Home Blog Page 121

เตือน “หมูเถื่อน” อันตรายเสี่ยงสารปนเปื้อน แนะผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อหมูปลอดภัย

0

ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและปรับปรุงพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ ม.เกษตรฯ เตือน “หมูเถื่อน“ อันตราย เสี่ยงสารปนเปื้อน สารเร่งเนื้อแดง แนะผู้บริโภค เลือกซื้อเนื้อหมูอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ พร้อมย้ำ หมูเถื่อน ทำลายความมั่นคงทางอาหารของไทย

รศ.ดร.ศกร คุณวุฒิฤทธิรณ ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า หมูเถื่อน คือ เนื้อหมูที่นำเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านกระบวนการหรือมาตรการตรวจสอบคุณภาพ แหล่งที่มา การปนเปื้อน ความสะอาด และความปลอดภัย นอกจากไม่รับผิดชอบต่อผู้บริโภคแล้วยังไม่รับผิดชอบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

รศ.ดร.ศกร คุณวุฒิฤทธิรณ

หมูเถื่อน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและตลาดภายในประเทศ ทำให้ความต้องการใช้ผลผลิตในประเทศลดลง กระทบต่อเนื่องมายังอุตสาหกรรมการเลี้ยงการผลิต มีผลต่อรายได้ของเกษตรกร บั่นทอนความเชื่อมั่นและความสามารถในการผลิต เพราะผู้ผลิตสูญเสียโอกาสและกำไรจากการค้า ไม่มีแรงจูงใจในการขับเคลื่อนกิจการ ในระยะยาวการผลิตจะหายไป ประเทศไทยจะกลายเป็นเพียงผู้ที่ซื้อมาและขายไป ไม่มีความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)

สำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อสินค้าลักลอบนำเข้าเพื่อจำหน่ายต่อให้กับผู้บริโภค โดยไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัย คำนึงเพียงต้นทุนถูกและได้กำไรสูง ขอให้คิดและคาดหวังถึงผลตอบสนองของลูกค้าในระยะยาวมากกว่าแค่ระยะสั้น เพราะการตัดสินใจอุดหนุนสินค้าลักลอบนำเข้าเพียงไม่กี่ครั้งจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในทางกลับกันหากผู้ประกอบการเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่ผลิตในประเทศซึ่งมีความปลอดภัยสูง นอกจากจะช่วยเกษตรกรไทยแล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคด้วย

ด้านผู้บริโภคจะไม่สามารถแยกได้ว่าเนื้อสัตว์ที่บริโภค เป็นเนื้อสัตว์ลักลอบนำเข้าหรือผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงแล้วจะสังเกตได้ยากขึ้น เพราะวิธีการหมัก การปรุง ทำให้เนื้อสัตว์ถูกกลบด้วยกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ผู้บริโภคที่เลือกซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นเนื้อหมูเถื่อนจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในอาหาร ขณะที่ผู้บริโภคหลายคนมีความเข้าใจผิดว่า หากนำเนื้อสัตว์ไปผ่านกระบวนการให้ความร้อนจะสามารถทำลายเชื้อโรคและสารปนเปื้อนได้หมด แต่ความจริงไม่สามารถทำลายความเสี่ยงจากสิ่งเจือปนอื่นๆ ที่ปนเปื้อนมาด้วย เช่น สารเคมี สารเร่งเนื้อแดง เป็นต้น

รศ.ดร.ศกร แนะวิธีการเลือกซื้อเนื้อสัตว์อย่างปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้

  1. สังเกตราคาสินค้าต้องไม่ถูกเกินไปจนผิดปกติ
  2. สังเกตที่เนื้อสัตว์ ความสดให้ดูที่สี เนื้อหมูที่ดี มีโครงสร้างใช้นิ้วกดเนื้อจะแน่น ไม่มีรอยบุ๋ม สีไม่ซีดจนเกินไปหรือเขียวคล้ำ มีสีแดงสดตามธรรมชาติ ไม่แดงจนเกินไป เพราะอาจมีการใส่สารเร่งสี และไม่มีลักษณะของการฉ่ำน้ำ และไม่มีกลิ่นที่ผิดปกติ
  3. สินค้าที่บรรจุแพ็คเกจมาตรฐาน มีการรับรองจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหาร มีตราสัญลักษณ์ ตราสินค้า หรือแบรนด์ที่ได้รับความนิยม ที่มีความน่าเชื่อถือก็สามารถลดความเสี่ยงได้

