลก! ไก่ไทยจะไปอวกาศกับซีพี ที่บริษัทฯ ทำงานร่วมกับ Wolf Bangkok เอเยนซี่ที่สร้างสรรค์ไอเดียเเละผลงานภาพยนตร์โฆษณา (สามารถชมคลิปได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ieZ_DhMQqqk) Digital I Do Co.,Ltd. เอเยนซี่ด้านสื่อออนไลน์ และ IDEE STUDIO CO.,LTD. เอเยนซี่การจัดงานอีเว้นท์ ร่วมกันเพื่อสรรสร้างผลงานเพื่อที่จะสื่อสารถึงโครงการ Thai food- Mission to Space จนสามารถคว้ารางวัลระดับ Gold 2 รางวัล ระดับ Silver 2 รางวัล และระดับ Bronze 7 รางวัล รวม 11 รางวัล โดยมีรางวัลไฮไลท์ คือ AD THAT WORKS ระดับ Silver เป็นรางวัลสูงสุดของ Category ในปีนี้ ที่มอบให้กับงานโฆษณาที่มีความคิดสร้างสรรค์โดดเด่น และสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในสังคมตอบโจทย์ แนวคิดของงานประกาศรางวัลในปีนี้ “Don’t Make Ads, Make Impact” นอกจากนี้ ผลงานของซีพียังคว้ารางวัล 30 Young Judges ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบแก่งานโฆษณาเป็นปีแรกตัดสินโดยคณะกรรมการคนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี

“บริษัทฯ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่งานโฆษณาไก่ไทยจะไปอวกาศสามารถคว้ารางวัลแอดแมน อวอร์ดส 2023 ได้ 11 รางวัล และขอขอบคุณเอเยนซี่ Wolf Bangkok สร้างสรรค์งานได้รับการตอบรับและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นไก่สด แบรนด์ ซีพี สด สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานระดับอวกาศ ซึ่งเทียบเท่าอาหารนักบินอวกาศทานได้ ทั้งนี้ รางวัลที่ได้รับยังเป็นกำลังใจให้ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม และยกระดับความปลอดภัยอาหารให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” นางสาวอนรรฆวีกล่าว

ภาพยนตร์โฆษณา ครั้งแรกของโลก! ไก่ไทยจะไปอวกาศกับซีพี CP Chicken :  Go For Launch รับ 11 รางวัล แอดแมน อวอร์ดส 2023 ประกอบด้วย

  1. รางวัล AD THAT WORKS  ระดับ Silver 
  2. รางวัล Film สาขา Online ระดับ Gold
  3. รางวัล Film สาขา TV & Cinema Film ระดับ Gold
  4. รางวัล Craft  ระดับ Bronze สาขา Directing
  5. รางวัล Craft  ระดับ Bronze สาขา Innovation in Production
  6. รางวัล Creative Impact Awards ระดับ Bronze
  7. รางวัล Digital & Social ระดับ Bronze
  8. รางวัล 30 Young Judges ระดับ Bronze
  9. รางวัล Integrated Marketing Communication (IMC) ระดับ Bronze
  10. รางวัล Public Relation Plan ระดับ Silver  สาขา Corporate Image/ Communication & Public Management
  11. รางวัล Public Relation Plan ระดับ Bronze  สาขา Product & Service

CEO AIS คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำแห่งปี​ จากเวทีระดับเอเชียแปซิฟิก​ IDC Future Enterprise Award 2023

0

“สมชัย เลิศสุทธิวงค์ CEO-AIS” คว้ารางวัล CEO of The Year สุดยอดผู้นำแห่งปี ยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย จากการคัดเลือกผู้นำมากกว่า 1,000 องค์กรในไทย บนเวทีระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก​ IDC Future Enterprise Award 2023​ ที่จัดโดย International Data Corporation หรือ IDC บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและวิจัยทางเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกจากประเทศสิงคโปร์ นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำองค์กรของ AIS ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้ความท้าทายและพร้อมขับเคลื่อนวิสัยทัศน์สู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณคณะผู้จัดงาน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากเวที IDC Future Enterprise Award 2023 ที่ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติ CEO of The Year ให้กับผม นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ยืนยันให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราชาว AIS ผมขอมอบรางวัลและความภาคภูมิใจนี้ให้กับพนักงานทุกคนที่มีส่วนสำคัญต่อการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีขีดความสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และพร้อมเชื่อมต่อการทำงานเพื่อการทำงานของภาคส่วนต่างๆ

พวกเราขอยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่คนไทย เพราะเราเชื่อว่าบทบาทการทำงานของ AIS ไม่ใช่แค่การสร้างนวัตกรรม โครงข่าย สินค้า และการให้บริการเท่านั้น แต่เรายังมีหน้าที่สำคัญในการส่งต่อความสำเร็จขององค์กรสู่ Sustainable Nation ที่จะเป็นการเดินหน้าสร้างเติบโตของสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของประเทศต่อไป”

ซีพี-เมจิ ชูแนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต” ต่อยอดความยั่งยืนหนุนเกษตรกรต้นน้ำ พร้อมปูพรมสินค้าคุณภาพทั่วภูมิภาค

0

ซีพี-เมจิ ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต ชูกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 ด้าน สุขภาพ-สังคม-สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต (Enriching Life)” พร้อมขยายตลาดสินค้าคุณภาพไปทั่วภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เติบโตไปด้วยกัน

นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักเสมอถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวคิดการเพิ่มคุณค่าชีวิต 3 ด้าน เริ่มด้วย ด้านสุขภาพ ที่บริษัทฯ จะผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์นมคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการดูแลร่างกายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยจะขยายพอร์ตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value) และส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มโยเกิร์ตให้เพิ่มขึ้น รวมถึงความตั้งใจขยายตลาดนมซีพี-เมจิ ออกไปให้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขายน้ำนมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยให้มากขึ้น

ถัดมา ด้านสังคม ที่ ซีพี-เมจิมุ่งเน้นการดูแลและสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงโคและการจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรต้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าให้เติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทฯ ยังให้การดูแลชุมชนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สุดท้าย ด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด อาทิ การผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงานจากหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการกำจัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง

“โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างมากมายดังที่ทุกคนทราบกันดี ในฐานะที่ซีพี-เมจิ เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ เราจึงเดินหน้าคู่ขนานไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการดูแลรักษาโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” นางสาวสลิลรัตน์ กล่าว

กลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 ด้านจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เมื่อผนวกกับสองปัจจัยบวก ทั้งการท่องเที่ยวและตลาดในประเทศฟื้นตัว ซีพี-เมจิ เชื่อมั่นว่า ในปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมาย หรือเติบโตราว 10% และยังคงครองการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มนมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ของประเทศไทยได้เช่นเดิม

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ SmyleLand เปิดตัว “MTL Landmark” พร้อมสิทธิพิเศษโดนใจ สำหรับสายเกมเมอร์

0

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ SmyleLand บุกแพลตฟอร์ม Metaverse เปิดตัว “MTL Landmark” เชื่อมต่อความสนุกในโลกเสมือนจริง พร้อมรับความอุ่นใจ และสิทธิพิเศษโดนใจใช้ได้ในชีวิตจริง เพื่อสายเกมเมอร์ เปิดภารกิจให้พิชิตครั้งแรก 1 ธันวาคม 2566 นี้

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ  MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรแห่งการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมเดินหน้าสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับประชาชนทุกคน (Democratizing Insurance) ผ่านช่องทางที่หลากหลายเข้าถึงได้ทุกไลฟ์สไตล์  พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ  และการออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต  รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ได้เหมาะกับความต้องการ

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ SmyleLand แพลตฟอร์ม Metaverse  สำหรับคนรักสิทธิพิเศษ     ในแบรนด์ต่าง ๆ ที่สามารถเล่นเกมและได้รับสิทธิ ส่วนลดจากแบรนด์ เอาไปใช้ได้ในโลกจริง เจาะกลุ่ม  สายเกมเมอร์ เปิดตัว “MTL Landmark” แลนด์มาร์คใหม่จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่มอบทั้งความสนุก ความอุ่นใจ และสิทธิพิเศษโดนใจ เพียงเข้าเยี่ยมชม MTL Landmark และเล่นมินิเกมส์   ก็จะได้รับสิทธิ์ซื้อประกันออนไลน์ โครงการเมืองไทย Super Return 11/1 ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ซื้อง่าย จ่ายครั้งเดียว รับผลประโยชน์รวม 112% และลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษ  2  ต่อ

