Home Blog Page 120

AIS Serenade – มิลเลนเนียมออโต้กรุ๊ป ส่งดีลพิเศษแห่งปี จองรถพร้อมรับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ

0

AIS Serenade ผนึกกำลัง มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษส่งท้ายปี รับสิทธิพิเศษสุดยิ่งใหญ่ 3 ต่อ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566
ที่งาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40, M TOWN by MILLENNIUM AUTO ชั้น 2 ดิ เอ็มสเฟียร์ หรือรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ ทุกสาขา

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้ส่งมอบประสบการณ์สุดล้ำให้กับลูกค้าเซเรเนด ผ่านความร่วมมือกับ มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จัดเต็มความพิเศษ 3 ต่อเมื่อจองยนตรกรรมในเครือ มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป และ นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความตั้งใจในการดูแลลูกค้า
ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะลูกค้า High Value อย่างเซเรเนด ที่เราพยายามคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด มาให้ลูกค้าได้สัมผัส ทั้งคุณภาพการใช้งาน บริการ และสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า

ด้าน ดรสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับ AIS Serenade รังสรรค์กิจกรรมแห่งความสุข ‘Endless Joy at Millennium Auto : Year End Sale Event’ มอบแคมเปญและประสบการณ์สุดพิเศษส่งท้ายปี
กับสิทธิพิเศษสุดยิ่งใหญ่ 3 ต่อ สำหรับลูกค้าที่ออกรถวันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 พร้อมยกทัพยนตรกรรมหลากรุ่น หลายแบรนด์ มาให้สัมผัสอย่างใกล้ชิด”

สำหรับลูกค้า AIS Serenade สามารถเลือกรับสิทธิพิเศษที่หลากหลายมากถึง 3 ต่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

·       ต่อที่ 1 สิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้า AIS Serenade สามารถนำ AIS Points จำนวน 500 คะแนน มารับส่วนลด 10,000 บาท เมื่อซื้อรถ BMW, MINI และ BMW Motorrad ทุกรุ่น

·       ต่อที่ 2  ลูกค้า AIS Serenade สามารถรับ AIS Points ไปเลย 10,000 คะแนน เมื่อจองหรือออกรถ BMW, MINI, BMW MOTORRAD ทุกรุ่น

·       ต่อที่ 3 ลูกค้า AIS Serenade ที่นำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ (Trade in) รับ AIS Points เพิ่มอีก 10,000 คะแนน

พิเศษสุดสำหรับลูกค้าทุกคนที่ซื้อรถยนต์ BMW และ MINI ทุกรุ่น สามารถรับสิทธิ์เลือกเบอร์โฟร์ เบอร์มงคล เบอร์โทรที่ตรงกับทะเบียนรถ จาก AIS ได้ ก่อนใคร พร้อมใช้งานฟรี 1 ปี สูงสุดกว่า 40,000 บาท* (สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด) โดยลูกค้า AIS Serenade สามารถดูรายละเอียดการรับสิทธิ์ได้ที่แอป myAIS ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566

4 ธ.ค. วันสิ่งแวดล้อม ซีพีเอฟ เดินหน้า “ลงมือทำ” ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และอากาศที่ดี พร้อมทั้งส่งเสริมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแด่เกษตรกร คู่ค้าธุรกิจ พนักงาน ชุมชน และเยาวชน ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมสร้างสมดุลธรรมชาติคืนสู่สังคม สนับสนุนความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกันลดผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การเติบโตบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG (Environment Social Governance) และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคที่ประชาชนทุกคนในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งทรัพยากรป่า ไม้ น้ำ และได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน สนับสนุนความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

“เราตระหนักดีว่า ในการดำเนินธุรกิจ ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซีพีเอฟ มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Business) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งน้ำ อากาศ ต้นไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างธรรมชาติที่ดีให้กับสังคม และสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ”

ซีพีเอฟกำหนดประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางสู่ความยั่งยืนของบริษัทฯ อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Management) การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ( Biodiversity and Ecosystem) การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate Change Management and Net-Zero)

การดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต พัฒนามาตรฐานฟาร์มสีเขียว (Green Farm) บริหารจัดการฟาร์มสุกรรักษ์โลกที่เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิดที่ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำหรือระบบอีแวป (EVAP) ใช้ระบบบำบัดน้ำด้วยไบโอแก๊ส (Biogas) ช่วยลดกลิ่น กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ลดผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย และระบบอัตโนมัติมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตอาหารสัตว์ กระบวนการผลิตอาหาร ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน โดยร่วมมือกับ กลุ่ม SCG พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯได้จัดทำนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายร้อยละ 100 ของการจัดหาวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง ต้องไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยึดแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดมาใช้ในการจัดหาผลผลิต รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเพิ่มผลผลิต ปลอดการเผาตอซัง แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 บรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย

ซีพีเอฟ ยังได้ส่งเสริมความตระหนักของพนักงาน รู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ปกป้องและดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป๋าชายเลน โครงการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการทั้งกิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ กิจกรรมกับดักขยะทะเล ในโครงการ CPF Restore the Ocean ที่นำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ ด้วยการนำฝาขวดน้ำพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วมาแปรรูปเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ อาทิ กระถางต้นไม้ และถาดใส่ของ ซึ่งโครงการดังกล่าว สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ คือ สร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ด้านสังคม สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขยะ และด้านสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหามลพิษจากขยะพลาสติก รักษาระบบนิเวศทางทะเล

นางกอบบุญ กล่าวว่า บริษัทฯ ส่งเสริมให้คู่ค้าตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความรู้ให้คู่ค้า SMEs ช่วยพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการนำส่วนของผลประหยัดที่เกิดขึ้น มาลงทุนกับโครงการลดการปล่อยคาร์บอนฯของตัวเอง ขณะเดียวกัน ได้จัด โครงการ “ปันรู้ ปลูกรักษ์” โดยร่วมมือกับโรงเรียนในพื้นที่ที่ซีพีเอฟเข้าไปดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมให้ความรู้กับเยาวชนเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมมือกันอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้ม “อีลิท เฮลท์ พลัส” ชนะเลิศสุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปี 4 ปีซ้อน