ขณะที่ผู้บริโภคที่นิยมซื้อเนื้อสัตว์ราคาถูก มากกว่าเลือกคุณภาพและความปลอดภัย มีความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในทันที สารปนเปื้อนบางอย่างหากเกิดการสะสมจะกลายเป็นตัวกระตุ้นโรคและปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น มะเร็ง หรือ ระบบย่อยอาหาร ความเสี่ยงเหล่านี้ เป็นต้นทุนที่จ่ายน้อยแต่ต้องจ่ายต่อเนื่องและระยะยาว อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะส่งเสริมให้ทุกคนนิยมสินค้าราคาแพง แต่ขอให้ตระหนักถึงการบริโภคสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ มีคุณภาพเพียงพอและมีราคาที่สามารถจ่ายได้อย่างเหมาะสม

รศ.ดร.ศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องช่วยกันรณรงค์ให้กับผู้บริโภคเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยของเนื้อหมูไทย หรือสินค้านำเข้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่า แต่ก็มั่นใจได้ในคุณภาพที่ดีและปลอดภัยต่อสุขภาพ ซึ่งคุ้มค่าต่อการจ่าย

ห้าดาว จับมือ BSGF เดินหน้าโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” ส่งต่อน้ำมันใช้แล้วผลิตเชื้อเพลิงอากาศยาน

0

ห้าดาว (Five star) ร่วมมือกับ BSGF ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน ส่งต่อนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ไม่ทิ้ง ไม่ทอด มาผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ภายใต้โครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” พร้อมขับเคลื่อนร้านห้าดาว 5,000 สาขาทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการภายในปี 2567 ผลักดันนวัตกรรมสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจห้าดาวและร้านอาหาร บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ห้าดาวร่วมโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” กับบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด หรือ BSGF ภายใต้การร่วมลงทุนของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ธนโชคออยล์ ไลท์ จำกัด และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF จากน้ำมันใช้แล้ว โดย BSGF เป็นผู้ที่รับน้ำมันจากห้าดาวและเถ้าแก่ห้าดาวถึงจุดขาย ในเฟสแรกห้าดาวร่วมกับเถ้าแก่ห้าดาวรวม 139 สาขา ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เข้าร่วมโครงการทอดไม่ทิ้ง และตั้งเป้าขยายสาขาเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 5,000 สาขา ภายในปี 2567

“ธุรกิจห้าดาว ผู้ดำเนินธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนไทยเป็นเถ้าแก่เติบโตบนเส้นทางธุรกิจอย่างยั่งยืน มานานกว่า 39 ปี ปัจจุบันมีผู้แฟรนไชส์รวม 5,000 รายในประเทศไทย ห้าดาวมีนโยบายสำคัญในการตัดวงจรน้ำมันทอดซ้ำ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งความใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือกับบางจากในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนวัตกรรมสีเขียวเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายสุนทร กล่าว

ทางด้าน นายนิพนธ์ เลิศทัศนีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจาก กล่าวว่า โครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” โดย BSGF เป็นการรณรงค์ให้ประชาชน “ไม่ทิ้ง” น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วสู่พื้นที่สาธารณะ ป้องกันปัญหาการทิ้งของเสียอย่างไม่ถูกวิธี ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ “ไม่ทอดซ้ำ” ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเชิญชวนประชาชนและผู้ประกอบการนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว มาจำหน่ายที่สถานีบริการบางจากหรือจุดรับซื้อที่บริษัทฯ กำหนด เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำมันเครื่องบิน SAF ที่ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้ง Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ได้อย่างครบวงจร

รู้เก็บรู้ออม : SET Awards 2566

0

ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับพิธีมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2566 โดย “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ร่วมกับ วารสารการเงินธนาคาร เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา งาน SET Awards ถือเป็นงานสำคัญที่จัดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนต่างให้การยกย่องและยอมรับ เพราะเป็นรางวัลเกียรติยศที่ทรงคุณค่าสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของตลาดทุนไทย

โดย “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า SET Awards ประจำปี 2566 ซึ่งปีนี้ ก้าวสู่ปีที่ 20 ภายใต้แนวคิด “Benchmark of Excellence” สู่การสร้างมาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ ที่ประกอบด้วยการพัฒนามาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ, การขับเคลื่อนความสำเร็จสู่ตลาดทุนไทยและการสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนไทย

โดยบริษัทที่ได้รับรางวัล SET Awards ทุกบริษัทได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่เป็นเลิศด้านธุรกิจและความยั่งยืน ถือเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และชื่นชมผู้ได้รับรางวัล Best CEO Awards ที่สามารถนำพาองค์กรเดินหน้าภายใต้สถานการณ์ที่ธุรกิจต้องปรับตัว รับมือกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน สู่การเป็นองค์กรต้นแบบในการสร้างแรงจูงใจ พัฒนาคุณภาพองค์กร คิดค้นนวัตกรรม สร้างผลประกอบการที่ดีควบคู่กับการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (ESG) สอดคล้องวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯในการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

รางวัล SET Awards แบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล คือ กลุ่มรางวัล Business Excellence ปีนี้มีบริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยม 31 บริษัท เป็นบริษัทใน SET 17 บริษัท, mai 7 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์ 4 บริษัท (รวมบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 2 บริษัทและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 1 กอง

มีบริษัทที่ได้รางวัล SET Award of Honor 4 บริษัท ได้แก่ บมจ.หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (KKPS) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.แพลนบี มีเดีย (PLANB) และ บมจ. ปตท. (PTT) ส่วน CEO ที่ได้รางวัล Best CEO Awards ของ SET คือ คุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็ปเป้ (SAPPE) ขณะที่ Best CEO Awards ของ mai ตกเป็นของคุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)

กลุ่มรางวัล Sustainability Excellence มี บจ.ได้รับรางวัลด้านความยั่งยืน 35บริษัทโดยมี 10 บจ. ที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีและได้รางวัล Sustainability Awards of Honorได้แก่ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) บมจ. บ้านปู (BANPU) บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ผู้สนใจสามารถดูรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล SET Awards และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/setawards

“คุณนายพารวย” ขอร่วมแสดงความยินดีกับทุกบริษัทที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ มั่นใจว่าจะเป็น ความภาคภูมิใจขององค์กร ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงานบริษัท  ตลอดจนคู่ค้าลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมกับบริษัท  ที่ได้เห็นผลถึงความตั้งใจจริงและการทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ดมกลิ่นกาแฟอย่างไรให้ได้แชมป์โลก? เปิดเส้นทางพนักงานสาว ซีพี ออลล์ กับการคว้าแชมป์นักดมกลิ่นกาแฟโลก หรือ World Aromaster Championship 2023 เวทีการแข่งขัน Sensory Test ระดับโลก

0

หากเอ่ยถึงคำว่า  “Sensory Test”  หลายๆคนคงไม่คุ้นเคยกับคำนี้ แต่หากถามคนในวงการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม  คงรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะ Sensory Test  เป็นการทดสอบคุณภาพอาหารโดยใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์เป็นเครื่องมือแปลผลทางความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นจากการมองเห็น การดมกลิ่น การรับรส การสัมผัส หรือแม้กระทั่งการได้ยิน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงและควบคุมคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันอาชีพนี้เริ่มเป็นที่สนใจสนใจมากยิ่งขึ้น

ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา สถาบัน SOCOF หรือ  School of Coffee Flavorist  สถาบันสอนกาแฟเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การสอนด้านกาแฟให้กับผู้ที่สนใจที่มีมาตรฐานในระดับสากล SCA, SCENTONE, GCS จากประเทศเกาหลี ได้จัดการแข่งขันนักดมกลิ่นกาแฟโลกหรือ World Aromaster Championship 2023 ขึ้น ณ จ.เชียงใหม่ เพื่อค้นหาบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมีทักษะด้านประสาทสัมผัสและด้านการอธิบายรสชาติจาก Scentone และในเวทีนี้เองที่ “พชรวรรณ คงเจริญ หรือ ปอย” สาวไทย 1 ใน 3 ตัวแทน Aromaster ของประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะด้าน Sensory Test ที่สั่งสมมานานกว่า10 ฝ่าด่านคู่แข่งจากทั่วโลก คว้าแชมป์ World Aromaster Championship 2023 ไปครอง

ปอย-พชรวรรณ คงเจริญ เล่าว่า “ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่แรกที่ตนเองสมัครเข้าแข่งขัน รู้สึกมีความภูมิใจและดีใจที่เราสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้”