ความร่วมมือกับ SmyleLand แพลตฟอร์ม Free to Play และ Play to Earn Privilege ในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงประกันชีวิตและการออมเงินในรูปการแบบประกันชีวิตแก่ลูกค้าทุกกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการเล่นเกม และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เล่น SmyleLand  ได้เติมเต็ม ทั้งความสนุก สิทธิพิเศษ และได้รับความอุ่นใจ ไปพร้อมกัน” นายสาระ กล่าว

ด้าน นายอัครพล เอกสริ  Co-Founder/CEO  บริษัท เมทะเอิร์น จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม SmyleLand (สมายแลนด์) ได้เน้นย้ำความสำคัญในการร่วมมือกับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ว่า “ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้แสดงถึงความเป็นผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิต เทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ในการที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับทุกคนอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเชื่อมกันระหว่างโลกจริงและ Metaverse ของทั้งสองบริษัท เราเห็นตรงกันว่าเทคโนโลยีนี้จะทำคนรุ่นใหม่เข้าใจและเข้าถึงประกันชีวิตได้ง่ายขึ้นมาก เตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ของประกันชีวิตที่สนุกและอุ่นใจกับ เมืองไทยประกันชีวิตและ SmyleLand ได้เร็ว ๆ นี้  พร้อมรับโปรโมชันพิเศษถึง  2  ต่อ ประกอบด้วย ต่อที่ 1  รับสิทธิ์ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% สูงสุด 3 เดือน และต่อที่  2  รับบัตรของขวัญ Central Voucher สูงสุด 4,500 บาท เพียงเข้าเยี่ยมชม MTL Landmark และเล่นมินิเกมส์ก็จะได้รับสิทธิ์ซื้อประกันออนไลน์ตามที่กำหนด

อัครพล เอกสริ  Co-Founder/CEO  บริษัท เมทะเอิร์น จำกัด

เราผ่านช่วงที่ท้าทายมากที่สุดของ Metaverse มาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของแพลตฟอร์มที่มี Use case จริง และมี Sustainable business model เราเน้นว่า Metaverse จะต้องมีการใช้งานที่ชัดเจนว่าคนเข้าไปทำอะไร เข้าไปแล้วได้อะไร ไม่ใช่แค่เฉพาะในโลก Digital เท่านั้น ต้องสามารถนำมาใช้ได้ในโลกจริงด้วย ไม่เช่นนั้น  Metaverse จะเป็นแค่เกม 3 มิติเกมนึง ซึ่งจะไม่สามารถแข่งกับเกมใหญ่ ๆ ได้ (เพราะไม่สนุกเท่า)

ทั้งนี้ SmyleLand มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องใช้งานจริงในโลกจริง ทุกคนสามารถเข้ามาเล่นเพื่อรับสิทธิพิเศษหรือส่วนลดจากแบรนด์ต่าง ๆ และเอาไปใช้งานได้จริงในโลกจริง ผ่านการ Engage กับกลุ่มลูกค้าที่สอดแทรกอยู่ในรูปแบบ Gamification ในทั้งสองโลก ซึ่งจะเป็นการทำการตลาดแบบ  Online to Offline อย่างแท้จริง ตอนนี้เราเป็น Metaverse Platform ที่มี Real use case ที่มีอัตราการเติบโตของลูกค้าและจำนวนแบรนด์มากที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันเรามีชาวเมืองกว่า 50,000 คน ภายใน 2 เดือน MAU (Monthly Active Users) มากกว่า 15,000 คน และมีแบรนด์ที่เข้าร่วมมากกว่า 250 แบรนด์ ตอนนี้เรากำลังพัฒนาระบบ Life Simulation ที่จะเพิ่มความสนุกสนานและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากมาย ที่จะพลิกโฉม SmyleLand ให้เป็น Metaverse อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งปัจจุบันเราได้เห็นการพัฒนาของ      ทั้งแว่น AR/VR และการใช้งานอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้  Metaverse ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เรามีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการไปใน South East Asia และจะพัฒนา Feature ด้าน Education และ Heatlhcare ในปลายปีหน้าอีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมเล่นสนุกได้ที่เว็บไซต์  www.smyleland.com  หรือ  SmyleLand Application ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android พร้อมร่วมทำภารกิจพิชิตสิทธิพิเศษได้ที่  “MTL Landmark” ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้ เป็นต้นไป