0

เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ปลื้มผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส ได้รับรางวัล “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARD 2023” รางวัลสินค้าและบริการยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 จากนิตยสาร Business+ ในเครือ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ตอกย้ำสุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะแต่ละบุคคล (Personalization) ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยการพัฒนาเทคโนโลยีด้านข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้มีความเข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง ตลอดจนมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความคุ้มครองสุขภาพรอบด้านและสอดคล้องกับมาตรฐานประกันสุขภาพฉบับใหม่ ทั้งนี้ประชาชนมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อเป็นการบริหารด้านค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของตัวเองและครอบครัว

สำหรับรางวัลสินค้าและบริการยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 จากนิตยสาร Business+ ในครั้งนี้ นายสาระกล่าวเพิ่มเติมว่า “รางวัล “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARD 2023” สินค้าและบริการยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 ประเภทผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเหมาจ่ายระดับพรีเมี่ยม เพื่อมอบรางวัลให้แก่ผู้ผลิตผู้จำหน่ายและผู้แทนสินค้าหรือบริการที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี 2566 นี้ ซึ่งเป็นการแสดงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่บริษัทฯ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภคและลูกค้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้รับรางวัลนี้ตั้งแต่ปี 2563 – 2566 นับเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่แสดงถึงความสำเร็จของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดมา

ทั้งนี้ความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus)” ตอบโจทย์ความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย สามารถให้ผู้เอาประกันภัยซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ตามต้องการ โดยสามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 20-100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้งโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการฟอกไต การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy ให้ลูกค้ามั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI โดยไม่ต้องแอดมิท หรือกรณีเจ็บป่วยต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล หรือค่าห้องเดี่ยวพิเศษ 10,000 – 25,000 บาทต่อวัน และห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) เหมาจ่ายตามจริง รวมสูงสุด 365 วัน เข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วไทย หรืออยากรักษาที่ไหน สามารถเลือกพื้นที่ความคุ้มครองได้จาก 4 พื้นที่ทั่วโลก สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11- 90 ปี คุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปี หลังเกษียณแล้วก็อุ่นใจ เจ็บป่วยขึ้นมาก็มีผู้ช่วยดูแลค่ารักษา อีกทั้งยังสามารถพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามต้องการ อาทิ ความคุ้มครองการคลอดบุตร พลัส (Maternity Plus) และสุขภาพดี พลัส (Well-Being Plus) ซึ่งประกอบด้วย ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ค่ารักษาทางทันตกรรม ค่ารักษาทางสายตา ก็พลัสเพิ่มได้ตามความต้องการอีกด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขรายละเอียดต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

“บริษัทฯ มีความยินดีและภูมิใจที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากความมุ่งมั่นของทีมงานทุกคนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า บริษัทฯให้ความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ในอนาคตเรามุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำในตลาดและยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าสูงสุดให้กับผู้บริโภค ตลอดจนขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจและมอบให้บริษัทฯ เป็นผู้ดูแลความมั่นคงของชีวิตและสุขภาพของทุกคน”

รู้เก็บรู้ออม : DR หุ้นไทย–สิงคโปร์!!

0

สำหรับนักลงทุนที่เปิดโอกาสการเรียนรู้ให้กับตัวเอง หมั่นอัปเดตความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนทำความรู้จัก และการใช้งานเครื่องมือการลงทุนใหม่ๆอยู่เสมอ ถึงตอนนี้แล้ว “คุณนายพารวย” เชื่อว่า DR หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ คงทำให้นักลงทุนไทยมีประสบการณ์การลงทุนแบบโกอินเตอร์ และเพิ่มโอกาสกับการลงทุนในหุ้นชั้นนำระดับโลกกันแล้ว

ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่ หรือที่ยังไม่รู้จัก DR “คุณนายพารวย” ขออธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า เปรียบเหมือนกับการยกหลักทรัพย์ต่างประเทศ ให้มาซื้อขายบนตลาดหุ้นไทย โดยมี “ใบรับฝาก” หรือ DR ที่จะทำให้สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ด้วยบัญชีเทรดหุ้นไทยที่ใช้อยู่ โดยไม่จำเป็นต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ แถมยังสามารถชำระเงินค่าซื้อ DR เป็นเงินบาทปกติเหมือนซื้อขายหุ้นไทย

การเปิดตัว DR โดย “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ได้ช่วยพลิกโฉมของการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เพราะเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสและกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศให้กับนักลงทุนไทย โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย มากยิ่งขึ้น

และล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ไทย และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ได้มีความร่วมมือกันในการเปิดขายหลักทรัพย์ของ 2 ประเทศผ่าน DR ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกและโอกาสในการลงทุนให้แก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศ

คุณ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อธิบายว่าตลาดหุ้นไทย และสิงคโปร์ ได้เริ่มความร่วมมือในโครงการ “Thailand–Singapore DR Linkage” เมื่อปี 2564 โดยเป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่มีการเชื่อมโยง DR ระหว่างกัน และตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมที่จะขยายความร่วมมือแบบนี้กับตลาดหลักทรัพย์อื่นในอาเซียนเพิ่มเติมในอนาคต

ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดซื้อขาย DR อ้างอิงหุ้นไทยไปแล้ว 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) และ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ไทยได้เปิดซื้อขาย DR อ้างอิงหุ้น Singapore Airlines (SIA) และมีผู้ออกหลักทรัพย์อยู่ระหว่างยื่นขออนุมัติเสนอขาย DR หุ้นสิงคโปร์ เพิ่มเติม

ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทย มี DR จดทะเบียนอยู่ 18 หลักทรัพย์และ DRx 5 หลักทรัพย์ โดยมีหลักทรัพย์อ้างอิงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ DR และ DRx ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 17,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

โอกาสและทางเลือกการลงทุนใหม่ที่เปิดกว้างขึ้น พร้อมกับการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนได้เข้าถึงหุ้นต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทยแบบสะดวก รวดเร็ว “คุณนายพารวย” จึงอยากเชิญชวนให้นักลงทุนที่สนใจ อยากสัมผัสประสบการณ์ลงทุนหุ้นโลก สามารถไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ DR เพิ่มเติมกันได้ที่ www.set.or.th 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ พร้อม 12 บริษัทในกลุ่ม รับรางวัล “องค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ” ระดับดีเยี่ยม เนื่องในวันคนพิการสากล 2566 

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และ 12 บริษัทในกลุ่ม รับ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ประจำปี 2566 ระดับดีเยี่ยมต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรที่ส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมในสังคม สนับสนุนคนพิการได้มีหลักประกัน มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ  โดยมี นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหาร ทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ พร้อมกับผู้บริหารของ 12 บริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ รับมอบโล่รางวัลจากนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2566 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา   
 
นางสาวพิมลรัตน์ กล่าวว่า ซีพีเอฟ และบริษัทในเครือฯ ได้ร่วมสนับสนุนงานคนพิการมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เพื่อสร้างโอกาสในการทำงานให้คนพิการ ช่วยให้คนพิการและครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ตลอดจนสร้างคุณค่าในตนเองลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ตามความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ โดยผนวกแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ ESG สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)  
 
“การได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นความภาคภูมิใจที่ซีพี-ซีพีเอฟ สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท การจัดจ้างคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำของคนพิการผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ สนับสนุนให้คนพิการและครอบครัวมีความมั่นคงในชีวิต สามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข และภาคภูมิใจ และเป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมสู่ความยั่งยืน” นางสาวพิมลรัตน์กล่าว  
 
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟได้รับรางวัล “องค์กรต้นแบบความยั่งยืนในตลาดทุนไทย ด้านสนับสนุนคนพิการ” ดีเด่น ประจำปี 2565 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับรางวัล องค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อยกย่องและขอบคุณองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ พิจารณาจากข้อมูลการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับองค์กรที่ได้รางวัลระดับดีเยี่ยม การจัดจ้างงานคนพิการอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป

ในปีนี้  ซีพีเอฟ และบริษัทในกลุ่ม จัดจ้างคนพิการรวม 745 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด โดยแบ่งการจัดจ้างคนพิการออกเป็น 3 รูปแบบตามความเหมาะสมและคนพิการได้รับประโยชน์โดยตรง รูปแบบแรก จัดจ้างคนพิการทำงานในสถานประกอบการของบริษัทฯ รวม 224 คน ซึ่งทำงานธุรการและงานในสำนักงาน รูปแบบที่สอง บริษัทจัดจ้างคนพิการเพื่อทำงานในชุมชนที่คนพิการอาศัยอยู่จำนวน 505 คน ทำงานเป็นผู้ช่วยงานโรงเรียน ในโครงการ “เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ซึ่งเป็นโครงการที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุนในการสร้างความมั่นคงอาหารและโภชนาการในโรงเรียน หรือทำงานเป็นผู้ช่วยครูที่โรงเรียน โรงพยาบาลสุขภาพตำบล วัด หรือองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น รูปแบบที่ 3 เป็นการให้สัมปทานพื้นที่ให้คนพิการขายของในโรงงานของซีพีเอฟจำนวน 1 คน  รวมทั้ง บริษัทฯ ยังสนับสนุนการจัดจ้างนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติไทย 15 คนอีกด้วย 
 
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้เจ้าหน้าที่เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมพนักงานพิการที่ทำงานในชุมชนถึงบ้าน เพื่อติดตามดูแลความเป็นอยู่ พร้อมทั้งให้คำแนะนำต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานคนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม 

บริษัทในกลุ่มซีพีเอฟที่ร่วมรับรางวัล องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น ระดับดีเยี่ยม ประกอบด้วย 1. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  3. บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด 4.บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด  5. บริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด  6. บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด  7. บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด 8. บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด 9. บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ท ฟู้ด จำกัด 10. บริษัท ซีพีเอฟ ไอทีเซ็นเตอร์ จำกัด 11. บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ดเน็ตเวิร์ก จำกัด  12. บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) และ 13. บริษัท ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ จำกัด

สิงห์อาสา ผนึก คณะแพทย์ 16 สถาบัน ออกหน่วยแพทย์ ดูแลสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล 7 จังหวัด

0

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับเครือข่าย 16 คณะการแพทย์ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทย์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ ของ 9 มหาวิทยาลัย และราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ ออกหน่วยแพทย์อาสา นำแพทย์ อาจารย์แพทย์และนักศึกษาฯ ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทั้งการตรวจเฉพาะทาง ตรวจโรคทั่วไป ตลอดจนตรวจคัดกรองโรคร้ายแรง โดยทำงานเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลในพื้นที่ทั้ง 7 จังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เพื่อการดูแลในระยะยาวต่อไป โดยลงพื้นที่แรกร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยพะเยา ที่โรงเรียนบ้านทุ่งพร้าว ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

โครงการ “หน่วยแพทย์เคลื่อนที่สิงห์อาสา” ในปีนี้จะให้ความสำคัญกับกลุ่มโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ทั้งในด้านการคัดกรองและการรักษา รวมทั้งคลินิกทันตกรรมที่จะใช้ทั้งรถทันตกรรมเคลื่อนที่เข้าไปในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และการออกหน่วยในชุมชน ทั้งนี้แต่ละคณะทางการแพทย์จะนำความรู้ ความชำนาญ ประสานงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