สำหรับเส้นทางการเป็นนัก Aromaster ของ “ปอย-พชรวรรณ” นั้น เริ่มจากการที่เป็นคนที่หลงรักเสน่ห์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟ อีกทั้งการได้มีโอกาสทำงานที่สำนักพัฒนาและประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพัฒนาผลิตภัณฑ์ รับผิดชอบงานในส่วนของการควบคุมคุณภาพเมล็ดกาแฟ การคิดค้นและพัฒนาสูตรเมล็ดกาแฟ มีส่วนร่วมในการออกผลิตภัณฑ์ สินค้าใหม่ๆในกลุ่มของกาแฟที่จำหน่ายผ่าน All CAFÉ ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งเป็นงานที่ตรงกับสิ่งที่ตนเองสนใจ และจากการที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านนี้ทำให้ต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลา รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทฯส่งตนให้ไปเรียนรู้เพิ่มเติมทำให้ปัจจุบันนี้นอกจาก ปอย-พชรวรรณ จะเป็นนัก Aromaster หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการดมและชิมกาแฟแล้ว ยังได้รับหน้าที่เป็นผู้ตัดสินคุณภาพของเมล็ดกาแฟ หรือเรียกว่า “Q Grader”  ซึ่งต้องมีการทดสอบเพื่อรับรองความถูกต้องที่ได้มาตรฐานทุกๆ 3 ปี อีกด้วย

“การรักษามาตราฐาน ความมีวินัย เป็นหัวใจสำคัญของ Aromaster”

ปอย-พชรวรรณ บอกเล่าถึงคุณสมบัติของนักดมกลิ่น หรือ Aromaster ว่า “คุณสมบัติของ Aromaster ทางด้านกาแฟจะคล้ายๆกับคุณสมบัติผู้ทดสอบชิมอาหาร คือ ควรมีประสาทสัมผัสที่ดี สามารถเรียนรู้ จดจำ และบรรยายคุณลักษณะของตัวอย่างกาแฟได้ มีประสบการณ์และมีคลังคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ กลิ่น รส กาแฟเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น Aromaster ทางด้านกาแฟ จะต้องเป็นคนที่ชิมกาแฟบ่อยๆ ฝึกฝนการดมกลิ่นที่อยู่ในการแฟบ่อยๆ จนเกิดการสั่งสมเป็นประสบการณ์และมีคลังคำศัพท์ที่สามารถนำมาใช้ได้และต้องมีความขยัน อดทน ในการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ”

…และหลังจากที่ได้รับความรู้ ได้รับโอกาสในการทำงานและได้พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าแล้ว การนำความรู้และความเชี่ยวชาญที่ตนเองมี ยังได้นำไปส่งต่อให้กับผู้อื่นอีกด้วย…

“จาการเป็นผู้ที่ได้รับโอกาส ได้รับความรู้ ฝึกฝนตนเองจนมีความสามารถด้านการเป็น Aromaster ทำให้ตนเองอยากจะแบ่งปันความรู้ที่มีส่งต่อให้กับผู้อื่น โดยการทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้ความรู้ให้กับกลุ่มเกษตรกร ในการทดสอบรสชาติกาแฟ รวมถึงร่วมพัฒนารสชาติกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำจนสู่ปลายน้ำให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกาแฟบ้านกองกาย จังหวัดเชียงใหม่ และได้นำทักษะในการตัดสินกาแฟพัฒนากระบวนการผลิตและการแปรรูปเมล็ดกาแฟ ให้มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เมล็ดกาแฟจากบ้านกองกายมีคะแนนสูงขึ้นและได้รับรางวัลประกวดกาแฟ อันดับ 4 ประเภทนวัตกรรม เหรียญทองแดง ในรายการประกวด Thailand coffee excellence 2023 ที่ผ่านมา”

ผลประกอบการ บจ. งวด 9 เดือน อ่อนตัว โดนผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง และเศรษฐกิจชะลอตัว

0

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2566 ภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิลดลงกว่าปีก่อน โดยถูกกดดันจากหมวดธุรกิจพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ขณะที่หากไม่รวมธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ บจ. จะมีผลประกอบการคงตัว โดยได้ปัจจัยบวกจากกลุ่มธุรกิจธนาคาร การท่องเที่ยวและเทคโนโลยี

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 815 บริษัท คิดเป็น 97.26% จากทั้งหมด 836 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2566 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2566 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 614 บริษัท คิดเป็น 73.27% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 12,729,782 ล้านบาท ลดลง 3.4% ต้นทุนการผลิตปรับลดลง 2.9% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น 5.8% ซึ่งส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,249,191 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 740,814 ล้านบาท ลดลง 16.0% และ 10.6% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2566 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.55 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่าของงวด 9 เดือนปี 2565