AIS เข้าซื้อหุ้น 3BB และหน่วยลงทุน JASIF จบเรียบร้อย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ กสทช. พิจารณา อนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทในกลุ่มบริษัท AIS เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB (TTTBB) เพื่อเสริมศักยภาพ และยกระดับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง

ล่าสุด AIS ได้แจ้งข่าวว่า กลุ่มบริษัท ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 3BB รวมถึงเข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) เสร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นผลให้ 3BB เข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัท AIS และ AIS ได้เข้าถือหน่วยลงทุนใน JASIF เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ลูกค้า AIS Fibre และ 3BB ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ ด้วยมาตรฐานบริการคุณภาพ พร้อมเพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น ทั้งความครอบคลุมของเครือข่าย, นวัตกรรมทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานแต่ละกลุ่ม รวมถึงบริการดิจิทัล คอนเทนต์ และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าและหลากหลายมากยิ่งขึ้น    

AWC ผนึก IHG พัฒนาโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ สองแห่งแรกในเชียงราย ภายใต้แบรนด์ InterContinental และ Kimpton ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมกับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG Hotels & Resorts เพื่อพัฒนาโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ ใหม่ 2 แห่ง ในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ (InterContinental Chiang Rai Golden Triangle Resort) และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ (Kimpton Chiang Rai Golden Triangle) ซึ่งนับเป็นโครงการแรกของ AWC และ IHG ในจังหวัดเหนือสุดแดนสยามนี้ สนับสนุนกลยุทธ์ GROWTH-LED ของ AWC ในระยะยาวเพื่อพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพในทําเลที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ด้วยการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาสู่จังหวัดเชียงราย ในฐานะอัญมณีเม็ดงามด้านการท่องเที่ยวที่รอการค้นพบ พร้อมสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมสำหรับนักเดินทางทั่วโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทย ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทางธรรมชาติ งานศิลปะ ไปจนถึงวัดวาอาราม และหมู่บ้านของชาวเขาพื้นเมือง จึงสามารถมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายและยั่งยืนให้กับนักเดินทาง และด้วยศักยภาพในฐานะเมืองที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ’ จากทาง UNESCO Creative Cities Network (UCCN) รวมถึงยังเป็นบ้านของศิลปินแห่งชาติหลายท่าน ผนวกกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานอย่างสนามบินนานาชาติ ทำให้ความร่วมมือระหว่าง AWC และ IHG ในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยแห่งนี้เป็นที่จดจำสำหรับนักเดินทางจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทางคู่รักและครอบครัวที่ให้ความสำคัญในเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรม และการพักผ่อนในเวลเนสรีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรี่ นอกจากนี้ที่ตั้งของโครงการอยู่ในทำเลชั้นเยี่ยมติดแม่น้ำ พรั่งพร้อมด้วยห้องอาหารและบาร์ริมน้ำที่จะเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษกับการล่องเรือสำราญเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างไทย ลาว และเมียนมา และด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท โรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการในภาคเหนือของไทย แต่ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนท่ามกลางธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวสำหรับประสบการณ์การเข้าพักตามอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของแบรนด์ เพื่อสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมทั้งช่วยสร้างสร้างมูลค่าระยะยาวควบคู่การสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสังคมโดยรอบโครงการ”

มร. ราจิต สุกุมารัน กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG Hotels & Resorts กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสําคัญของความสัมพันธ์ระยะยาวมากกว่า 10 ปี ระหว่าง IHG และ AWC ที่จะดึงดูดให้กลุ่มลูกค้าของเรามีโอกาสได้เดินทางมายังภาคเหนือของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดย ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ จะนำเสนอประสบการณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นเพื่อแนะนำจังหวัดเชียงรายให้กับนักเดินทางจากทั่วโลก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะเติบโตในประเทศไทยด้วยการนําเสนอการบริการระดับเวิร์ลคลาส

ด้วยกลยุทธ์ของ AWC ในการพัฒนาสินทรัพย์คุณภาพในทําเลที่มีศักยภาพสูงและการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โรงแรม ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ จะเป็นโครงการที่จะได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ในขณะที่ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการพัฒนาขึ้นใหม่และการปรับปรุงโรงแรมอิมพีเรียลโกลเด้นไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่อันงดงามของสามเหลี่ยมทองคําในอําเภอเชียงแสน ท่ามกลางเทือกเขาของภาคเหนือ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศไทย เมียนมา และลาว โดยโรงแรมดังกล่าวถือเป็นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งที่สองของทาง AWC ในภาคเหนือของประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล และเป็นโรงแรมคิมป์ตันแห่งที่สามของทาง AWC ต่อจาก คิมป์ตัน พัทยา และ คิมป์ตัน หัวหิน โดยโรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่สี่ของปี 2569

อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมล้านนาแบบดั้งเดิม ประกอบไปด้วยพูลวิลล่าและการ์เด้นวิลล่า 68 หลัง ในขณะที่ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ ให้บริการห้องสวีทสไตล์ล้านนาร่วมสมัย 68 ห้อง รวมถึงห้องที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว และห้องแบบพูลแอคเซส โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะมีห้องอาหารและบาร์ทั้งหมด 8 แห่ง รวมถึง Glasshouse Cafe and Restaurant ขนาด 110 ที่นั่งริมแม่น้ำโขง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 พร้อมดีไซน์การตกแต่งภายในแบบร่วมสมัย

นอกจากนี้ โรงแรมยังนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวบนสายน้ำรูปแบบใหม่ให้กับผู้เข้าพักด้วยบริการเลาจน์บนเรือสำราญ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึงของตะวันตกผ่านการเดินทางทางแม่น้ำในช่วงปลายยุคอุตสาหกรรม การล่องเรือในแม่น้ำจะนําผู้มาเยือนเดินทางไปเยี่ยมชมชุมชนท้องถิ่นริมสองฝั่งแม่น้ำโขง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง พร้อมให้บริการชุดน้ำชายามบ่ายด้วยขนมหวานแบบไทยและแบบท้องถิ่น รวมถึงยังมีบาร์และห้องอาหารที่นำเสนอกลิ่นอายของวัฒนธรรมทางภาคเหนือของไทย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน

โรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพด้วยทรีตเมนท์สมุนไพรไทย สระว่ายน้ำ ฟิสเนสเซ็นเตอร์ และการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับโครงการ “AWC Stay to Sustain” ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มอย่างยั่งยืนเพื่อเชิญชวนแขกของโรงแรมเข้าร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน นอกจากนี้ โรงแรม ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED หรือ WELL ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานอาคารสีเขียวของ AWC รวมถึงทางโรงแรมยังเป็นที่ตั้งของร้าน เดอะ GALLERY โครงการวิสาหกิจเพื่อสังคมของ AWC ที่นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยนักออกแบบ ศิลปิน และชุมชนชาวไทย

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ผนึกกำลัง ซีพีเอฟ หนุนวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ โมเดลเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม

0

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ส่งมอบ โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) แก่วิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจของชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการบริหารงานโดยชุมชนด้วยธุรกิจไก่ไข่เป็นแห่งแรก

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคมดังกล่าว ถือเป็นธุรกิจชุมชนเพื่อสังคมแห่งแรก ที่มูลนิธิฯ ร่วมกันขับเคลื่อนกับซีพีเอฟ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไก่ไข่ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ แนวคิดการจัดการวิสาหกิจชุมชน และการตลาด ตลอดจนมองเห็นโอกาสในการต่อยอดเชิงธุรกิจ เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชนบ้านบุโพธิ์ทุกคน ไปพร้อมๆ กับการสร้างอาชีพและรายได้ สู่เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง รวมถึงการได้รับประโยชน์และเข้าถึงแหล่งโปรตีนคุณภาพที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ไปพร้อมๆ กับการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในชุมชน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน ผ่านการสร้างแบรนด์และการแปรรูป ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กและเยาวชนลูกหลานบ้านบุโพธิ์ต่อไป

