Home Blog Page 121

เนื้อไก่ไทยมาตรฐานสากล ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ

0

สัตวแพทย์ ม.มหิดล ย้ำอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อของไทยมาตรฐานสากล ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ ตอกย้ำถึงคุณภาพเนื้อไก่ไทยมีความปลอดภัยสูงสุด เป็นหลักประกันความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

ดร.สัตวแพทย์หญิงระพีวรรณ ธรรมไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ดีต่อสุขภาพ ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย สามารถรับประทานได้ ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติศาสนา สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อของไทยมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดอยู่กับที่ ซึ่งเนื้อไก่เป็นที่ต้องการสูง เป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตต่อเนื่อง

ดร.สัตวแพทย์หญิงระพีวรรณ ธรรมไพศาล

ประเทศไทยมีการส่งออกเนื้อไก่เป็นอันดับ 4 ของโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 มาโดยตลอด โดยประเทศคู่ค้าสำคัญหลักของไทย ประกอบด้วย ประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และล่าสุด คือ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งประเทศเหล่านี้มีมาตรฐานสูง และมีการปรับปรุงมาตรฐาน ระเบียบ และข้อบังคับเพิ่มเติมอยู่ตลอด ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ใช้มาตรฐาน GLOBALG.A.P. ส่วนฝั่งสหภาพยุโรป ใช้มาตรฐาน Genesis GAP ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการ การป้องกันโรค และเลี้ยงไก่ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งประเทศไทยสามารถผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองมาตรฐานเหล่านี้ ยืนยันได้ว่ามาตรฐานการผลิตไก่ไทยอยู่ในระดับสากล

นอกจากนี้ ไก่ไทยถูกยกระดับไปสู่มาตรฐานระดับอวกาศ เพราะมีโครงการที่จะส่งเนื้อไก่ของไทยไปเป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศ เป็นการตอกย้ำถึงมาตรฐานเนื้อไก่ไทยเป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า มาตรฐานการผลิตไก่เนื้อของไทย ทั้งเพื่อการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ เป็นมาตรฐานการผลิตเดียวกัน (Single Standard) มีการควบคุมมาตรฐานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มที่เลี้ยง ไปจนถึงโรงชำแหละและโรงแปรรูป

สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของไทยใช้มาตรฐานการเลี้ยงภายใต้หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ผลิตไก่ ให้มีการเลี้ยงที่ดี ปราศจากโรค มีมาตรฐานฟาร์มที่ควบคุมดูแล มีตั้งแต่เรื่องตำแหน่งที่ตั้งฟาร์ม การจัดการ การเลี้ยง สวัสดิภาพสัตว์ และการควบคุมโรค ตลอดจนมีการบันทึกข้อมูล เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ หากเกิดปัญหาขึ้น

ด้านระบบป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนก หลังจากเกิดการระบาดในไทยเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ประเทศไทยปรับปรุงระบบการเลี้ยงมาเป็นระบบปิดเกือบทั้งหมด และมีการนำระบบป้องกันโรค หรือ ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) มาใช้ ซึ่งมีความเข้มงวดสูง โดยมีมาตรการเรื่องคนเข้าออก เรื่องการป้องกันโรคจากสัตว์พาหะต่างๆ สามารถป้องกันโรคไม่ให้เข้าสู่โรงเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการนำระบบคอมพาร์ทเมนต์มาใช้ในการควบคุมมาตรฐานของฟาร์มในกลุ่มเดียวกัน มีการเฝ้าระวังเชิงรุกโรคที่สำคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคนิวคาสเซิล ซัลโมเนลลา และก่อนการส่งไก่เข้าโรงชำแหละต้องผ่านโปรแกรมตรวจโรคต่างๆ ที่อาจจะมีผลกับมนุษย์ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และมีการเก็บตัวอย่างเนื้อไก่ ส่งตรวจหาสารตกค้าง ทำให้อุตสาหกรรมไก่ไทยสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งออกเนื้อไก่ได้จนถึงปัจจุบัน

ดร.สพ.ญ.ระพีวรรณ แนะนำการเลือกซื้อเนื้อไก่ ให้สังเกตลักษณะภายนอก มีความสดใหม่ สีขาวอมชมพู ไม่มีสีคล้ำ ผิวหนังเป็นมัน ไม่มีรอยช้ำเลือดหรือจ้ำเลือด โดยเฉพาะบริเวณของปีกหรือใต้ปีก ไม่มีลักษณะของเหลวเป็นเมือก ไม่มีกลิ่นเหม็น และเลือกซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ หากเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ ให้ดูวันผลิตและวันหมดอายุ มีมาตรฐานระบุชัดเจน สังเกตตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานว่าผ่านเกณฑ์อาหารปลอดภัย เช่น ตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” จากกรมปศุสัตว์ หรือเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร (เครื่องหมาย Q) ก็สามารถเชื่อมั่นได้ว่าผ่านกระบวนการตามมาตรฐานที่ถูกต้องปลอดเชื้อ ปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้

ก่อนรับประทานต้องปรุงเนื้อไก่ให้สุก ด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส 1 นาที หรือ 60 องศาเซลเซียส 4-5 นาที เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค โดยสังเกตเนื้อไก่สุกจะเปลี่ยนสีเป็นสีขาว ส่วนที่ควรระวัง คือความสะอาดของ มือ เขียง มีด และอุปกรณ์ประกอบอาหาร พร้อมแนะแยกอุปกรณ์ระหว่างอาหารสุกและดิบ เพื่อความปลอดภัย

ซีพีเอฟ ส่งทีมนักออกแบบบรรจุภัณฑ์ คว้าแชมป์ DTN Smart Labelling Contest 2023 ก.พาณิชย์

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คว้ารางวัลชนะเลิศการออกแบบบรรจุภัณฑ์และฉลากอัจฉริยะ จากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในงาน DTN Smart Labelling Contest 2023 ด้วยการออกแบบต้นแบบบรรจุภัณฑ์ฉลากอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) โดยการผสานข้อมูลดิจิตัลเข้ากับโลกความเป็นจริงที่สามารถใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศให้กับ ทีมออกแบบบบรรจุภัณฑ์จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ ประกอบด้วย นายวรยศ สุขแช่ม และนางสาวพรพิมล ตปนียะพงศ์ จากการนำเสนอโครงการต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนผสานกับเทคโนโลยีทันสมัยภายใต้แนวคิด “อาหารที่ดีจะส่งมอบความรู้สึกที่ดีให้กับผู้บริโภค” ติด “ฉลากอัจฉริยะ”

ซีพีเอฟ ในฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลกร่วมขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร มีนโยบายให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารที่มีการแสดงฉลากผลิตภัณฑ์ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้า เป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมาจากต้นทางและกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ทั้งนี้ งาน DTN Smart Labelling Contest 2023 จัดขึ้นโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องการทำฉลากอัจฉริยะแก่ผู้ประกอบการไทย และเป็นการพัฒนานักออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้ารุ่นใหม่สามารถปรับตัวสอดรับกับกฎระเบียบ การเปลี่ยนแปลง และแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการให้สามารถรับมือกับการแข่งขันตลาดโลกได้อย่างทันท่วงที

กระทรวง พม. ร่วมกับ AIS ดันหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” สู่บุคลากร พม. และประชาชนทุกช่วงวัย

0

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมมือกับ AIS และภาคีเครือข่ายทั้งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เดินหน้าขับเคลื่อนสร้างภูมิคุ้มกันรับมือปัญหาภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน พร้อมส่งต่อทักษะความฉลาดทางดิจิทัล “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์” ไปยังบุคลากรของ พม. และ ประชาชนคนทุกช่วงวัย เพื่อสร้างพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizen) ที่มีภูมิคุ้มกัน สามารถใช้งานสื่อออนไลน์ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสร้างสรรค์ อันจะนำมาสู่การยกระดับสุขภาวะดิจิทัลให้กับคนไทยที่รู้เท่าทันทุกภัยไซเบอร์

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “อาชญากรรมทางไซเบอร์ถือเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนอย่างมาก ทุกฝ่ายจึงจำเป็นต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับคนไทย พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนใช้งานโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย โดยครั้งนี้เป็นความร่วมมือกับ AIS ในการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ให้บุคลากรของเรากว่า 11,000 คน ได้เรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะทางดิจิทัล ตลอดจนการขยายผลองค์ความรู้ไปยังประชาชนคนทุกช่วงวัย อาทิ ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ สตรี และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และไม่ตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในโลกออนไลน์”

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “AIS ในฐานะผู้ให้บริการด้านดิจิทัลเราไม่เพียงเดินหน้าเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งเพื่อคนไทยเพียงเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านการยกระดับทักษะดิจิทัลของคนไทยที่เราเชื่อว่าการเสริมสร้างองค์ความรู้คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านภัยไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน

ทำให้ที่ผ่านมาเราได้พัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะดิจิทัลอย่าง หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาแกนหลักสำคัญที่ถูกแบ่งออกเป็น 4P 4ป ประกอบไปด้วย Practice ปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม, Personality ปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์, Protection เรียนรู้การป้องกันภัยไซเบอร์บนโลกออนไลน์ และ Participation รู้จักการปฏิสัมพันธ์ด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนออนไลน์อย่างเหมาะสม ซึ่งหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ถูกขยายผลไปยังบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่วันนี้ได้เรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์นี้แล้วกว่า 320,000 คน”

“โดยครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ที่ครอบคลุมทุกทักษะในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง เข้าไปให้บุคลากรของกระทรวงฯ ได้ศึกษาเรียนรู้ และส่งต่อไปยังประชาชนคนไทยทุกช่วงวัยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้เสริมทักษะดิจิทัล รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ สามารถใช้งานออนไลน์ได้อย่างถูกต้องปลอดภัยและสร้างสรรค์” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

โดยการทำงานร่วมกันครั้งนี้ได้ปรับเนื้อหาของหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ให้สอดคล้องกับทักษะที่มีความจำเป็นต่อการเป็นพลเมืองดิจิทัลสำหรับผู้เรียนแต่ละกลุ่มให้มีความเหมาะสม เช่น การเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในหลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานในองค์กร เป็นต้น

โดยสามารถเข้าไปเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ได้ที่ www. learndiaunjaicyber.ais.co.th, แอปพลิเคชัน อุ่นใจ CYBER, www.m-society.go.th,  www.dop.go.th  และแอปพลิเคชัน Gold by DOP

เมืองไทยประกันชีวิต จัดพิธีสักการะกวนอิม กวนอู และ 5 พญาเทพเจ้ามังกร พร้อมเชิดมังกรชมพู เฉลิมฉลองตรุษจีน 67

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ  นางยุพา ล่ำซำ นายสาระ   ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสลิล ล่ำซำ นายภูมิชาย  ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมนางสาวกฤษณา อัมพุช รองประธานกรรมการ และนางสาววรลักษณ์  ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมจัดพิธีสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และ 5 เทพพญาเทพเจ้ามังกร พร้อมเชิดมังกรชมพูและสิงโต เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 เพื่อแสดงความเคารพ กราบสักการะองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงขอพรเสริมความเป็นสิริมงคลตลอดปี ณ สวนสุขภาพโพธิพงษ์ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ ภายในงานเริ่มลำดับพิธีด้วยคณะผู้บริหารอัญเชิญองค์เทพมา ณ แท่นประทับ ถวายเครื่องสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู และ 5 พญาเทพเจ้ามังกร ตามด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติร่วมงาน และพนักงาน ร่วมสักการะองค์เทพ  การแสดงเชิดมังกรชมพูและสิงโต ปิดท้ายด้วยคณะผู้บริหาร ผู้มีเกียรติ และพนักงานร่วมพิธีลอดใต้ท้องมังกรชมพู.

CPF หนุน CONNEXT ED ปูทางสร้างทักษะอาชีพให้น้องรร.”สหราษฎร์นุเคราะห์” จ.ชัยภูมิ เลี้ยงไก่พันธุ์ไข่

0

โรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่หลังย่อม บนพื้นที่ด้านหลังของโรงเรียนสหราษฎร์นุเคราะห์ ต.โคกมั่งงอย อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนของเด็กๆ แล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ คือ ไข่ไก่ เพื่อนำมาทำเป็นเมนูอาหารกลางวันของนักเรียน

ด้วยขนาดของ รร. สหราษฎร์นุเคราะห์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิเขต 1 เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวนนักเรียน 93 คน และตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองมากกว่า 40 กิโลเมตร โรงเรียนจึงเน้นดำเนินโครงการที่ส่งเสริมนักเรียนพึ่งพาตนเองได้ เพื่อเป็นการวางพื้นฐานให้เด็กๆสามารถนำทักษะความรู้ไปใช้ต่อยอด เพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และเป็นทางเลือกที่จะนำไปประกอบอาชีพต่อไปได้

โดยในปีการศึกษา 2563 รร.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ทำ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่” หลังจากที่โรงเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา(CONNEXT ED)และล่าสุด ปีการศึกษา 2567 รร. ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากซีพีเอฟทำโครงการ “STEM:CODING” ยกระดับทางด้านการสอนของครูผู้สอน การสอนให้เด็กคิดอย่างเป็นระบบ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ

พีรพล กองศรี ผู้อำนวยการ รร. สหราษฎร์นุเคราะห์ เล่าว่า “โครงการเลี้ยงไก่ไข่” มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต และทักษะด้านอาชีพ เน้นการลงมือทำ การแก้ปัญหา ส่งเสริมผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจขั้นตอน กระบวนการเลี้ยงไก่พันธฺุ์ไข่ เป็นอีกทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และในระหว่างเรียนสามารถลดค่าใช้จ่ายอาหารกลางวัน สร้างรายได้ระหว่างเรียน และได้รับประทานอาหารกลางวันที่ถูกหลักโภชนาการ ได้บริโภคไข่ไก่ที่มีโปรตีน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเติบโตสมวัย

รร.มอบหมายให้ นักเรียนชั้น ป. 4-ม.3 มีส่วนร่วมรับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ โดยมีสัตวบาลและทีมงานผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟมาให้ความรู้ และฝึกทักษะการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่อย่างถูกวิธีให้กับคุณครูและนักเรียนในปีแรกของการทำโครงการ ช่วยฝึกความรับผิดชอบของเด็กๆ รู้จักหน้าที่ บูรณาการสาระการเรียนรู้ในวิชาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ และเด็กๆยังได้รับโปรตีนจากไข่ไก่ที่นำมาทำเป็นอาหารกลางวัน ชุมชนได้ซื้อไข่ไก่ในราคาย่อมเยา มูลไก่นำมาทำปุ๋ย เด็กและโรงเรียนมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่ ทำให้โรงเรียนเรียนสามารถดำเนินโครงการได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีนี้เราได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ Coding ต่อไปก็จะสามารถให้เด็กๆคิดโครงการเพื่อมาต่อยอดใช้กับโครงการเลี้ยงไก่ไข่ได้ด้วย

ด.ญ.พัชรินทร์ เขียววิจิตร หรือ น้องกีตาร์ นร.ชั้น ป.5 เล่าประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ว่า ทำหน้าที่เก็บไข่ไก่และทำบัญชีรายรับรายจ่าย ประโยชน์จากการเลี้ยงไก่ไข่ ทำให้เด็กนักเรียนได้บริโภคโปรตีนจากไข่ไก่ และส่วนที่เหลือได้จำหน่ายให้กับชุมชน ชุมชนก็ได้บริโภคไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และราคาถูกกว่าท้องตลาด ด้านเพื่อนนร.ชั้นเดียวกัน ด.ญ. เพชรรัตน์ดา เคยชัยภูมิ หรือน้องฟ้าใส นร.ชั้น ป.5 ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ให้อาหารไก่ บอกว่า การให้อาหารไก่ เป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูป โดยไก่หนึ่งตัวให้อาหาร 100 กรัม ต่อ 1วัน นอกจากนี้ ยังช่วยดูแลความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บผลผลิตไข่ไก่ และทำบัญชีรายรับรายจ่ายจากไข่ไก่ที่เก็บได้ สามารถนำประสบการณ์เลี้ยงไก่ไปใช้ที่บ้านได้ด้วย

“รร.สหราษฎร์นุเคราะห์”เป็นหนึ่งใน 302 โรงเรียน ซึ่งซีพีเอฟดูแล รร.ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และ สระบุรี ภายใต้โครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED เพื่อส่งมอบโอกาสทางการศึกษา ตามพันธกิจของมูลนิธิฯมุ่งส่งเสริมให้เด็กไทยสามารถดึงศักยภาพของตนเองสู่การเป็น “เด็กดี มีความสามารถ”

สมาคมหมู ฟ้องนายกฯ คดี “หมูเถื่อน” อืด แฉขบวนการเหิมใช้ “เขตปลอดอากร” เป็นพื้นที่ขนถ่ายของเถื่อน

0

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเตรียมเคลื่อนไหวยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงมาเกาะติดการทำคดี หมูเถื่อน อีกครั้งหนึ่ง หลังพบคดีไม่คืบมานานกว่า 1 เดือน พร้อมฝากเพิ่มประเด็น DSI พบการใช้ “เขตปลอดอากร” หลายจังหวัดเป็นพื้นที่ยักย้ายถ่ายเทหมูเถื่อน หวั่นเรื่องเงียบเอื้อขบวนการผิดกฎหมายขนหมูเถื่อนขายทั่วไทยได้โดยง่าย

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่าสมาคมฯเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังคดีหมูเถื่อนไม่มีความคืบหน้ามากว่า 1 เดือน พร้อมตั้งคำถามถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลกรมศุลกากรโดยตรง

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ

“คดีหมูเถื่อนในช่วงหลังมานี้ไม่มีความคืบหน้า คล้าย ๆ เจออิทธิพลเข้าจึงหยุดชะงักไปดื้อ ๆ ขณะเดียวกัน DSI ก็ค้นพบวิธีการขนถ่ายหมูเถื่อน เพื่อกระจายขายในจังหวัดต่างๆ โดยอาศัยการขอพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า “เขตปลอดอากร” ในหลายจังหวัด เช่น จ.นนทบุรี จ.ระยอง มาเป็นพื้นที่ในการขนย้ายถ่ายเท จากนั้นตบตาเจ้าหน้าที่ด้วยการส่งตู้เปล่าทำทีว่าส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว กรณีเช่นนี้ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ขบวนการหมูเถื่อนที่กรมศุลกากร ผู้ให้อนุญาตพื้นที่ฟรีโซนต้องตอบเกษตรกรให้ได้” นายสิทธิพันธ์กล่าว

ทั้งนี้ เขตปลอดอากร(Free Zone) ในเว็บไซด์กรมศุลกากร ระบุว่าหมายถึงพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งเขตปลอดอากรสามารถยื่นเรื่องขออนุญาตได้ และต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี ในทางปฏิบัติจะมีลักษณะเหมือนการนำสินค้าเข้ามายังโรงงานหรือพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้เพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้า แล้วส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าและขาออก

แต่กรณีของ “หมูเถื่อน” พบพฤติการณ์ว่าไม่มีการแปรรูปใดๆ แต่จะใช้พื้นที่ฟรีโซนที่ขออนุญาตจากกรมศุลกากร เป็นพื้นที่ถ่ายเทของ โดยจะมี “กองทัพมด” ทยอยขนหมูเถื่อนออกจากตู้คอนเทนเนอร์ ไปเก็บตามห้องเย็นนอกเขตปลอดอากรเพื่อเตรียมส่งให้ลูกค้าในประเทศไทย ขณะเดียวกันเมื่อขนถ่ายหมดแล้วจะทำทีเป็นส่ง “ตู้คอนเทนเนอร์เปล่า” ข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านเสมือนมีสินค้าอยู่ข้างใน แล้วค่อยเวียนตู้เปล่ากลับมาไทยอีกครั้ง ทุกขั้นตอนมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ ดังปรากฏในบัญชีส่วยที่ DSI ยึดได้

“หมูเถื่อนกัดกินหมูไทยมากว่า 2 ปี สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้ประเทศไทย จำนวนของผิดกฏหมายที่ลักลอบเข้าประเทศมาอย่างมหาศาล เป็นอีกตัวแปรสำคัญในการกดดัน GDP ปีที่แล้วของประเทศให้เติบโตต่ำเพียง 1.8% จึงอยากขอวอนท่านนายกเศรษฐาลงมากำกับดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิดด้วยตนเองอีกครั้ง เพื่อกำจัดขบวนการนี้ให้สิ้นซากเสียที” นายสิทธิพันธ์กล่าว

กรุงเทพโปรดิ๊วส จับมือ สำนักงานเกษตรจ.ศรีสะเกษ สนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวโพดมาตรฐาน GAP

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จับมือ สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ กรมส่งเสริมการเกษตร จัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรในอำเภอโนนคูณ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร สนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP (Good Agriculture Practice) พร้อมสร้างความเข้าใจต่อขั้นตอนการขายข้าวโพดให้บริษัทตามนโยบาย ไม่รับซื้อและไม่นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพื้นที่รุกป่าและมาจากการเผาตอซัง ลดสาเหตุฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 และหมอกควัน มุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 สร้างความยั่งยืนให้กับสินค้าเกษตรและระบบการผลิตอาหารของโลก

ในการอบรม กรุงเทพโปรดิ๊วส ยังนำแอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นผู้ช่วยเกษตรกร ให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเพาะปลูก ข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับปริมาณฝน อุณหภูมิ ลม ข้อมูลราคาและการขายผลผลิต ตลอดจนคำแนะนำการจัดการตอซัง สนับสนุนเกษตรกรเพิ่มคุณภาพผลผลิตที่สามารถส่งตรงเข้าถึงโรงงานอาหารสัตว์

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า บริษัทตระหนักถึงผลกระทบจากฝุ่น 2.5 ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุทั้งภาคอุตสาหกรรม การเกษตร การก่อสร้าง และอื่นๆ ทำให้เราริเริ่ม ระบบตรวจสอบย้อนกลับเป็นบริษัทแรกๆ ของประเทศไทย ในการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบัน ข้าวโพดที่จัดหาสำหรับกิจการในประเทศไทยทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่ได้มาจากแหล่งที่มีการบุกรุกป่าและพื้นที่ที่มีการเผาตอซัง นอกจากนี้ยังนำระบบตรวจสอบย้อนกลับไปใช้ในกิจการของบริษัทในประเทศ เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ บังคลาเทศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์

บริษัทยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ คู่ค้าธุรกิจ และเกษตรกร Public-Private Partnership โดยให้คู่ค้าของบริษัททุกรายทั่วประเทศใช้ข้อมูลจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียมตรวจจับการเผาแปลงข้าวโพดของเกษตรกรและรับซื้อผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับเท่านั้น ควบคู่กับการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ทันสมัยให้กับเกษตรกร

ล่องคลองบางประทุน เที่ยวสวนมะพร้าว พื้นที่สีเขียวผืนสุดท้ายในกรุงเทพฯ

0

“เกรียนพาเที่ยว” ครั้งนี้ ขอพาคุณผู้อ่านไปเดินเที่ยวชมสวนมะพร้าว ซึ่งเป็นสวนผลไม้ที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งในย่านจอมทอง กรุงเทพฯ โดยการเดินทางครั้งนี้ เราเดินทางไปกับคุณ“อาณัติ ปลอดโปร่ง” ไกด์ท้องถิ่นและนักเล่าเรื่อง ที่ทำงานคลุกคลีกับชุมชนริมน้ำมาเป็นเวลานาน

ทริปนี้ มีความน่าสนใจตรงที่เป็นพาลูกทริปไปเที่ยวชมสวนมะพร้าว ริมคลองบางประทุน ย่านจอมทอง ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นโอเอซิสสีเขียวแหล่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันนี้ พื้นที่สวนผลไม้ในกรุงเทพฯ ค่อยๆ ล้มหายตายจายไปจากความเจริญรุกเข้ามาโอบล้อมพื้นที่คลองบางประทุนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดถนน, การรุกเข้ามากว้านซื้อที่ของหมู่บ้านจัดสรร และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวบ้านเอง

เราเดินทางโดยใช้เรือหางยาวขนาดเล็ก เพราะสามารถลัดเลาะไปตามคลองแยกต่างๆ ได้สะดวกกว่าเรือแท็กซี่ที่เคยใช้อยู่บ่อยครั้ง โดยใช้เส้นทางคลองภาษีเจริญ -คลองบางระแนะ และเลี้ยวเข้าคลองบางประทุนที่มีขนาดคลองค่อนข้างเล็ก ทันทีที่แล่นเรือเข้าสู่คลองบางประทุน เราจะพบต้นไม้ริมคลองทั้งสองฝ้่งทอดกิ่งก้านให้ร่มเงาตามแนวคลองจนเหมือนเป็น “ประทุน” สมกับชื่อคลอง แม้ว่าปัจจุบัน พื้นที่ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่จะปรากฏหลงเหลือให้เห็นน้อยลงกว่าอดีตที่ผ่านมา และถูกแทนที่ด้วยกำแพงสูงสร้างกั้นตามแนวคลองของหมู่บ้านจัดสรร

เป้าหมายแรกของการเดินทางวันนี้ คือการลุยสวนมะพร้าว เราได้พบกับป้าแจ่ม ชาวสวนที่เช่าพื้นที่ตรงนี้เพื่อปลูกต้นมะพร้าวบนเนื้อที่กว่า 8 ไร่ ป้าแจ่มจัดเตรียมมะพร้าวน้ำหอม มาเฉาะให้ดื่มน้ำมะพร้าวน้ำหอมแบบสดๆ จริงๆแล้ว ยังมีมะพร้าวเผาแท้ดั้งเดิมแห่งคลองบางประทุน แต่น่าเสียดายที่เช้าวันที่เราเดินทาง มีฝนตกหนัก จึงไม่ได้มีการเผามะพร้าวโดยใช้ฟืนให้ได้ชม เพราะต้องใ้ช้เวลาเผามะพร้าวนานกว่า 2-3 ชม. เลยทำให้เราอดชิมน้ำมะพร้าวเผาของแท้ไปอย่างน่าเสียดาย

ป้าแจ่มเล่าให้ฟังว่า สวนแห่งนี้ให้ผลิตผลมะพร้าวขายได้ทุกวัน บางวันเธอก็ขนมะพร้าวไปทางเรือเพื่อไปขายตลาดใกล้เคียงตกวันละ 50 ลูก ยังไม่นับรวมกับออเดอร์จากเจ้าใหญ่ เช่น ภูมิใจการ์เดนท์ หรือบางครั้งมีคนมาซื้อถึงที่สวนเองเลยก็มี ป้าแจ่มยอมรับว่า หมดจากรุ่นของป้าแจ่มแล้ว คงจะยากที่จะมีรุ่นลูกรุ่นหลานมาสืบทอดกิจการสวนมะพร้าวต่อ

หลังจากใข้เวลาอยู่ที่สวนมะพร้าวจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังพิกัดต่อไป ก่อนออกจากสวน ป้าแจ่มยังสอยมะม่วง ชมพู่ ที่ปลูกแซมอยู่ให้เราติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย

เรายังล่องเรือในเส้นทางคลองบางประทุนกันอยู่ เป้าหมายปลายทางต่อไปคือ วัดแก้วไพฑูรย์ หรือชื่อเดิมว่าวัดบางประทุนใน เพื่อชมความงามของศาลาการเปรียญไม้สักในสมัยรัชกาลที่ 3 ศาลาการเปรียญแห่งนี้เดิมอยู่ในสภาพเก่าทรุดโทรมมากจนได้รับการบูรณะใหม่จากความร่วมมือของภาคเอกชนจนเสร็จประมาณปีพ.ศ.2560

แอดมินต้องขอยอมรับว่า แรกๆ ตอนเห็นตารางทริปว่าจะมาเที่ยวชมที่วัดนี้ ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้สัมผัสกับสถานที่จริงแล้ว ต้องขอบอกว่า ความสวยงามของศาลลาการเปรียญแห่งนี้ สร้างความรู้สึกประทับใจได้อย่างมากเลยทีเดียว สมกับคำกล่าวยกย่องว่า เป็นเรือนไม้อันวิเศษ หนึ่งเดียวในสยาม

ความโดดเด่นภายนอกคือ ภาพแกะสลักไม้เป็นเรื่อง “สุธนุชาดก” จากปัญญาสชาดก บนแผ่นร่องตีนช้าง ตรงพื้นที่ด้านล่างบริเวณมุมทั้งสองของกรอบหน้าต่าง รอบศาลาการเปรียญ ซึ่งมีทั้งหมดจำนวน 44 ช่อง แต่ละช่องได้รับการบูรณะ ทั้งที่เป็นชิ้นดั้งเดิม และชิ้นที่แกะสลักขึ้นใหม่แทนชิ้นเดิมที่สูญหายไป คุณอาณัติเล่าให้ฟังว่า ชิ้นส่วนที่หายไปนั้น เป็นเพราะสมัยก่อนถูกโจรลักของเก่ามาแอบแกะทั้งแผ่นไปตามใบสั่ง โดยใช้วิธีแกะแล้วโยนลงคลองไป และจะมีทีมที่อยู่ต้นทางคอยเก็บชิ้นส่วนที่ไหลไปคลอง เราสามารถสังเกตได้ว่า บางมุมของศาลา ร่องตีนช้างเป็นของใหม่เสียมาก แสดงว่า อาจเป็นมุมที่ลับตาจนถูกโจรลักลอบแกะไปเสียเกือบหมด

ขณะที่ความงดงามภายในศาลาการเปรียญ ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมบนผนัง เสา คอสอง บานหน้าต่าง ประตู ล้วนสร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน พื้นที่ภายในศาลาฯ ยังประดิษฐานธรรมาสน์ยุคกรุงศรีอยุธยา และรูปปั้นหลวงปู่บุญ อดีตเจ้าอาวาสที่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านริมคลองบางประทุนแห่งนี้ด้วย

หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับความงามของเรือนไม้อันวิเศษแห่งนี้ ก็ได้เวลาที่เราต้องเดินทางไปยังจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ นั่นคือ พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร ซึ่งจัดแสดงพื้นที่ชั้น 1 เกี่ยวกับวิถีชุมชนริมคลอง ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ เรือโบราณ ตัวอย่างบ้านเรือนและร้านค้าสมัยก่อนที่จำลองมา ทำให้เห็นรูปแบบการดำเนินชีวิตแต่เดิมของชาวริมคลอง ส่วนพื้นที่่ชั้นสอง เป็นพื้นที่เก็บรวบรวมสิ่งของต่างๆ ของเจ้าอาวาสรุ่นก่อนๆ ที่ได้เก็บรักษาไว้ เช่น เครื่องใช้ภายในวัด วัตถุโบราณต่างๆ ป้ายชื่อวัดเก่า พระพุทธรุปโบราณ พระเครื่อง บางชิ้นมีอายุมากกว่า 100 ปีเลยทีเดียว

เสนห์อีกอย่างของการนั่งเรือเที่ยวคลอง คือ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่เปิดหน้าร้านต้อนรับนักท่องเที่ยวริมคลอง ทริปนี้ เรามีโอกาสได้แวะทานอาหารที่ร้านกาแฟโบราณชื่อ ร้านตั้งเจริญ ซึ่งเดิมเคยขายกาแฟบนเรือมาก่อน , ร้าน Hidden Homestay café บ้านไม้สีขาวที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ ร้านกาแฟ แถมยังกันพื้นที่ส่วนหน้า เปิดเป็นที่สอนศิลปะให้กับเด็กในละแวกนั้นอีกด้วย

จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ สัญญากับตัวเองว่า ต้องหาโอกาสมานั่งเรือเที่ยวคลองในเส้นทางอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันอีกมากมายหลายทริปเลยทีเดียว

72 ปี เมืองไทยประกันชีวิต มอบอาคารเรียนอนุบาลให้โรงเรียนตชด.

0

เมืองไทยประกันชีวิตครบ 6 รอบ  มอบอาคารเรียนอนุบาล โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยกระแสน  ตำบลป่าก่อ อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ  พร้อมประกาศความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบที่เรียนที่มีคุณภาพและสนับสนุนในการพัฒนาท้องถิ่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของเยาวชน

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสที่ บริษัทฯ ครบรอบ 72 ปี ที่ดำเนินธุรกิจอย่างเติบโตมั่นคง แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนเป็นสำคัญ  และเหนือสิ่งอื่นใดที่บริษัทฯ มีความพร้อมในการพัฒนาทุกด้านแล้ว  บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการตอบแทนสังคมเสมอมา  โดยในโอกาสนี้เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม  ได้ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22   ดำเนินโครงการ ก่อสร้าง “อาคารเรียนอนุบาล 72 ปี เมืองไทยประกันชีวิต” เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยกระแสน ตำบลป่าก่อ อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ โดยเป็นโรงเรียนที่ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาตั้งแต่ปี 2563  ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 3 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  มีนักเรียนจำนวน 70  คน  ครูตำรวจจำนวน  9  นาย  ซึ่งที่ผ่านมานักเรียนชั้นอนุบาล 3  มีความจำเป็นต้องแบ่งการใช้ห้องเรียนในอาคารเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา  นอกจากนี้ยังดำเนินโครงการพัฒนาระบบน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค  และกิจกรรมเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน โดยทั้ง 2 โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักเรียนจะได้มีสถานที่เรียนที่มีคุณภาพได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาการตามความเหมาะสม และเยาวชนจะได้มีพัฒนาการและมีทักษะด้านวิชาการอย่างดีและมีคุณภาพ   

ในด้านการพัฒนาระบบน้ำเพื่อให้โรงเรียนสามารถใช้น้ำในโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันและผลิตผลทางการเกษตรนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางอาหารของนักเรียน การสนับสนุนการพัฒนาระบบน้ำนี้ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการให้น้ำสะอาดให้กับโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ทำให้โรงเรียนสามารถผลิตอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและสมบูรณ์ภายในโรงเรียนเองได้ ไม่เพียงเท่านี้ยังเป็นโอกาสที่นักเรียนจะได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำ ทำให้นักเรียนได้รับผลประโยชน์ทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและการใช้ชีวิตของนักเรียนในชุมชน โดยสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะทางการเกษตรและการบำรุงรักษาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัยและใกล้ชิดกับความต้องการของสังคมในปัจจุบันและอนาคต

สำหรับเมืองไทยประกันชีวิต เราตั้งเป้าหมายการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่สังคมไทย ควบคู่ไปกับแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคม  เมืองไทยประกันชีวิตตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในพื้นที่ห่างไกล  เราพร้อมสนับสนุนและเสริมสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา ด้วยความมุ่งหวังที่จะพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน เพราะเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเป็นอีกหนึ่งทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศไทยต่อไปในอนาคต  

ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม  ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อการสนับสนุนและการพัฒนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  ตั้งแต่ปี  2557  รวมเป็นระยะเวลากว่า  9  ปี  ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านทุนการศึกษานักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในระดับมัธยมศึกษา  รวมทั้งสิ้น  324  ทุน  เป็นจำนวนเงิน  กว่า  11  ล้านบาท  การสนับสนุนการสร้างอาคารเรียนตั้งแต่ปี 2564-2566  จำนวน  4  อาคาร  ได้แก่ อาคารหอพักนักเรียนบ้านไกล รร.ตชด. บ้านแม่กลองคี ต.โมโกร อ.อุ้มผาง จ.ตาก     อาคารหอพักนักเรียนบ้านไกล รร.ตชด.บ้านโตแฮ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน   อาคารที่พักนักเรียนบ้านไกล  รร.ตชด.เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ)  ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง   จ.ตาก และอาคารเรียนอนุบาล รร.ตชด. ปูนอินทรี 50 ปี (บ้านห้วยกระแสน) ต.ป่าก่อ อ.ชานุมาน               จ.อำนาจเจริญ  รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 3.5  ล้านบาท นอกจากนี้ยังร่วมสนับสนุนและพัฒนาด้านอื่น ๆอาทิ  โครงการพัฒนาระบบน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคและกิจกรรมเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน  7 แห่ง      กว่า  5 แสนบาท       

“เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ขอส่งมอบอาคารเรียนอนุบาล 72 ปี เมืองไทยประกันชีวิต และโครงการระบบน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคและกิจกรรมเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ทางการศึกษาต่อไป โดยเรายังคงสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมทั้งด้านการพัฒนาคุณภาพสังคม การส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกาย  การส่งเสริมด้านศิลปวัฒนธรรม  ศาสนา  ตลอดจนการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม  เพื่อให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพในทุกด้าน”  นายสาระ กล่าว

เมืองไทยประกันชีวิต จัดสัมมนา “Grasping Investment Opportunities in the Golden Year of 2024”

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “Grasping Investment Opportunities in the Golden Year of 2024” มอบประสบการณ์สุด Exclusive แก่ลูกค้าคนสำคัญและร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน พร้อมเปิดมุมมองการลงทุนรับทรัพย์ปีมังกรทองโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ร่วมให้ข้อมูลด้านการลงทุนเพื่อการก้าวเข้าสู่ความมั่งคั่งอย่างมั่นคง 

ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับประโยชน์ต่างๆ มากมาย อาทิ การได้รับข้อมูลข่าวสารการลงทุนที่ทันสมัยในปี 2024 จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน การสร้างความเข้าใจในการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน   ตลอดจนยังเป็นการสร้างเครือข่ายการลงทุนซึ่งโอกาสในการเจรจาติดต่อและสร้างเครือข่ายกับผู้ลงทุนและผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนที่เข้าร่วมงานอีกด้วย ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นายอลงกรณ์ สวัสดิภาพ  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นายชุณหวัต จิระวิชิตชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน  สายพัฒนาธุรกิจ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ยูโอบี  (ประเทศไทย)  จำกัด นายรณวร ศุกระกาญจน์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ร่วมในงาน  โดยงานจัดขึ้น ณ โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