“ภาพรวมผลประกอบการที่อ่อนตัวลงทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งส่งผลลบต่อธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจที่มีการส่งออก ทั้งนี้ หากไม่รวมธุรกิจดังกล่าว ภาพรวมมีผลประกอบการทรงตัว โดยมีปัจจัยบวกจากหมวดธุรกิจธนาคารซึ่งเติบโตตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ธุรกิจประกันภัยฟื้นตัวจากสถาณการณ์โควิด ธุรกิจท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศ และธุรกิจเทคโนโลยีที่มีความต้องการสูงในยุคดิจิทัล” นายแมนพงศ์กล่าว

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 9 เดือนปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 145,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% ต้นทุนการผลิต 107,737 ล้านบาท ลดลง 0.3% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 28,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 9,282 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,479 ล้านบาท ลดลง ลดลง 12.9% และ 35.0% ตามลำดับ

CPF คว้ารางวัล SOS Awards 2023 สนับสนุนอาหารส่วนเกิน คุณภาพปลอดภัย ส่งมอบชุมชน-กลุ่มเปราะบางในกทม.

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าสนับสนุนอาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย จากศูนย์กระจายสินค้า มอบผ่านมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS นำไปปรุงอาหารให้แก่ชุมชน ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง ทั่วกรุงเทพฯ ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารในทุกสถานการณ์ ผ่านโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” รับรางวัล SOS Awards 2023 ประเภท “OUTSTANDING FOOD RESCUE AWARD – BIG MANUFACTURING GROUP” จาก SOS เป็นปีที่ 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมผนึกภาคีเครือข่ายปฏิวัติระบบอาหารประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ในงานสัมมนา “Zero Summit 2023 SOS RE- DEFINING FOOD SYSTEM – สู่นิยามใหม่ของระบบอาหาร”

นายทวิช ทัฬหะกาญจนากุล ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงานและเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายที่ได้ร่วมงานกับ SOS มาอย่างต่อเนื่อง และได้เห็นความก้าวหน้าของ SOS และภาคี ในการร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน โดยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯได้ส่งมอบอาหารกว่า 174,400 มื้อ สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบางตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ กว่า 55,000 คน มากกว่า 70 ชุมชน และลดการเกิดขยะอาหารในกระบวนการจัดการได้กว่า 41 ตัน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 103 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 10,800 ต้น (อ้างอิงจาก CDM ภาคป่าไม้ โดย อบก. และ ม.เกษตรศาสตร์ 2554)

จากความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ และ SOS ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อที่ 12 โดยขยายการสนับสนุนอาหารจากศูนย์กระจายสินค้าซีพีเอฟจีเอส บางน้ำเปรี้ยวและมหาชัย รวมถึงต่อยอดกิจกรรมไปในพื้นที่อื่นๆ อาทิ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อส่งมอบอาหารมื้อที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน ดังเช่นในวันอาหารโลก (World Food Day) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส ผนึกกำลังกับ SOS และ GEPP มอบอาหารให้บุคลากรที่ช่วยพิทักษ์ปกป้องแหล่งน้ำสำคัญของประเทศ สอดรับกับธีมสากล Water is life water is Food ซึ่งตลอดการดำเนินโครงการ Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก บริษัทฯเก็บกลับบรรจุภัณฑ์หลังจากการส่งมอบอาหารแล้วมากกว่า 20,000 ชิ้น สู่การจัดการที่เหมาะสมต่อไป

“ความร่วมมือนี้ยังคงพัฒนาและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนให้แก่โลก ตามแนวทาง Waste to Value สร้างคุณค่าปราศจากขยะ เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Zero Food waste to Land fill ภายในปี 2030” นายทวิช กล่าว

สำหรับงานสัมมนา “Zero Summit 2023 SOS RE- DEFINING FOOD SYSTEM – สู่นิยามใหม่ของระบบอาหาร” เพื่อร่วมผนึกกำลังปฏิวัติระบบอาหารประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส เป็นหนึ่งใน 700 พันธมิตร ที่ร่วมสนับสนุน SOS ส่งมอบอาหารส่วนเกินมาโดยตลอด