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี กล่าวว่า โครงการฯนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการผนึกกำลังของ ซีพีเอฟ และมูลนิธิฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนโครงการการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 35 ปี สู่การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ให้เป็นโมเดลเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม ที่จะทำให้คนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงและบริโภคไข่ไก่สดที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง จากปริมาณไข่ไก่ที่วิสาหกิจชุมชนฯ ผลิตได้เฉลี่ยวันละ 270 ฟอง หรือประมาณ 90,000 ฟองต่อปี จากสถิติคนไทยบริโภคไข่ไก่เฉลี่ยปีละ 220 ฟองต่อคน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่ของซีพีเอฟ ให้คำแนะนำการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการการเลี้ยง และการดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

“มูลนิธิฯ ซีพีเอฟ และองค์การบริหารส่วนตำบลบุโพธิ์ ให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ให้กับกลุ่มวิสาหกิจฯ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปลูกมะพร้าวน้ำหอม การปลูกฝรั่งกิมจู การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 และที่สำคัญคือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ” ที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพให้กับชาวบ้านบุโพธิ์ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากการเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “โอกาส อนาคต ย่างก้าวแห่งความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล” ยังทำให้ได้แนวทางส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืนและเข้มแข็งต่อไป” นายวิชาญ สิวิเส็ง กำนันบ้านบุโพธิ์และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กล่าว

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้เข้ามาสนับสนุนและดำเนินการในพื้นที่ตำบลบุโพธิ์ในทุกมิติตั้งแต่ปี 2540 ส่งเสริม 7 อาชีพ 7 รายได้ และต่อยอดความสำเร็จจากอดีตสู่การขับเคลื่อนในปัจจุบัน ผ่าน 5 แผนงาน เพื่อยกระดับฐานอาชีพ ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกรบ้านบุโพธิ์ อาทิ เกษตรประณีตมูลค่าสูง เกษตรผสมผสานมูลค่าสูง ธนาคารน้ำใต้ดิน การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และโครงการเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม

เอไอเอส​ ผนึกพันธมิตร​ เปิดตัว​ 4​ แพ็คเกจใหม่​ เอาใจพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์​

0

AIS ตอกย้ำความตั้งใจที่จะเสริมความแข็งแกร่งเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการอยู่เคียงข้างกลุ่มผู้ทำธุรกิจออนไลน์  โดยพร้อมส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบรู้จักและรู้ใจยิ่งกว่า (Personalize) ล่าสุด​เปิดตัวแพ็กเกจ Online Seller ที่คิดมาเพื่อกลุ่มคนค้าขาย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ สะท้อนการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลรายแรกที่พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การค้าขายบนโลกออนไลน์ที่ครบทุกองศา ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สดที่ไหลลื่น ไม่มีสะดุดบนโครงข่าย 5G, เน็ตร้านไฟเบอร์ พร้อมโซลูชันเครื่องมือตัวช่วยทางการตลาดจากสุดยอดพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลกและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop, Canva, Microsoft  365, LINE MAN MESSENGER, MyOrder, ถุงเงิน และ FlowAccount ที่จะมาร่วมกันติดอาวุธเสริมแกร่งให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทำธุรกิจปัง ยอดขายพุ่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์ของเอไอเอส

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า  “เราพร้อมอยู่เคียงข้างกลุ่มนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ (Residential SMEs)  ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงตั้งแต่สถานการณ์โควิด โดยนำจุดแข็ง 3 ด้านมาสนับสนุน ประกอบด้วย โครงข่ายสื่อสารที่แข็งแกร่ง ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน พันธมิตรผู้ให้บริการโซลูชันและแอปพลิเคชันระดับโลก รวมไปถึงโอกาสในการนำสินค้าและบริการส่งมอบให้แก่ฐานลูกค้าในกลุ่มเอไอเอสกว่า 49 ล้านราย ในฐานะของการเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์กับเอไอเอส”