ศ.เกียรติคุณ นพ. ศุภกร โรจนนินทร์ คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “จังหวัดเชียงรายถึงแม้จะมีความสวยงามของธรรมชาติ แต่ภูมิประเทศก็เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงทางการรักษาพยาบาลของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทำให้เกิดการเจ็บป่วยของประชาชนในกลุ่มโรค NCDs เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น จนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ ดังนั้นการที่สำนักวิชาแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลสุขภาพชาวบ้านร่วมกับสิงห์อาสา และคณะทางการแพทย์ของหลายมหาวิทยาลัย ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาได้ทันการณ์แต่ยังเป็นการบอกแนวทางป้องกันเพื่อห่างไกลโรคมากขึ้น

นายรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 36 ปีที่แล้ว จนถึงในปัจจุบัน เป็นที่น่ายินดีที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับคณะทางการแพทย์จาก 10 มหาวิทยาลัย ที่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคลงพื้นที่ออกตรวจ ทั้งรักษา คัดกรองโรคร้ายพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ห่างไกล แต่ละปีจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายโรค อาจารย์และนักศึกษาแพทย์ในแต่ละคณะ ร่วมเดินทาง สานต่อเจตนารมย์ของการเป็นผู้อุทิศตนเพื่อประชาชน”

โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่สิงห์อาสา ประจำปี 2566 ได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก 16 เครือข่าย ได้แก่ สํานักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, สํานักวิชาทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้เตรียมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการตรวจรักษาในพื้นที่ที่ประชาชนมีความยากลำบากในการเดินทางให้ได้เข้ารับการตรวจและรักษาต่อไป

ประเด็นคิดก่อนตัดสินใจ : กองทุน Thai ESG

0
บทความโดย สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

ตัวช่วยใหม่ : กองทุน Thai ESG

การปรากฏตัวของกองทุน Thai ESG อย่างฉับพลันเมื่อ 13-14 พฤศจิกายน 2566 โดยคาดว่าจะเริ่มขายระดมทุนได้ในต้นเดือนธันวาคมนี้ ถือเป็นข่าวดีที่ไม่ค่อยจะมีมาสู่ตลาดหุ้นไทยนานแล้ว แสดงถึงว่ารัฐบาลของท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มีความใส่ใจในสถานการณ์ตลาดทุน ว่ามีส่วนเกี่ยวพันไปถึงระบบเศรษฐกิจ (กำลังซื้อของผู้ลงทุน 2.5 ล้านคน  การระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน) และภาวะการเงิน ตลอดจนค่าเงินของประเทศ จึงได้มอบหมายคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้ามาดูแลหารือแก้ปัญหากับองค์กรหลักที่เกี่ยวข้อง ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. FETCO และกระทรวงการคลัง

สรุปประเด็นสำคัญของกองทุน

จากการหารือกันในวันดังกล่าว ก็ได้ตัดสินใจให้มีกองทุน Thai ESG ตามรายละเอียดที่สำคัญ คือ 

  • เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มี ESG ที่ดี และตราสารหนี้ประเภท ESG Bond
  • ให้ทุกคนมีสิทธิซื้อกองทุนนี้ แล้วนำไปหักลดหย่อนรายได้พึงประเมินที่นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คนละไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน ซึ่งสิทธินี้ไม่เกินคนละ 100,000 บาทต่อปี เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาต่างหาก ไม่ต้องไปรวมกับวงเงิน 500,000 บาท ที่เป็นเพดานการซื้อของ RMF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (หรือ กบข.) + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + SSF
  • ต้องถือไว้ 8 ปีเต็มจริงๆ นับแบบวันชนวัน 
  • ให้สิทธิซื้อตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2575 (รวมซื้อได้ 10 ปี) แต่ไม่มีข้อผูกมัดให้ต้องซื้อต่อเนื่อง

ประโยชน์จากการตั้งกองทุน Thai ESG

ผมมองว่าการดำเนินการนี้ถือเป็นผลบวกอย่างมากให้แก่หลายๆ ภารกิจของประเทศ ได้แก่ 

  • การสนับสนุนการออมระยะยาว เพื่อให้คนไทยได้ออมเงินไว้ในกองทุน Thai ESG เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในอนาคต จากหลักเกณฑ์ที่ให้ถือไว้ 8 ปีเต็มนับแบบวันชนวัน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ยาวนานพอให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 2 ชุดได้บริหารประเทศ ก็พอฝากความคาดหวังว่า จะสามารถฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบันวันที่ซื้อกองทุน Thai ESG 
  • นอกจากนั้น เม็ดเงินจากกองทุนที่เบื้องต้นคาดว่าจะมี 1 ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนหนึ่งจะเข้าในหุ้น ESG อาจช่วยให้ตลาดหุ้นมีความแข็งแรงขึ้น  พอรองรับการขายของผู้ลงทุนต่างชาติได้ระดับหนึ่ง และถ้าข้ามเวลาไปเล็กน้อย ก็ถึงจังหวะที่รัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการ e-Refund และตามมาด้วยมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ตลอดจนดำเนินการ พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ผ่านสภาฯ ได้เรียบร้อย ก็น่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมได้ และหากต่างชาติมั่นใจหยุดขาย ก็มีโอกาสที่ตลาดจะเริ่มกลับเป็นบวกในปี 2567 
  • เป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของการส่งเสริม ESG และสนับสนุนกิจการที่มี ESG ที่ดี ที่ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อมอันเป็นภารกิจร่วมกันที่จะดูแลโลกใบนี้

ประเด็นพิจารณา น่าลงทุนหรือไม่

สำหรับท่านที่กำลังพิจารณาว่าจะลงทุนในกองทุน Thai ESG ดีหรือไม่  ผมมีประเด็นคิดที่อาจเป็นวัตถุดิบประกอบการตัดสินใจได้ดังนี้ครับ

  • กองทุนนี้ ลงทุนได้ทั้งหุ้นและหุ้นกู้ (ที่เน้นเรื่องที่ดี) ต้องถือไว้ 8 ปีเต็ม หากขายก่อนกำหนดจะต้องคืนสิทธิ์ยกเว้นภาษีที่เคยใช้ลดหย่อนไว้ และอาจมีเงินปรับเพิ่มเติม (ติดตามดูรายละเอียด) และถ้ามีกำไรก็ต้องเสียภาษีจากกำไรนั้นด้วย ดังนั้น ต้องประมาณการเงินส่วนตัวให้ดีว่า เงินเย็นจริงไม่รีบร้อนใช้ 
  • ท่านต้องดูว่า ตัวเรามีอัตราภาษีจ่ายขั้นสุดท้ายที่เท่าไร สมมติ 20% กรณีนี้ ถือว่าเราได้กำไรที่มากกว่า 20% ด้วยซ้ำ เพราะสมมติเราซื้อไป 100,000 บาท เราจะนำยอดไปหักลดหย่อนภาษีลงไปได้ทันที 20,000 บาท เท่ากับลงทุนไว้เพียง 80,000 บาท เมื่อคำนวณผลกำไร 20,000 บาท หารด้วยเงินลงทุนสุทธิ 80,000 บาท เท่ากับ กำไร 25% หรือคำนวณเป็นอัตราทบต้นต่อปี เท่ากับ 2.83%ต่อปี  แล้วเราไปลุ้นต่อว่าหลังจากซื้อไปแล้ว 8 ปี NAV ของกองทุนจะดีขึ้นหรือลดลงเท่าไร  
  • กรณีฐานภาษีเราเองสูงมาก เช่น 30-35% อันนี้คำนวณตามแนวข้างบน จะเท่ากับเรามีกำไร 42.85% กับ 53.84% ตามลำดับ คงตัดสินใจได้เลย โดยไม่ต้องคำนวณต่อปีให้นะครับ 
  • ที่เราต้องประเมินคาดการณ์ข้ามไปถึงปีที่ 8 ข้างหน้า เนื่องจากในระยะ 7 ปีกับอีก 364 วัน เราคงไม่ขายคืนกองทุนก่อนครบ 8 ปี เพราะจะโดนค่าปรับ โดนคืนภาษีที่ประหยัด หรือเก็บภาษีเพิ่มถ้ามีกำไร
  • ถ้าท่านเชื่อว่า เศรษฐกิจใน 8 ปีข้างหน้าต้องเติบโตไปกว่าปัจจุบัน หรือคาดว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นกว่านี้พอสมควร แบบนี้ก็คงต้องซื้อกองทุนโดยไม่ต้องคิดเยอะ เพราะยังมีกำไรจากประหยัดภาษีเงินได้อีกด้วย
  • หลายท่าน ยังไม่อยากฝันสูงว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นมาก ขอใช้สถิติหุ้นประเทศไทยที่พวกเราบ่นกันทั้งประเทศว่าแย่มา 10 ปี ผมมีตัวเลขให้พิจารณาครับ สิ้นเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ปี 2556  SET Index อยู่ที่ 1,371 และ 1,298 จุด ตามลำดับ  ถ้ามองแบบ conservative อาจสมมุติไปว่าถ้าอีก 10 ปีก็แทบไม่มีกำไรจากราคาหุ้นเหมือนเดิม แต่ผมเรียนฝากว่าตัวเลขดัชนีนั้นไม่ได้รวมเงินปันผลที่บริษัทจดทะเบียนจ่ายนะครับ ที่ผ่านมายังได้เงินปันผลเฉลี่ยได้ปีละ 3% ครับ ถ้ากองทุนเราได้รับปันผลตามเกณฑ์เฉลี่ย ก็หมายถึงเราควรได้ผลตอบแทนที่ยังไม่หักค่าบริหารกองทุน ประมาณ 3% ต่อปี ในขณะที่ถ้าเป็นกองประเภทตราสารหนี้ ESG ก็น่าจะมีผลตอบแทนดอกเบี้ยให้กองทุนเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 3% เช่นกันครับ
  • ค่าบริหารกองทุนนั้นมีหลายระดับตามลักษณะกองทุนที่ตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นกองที่ลงในหุ้นกู้ก็น่าจะคิดค่าบริหารประมาณ 0.3-0.6% ต่อปี  ส่วนกองที่ลงหุ้นตามดัชนีหุ้นเป๊ะ (Passive Fund) ไม่ต้องใช้จังหวะฝีมือผู้จัดการ ก็คิดค่าจัดการประมาณปีละ 0.5% แต่ถ้าเป็นกองที่ใช้จังหวะฝีมือความคิดของผู้จัดการกองทุน ไม่เกาะไปเท่ากับดัชนีที่ใช้วัด ที่เรียกว่าเป็น Active Fund ก็จะมีค่าบริหารที่สูงขึ้นเป็นประมาณ 1.5% ถึง 2.1% ต่อปี ท่านต้องเลือกดูว่าจะใช้แบบไหนดีครับ แล้วนำไปหักลบกับคาดการณ์ผลตอบแทนกองทุนที่คิดไว้ใน Bullet ข้างบน 
  • แนะนำให้ดูเอกสารกองทุนด้วยว่า มีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ด้วยไหม เช่น ค่าสับเปลี่ยนกอง (สำหรับผู้ลงทุนที่กะใช้จังหวะฝีมือตัวเองโยกข้ามกองทุน Thai ESG กองอื่น) หรือค่าธรรมเนียมตอนเราขายคืน (ฝั่งกองทุนใช้คำว่าการรับซื้อคืน) 
  • เมื่อคำนวนผลตอบแทนสุทธิหักค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว  ต้องนำมารวมกับอัตรากำไรจากการหักลดหย่อนภาษีของเรา เช่น เฉลี่ยปีละ 2-5% ตามระดับฐานภาษีของเรา รวมแล้วดูน่าสนใจไหม ถ้าดูแล้วคุ้มก็ตัดสินใจลงทุนครับ

ท้ายนี้ ฝากท่านผู้อ่านไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยงแต่ก็มีโอกาสด้วย ส่วนกองทุน Thai ESG นั้น เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงขาดทุนจากการประหยัดภาษี (ถ้ามี) ช่วยเพิ่มโอกาสและอัตรากำไรจากการลงทุนจากการประหยัดภาษี (ถ้ามี) แต่ที่สุดแล้ว ท่านผู้อ่านต้องตัดสินใจตามความพร้อมและตามตัวเลขคาดการณ์ของแต่ละท่านครับ

1 ทศวรรษ เชสเตอร์ ‘ปันรัก ปันน้ำใจ’ มุ่งทำดีเพื่อสังคม ส่งความสุขส่งท้ายปี 2566 ที่มูลนิธิหลวงตาน้อย 

0

บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด หรือเชสเตอร์ (Chester’s) ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” ต่อเนื่องปีที่ 10 นำพนักงานจิตอาสากว่า 70 คน ร่วมร้อยเรียงความดี เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ และเจ้าหน้าที่ มูลนิธิหลวงตาน้อย จ.นครปฐม ด้วยเมนูยอดนิยมของร้านเชสเตอร์ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ 

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ ฟู้ด กล่าวว่า บริษัทฯ และพนักงานจิตอาสา มีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสังคม มุ่งมั่นทำความดีอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี ในการช่วยเหลือเด็กพิการ เด็กกำพร้า และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ครั้งนี้ได้ร่วมกับมูลนิธิหลวงตาน้อยเติมเต็มมื้ออร่อยจากเมนูเชสเตอร์ ได้แก่ ข้าวอบไก่ย่างและข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ พร้อมกิจกรรมสันทนาการสนุกๆ สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ทุกคน นอกจากนี้ ยังนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนสิ่งของจำเป็นให้มูลนิธิฯ เป็นของขวัญส่งท้ายปี 2566 

“สำหรับในปีหน้า เชสเตอร์ มีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สานต่อโครงการ ‘เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนองค์กรหรือมูลนิธิต่างๆ ที่ช่วยเหลือสังคม ด้วยการส่งมอบอาหารผ่านเมนูยอดฮิต ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเชสเตอร์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงอาหารคุณภาพดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ” นางสาวลลนา กล่าว 

เชสเตอร์ ดำเนินโครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” มาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยผนึกกำลังพันธมิตร อาทิ โรงพยาบาล มูลนิธิ และสถานสงเคราะห์ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มอบอาหารพร้อมรับประทาน และจัดกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันแก่พนักงาน ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

คาดปีหน้ากุ้งไทยส่งออกสหรัฐฯ มากขึ้น เรียกร้องรบ.เจรจา EU คืนสิทธิ GSP

0

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย นำทีมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ เปิดเผยถึงสถานการณ์กุ้งของไทย ปี 2566 ว่า ผลผลิตกุ้งเลี้ยงโดยรวม อยู่ที่ 280,000 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคากุ้งตกต่ำ สวนทางต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนชะลอการลงกุ้ง เพื่อรอดูสถานการณ์ รวมถึงปัญหาโรคและสภาพอากาศแปรปรวน พร้อมแนะเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพการผลิต และส่งเสริมการตลาดภายในให้เข้มแข็ง เตรียมรับมือผลกระทบราคากุ้งตกต่ำทั่วโลก

นายเอกพจน์ เปิดเผยว่า ปริมาณผลผลิตกุ้งคาดว่าจะได้ประมาณ 280,000 ตัน เท่ากับปีที่แล้ว เป็นผลผลิตกุ้งจากภาคใต้ตอนบน ร้อยละ 33 จากภาคตะวันออก ร้อยละ 25 ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน ร้อยละ 20 จากภาคกลาง ร้อยละ 12 ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย ร้อยละ 10 ส่วนผลผลิตกุ้งทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.07 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 1 โดยประเทศจีนผลิตกุ้งได้เพิ่มขึ้นมาก เอกวาดอร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต่ำกว่าที่คาด ขณะที่ประเทศทางเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซียผลิตกุ้งลดลงทุกประเทศ คาดปีหน้าผลผลิตกุ้งโลกจะลดลงประมาณ ร้อยละ 2 ดังแสดงในตารางที่ 1

ส่วนการส่งออกกุ้งเดือน ม.ค. – ต.ค. ปีนี้อยู่ที่ปริมาณ 109,663 ตัน มูลค่า 36,284 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ที่ส่งออกปริมาณ 120,310 ตัน มูลค่า 42,341 ล้านบาท ปริมาณลดลง ร้อยละ 9 ส่วนมูลค่าลดลง ร้อยละ 14 ” (ดังแสดงในตารางที่ 2)

“เกษตรกรจำเป็นต้องปรับตัว ด้วยการลดต้นทุนให้ได้ ทั้งต้นทุนทางตรงและต้นทุนแฝง ที่เกิดจากความเสียหายจากโรค เพิ่มผลิตภาพการผลิต เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รวมถึงสร้างตลาดภายในให้เข้มแข็ง เพื่อเตรียมรับผลกระทบจากราคากุ้งตกต่ำในปีหน้า โดยภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อกระจายสินค้าที่คงคุณภาพความสดของกุ้งไทยไปถึงผู้บริโภค ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยว คาดการณ์ผลผลิตปีหน้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 290,000 ตัน และตลาดสหรัฐฯ มีสัญญาณดีขึ้น จากการฟ้องร้องเอดี/ซีวีดีประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ทำให้ผู้นำเข้าเริ่มออเดอร์กุ้งไทย” นายกสมาคมกุ้งไทยกล่าว

นอกจากนี้ ปี 2567 กุ้งไทยมีโอกาสส่งออกไปสหรัฐอเมริการมากขึ้น หลังประเทศผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ของโลก ทั้ง เอกวาดอร์ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ถูกสหรัฐฯ เรียกสอบสวนการทุ่มตลาด (Anti-Dumping Duty : AD) การอุดหนุนการส่งออก (Countervailing Duty : CVD) เพื่อเรียกเก็บภาษีตอบโต้ คาดว่าจะมีผลิตในปีหน้า สถานการณ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสี่ยงกับผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ทั้ง 4 ประเทศข้างต้น ส่งออกไปยังตลาดอื่นทดแทน อาทิ จีน และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยง ทำให้สหรัฐฯ หันมานำเข้ากุ้งจากไทยที่เป็นผู้ผลิตชั้นนำและผลิตกุ้งคุณภาพสูงมากขึ้น

นายเอกพจน์ กล่าวต่อไปว่า สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งไทย ยังได้ส่งเสริมเกษตรกรจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำร่องยกระดับการเลี้ยงกุ้งไทยสู่มาตรฐานสูงสุด คือ Aquaculture Stewardship Council (ASC) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สหรัฐฯ ใช้เป็นข้อกำหนดในการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) ในการคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ให้กับกุ้งที่นำเข้าจากประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันไทยส่งออกกุ้งไป EU ได้เพียง 900 ตัน/ปี จากที่เคยส่งออกได้ 60,000 ตัน/ปี ขณะเดียวกัน ยังขอให้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง เช่น โรคกุ้งตายด่วน หรือกลุ่มอาการตายด่วน (Shrimp Early Mortality Syndrome : EMS) อาการขี้ขาว (White Feces Syndrome WFS) โรคตัวแดงดวงขาว (White Spot Disease : WSD) และโรคหัวเหลือง (Yellow-head Virus : YHV) เป็นต้น

“อุตสาหกรรมกุ้งไทยกำลังเผชิญกับ Perfect Strom ประกอบด้วยปัญหา Over Supply (การบริโภคต่ำ) ต้นทุนการผลิตสูง ราคากุ้งตกต่ำ และโรคกุ้ง สมาคมฯและเกษตรกรจะทำหนังสือขอให้รัฐบาลยกวาระเหล่านี้เป็นวาระแห่งชาติ ต้องจัดการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทวงคืนแชมป์ส่งออกกุ้งโลกกลับมาให้ได้” นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าว

ด้าน นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ที่ปรึกษาสมาคม และประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวว่า แม้ผลผลิตกุ้งไทยปี 2566 จะได้ผลผลิตเท่าเดิม แต่เมื่อดูจากปริมาณลูกกุ้งที่ลดลงร้อยละ 7 แสดงถึงประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรที่สูงขึ้น ถือเป็นจุดแข็งของไทยที่มีสายพันธุ์ลูกกุ้งที่หลากหลาย ทั้งนี้ เกษตรกรต้องพิจารณาเลือกลูกุก้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ ศักยภาพบ่อ และความสามารถในการจัดการการบ่อของแต่ละราย

“ปริมาณผลผลิตที่ทรงตัวในปีนี้ สาเหตุหลักเพราะปัญหาโรคกุ้งยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด รวมถึงปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนการผลิต วัตถุดิบต่างๆ และราคาพลังงาน สูงขึ้น เกษตรกรบางรายสามารถปรับตัวโดยพยายามเลี้ยงกุ้งไซส์ใหญ่ขึ้นเพื่อหนีราคา แต่บางรายก็ชะลอการลงกุ้ง ซึ่งคาดว่าสถานการณ์จะยังคงเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากผลผลิตกุ้งยังคงเข้าตลาดอย่างต่อเนื่องในขณะที่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อ และผู้นำเข้ากุ้งยังมีสต็อกเพียงพอ”

สำหรับปริมาณผลผลิตกุ้งรายภาคของประเทศไทย มีข้อมูลจากกรรมการสมาคมดังนี้

นายปกครอง เกิดสุข อุปนายกสมาคมกุ้งไทย และประธานที่ปรึกษาชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามันว่า “ผลผลิตปี 2566 คาดการณ์ว่ามีผลผลิตประมาณ 55,700 ตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 6 พบการเสียหายปัญหาขี้ขาว และสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เกษตรกรจับกุ้งก่อนกำหนด และช่วงปลายปีที่ฝนตกมาก จะมีปัญหาความเค็ม ทำให้เกษตรกรทยอยจับและพักบ่อ

นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย และประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรีกล่าวว่า “ผลผลิตกุ้งปี 2566 ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีประมาณ 69,900 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา จากปัญหาโรคตัวแรงดวงขาว ขี้ขาว และ หัวเหลือง เกษตรกรต้องจับกุ้งก่อนกำหนด ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ รวมถึงปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ทำให้เกษตรกรชะลอการเลี้ยง หรือปล่อยกุ้งลดลง

ส่วนผลผลิตภาคกลาง ประมาณ 34,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ทำให้เกษตรกรบางส่วนยืดเวลาการเลี้ยงเพื่อให้ได้กุ้งไซส์ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนทำให้กุ้งโตช้า และมีความเสียหายจากโรคระบาด”

นายพิชญพันธุ์ สลิลปราโมทย์ กรรมการบริหารสมาคม และประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า “ผลผลิตกุ้งพื้นที่ภาคใต้ตอนบนปี 2566 ประมาณ 93,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4 และ จากปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ทำให้เกษตรกรพยายามเลี้ยงกุ้งขาวให้ได้ขนาดใหญ่ เกษตรกรบางส่วนหันไปเลี้ยงกุ้งกุลาดำเนื่องจากราคาดีทั้งปี”

นายปรีชา สุขเกษม กรรมการสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า “ผลผลิตกุ้งภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย 28,100 ตัน ลดลงร้อยละ 4 ผู้เลี้ยงประสบปัญหาราคากุ้งตกต่ำ โรคระบาด และสภาพอากาศแปรปรวน เกษตรกรลดความหนาแน่นลงเพื่อเลี้ยงกุ้งไซส์ใหญ่ ช่วงปลายปีฝนที่ตกหนักส่งผลให้น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ มีความเค็มต่ำ เกษตรกรทยอยจับกุ้งแล้วพักบ่อเพื่อเตรียมเลี้ยงครอปต่อไปในปีหน้า”

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงาน SET ESG Professionals Forum 2023 เปิด 5 ความท้าทายด้านความยั่งยืนของตลาดทุนไทย

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน SET ESG Experts Pool จัดงาน SET ESG Professionals Forum 2023 ภายใต้แนวคิด Together for Change เพื่อรวมพลังสร้างการเปลี่ยนแปลง นับเป็นเวทีระดมความร่วมมือของ ESG Professionals ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เผยถึงเวลาเร่งสร้างคนและขยายความร่วมมือเพื่อให้เท่าทันต่อวิกฤตและการเปลี่ยนแปลง และองค์กรธุรกิจต้องให้ความสำคัญใน 5 เรื่องท้าทายได้แก่ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น (Resilient Value Chain) การปรับตัวเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero การใช้โอกาสจาก Thailand Taxonomy เพื่อแก้ไขปัญหา Greenwashing การให้ความสำคัญต่อกระบวนการเปิดเผยข้อมูล ESG และภาคการศึกษาที่จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในเรื่องการพัฒนาความยั่งยืน

ศ.(พิเศษ) ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานอนุกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน และกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในปาฐกถาพิเศษ ‘Moving the Mountain for Sustainable Impact, Yes, We Can!’ ว่า ขณะนี้ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่ความยั่งยืน แม้เผชิญกับอุปสรรคใหม่ การมีเพื่อนร่วมทางสนับสนุนกันย่อมดีกว่าเดินทางคนเดียว ขอให้ยึดหลักการ 3 ข้อ ประกอบด้วย 1) มองมิติความยั่งยืน (ESG) คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ที่เชื่อมโยงและไม่แยกขาดจากกัน 2) มองกว้างและมองไกลเกินกว่าห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ โดยมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งตัวองค์กรและส่วนรวม และ 3) ทลายกำแพงอคติ ก้าวข้ามอัตตาเดิม เรียนรู้และร่วมมือให้เกิดพลัง สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ยกระดับตลาดทุนไทยให้เท่าทันและทัดเทียมกับนานาชาติ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีและมีความหมายต่อทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ภายในงาน SET ESG Professionals Forum 2023: Together for Change ยังได้มีการนำเสนอ 5 แนวโน้มความท้าทายในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนของตลาดทุนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ตกผลึกจากความคิดและการทำงานร่วมกันของสมาชิก SET ESG Experts Pool ตลอดปี 2566 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

  1. การปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารและจัดการห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ (Supply Chain) จากแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นห่วงโซ่คุณค่าที่ยืดหยุ่น (Resilient Value Chain) พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ผ่านความร่วมมือของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดตลอดห่วงโซ่คุณค่าในการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจในทุกมิติ
  2. การปรับตัวขององค์กรธุรกิจในมิติสิ่งแวดล้อม เพื่อรับมือมาตรฐานและกฎเกณฑ์ระดับโลกที่เพิ่มขึ้น โดยควรเริ่มตั้งแต่การคำนวนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรณีฐาน (Baseline Emission) การตั้งเป้าหมาย และการปรับแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ เพื่อคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง
  3. การสร้างโอกาสจาก Thailand Taxonomy ที่เปรียบเสมือน “ไม้บรรทัด” ที่ช่วยสร้างแนวทางสื่อสารว่าการดำเนินการของธุรกิจสร้างผลเชิงบวกจริง ไม่ได้เป็นการบิดเบือน (Greenwashing) รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน/ระดมทุน ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้กับธุรกิจ
  4. เกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล ESG จะเข้มขึ้นมากขึ้น ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญต่อ “กระบวนการ” ที่ได้มาของข้อมูล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล และสามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรอย่างแท้จริง
  5. บทบาทของภาคการศึกษาที่จะยิ่งทวีความสำคัญ ในการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างองค์กร หน่วยงาน และภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ที่จำเป็นต้องผลิตคนทำงาน บุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและประเทศ

ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อน ESG อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “คนทำงาน” ซึ่งเป็นฟันเฟื่องสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งบุคลากรต้องเข้าใจและขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนจริง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสร้างและพัฒนาคนที่มีคุณภาพเพื่อสอดรับความต้องการของตลาดทุนมาโดยตลอดแต่ยังไม่เพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงต้องมีความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อต่อยอด ถ่ายทอด และขยายความรู้ให้กว้างและเร็วที่สุด และเป็นสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการตั้งแต่วันนี้ นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมบุคลากรที่ทำงานด้านความยั่งยืนในภาคตลาดทุน (SET ESG Experts Pool) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนา ESG ในวงกว้าง ตลอดจนการผลักดันธุรกิจสู่ความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียรอบด้านและปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลอย่างต่อเนื่อง สร้างความรู้ความเข้าใจ พัฒนาเครื่องมือด้าน ESG และการประเมิน SET ESG Ratings เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและการลงทุน รวมถึงวางระบบ Infrastructure เช่น ESG Data Platform เพื่อรวมศูนย์จัดการข้อมูลความยั่งยืน เป็นต้น

งาน SET ESG Professionals Forum 2023: Together for Change จัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.00-17.00 น. ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเวทีระดมความร่วมมือและสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากมุมมองของ ESG Professionals ผู้ปฏิบัติงานจริงในองค์กร นำไปสู่การพัฒนาทักษะความเป็นมืออาชีพด้านความยั่งยืน โดยการยกระดับการทำงาน ESG ในองค์กร พลังความร่วมมือและความริเริ่มจากเวทีจะยังสามารถนำไปสู่การผลักดันวาระสำคัญด้านความยั่งยืนของประเทศและความร่วมมือในการขับเคลื่อนตลาดทุนสู่ความยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถรับฟังงามสัมมนาย้อนหลังผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook & YouTube: SET Thailand