เกษตรกรเลี้ยงหมู กระทุ้งก.สาธารณสุข เร่งตรวจสารเร่งเนื้อแดงบนห้าง-เขียงหมู

0

นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศมีความเป็นห่วงความปลอดภัยในอาหารของผู้บริโภค นอกจากการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากต่างประเทศ ที่ปัจจุบันยังคงมีสินค้าตกค้างออกสู่ตลาดแล้ว ยังมีปัญหาสารเร่งเนื้อแดงที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ เนื่องจากมีกลุ่มผู้เลี้ยง อาศัยจังหวะหมูเถื่อนระบาด ในการใช้สารอันตรายนี้ในการเลี้ยงหมู เพื่อให้หมูมีเนื้อแดงเพิ่มขึ้น ซึ่งสารอันตรายนี้ส่งผลกระทบกับสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง จึงอยากขอให้ กระทรวงสาธารณสุข ที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัยแก่คนไทย เข้ามามีส่วนช่วยปกป้องพี่น้องประชาชนจากสารเร่งเนื้อแดง ด้วยการเข้าตรวจตรวจสอบสารเร่งเนื้อแดงในแหล่งจำหน่ายต่างๆอย่างเข้มงวด ถือเป็นการผนึกกำลังร่วมกันกับกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปัจจุบันได้เร่งปราบหมูเถื่อนอย่างเข้มข้น

สุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์

“กระทรวงสาธารณสุข และกรมปศุสัตว์ มีข้อกำหนดให้อาหารทุกชนิดในประเทศไทยต้องปลอดจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง คนเลี้ยงหมูขอให้ กระทรวงสาธารณสุข เร่งตรวจสอบสารอันตรายนี้ ทั้งที่ห้างโมเดิร์นเทรด ร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ และเขียงหมู ที่จำหน่ายหมูในลักษณะวางกระบะ ซึ่งผู้บริโภคไม่อาจรู้แหล่งที่มาได้ เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องเสี่ยงกับสารนี้ ถือเป็นการคุ้มครองคนไทย และยังเป็นการช่วยปกป้องเกษตรกรที่ดำเนินการถูกต้อง เพื่อให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูสามารถเดินหน้าต่อ และเป็นฟันเฟืองในการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารให้กับคนไทยต่อไป”

นายสุนทราภรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยประกาศห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์มานานกว่า 20 ปี แล้ว การใช้สารนี้จึงถือว่าผิดกฎหมายมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกศาลพิจารณาให้ยึดใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งที่ผ่านมามีการแอบใช้อยู่เป็นระยะ ดังนั้นการที่กลุ่มผู้เลี้ยงทำผิดเสียเอง และยังผนวกกับสารอันตรายที่แฝงมากับหมูเถื่อนที่มาจากต่างประเทศซึ่งใช้สารเร่งเนื้อแดงได้อย่างเสรีด้วยแล้ว ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

เกษตรกรเฮ! ได้นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรคนใหม่ “สิทธิพันธ์” รับไม้ต่อ “สุรชัย” พัฒนาวงการหมูยั่งยืน

0
สิทธิพันธ์ ธนาเกรียรติภิญโญ

รายงานข่าว เปิดเผยว่า การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ มีวาระพิจารณาการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ คนใหม่ โดยสมาชิกสมาคมฯ จากทั่วประเทศ จำนวน 438 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ลงคะแนนเสียงให้ นายสิทธิพันธ์ ธนาเกรียรติภิญโญ เป็นนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ วาระปี 2566-2568

ทั้งนี้ นายสิทธิพันธ์ ธนาเกรียรติภิญโญ มีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารจัดการ และมีคุณูปการต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรไทย จากความทุ่มเทเพื่อพัฒนาและยกระดับภาคอุตสาหกรรมฯนี้ ให้มีมาตรฐาน ความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในประเทศไทย นายสิทธิพันธ์ เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันการแก้ปัญหาและดำเนินการจัดเวทีสัมมนาให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับปัญหารวมถึงวิธีการป้องกันโรค และการบริหารจัดการฟาร์มให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย ทั้งในเขตภาคอีสานและในภูมิภาคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นแกนนำในการต่อต้านการนำเข้าหมูจากอเมริกา เป็นแกนหลักในการติดตามการปราบปรามการลักลอบนำเข้าหมู่เถื่อน รวมถึงเป็นส่วนสำคัญในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร เพื่อผลักดันให้สุกรเป็นสินค้าปศุสัตว์เรือธงที่จะสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนไทย และพัฒนาอาชีพเกษตรกรเลี้ยงหมูอย่างยั่งยืน

สำหรับนายสุรชัย สุทธิธรรม ซึ่งเป็นอดีตนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รั้งตำแหน่งนี้มานานกว่า 23 ปี ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญของวงการหมูของไทย ที่มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศ ในการผลักดันอาชีพการเลี้ยงหมูให้ก้าวหน้า มีคุณภาพ มาตรฐานเป็นอันดับต้นๆของภูมิภาค สร้างอาหารปลอดภัยให้กับคนไทยมาตลอด ที่สำคัญยังสร้างผลงานอันโดดเด่น ทั้งการพัฒนาการเลี้ยงหมูด้วยเทคโนโลยี การขับเคลื่อนนโยบายการยกเลิกการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงหมู จนกระทั่งกลายเป็นกฎหมายมานานกว่า 20 ปี รวมถึงการแก้ปัญหา ASF ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำในการต่อสู้กับกระบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากต่างประเทศ เพื่อปกป้องผู้เลี้ยงหมูให้มีความมั่นคงในอาชีพ

ที่สำคัญ การทำงานเพื่อเกษตรกรไทยทั้งหมด ยังเป็นการทำงานเคียงข้างกับนายกสมาคมฯคนใหม่มาโดยตลอด หลังจากนี้อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูภายใต้การนำของ นายสิทธิพันธ์ จากการส่งไม้ต่อของอดีตนายกฯ จึงเป็น “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ”

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก น.สพ. สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานเปิดการประชุมฯ โดยเกษตรกรทั่วประเทศใช้โอกาสนี้ ขอบคุณอธิบดีสมชวน ที่สนับสนุนและผลักดันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมาโดยตลอด โดยเฉพาะการเดินหน้าปราบปรามหมูเถื่อนมาอย่างต่อเนื่อง จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมให้กำลังใจในการทำงานเพื่อเกษตรกรไทยต่อไป

เกษตรกร ยันไม่ปรับราคาไข่ไก่ ขอราคาเป็นธรรม​ ยอมแบกต้นทุนวัตถุดิบสูง

0

ผู้เลี้ยงไก่ไข่ยืนยันไม่ปรับราคา แม้ความต้องการตลาดในประเทศและต่างประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเทศกาล มั่นใจปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระคนไทยและช่วยเกษตรกรได้ราคาเป็นธรรมพออยู่ได้

มงคล พิพัฒสัตยานุวงศ์ นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่

นายมงคล พิพัฒสัตยานุวงศ์ นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ กล่าวว่าสถานการณ์ไข่ไก่หน้าฟาร์มขณะนี้ทรงตัวที่ 4 บาทต่อฟองมานานกว่า 4 เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสมาคมฯ และผู้เลี้ยงไก่ไข่จะไม่มีการปรับราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มช่วงนี้ แม้ปัจจัยการผลิตทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้นทุนพลังงาน ยังไม่มีเสถียรภาพ ปรับขึ้นสูง ปรับลงต่ำ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกร แต่ราคาในปัจจุบันเป็นราคาที่สมเหตุผลพออยู่ได้แม้จะปริ่มๆ กับต้นทุน

นอกจากนี้ ช่วงปลายปีเป็นฤดูท่องเที่ยวและมีงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประกอบกับการส่งออกไข่ไก่ไป ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงการส่งออกไข่เหลวไปญี่ปุ่น มีการสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการสูง ราคาควรจะขยับขึ้นตามกลไกตลาด แต่ไทยมีการบริหารจัดการอุปสงค์-อุปทานในประเทศเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ที่ขอความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่ ให้มีการปลดแม่ไก่ตามอายุที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพไข่ไก่ทั้งระบบ ทั้งยังเป็นการป้องกันสภาวะไข่ไก่ล้นตลาด ขณะเดียวกันกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมไก่ไข่ มีการซื้อไข่ไก่ออกจากระบบ เพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกไปต่างประเทศ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ราคาขณะนี้จึงอยู่ในสภาวะสมดุล

“กลุ่มผู้เลี้ยงและสมาคมฯ จะตรึงราคาไข่ไว้ หวังช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค ขณะที่เกษตรกรขายได้ราคาที่อยู่ได้ ไม่ขาดทุน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ให้ไข่ไก่มีเพียงพอต่อการบริโภค และขอยืนยันราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มขณะนี้ เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตมากไม่ได้กำไรสูง เหมือนสินค้าอื่นๆ เป็นราคาที่เป็นธรรมพออยู่ได้ ไม่ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนก็พอ” นายมงคล กล่าว

นายมงคล กล่าวย้ำว่า ไข่ไก่เพิ่งจะพอขายได้ราคาสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากไข่ไก่เป็นสินค้าที่ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด ดังนั้นช่วงปิดเทอมและเทศกาลกินเจความต้องการจะลดลงมาก ทำให้ราคาในตลาดลดลงมากเพราะผลผลิตเกินความต้องการ ปัจจุบันต้นทุนไข่ไก่อยู่ที่ 3.80 บาทต่อฟอง ขณะที่ราคาหน้าฟาร์มอยู่ที่ 4 บาทต่อฟอง เห็นได้ว่าต้นทุนและราคาไข่ใกล้เคียงกันมาก จึงขอความเห็นใจจากผู้บริโภคให้เข้าใจภาระของเกษตรกรในส่วนนี้ด้วย

ซีพี เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสเผาข้าวโพด ชวนคนไทยร่วมยุติการเผาแปลง พิชิตปัญหาฝุ่น PM 2.5

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี ผู้จัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรให้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ หนุนทุกคนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และหมอกควัน โดยเปิดช่องทางการร้องเรียนพบการเผาแปลงข้าวโพด ผ่านแอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” และเว็บไซต์ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด ชวนเกษตรกรและประชาชนทั่วไปร่วมมือป้องกันเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สู้ปัญหาฝุ่นควัน สร้างอากาศสะอาดให้คนไทย พร้อมออกมาตรการหากพบเกษตรกรในเครือข่ายเผาซ้ำจะหยุดซื้อ 1 ปี

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บีเคพี กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าเชิงรุกแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยเชิญชวนเกษตรกรและประชาชนสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกำกับดูแลและป้องกันการเผาแปลงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผู้ที่พบเห็นการเผาแปลงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สามารถแจ้งข้อมูล ถ่ายรูปและระบุตำแหน่งแปลงที่พบ มาที่แอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” ดาวน์โหลดแอปฯ http://bit.ly/3DWDwKi หรือทางเว็บไซต์ระบบตรวจสอบย้อนกลับของกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ( https://traceability.fit-cpgroup.com/complaint) หรือผ่านช่องทางเว็ปไซต์ https://www.cpfworldwide.com เพื่อช่วยกันลดการเผาแปลงเพาะปลูกอันเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5” นายวรพจน์กล่าว

เมื่อมีการแจ้งร้องเรียน บริษัทฯ จะดำเนินการตรวจสอบว่าแปลงข้าวโพดที่ถูกร้องเรียนมีการจำหน่ายให้กับซีพีหรือไม่ ในกรณีที่เกิดการเผาจากแปลงข้าวโพดที่จำหน่ายให้กับชีพี บริษัทฯหรือคู่ค้าธุกิจพันธมิตร จะเข้าไปสร้างความเข้าใจ และแนะนำการจัดการที่เหมาะสม หากตรวจพบแปลงข้าวโพดมีการเผาแปลงซ้ำ ทางซีพีจะหยุดรับซื้อผลผลิตจากแปลงนั้นเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเศษวัสดุที่เหมาะสม

สำหรับแปลงข้าวโพดที่ถูกร้องเรียนแต่ไม่ได้จำหน่ายให้กับซีพี เจ้าหน้าที่ซีพีจะช่วยประสานหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมด้วยช่วยกันกำกับดูแล โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความตระหนักของเกษตรกรถึงพิษภัยของฝุ่นควัน PM 2.5 และส่งเสริมการลด-เลิกการเผาแปลง ภายใต้มาตรฐานเกษตรยั่งยืน GAP

ปัจจุบัน บริษัทลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรในเครือข่ายสร้างความเข้าใจถ่ายทอดองค์ความรู้การปลูกแบบไม่เผาตอซัง และยังได้ริเริ่มการมีส่วนร่วมของคู่ค้าข้าวโพดในพื้นที่ผ่านโครงการ Partner to Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน โดย บีเคพี ร่วมกับคู่ค้าข้าวโพด ซึ่งอยู่ในพื้นที่เพาะปลูก ช่วยติดตามดูแลเกษตรกรในเครือข่าย จูงใจเกษตรกร ลด เลิก การเผาแปลง และ แจ้งเบาะแสการเผามายังบริษัท

การผนึกพลังกันของทุกภาคส่วนคู่ค้าธุรกิจ เกษตรกร ประชาชน เพื่อเป็นหูเป็นตาป้องกันการเผาแปลงข้าวโพด ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 สร้างห่วงโซ่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับผิดชอบต่อโลก สอดคล้องตามนโยบายการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของซีพีเอฟ ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกไม่บุกรุกพื้นที่ป่า และไม่เผาหลังเก็บเกี่ยว ตามแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ”