Home Blog Page 123

เดินทอดน่องเที่ยว 3 วัดงามเลียบคลองผดุงกรุงเกษม

0

“บิ๊กเกรียน” มีโอกาสติดสอยห้อยตามคณะผู้จัดทำเพจ รัตนโกสิเนหา ซึ่งขยันคลอดทริปท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ออกมาเป็นระยะๆ และแต่ละทริปที่จัดนั้น จะร้อยเรียงสถานที่ที่มีความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกันในแง่มุมประวัติศาสาตร์ไว้อย่างน่าสนใจ เช่นเดียวกับทริปล่าสุดที่ตั้งชื่อชวนให้ต้องติดตามมาร่วมทริปว่า “สีมากรุงเกษม

ทริปที่พาเราชมความงดงามของวัดอารามหลวงเก่าแก่ 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่แนวคลองผดุงกรุงเกษม โดยแต่ละวัด สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบไปด้วย วัดเทพศิรินทราวาส, วัดโสมนัสราชวรวิหาร และ วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งล้วนเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5

เราเริ่มต้นทริปท่องเวลาหาวัดงามครั้งนี้กันที่ วัดเทพศิรินทราวาส ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ซึ่งสำหรับตัวแอดมินแล้ว มีโอกาสมาที่วัดนี้บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมาเพื่อร่วมงานขาวดำเสียมากกว่า ไม่เคยมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมความงามอย่างจริงจัง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวชมวัดเทพศิรินทราวาสแห่งนี้ จากข้อมูลประกอบกับการบรรยายที่ได้อรรถรสยิ่งของ อาจารย์ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ วิทยากรรับเชิญ ทำให้ทราบว่า วัดเทพศิรินทร์ฯ เป็นวัดที่ร.5 ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ โดยออกแบบสร้างให้พื้นที่ตรงส่วนกลางเป็นส่วนของพุทธาวาสมีเพียงพระอุโบสถ ไม่มีการสร้างวิหาร และเจดีย์ ภายในวัด ขนาบข้างด้วยส่วนที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ หรือ สังฆาวาส นอกจากนี้ พื้นที่ด้านหลัง ยังโปรดให้สร้างสุสานหลวงไว้ภายในวัด เพื่อใช้เป็นฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ซึ่งไม่ได้สร้างพระเมรุฯ ที่ท้องสนามหลวงและสำหรับชนทุกชั้นด้วย

พระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ฯ มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม และมีขนาดที่ใหญ่มาก ภายในอุโบสถ เราจะถูกสะกดสายตาด้วยฉากความงามตรงหน้าของพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพลับพลา บนฐานชุกชีสูงครึ่งหนึ่งของพระอุโบสถ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศ จึงทำให้ชุดเครื่องตั้งพระประธานทั้งหมดสูงเทียมเพดาน อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่พบในที่อื่นใด และไม่อาจละสายตาเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปพบกับความวิจิตรตระการตาของเพดานที่ประดับลายสลักเป็นรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบเต็มเพดาน ขณะที่ผนังก็ประดับเป็นลวดลายดอกรำเพยไว้อย่งางงดงามตา ซึ่งคล้องกับชื่อที่ร.4 โปรดใช้เรียกสมเด็จพระเทพศิรินทราฯ ว่า “แม่รำเพย” นั่นเอง

จากนั้น เราเดินทางต่อไปยังวัดโสมนัสราชวรวิหาร และวัดมกุฏกษัตริยาราม วัดเก่าแก่ทั้งสองแห่งนี้ถูกสร้างเคียงคู่กันในสมัยรัชกาลที่ 4 เดิมมีพื้นที่ติดกัน แต่ในภายหลังมีการตัดถนนราชดำเนินกลาง คั่นแยกพื้นที่ของวัดทั้งสองแห่งออกจากกัน สำหรับการออกแบบก่อสร้างวัดทั้งสองนี้ก็เป็นไปตามรูปแบบนิยมกัน คือ มีการสร้างครบทั้งพระวิหาร เจดีย์ และอุโบสถ โดยพื้นที่ส่วนของพระอุโบสถ พระวิหาร และ พระเจดีย์ และระเบียงคดของทั้งสองวัด ปกติจะไม่เปิดโดยทั่วไป นอกจากเวลาทำวัตร หรือ มีกิจกรรมวันพระ หรือ พิธีสำคัญเท่านั้น ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เดินชมความงามของวัดทั้งสองนี้กันอย่างเต็มที่

วัดโสมฯ ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เป็นวัดที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างเพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแก่ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีพระองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ต้นรัชกาล ภายในพระอุโบสถ ตกแต่งฝาผนังเป็นลวดลายภาพจากเรื่องอิเหนา และเป็นที่ประดิษฐานของ พระสัมพุทธโสมนัสวัฒนาวดีนาถบพิตร พระประธานที่มีความงดวามยิ่ง นอกจากนี้ยังมี พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องประดิษฐานคู่กัน 2 องค์ คือ พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ตั้งอยู่บริเวณผนังด้านหลังพระวิหารอีกด้วย และอีกความโดดเด่น่ของวัดนี้ คือ เจดีย์ทองขนาดใหญ่สูง 55 เมตร ปิดกระเบื้องโมเสคสีทองทั้งองค์ รูปทรงแบบลังกา ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย

อีกจุดเด่นของวัดโสมฯ คือ ส่วนของระเบียงคด ที่สร้างทอดยาวล้อมรอบเจดีย์ทอง ซึ่งมีความเป็นระเบียบ สบายตายิ่ง โดยจะมีพระพุทธรูปปางสมาธิตั้งคั่นระหว่างพระพุทธรูปปางอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ตลอดทาง ใช้เป็นสถานที่สำหรับเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือเดินเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

และส่งท้ายทริปที่ประทับใจนี้ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ กับการเปิดให้เข้าชมพระตำหนักพิพิธภัณฑ์แบบเอ็กคลูซีพ จนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ในท่ามกลางกรุสมบัติ ของล้ำค่านับไม่ถ้วน พร้อมฟังการบรรยายของอ.ไพศาลย์ ซึ่งเป็นนักสะสมของเก่าตัวยงคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เทคนิคภาพพิมพ์หิน สภาพสมบูรณ์มาก, พระบรมรูปหล่อร. 5 ทั้งแบบฐานเหลี่ยม และฐานกลม ที่หายาก และมีราคา ซึ่งหล่อจากโรงงานในฝรั่งเศสแห่งเดียวกับที่หล่อพระบรมรูปทรงม้า , กรุตาลปัดสำคัญในโอกาสพิธีต่างๆ ของทางราชสำนัก, ถ้วย จานชามโบราณ และวัตถุมีค่าอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปกติแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่นี่ ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ต้องทำเรื่องขออนุญาตเป็นครั้งๆไป

หลังจากนั้น เราใช้เวลาที่เหลือกับการชมความงามของพระวิหาร ที่มีลายพระมหามงกุฏอันเป็นตราประจำรัชกาลที่ 4 ประดับอยู่ที่หน้าบันและด้านบนของซุ้มประตูและหน้าต่าง และเดินชมระเบียงคต ซึ่งใต้ฐานพระพุทธรูปรอบระเบียง เป็นที่บรรจุอัฐิของราชสกุลที่สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

จบทริปไปด้วยความอิ่มเอมใจ พร้อมกับความประทับใจในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเนื้อหาความเป็นมาของวัดทั้งสามที่มีความเกี่ยวโยงกัน และถ่ายทอดออกมาได้ดีและน่าสนใจยิ่ง

ขอบคุณ ข้อมูลจาก เพจรัตนโกสิเนหา

TB-CERT ยืนยัน ไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน

0

ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ออกหนังสือชี้แจงกรณีที่มีข่าวการดูดเงินเพียงการโทรพูดคุย 2 นาที โดยไม่ต้องกดลิงก์ว่า ปัจจุบันธนาคารไม่มีการใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน ดังนั้นเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงและยังไม่พบเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ระบบของธนาคารมีการป้องกันและพัฒนาการพิสูจน์ยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการให้ยืนยันตัวตนผ่านการสแกนหน้า ควบคู่กับข้อมูลส่วนบุคคล และรวมถึงการกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรม

นอกจากนี้ TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย รวมถึงธนาคารสมาชิก ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) ของลูกค้าทุกคน พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการธนาคาร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและประชาชน

อย่างไรก็ดี ประชาชนต้องพึงระวัง

1. ไม่ดาวน์โหลด รวมถึงกดลิงก์ใด ๆ โดยเฉพาะจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

2. ไม่สแกนหน้ากับโปรแกรมจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store

3. เมื่อรู้ตัว หรือสงสัยว่ากำลังคุยกับมิจฉาชีพ ไม่แนะนำให้คุยต่อ เพราะอาจจะหลงเชื่อมิจฉาชีพ เนื่องจากมิจฉาชีพอาจจะมีข้อมูลจริงทำให้พูดคุยแล้วยิ่งหลงเชื่อ

4. หากสงสัย ให้โทรสอบถามที่เบอร์ทางการของหน่วยงานโดยตรง

หากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หรือมีข้อสงสัย ขอให้ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งานทันที หรือ ติดต่อ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรม โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ตลท. จัดสัมมนา “SET Sustainability Forum1/2024: Grounding Greater Governance for Good” 15 ก.พ.นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจร่วมสัมมนา  SET Sustainability Forum 1/2024 หัวข้อ “Grounding Greater Governance for Good” รับฟังมุมมองความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีอันเป็นรากฐานสำคัญทั้งต่อการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานอนุกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน และอนุกรรมการกฎหมาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปาฐกถาพิเศษ  “Grounding Greater Governance for Good” และการบรรยายโดย Helena Fung Head of Sustainable Finance and Investment, Asia Pacific, London Stock Exchange Group (LSEG)  หัวข้อ “Re-examining the Importance of Governance in Corporate Sustainability and ESG Investing” ถึง  Global Sustainable Investment Trend ในปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีเสวนาอีก 2 ช่วง โดยช่วงแรก “Rebuilding Trust: The Rise of Governance in Investment Decisions and Corporate Sustainability ” แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการลงทุนอย่างยั่งยืน ผ่านมุมมองผู้ใช้ข้อมูล และช่วงที่สอง “Communicating Greater Governance through Responsible Data ” แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ผ่านมุมมองผู้ให้ข้อมูล ผู้ลงทุนรุ่นใหม่ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงแนวทางการตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในทุกมิติ งานสัมมนา SET Sustainability Forum 1/2024 หัวข้อ “Grounding Greater Governance for Good”กำหนดจัดขึ้นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00-17.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://shorturl.at/pzO48  ไม่มีค่าใช้จ่าย