“โดยวันนี้เราพบว่า ด้วยวิถีของคนค้าขายปัจจุบันที่อาจจะมีหน้าร้านขายของ หรือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นโอกาสในการค้าขายและผันตัวสู่การเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ โดยไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล ต่างมีโจทย์ความต้องการเครื่องมือเป็นระบบสื่อสารและบริการที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน อาทิ โครงข่ายที่เชื่อมต่อกับ Online Platform ที่การไลฟ์ขายของต้องเสถียร พร้อมกับซอฟท์แวร์ โซลูชัน ที่ช่วยบริหารจัดการระบบหลังบ้านได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของการออกแบบแพ็กเกจ Online Seller สำหรับกลุ่มคนค้าขายพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ทั้งบริการสื่อสารบนโครงข่าย 5G และเน็ตร้านที่ดีที่สุด ให้ทุกการไลฟ์สดขายของหรือแม้แต่การตอบแชทคุยเพื่อรับ/ส่งสินค้า กับลูกค้าราบรื่นไม่สะดุด นอกจากนี้เรายังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางให้เข้าถึงลูกค้าได้แบบมือโปรผ่าน TikTok Shop, สุดยอดเครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถออกแบบกราฟฟิกโปรโมทสินค้าได้แบบง่ายๆ บน Canva, อัดแน่นโปรแกรมจัดการเอกสารสุดพรีเมียมจาก Microsoft 365 พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลสูงถึง 1TB, ตัวช่วยเรื่องการขนส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วจาก LINE MAN MESSENGER, อัพเกรดการทำธุรกิจอย่างมืออาชีพกับระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ MyOrder ที่ลดขั้นตอนการทำธุรกิจของคุณ, ความพิเศษในการใช้งานแอปพลิเคชันของร้านค้าถุงเงินกว่า 1.8 ล้าน ร้านค้าทั่วประเทศ และหมดปัญหาเรื่องระบบบัญชีด้วยโซลูชันจาก FlowAccount ตอบโจทย์คนค้าขายออนไลน์ยุคใหม่ ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการติดอาวุธอย่างรอบด้านตอบโจทย์ทุกองศาของการทำธุรกิจ ซึ่งรวมอยู่ใน 4 แพ็กเกจ Online Seller แพ็กที่เข้าใจรู้จักและรู้ใจคนค้าขายและพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มากที่สุด”

  • แพ็กเกจ AIS All in One นิยามใหม่ของเน็ตร้าน แรงทุกจุด ให้ครบทุกฟังก์ชัน นอกจากสปีดที่มากพอกับการใช้งานแล้ว ยังมี AI Router ถึง 2 ตัว พร้อม SIM Net 20 GB และพิเศษสุดกับ Microsoft 365 Family ที่ใช้งานได้สูงสุด 6 ผู้ใช้งาน พร้อม One Drive 1TB ต่อผู้ใช้งาน พิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือน ที่มียอดค่าใช้บริการ 349 บาทขึ้นไป  สามารถซื้อแพ็กในราคาเพียง 1,199 บาท/เดือน (ลูกค้าทั่วไป 1,499 บาท/เดือน) จะได้รับ On-Top Internet 20GB ที่หมายเลขเอไอเอสรายเดือนที่ใช้รับสิทธิ์เท่านั้น เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกมิติการค้าขายอย่างแน่นอน
  • แพ็กเกจ AIS 5G Seller จุใจกับเน็ตเต็มสปีด! จัดเต็มตัวช่วยการขายที่ให้ลูกค้าได้ออกแบบโปสเตอร์ หรือชิ้นงาน Artwork จาก Canva Pro ใช้งานฟรีถึง 45 วัน พร้อมโปรแกรมตัวช่วยระบบหลังบ้านอย่าง MyOrder ฟรีนานถึง 6 เดือน นอกจากนี้ยังมีระบบขนส่งจาก LINE MAN MESSENGER รับส่วนลดจุกๆ รวมมูลค่ากว่า 3,100 บาท มาในราคาสุดคุ้มเริ่มเพียง 699 บาท /เดือน สำหรับลูกค้าย้ายค่าย รับลดเพิ่มอีก 25% เหลือเพียง 974 บาท 
  • แพ็กเกจ AIS 5G TikTok Shop ให้พ่อค้าแม่ค้าได้ LIVE สดแบบไม่มีสะดุด กับเน็ต 5G เต็มสปีด โทรคุ้มทุกเครือข่าย ฟรีค่าโฆษณา บน TikTok มูลค่า 300 บาท พร้อมโปรแกรมดูแลลูกค้าจาก FlowAccount ในราคา 699 บาท/เดือน
  • แพ็กเกจ AIS 5G ถุงเงิน โซเชียล ให้เล่นโซเชียลได้ไม่อั้น ได้ถึง 4 แอปพลิเคชันไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันถุงเงิน, LINE, Instagram และ Facebook นอกจากนี้ยังให้ใช้เน็ตแบบไม่อั้น รับเน็ตเต็มสปีด 30 GB ทั้งหมดนี้ราคาเพียง 499 /เดือน