CPFGS ยกระดับการดูแลสุขภาพผู้บริโภค ชู NutriMax อาหารทางการแพทย์ สูตรครบถ้วนพร้อมรับประทาน

0

CPFGS หนุนโรงพยาบาลรามาธิบดี ส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยและผู้สูงวัย ให้เข้าถึงอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย ตอบโจทย์ความต้องการสารอาหารแต่ละชนิดได้ตามความต้องการ

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าว ในการประชุมวิชาการแพทยศาสตรศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 23 ว่า การดูแลสุขภาพและการทำให้สุขภาพดีขึ้น อาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งประชากรกลุ่มนี้ต้องการอาหารที่ไม่เหมือนกับวัยอื่นๆ ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ป่วยในแต่ละโรคมีความต้องการอาหารที่เฉพาะแตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ต้องการอาหารที่ไม่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้น โรคไตและโรคความดันโลหิตสูง ต้องคำนึงถึงอาหารโซเดียมต่ำ ดังนั้นการมีอาหารที่เฉพาะเจาะจงต่อสุขภาพของแต่ละคน จะทำให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่เหมาะสมกับตนเองและสุขภาพดีขึ้น จึงเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ ของทีมวิจัยและผู้ผลิตอาหาร ในการทำให้ผู้ป่วยและผู้สูงอายุ มีอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาที่ส่งผลให้สุขภาพดีขึ้น มีอายุยืนยาวและแข็งแรงพร้อมทำงานให้กับสังคมได้

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อาทิตย์ อังกานนท์

สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ นูทริแม็กซ์ (NutriMax) ที่นำสูตรของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสูตรครบถ้วนพร้อมรับประทาน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้ เป็นโครงการที่ดี เพราะโรงพยาบาลฯ มีองค์ความรู้ ในการที่จะทำอาหารสำหรับผู้ป่วยมาอย่างยาวนาน แต่ทำได้เฉพาะในโรงพยาบาล ไม่มีช่องทางจำหน่ายไปยังผู้ป่วยทั่วไป การที่ภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วย และผู้สูงอายุ เป็นการทำให้องค์ความรู้แพร่หลายไปสู่สังคมอย่างกว้างขวาง และกระจายไปสู่คนไข้ได้มากขึ้น นับเป็นการส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นไปด้วยกัน

ด้านนายวรุณ ศิลปสุวรรณชัย ผู้อำนวยการธุรกิจเพื่อสุขภาพ บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ซึ่งดําเนินธุรกิจจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปของ ซีพีเอฟ ภายในประเทศไทยและจําหน่ายในต่างประเทศมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก กล่าวว่า NutriMax ภายใต้แบรนด์ Innoweness เป็นการยกระดับอาหารปั่นผสมที่คิดค้นร่วมกันของนักโภชนาการของโรงพยาบาลรามาธิบดีและ ซีพีเอฟ โดยผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ ได้แก่ ฟักทอง อกไก่ ไข่ และน้ำมันรำข้าว มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ไม่มีส่วนผสมของนมและนมผง สามารถรับประทานได้ทันที หรือให้ทางสายให้อาหารได้เช่นกัน เหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารหรือมีปัญหาด้านการกลืนอาหาร ให้พลังงาน 278 กิโลแคลอรี โปรตีน 13.4 กรัม วิตามินมากกว่า 13 ชนิด และแร่ธาตุ 7 ชนิดที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วย โดย NutriMax ได้ผ่านการวิจัยในมนุษย์ (Clinical Study) และตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ยืนยันถึงประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยได้จริง

NutriMax ผลิตโดย ซีพีเอฟ ที่มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในหลายภาคส่วน ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมทันสมัย เพื่อสร้างระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพสู่ผู้บริโภคทั่วโลก

สำหรับช่องทางการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นูทริแม็กซ์ สามารถซื้อได้ที่

  • ร้านขายยา ตึก 1 ชั้น 1 โรงพยาบาลรามาธิบดี
  • ร้านขายยา อาคารภูมิพล ชั้น 2 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  • ร้านค้าสวัสดิการ ชั้น 1 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ร้านค้าสวัสดิการ ชั้น 1 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  • ห้างสรรพสินค้าโลตัส

หรือ ผ่านทางออนไลน์ Facebook chat เพจ Innoweness, Line official Innoweness, Lazada, Shopee, เพจ cooking helper & Innoweness, Tiktokshop และ Lotus’s Shop Online

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นดูแลสุขภาพเชิงรุกผู้บริโภคผ่านเนื้อสัตว์ ด้วยนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ อาทิ การใช้โปรไบโอติกดูแลลำไส้สัตว์เพื่อสุขภาพสัตว์แข็งแรงตามธรรมชาติ การวิจัยอาหารสัตว์ เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการสารอาหารและโภชนาการที่สำคัญ รวมถึงใช้เทคโนโลยีตรวจสอบสารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ ทำให้เนื้อไก่ซีพีได้รับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยระดับโลก พร้อมพิชิตมาตรฐานอวกาศ (Space Food Safety Standard) เร็วๆ นี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ คว้า 2 รางวัลองค์กรที่ดึงดูดใจพนักงานที่สุด

0

ผู้สื่อข่าวรายจงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคว้า 2 รางวัลจากงานประกาศรางวัลสุดยอดผู้นำนวัตกรรมและเทรนด์แห่งปี – Future Trends Ahead & Awards 2024 โดยได้รับรางวัล “Most Attractive Employer” ติด 1 ใน 10 องค์กรที่ดึงดูดใจพนักงานที่สุด ประเภทรางวัลจากการโหวตของผู้มีอายุมากกว่า 30 ปี และรางวัลจากการโหวตของผู้มีอายุน้อยกว่า 30 ปี

รางวัลดังกล่าว สะท้อนการเป็นแบรนด์แห่งอนาคตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ก่อให้เกิดคุณค่าต่อสังคมในวงกว้าง ซึ่งเป็นองค์กรที่พนักงานแสวงหาและอยากร่วมงานด้วย โดยมีนางสาวจิตติยา ธรรมสรณ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนรับมอบ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและการดูแลพนักงาน โดยมีวัฒนธรรมองค์กร “SET DNA” ได้แก่การเป็นผู้นำ การทำงานเชิงรุก มีความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ การทำงานอย่างเป็นพันธมิตร และปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวสิทธิพิเศษใหม่ใน “MTL Landmark” บนแพลตฟอร์ม SmyleLand

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรแห่งการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมเดินหน้า สร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับประชาชนทุกคนผ่านช่องทางที่หลากหลายเข้าถึงได้ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ได้เหมาะกับความต้องการของแต่ละคนอย่างตรงจุด

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต เอาใจชาว SmyleLand แพลตฟอร์ม Metaverse เพื่อคนรักสิทธิพิเศษ  โดยบริษัท เมทะเอิร์น จำกัด อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวสิทธิพิเศษใหม่ใน “MTL Landmark” เพียงเข้าเยี่ยมชมและเล่นมินิเกมส์ ก็จะได้รับสิทธิ์ซื้อประกันออนไลน์ โครงการเมืองไทย Healthจุใจ IPD+OPD (แพ็ค M) ดูแลครบการรักษาโรคทั่วไป โรคระบาด อุบัติเหตุแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เต็มอิ่มกับความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย คุ้ม ครบ ซื้อง่าย เบี้ยกลางๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยบ้างแต่ไม่บ่อย OPD เหมาๆ ต่อปี

โดยโครงการ  “Health จุใจ IPD+OPD”  โดดเด่นด้วยความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่ายแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองตั้งแต่โรคเล็ก โรคร้ายแรง โรคทั่วไป อุบัติเหตุ แอดมิตก็เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรกในวงเงินเดียวสูงสุด  200,000  บาทต่อครั้ง นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล  และดูแลค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) เหมาจ่ายสูงสุด 15,000 บาทต่อปี พร้อมดูแลยาวถึงอายุ 99 ปี

ทั้งนี้ชาว SmyleLand ที่เยี่ยมชม MTL Landmark พร้อมเล่นมินิเกมส์จะได้รับสิทธิ์ซื้อประกันออนไลน์ ในโครงการดังกล่าวและยังจะได้รับโปรโมชันสุดพิเศษ 3 ต่อ ประกอบด้วย ต่อที่ 1 รับสิทธิ์ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% สูงสุด 6 เดือน ต่อที่ 2 รับนาฬิกา Fitbit Inspire 2 และต่อที่ 3 พิมพ์ JUJAI10 รับส่วนลด 10% อีกด้วย ระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมเล่นสนุกได้ที่เว็บไซต์ www.smyleland.com หรือ SmyleLand Application ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android พร้อมร่วมทำภารกิจพิชิตสิทธิพิเศษได้ที่ “MTL Landmark” ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป

รู้เก็บรู้ออม : ลุยหุ้นนอก 5 DRx น้องใหม่

0

ปัจจุบันการเปิดโอกาสลงทุนใหม่ๆให้กับตัวเองของนักลงทุนไทย โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศ สามารถทำได้สะดวกและรวดเร็ว ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่าง DR และ DRx หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายหุ้นต่างประเทศด้วยเงินสกุลบาทไทยผ่านตลาดหุ้นไทย โดยใช้บัญชีเทรดหุ้นของตัวเอง

ความนิยมของนักลงทุนไทยที่มีต่อ DR และ DRx เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากมีการทยอยเปิดขาย DR และ DRx ตัวใหม่ๆมาโดยตลอด และล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2567 ธนาคารกรุงไทยก็ได้เปิดตัว DRx น้องใหม่ จำนวน 5 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นอเมริกาตัวท็อป เจ้าของสินค้าและบริการที่เราคุ้นชื่อกันดีในชีวิตประจำวัน

ประกอบด้วย AMZN80X อ้างอิงหุ้น Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่, BKNG80X อ้างอิงหุ้น Booking Holdings ผู้นำด้านบริการจองที่พัก เที่ยวบิน แบบออนไลน์, META80X อ้างอิงหุ้น Meta เจ้าของแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กกับอินสตาแกรม, NFLX80X อ้างอิงหุ้น Netflix ที่ให้บริการหนังออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง และ SBUX80X อ้างอิงหุ้น Starbucks แบรนด์ร้านกาแฟระดับโลก มีสาขากว่า 80 ประเทศทั่วโลก

ทำให้ตอนนี้มี DRx ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยรวม 10 ตัวแล้ว และในจำนวนนี้ เป็นหุ้นที่ทรงอิทธิพลของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เรียกว่า หุ้นนางฟ้า มาครบทั้ง 7 นาง คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia มีให้ซื้อขายกันครบทุกตัวแล้วบนตลาดหลักทรัพย์ไทย

นักลงทุนไทยที่อยากเด็ดปีกนางฟ้า คว้าหุ้นทั้งเจ็ดมาครอบครอง ประดับไว้ในพอร์ตหุ้นน้อยๆของตัวเอง โอกาสนั้นมาถึงแล้ว!

เพราะอย่างที่ “คุณนายพารวย” เคยพูดถึงผลิตภัณฑ์ลงทุนนี้มาตลอดว่า เป็นตัวช่วยเปิดประตูการลงทุน พาโกอินเตอร์กันแบบสะดวกโยธิน เหมือนยกหุ้นต่างประเทศมาซื้อขายบนตลาดหุ้นไทย โดย DRx นั้นพิเศษตรงที่นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้โดยไม่จำเป็นต้องครบ 1 หน่วย (เริ่มต้นที่ 0.0001 หน่วย)

นักลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ แถมยังอำนวยความสะดวกโดยซื้อขายเป็นเงินสกุลบาท ไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศให้ยุ่งยาก และเปิดซื้อขายตามเวลาทำการของหุ้นอ้างอิงในตลาดต่างประเทศนั้นๆ โดย 5 DRx น้องใหม่ซึ่งอ้างอิงกับหุ้นสหรัฐฯ จะเปิดซื้อขายตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง ตี 4 ตามเวลาประเทศไทย

นักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้ว สามารถซื้อ DRx ผ่านแอปพลิเคชัน “Streaming” เลือก “My Menu” แล้วเลือก “DRx” เพื่อแจ้งความต้องการขอซื้อขาย DRx ส่วนคนที่ยังไม่มีบัญชีซื้อขาย สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการซื้อขาย DRx ได้เลย

ผู้สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ DRx เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/DRx

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS บุกรร. กทม. จัดกิจกรรม “วัยรุ่นตัว TOP STOP ภัยไซเบอร์” เดินหน้าสู่โรงเรียนอุ่นใจไซเบอร์ 100% ผ่าน “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์”

0

ผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย หรือ Thailand Cyber Wellness Index (TCWI) พบว่าในกลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 10-15 ปี ในพื้นที่ กรุงเทพฯ กว่า 82.97% อยู่ในระดับที่ต้องพัฒนา นั่นหมายความว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า 81.49% ขาดทักษะด้านการจัดสรรเวลาในการใช้งานบนโลกออนไลน์ และ 75.15% ขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตัวเองจากภัยในโลกไซเบอร์ ซึ่งที่ผ่านมา AIS อุ่นใจ CYBER และ กรุงเทพมหานคร ได้ทำงานร่วมกันผ่านการนำหลักสูตรการเรียนรู้ด้านทักษะดิจิทัล “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ให้ครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในโรงเรียสังกัด กทม. ทั้ง 437 แห่ง ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้

ล่าสุดเดินหน้าจัดกิจกรรม “กทม. x AIS อุ่นใจ CYBER School Tour วัยรุ่นตัว TOP STOP ภัยไซเบอร์” ด้วยแนวคิด Gamification หรือ โลกแห่งการเรียนรู้ผ่านเกม นำร่องใน 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนนาหลวง, โรงเรียนวัดยายร่ม (วัฒนราษฎร์รังสรรค์), โรงเรียนประชาอุทิศ(จันทาบอนุสรณ์) และ โรงเรียนบ้านบางกะปิ ตั้งเป้าเป็น โรงเรียนอุ่นใจไซเบอร์ พร้อมขยายผลการสร้างพลเมืองดิจิทัล ยกระดับการใช้งานสื่อและโลกออนไลน์ให้บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนของโรงเรียนในสังกัด กทม.กว่า 250,000 คน เข้าศึกษาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์และได้รับประกาศนียบัตรทุกโรงเรียนรวม 437 แห่ง ภายในปีการศึกษา 2567 โดยเอไอเอสจะได้ร่วมกับสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร จัดรูปแบบการส่งเสริมที่เหมาะสมโดยบูรณาการการเรียนรู้หลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดของการเรียนการสอนที่สนับสนุนทักษะวิทยาการคำนวณ และการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) แก่โรงเรียนในสังกัด กทม.ต่อไป

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กลุ่ม Gen Z หรือเด็กในที่อยู่ในช่วงประถม มัธยม เป็นกลุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับโลกดิจิทัล ทำให้พวกเขามีความคุ้นเคยกับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการที่เด็กๆ ต้องใกล้ชิดกับภัยที่แฝงมากับการใช้งานอย่างไม่รู้ตัว โดยที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการใช้งานดิจิทัลเพื่อให้เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ สอดคล้องกับภารกิจด้านการศึกษาของกรุงเทพมหานครในปีนี้ที่เราต้องการสร้างทักษะการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ หรือ Critical Thinking ให้กับเด็กๆ นักเรียน

อย่างการทำงานร่วมกับ AIS โดยนำหลักสูตรดิจิทัลอย่าง หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ มาใช้ในโรงเรียน กทม. เรามุ่งหวังให้เข้าไปบูรณาการเป็นสื่อการเรียนการสอนของครู ผ่านไปยังนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้ง 437 แห่ง จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมนำร่องใน 4 พื้นที่ได้แก่ โรงเรียนนาหลวง, โรงเรียนวัดยายร่ม (วัฒนราษฎร์รังสรรค์), โรงเรียนประชาอุทิศ(จันทาบอนุสรณ์) และ โรงเรียนบ้านบางกะปิ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างโรงเรียนต้นแบบที่ ครู นักเรียน และบุคลากร ผ่านการศึกษาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ มีทักษะด้านดิจิทัลแบบครบถ้วน และเราต้องการที่จะทำงานร่วมกันไปอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะสร้างโรงเรียนอุ่นใจปลอดภัยไซเบอร์ 100% ในปีการศึกษา 2567 ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา ให้นักเรียนและเยาวชนในพื้นที่ กทม. ใช้งานโลกออนไลน์อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสร้างสรรค์

ด้าน นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “กิจกรรมวัยรุ่นตัว TOP STOP ภัยไซเบอร์ เกิดขึ้นจากความตั้งใจระหว่าง AIS กับ กทม. ในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านดิจิทัลให้กับน้องๆ นักเรียน ด้วยการถ่ายทอดเนื้อหาจากหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ออกมาในรูปแบบ Gamification เพื่อให้เข้าถึงเด็กนักเรียนได้ง่าย ที่นอกจากจะมีความสนุกสนานแล้วยังสอดแทรกไปด้วยความรู้ และนำไปสู่การเข้าไปเรียนรู้บทเรียนเต็มต่อไป กิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้กับน้องๆ นักเรียน เยาวชน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมนี้จะทำให้ระดับสุขภาวะด้านดิจิทัลของนักเรียนใน กทม. ดียิ่งขึ้น จนนำไปสู่การแก้ไขและลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานออนไลน์ทุกรูปแบบ AIS อุ่นใจ CYBER พร้อมเป็นแกนกลางในการสร้างความตระหนักรู้เพราะเราเชื่อว่าจะเป็นการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/sustainability-projects/thailands-cyber-wellness-index

รู้เก็บรู้ออม : SET SE 101 บัญชีง๊ายง่าย

0

สำหรับผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการแล้ว เรื่องการจัดทำบัญชี ดูจะเป็นเรื่องที่ยาก เคร่งเครียด และน่ากลัว เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนและอย่างไร แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าของธุรกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการทำบัญชีได้ เพราะตามกฎหมายแล้ว การจัดทำบัญชีถือเป็นหน้าที่ของบริษัทที่ต้องจัดทำและยื่นให้ถูกต้องต่อกรมสรรพากรทุกเดือน กิจการรายใดทำบัญชีดี เสียภาษีถูกต้อง ก็หมดห่วงเรื่องมีปัญหากับกรมสรรพากร

ประโยชน์อีกอย่างของการจัดทำบัญชี คือ เจ้าของธุรกิจจะได้รู้สถานะการเงินที่แท้จริงของบริษัทตัวเองว่า ผลประกอบการมีกำไรขาดทุนเท่าไร รวมทั้งรู้ตัวเลขรายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ของธุรกิจตัวเอง เพื่อนำไปใช้วางแผนธุรกิจ ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่าย และการลงทุนต่างๆ

แต่บัญชีจะไม่ใช่เรื่องยากของเจ้าของธุรกิจอีกต่อไป เพราะ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ” ได้นำเอาความรู้เรื่องบัญชีมาถ่ายทอดให้เข้าใจแบบง่ายๆ ผ่านโปรแกรมเรียนรู้ SET SE 101 : Online Offering ปีที่ 4 โดยในปี 2567 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมมือกับบริษัท PwC (ประเทศไทย) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษี ผลิตคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยความรู้ความเข้าใจการจัดทำงบการเงินอย่างง่าย 4 หัวข้อ ภายใต้แนวคิด “บัญชีง๊ายง่าย” ประกอบด้วย “เรียนรู้…พื้นฐานบัญชีที่ SE ต้องรู้,” “SE…กับบัญชีรายรับ”, “SE…กับบัญชีรายจ่าย และต้นทุน” และ “SE…กับภาษีมูลค่าเพิ่ม”

“ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อธิบายว่า เป็นการเดินหน้าต่อยอดความรู้การเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) เพื่อส่งเสริมความรู้สร้างศักยภาพการทำธุรกิจ ทั้งนี้ SE เป็นข้อต่อที่สำคัญในการสร้างและขยายผลลัพธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

โดยมีเส้นทางการให้ความรู้ SE ตั้งแต่ในปีแรก ด้วยการปูพื้นฐานเรื่องการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม ทักษะการประกอบธุรกิจ ขยายผลสู่นวัตกรรมการสร้างความยั่งยืน และโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม ด้วยเนื้อหาแบบ How-to ที่ SE สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที

ขณะที่โปรแกรมการเรียนรู้ SET SE 101: Online Offering 2024 ได้ถูกพัฒนา ให้เป็นหลักสูตรความรู้เรื่องบัญชีอย่างง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SE ที่ยังขาดทักษะความรู้ด้านบัญชีและวิธีทำงบการเงิน โดยเป็นเนื้อหาที่เข้าใจง่าย นำไปใช้ได้ทันที พร้อมเทคนิคตัวอย่างการลงงบการเงินที่ถูกต้อง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่า SET SE101: Online Offering ปีนี้จะช่วยส่งเสริมทักษะการทำธุรกิจของ SE ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อขยายผลลัพธ์ทางสังคมต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเพื่อสังคมและผู้สนใจสามารถรับชมผ่านช่องทางออนไลน์ ทาง SETSocialImpact.com สังคมยั่งยืน…เศรษฐกิจยั่งยืน คลิกเลือกเมนู impact program หรือทาง Facebook: SET Social Impact และ Facebook: SET Social Impact และสามารถดูย้อนหลังได้ตลอดเวลา

แล้วจะรู้ว่าบัญชี ง๊ายง่าย ไม่ยากอย่างที่คิด!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“บ้านธรรมชาติล่าง” ร่วมมือ ร่วมคิด ร่วมทำ โมเดลต้นแบบเติบโตยั่งยืน

0

ด้วยต้นทุนทางธรรมชาติที่สวยงาม ประกอบกับชาวชุมชน “บ้านธรรมชาติล่าง” ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด มองเห็นโอกาสของพื้นที่ตั้ง แม้จะเป็นชุมชนเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาและอีกด้านติดทะเลอ่าวไทย แต่ที่นี่เป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มีจุดหมายสู่เกาะช้าง เนื่องจากมีท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังเกาะช้างอยู่ใจกลางหมู่บ้าน

ชาวชุมชนบ้านธรรมชาติล่างส่วนใหญ่ มีอาชีพทำประมงพื้นบ้านและเกษตรกรรม วิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่มีอัตลักษณ์ในหลายๆ ด้าน อาทิ วิถีชีวิตชุมชนภูมิปัญญาท้องถิ่น อาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตลักษณ์ของการเป็นชุมชนที่มีการรวมตัวกันด้วยความเข้มแข็ง พร้อมที่จะรับฟังและเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามา

ตลอดเส้นทางของการยกระดับจากชุมชนเล็กๆ สู่การเป็น “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง จ.ตราด” ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่เข้าไปดำเนินกิจการโรงเพาะฟักลูกกุ้งภาคตะวันออกในพื้นที่มาเป็นเวลานาน จนเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และดูแลคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ไม่ต่างไปจากการเป็นลูกหลานที่ต้องตอบแทนคุณให้กับพื้นที่บ้านเกิด

ซีพีเอฟ เข้ามาดำเนินธุรกิจในพื้นที่นี้ ตั้งแต่ปี 2544 เดินหน้าเติบโตไปพร้อมกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับชุมชน ต่อยอดสู่การส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการปุ๋ยอินทรีย์นาโน ช่วยแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรของชุมชน ซึ่งเกิดจากแนวคิดนำปุ๋ยอินทรีย์ที่ฟาร์มทำใช้เองมาพัฒนาร่วมกับผู้นำชุมชน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้

จากจุดเริ่มต้นเรื่องปุ๋ยเพื่อชุมชน ซีพีเอฟ เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้นำชุมชน และทุนทางธรรมชาติของบ้านธรรมชาติล่าง มีทั้งสวนผลไม้ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเพิ่มผลผลิต ผนวกกับวิถีประมงพื้นบ้าน และยังมีทะเลสวยที่ชายหาดมีความพิเศษด้วยหินลาวา เกิดเป็นหาดทรายแดง รวมถึงปะการังน้ำตื้น ภูเขารายลอบที่สวยงามด้วยวิวหลักล้าน เมื่อเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวที่ต้องผ่านไปเกาะช้างอยู่แล้ว บริษัทจึงอาสาเข้ามาผสานพลังกับชุมชน ขีด คิด ร่วมข่าย จัดเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ภายใต้ชื่อ “โครงการปุ๋ยอินทรีย์นาโน สู่การท่องเที่ยว” และผลักดันสู่การขอจดทะเบียนเป็น วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ต.คลองใหญ่

ด้วยพลัง 3 วัย วัยเก๋า วัยรุ่น และวัยเด็ก ที่ช่วยกันนำจุดแข็งของแต่ละวัยมาใช้ ผนวกกับความเข้มแข็งของผู้นำ และพลังของคนรุ่นใหม่ที่รักบ้านเกิดมาร่วมกันผลักดันกับทีมงานของซีพีเอฟ จึงเกิดโครงการเชื่อมโยงอีกหลากหลายโครงการ อาทิ “โครงการน้ำดื่มชุมชน” จากโรงงานน้ำดื่มที่ต้องปิดตัวลงเพราะขาดองค์ความรู้ ซีพีเอฟ ได้นำความเชี่ยวชาญไปถ่ายทอดและสร้างมาตรฐานใหม่ เกิดการสร้างรายได้แก่ชุมชน ขยายกำลังการผลิตน้ำดื่มรองรับการท่องเที่ยว ปัจจุบันมีสมาชิกถือหุ้น 142 ครัวเรือน มีผู้ได้รับผลประโยชน์ถึง 2,582 คน รายได้เกือบล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังมี “โครงการนวัตกรรมถังหมักรักษ์ดิน” เพื่อแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ที่ขยายผลสำเร็จจากฟาร์มเพาะฟักลูกกุ้งภาคตะวันออก ไปยังศูนย์เพาะฟักลูกกุ้งของซีพีเอฟทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นำไปสู่การขยายการจัดการขยะสู่ชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่ม เกิดศูนย์เรียนรู้การจัดการขยะชุมชน กลายเป็นโมเดลต้นแบบ Waste to Value ที่สอดคล้องกับนโยบายของจังหวัด “โครงการบ้านสะอาด เมืองตราด สวยสะหงาด”

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่กลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือ “โครงการผ้าสามป่า อ.แหลมงอบ” ผลิตภัณฑ์ผ้าประจำพื้นถิ่นของ จ.ตราด ที่ใช้ภูมิปัญญาพัฒนาผ้าสามป่า ทั้งป่าชุมชน ป่าสมุนไพร ป่าชายเลน ขยายผลสู่การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว อาทิ เสื้อสามป่า แก้ว กระเป๋า ตุ๊กตา สร้างอาชีพและรายได้แก่ชาวชุมชน ต่อยอดสู่การจำหน่ายผ่านออนไลน์ สื่อโทรทัศน์ ออกร้านจำหน่าย โครงการนี้สร้างรายได้ถึง 800,000 บาท ในเวลา 2 ปี มีรายได้เสริมครอบครัวละ 5,000 บาท ปัจจุบันมีสมาชิก 30 ครัวเรือน และผ้าสามป่า กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของชุมขนที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด ได้รับโอกาสขึ้นโชว์บนเวทีประกวด Miss Grand Trat 2023 ที่ผ่านมา

วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง เป็นต้นแบบของโครงการที่สร้างความภาคภูมิใจสู่จังหวัด สะท้อนความสำเร็จที่เกิดจากการอาศัยจุดแข็งและประสบการณ์ของภาคเอกชนที่เข้าดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ เพื่อสร้างประโยชน์ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สร้างคุณค่าร่วมทางสังคม โดย ณ สิ้นปี 2566 ชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากกว่า 5 ล้านบาท ด้านสังคม ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ชุมชนที่มีสมาชิก 21,757 คน ด้านสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณขยะได้เฉลี่ยปีละ 5 ตัน เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling

ผลสัมฤทธิ์และความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้ในรอบปี 2565-2566 มีรางวัลที่ชุมชนได้รับจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รางวัลการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ระดับประเทศ รางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) การประกวดนวัตกรรมโครงการ NIA รางวัลผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ จากกระทรวงมหาดไทย รางวัลผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมสามป่า ผลิตภัณฑ์ “ดี” ระดับจังหวัด วิสาหกิจชุมชนดีเด่น จ.ตราด มาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STGs) และล่าสุด ยังรับรางวัลสูงสุด จากการจัดประกวดโครงการด้านความยั่งยืน (Sustainability) ของซีพีเอฟทั่วประเทศ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก เป็นคณะกรรมการร่วมตัดสิน

วันนี้…วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด ไม่ใช่ชุมชนทางผ่านอีกต่อไป แต่ที่นี่ คือ ชุมชนแห่งรอยยิ้ม ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ จากความร่วมมือ ร่วมคิด ร่วมทำ เพื่อผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่างเติบโตได้อย่างยั่งยืน