นอกจากนี้สำหรับลูกค้า AIS ไม่ว่าจะเป็นเปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่ายเบอร์เดิม เติมเงิน หรือแบบรายเดือน ก็สามารถสมัครแพ็กเกจการใช้งานที่ตรงกับความต้องการเพิ่มเติมได้ถึง 2 แพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็น แพ็กเกจ Microsoft แบบรายปี ได้ทั้งแบบ 1 ผู้ใช้งาน หรือแบบ Microsoft 365 Family สำหรับใช้งานสูงสุด 6 ผู้ใช้งาน ในราคาแบบคุ้มๆ สมัครได้ถึงปลายเดือนธันวาคมนี้ สำหรับสายคอนเทนต์ตัวแม่ สามารถซื้อแพ็กเกจ เหมา เหมา TikTok 5G แบบรายเดือน ในราคาสบายกระเป๋าเพียง 199 บาท รับเน็ตความเร็วสูงสุดถึง 100 GB ไปท่องโลก TikTok กันได้แบบจุใจไม่อั้นอีกด้วย

นายปรัธนา กล่าวในตอนท้ายว่า “สำคัญที่สุดคือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เลือกใช้แพ็กเกจนี้ จะก้าวสู่การเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์ของเอไอเอสทันที ที่มาพร้อมโอกาสในการขายสินค้า และบริการให้แก่ลูกค้าในกลุ่มเอไอเอสกว่า 49 ล้านราย  ดังนั้นจึงเท่ากับว่า การเปิดตัวแพ็กเกจในครั้งนี้ นอกจากเราจะสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการหนุนความสามารถของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจผ่านทาง Online  อันจะเป็นส่วนหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากประเทศ ตอกย้ำแนวคิด ECOSYSTEM ECONOMY ที่มุ่งหวังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกๆ ภาคส่วนแล้ว ยังได้มอบความพิเศษให้แก่ฐานลูกค้าทั้งหมดของเอไอเอสได้ลดภาระในการใช้จ่าย พร้อมทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทาง Online ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย”

แม็คกรุ๊ป คว้าเรตติ้ง “AA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 66 พร้อมได้คะแนน CGR ระดับ 5 ดาว ห้าปีซ้อน

0

“แม็คกรุ๊ป” หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” ตอกย้ำมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ สู่การพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่ปีที่ 49 อย่างมั่นคง ล่าสุดได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ระดับ AA จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งคว้าคะแนน CGR ระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน  

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับเรตติ้ง“AA” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเป็น 1 ใน 193 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ควบคู่กับการยึดถือหลักบรรษัทภิบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กร ตลอดจนการเป็นธุรกิจที่พร้อมสร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) หรือ สัญลักษณ์ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัท                   จดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2023 : CGR)

แม็คกรุ๊ปฯ มีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการจับจ่ายสินค้าอันน่าจดจำให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ดี การคัดสรรสินค้าคุณภาพ และความคุ้มค่า เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนพร้อมทั้งให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ด้วยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถได้ก้าวผ่านความท้าทายหลากหลายรูปแบบ และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน