Home Blog Page 12

จ.นนทบุรี ระดมพลังชุมชนลุยจับปลาหมอคางดำบริโภคทุกวัน พร้อมปล่อยปลานักล่าทุกลำคลอง ฟื้นความสมดุลระบบนิเวศ

จังหวัดนนทบุรี และกรมประมงบูรณาการความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และชุมชน เดินหน้ากำจัดปลาหมอคางดำอย่างเข้มแข็ง สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนช่วยกันจับขึ้นมาปรุงเป็นมื้ออาหารทุกวัน วันละประมาณ 10-20 กิโลกรัม ตามแนวทางมาตรการในการแก้ไขในระยะเร่งด่วน ได้แก่ 1.การควบคุมและกำจัดในทุกแหล่งน้ำที่พบการระบาด 2.การปล่อยปลานักล่า อาทิ ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย เป็นต้น 3.การนำปลาหมอคางดำออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด 4. การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติ และ 5.การประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วน โดยได้รับการสนับสนุนเครื่องมือจับปลาจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดหาปลานักล่าจากจังหวัดนนทบุรีและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมา จังหวัดปล่อยปลานักล่าไปแล้ว 128,000 ตัว ลงใน 2 ลำคลองรักษาความสมดุลระบบนิเวศ พร้อมร่วมมือกับผู้นำชุมชนช่วยกันหาแนวทางใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำเพิ่มขึ้น เช่น ปลาร้า ปลาแดดเดียว เพื่อส่งเสริมการบริโภคเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นางระวีพรรณ แก้วเพียวเพ็ญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า จังหวัดนนทบุรีให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคเอกชน ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน เพื่อควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในทุกลำคลอง และเมื่อเร็วๆ นี้ ( 18 ตค.67) จังหวัดนนทบุรีจัดกิจกรรม “ปล่อยปลานักล่า (ปลากินเนื้อ)” ปล่อยปลานักล่ารวม 58,000 ตัวลงสู่คลองบางคูเวียง ในอำเภอบางกรวย เพื่อควบคุมปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมปล่อยปลานักล่าครั้งที่สอง หลังจากเคยจัดกิจกรรมปล่อยปลานักล่าครั้งแรก จำนวน 70,000 ตัวในคลองปลายบางเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา “การกำจัดและควบคุมปลาหมอคางดำในลำคลองจังหวัดนนทบุรี ไม่เพียงช่วยรักษาระบบนิเวศในลำคลองของจังหวัดนนทบุรีเท่านั้น ยังช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำไปในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ได้แก ปทุมธานีนครปฐม พระนครศรีอยุธยา ที่มีลำคลองเชื่อมต่อกับจังหวัดนนทบุรีอีกด้วย” นางระวีพรรณกล่าว

นางนิตยา รักษาราษฎร์ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง รักษาราชการแทนประมงจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า จังหวัดนนทบุรีพบปลาหมอคางดำกระจายในทุกอำเภอ แต่ไม่ชุกชุม ที่ผ่านมาจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ในลำคลองต่างๆ สามารถจับปลาหมอคางดำออกจากลำคลองได้ประมาณ 210 กิโลกรัม เพราะปลาหมอคางดำมักอาศัยอยู่ตามริมตลิ่ง และพื้นคลองส่วนใหญ่ขรุขระ มีตอและหินค่อนข้างมากทำให้ใช้อวน หรือแหได้ไม่สะดวก อุปกรณ์จับสัตว์น้ำที่มีประสิทธิภาพตามลำคลองในจังหวัดนนทบุรี คือ “ข่าย” ซึ่งสำนักงานประมงจังหวัดนนทบุรีได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านใช้เป็นเครื่องมือช่วยกันจับปลาหมอคางดำขึ้นมาเพื่อใช้บริโภคทุกวัน ปัจจุบัน ปลาหมอคางดำถูกกำจัดจากคลองต่างๆ ในจังหวัดนนทบุรีวันละประมาณ 10-20 กิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่จับได้นำไปบริโภคในครัวเรือน และสำนักงานประมงจังหวัดนนทบุรีได้เข้าร่วมโครงการสร้างแรงจูงใจในการนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกไปใช้ประโยชน์โดยการหมักปลาร้ากับกรมประมง เพื่อเป็นพื้นที่ที่ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำจากจังหวัดอื่นที่มีการแพร่ระบาดหนาแน่น และเกิดประโยชน์กับกลุ่มเกษตรกรและชุมชนต่อไป และเป็นการกระตุ้นให้มีการจับปลาหมอคางดำมากขึ้น

หลังจากนี้ จังหวัดนนทบุรียังดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรการกรมประมง มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน “เจอ แจ้ง จับ” หากพบปลาหมอคางดำให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีและช่วยกันจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำโดยไม่ต้องรอ พร้อมทั้งมีแผนปล่อยปลานักล่าให้ครบทุกลำคลอง โดยจะเน้นการปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืด เช่น ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย และปลากด ซึ่งเป็นปลาพื้นถิ่น พร้อมทั้งมีการสื่อสารขอความร่วมมือกับชุมชนไม่จับปลานักล่า เป็นระยะเวลา 2 เดือน หลังจากปล่อยเพื่อให้สามารถกำจัดปลาหมอคางดำขนาดเล็กๆ ที่อยู่ในลำคลองให้หมดไปอย่างยั่งยืน.

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้มสุดๆ คว้ารางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame) ปีที่ 4

พร้อมรับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น” ตอกย้ำการบริหารงานดีเด่น-สร้างสรรค์นวัตกรรม-ส่งเสริมการเข้าถึงประกัน-ใส่ใจความยั่งยืน

เมืองไทยประกันชีวิต สุดภาคภูมิใจ เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศอีกครั้ง  ด้วยการคว้า “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” รางวัลสูงสุดของอุตสาหกรรมประกันภัย  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากสำนักงาน คปภ. สะท้อนการบริหารงานดีเด่น สร้างสรรค์นวัตกรรม และใส่ใจความยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมคว้าอีกรางวัลใหญ่ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น”  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11  ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงประกันภัยได้ จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  นำโดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ  สร้างประวัติศาสตร์วงการประกันภัยครั้งสำคัญ  เข้ารับ 2 รางวัลเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่น ประจำปี 2566 ประกอบด้วย “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น”  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11  จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567  (Prime  Minister’s  Insurance  Awards 2024)  ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.)  โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธีเป็นผู้มอบ และ นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.) ร่วมแสดงความยินดี งานจัดขึ้น ณ ห้อง World Ballroom โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

โดย “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นี้ นับเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ได้รับรางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่นสูงสุดต่อเนื่องถึง 18 ปี ถือเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจ เพราะเป็นรางวัลสูงที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัย ที่สำนักงาน คปภ. มอบให้แก่บริษัทที่มีผลงานการบริหารดีเด่นและมีความแข็งแกร่งรอบด้าน  ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาได้ตั้งแต่มีการจัดมอบรางวัลนี้มา จากความโดดเด่นด้านการบริหารงานในทุกมิติ ที่มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ด้วยการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ และบริการด้านต่าง ๆ ตลอดจนช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่โดดเด่นด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  เดินหน้าควบคู่ไปกับความรับผิดชอบในมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG 

สำหรับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น ประจำปี 2566” ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 11  จากคุณสมบัติในด้านการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อประชาชน การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีการทำกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การส่งเสริมการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ กรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ด้านการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)  เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคน ได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ตัวแทนของบริษัทฯ  นางสาวกรวรรณ คงด้วง และนายภัทจ์ สิทธิร่ำรวย ยังได้รับ “รางวัลตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2566” สุดยอดตัวแทนที่มีผลงานโดดเด่น ทั้งในด้านผลงานการขาย การเข้าอบรม และทำกิจกรรมได้ตามเงื่อนไขที่ คปภ.กำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการปฏิบัติอยู่ในกรอบมาตรฐานจรรยาบรรณของวิชาชีพ และกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับของ คปภ.อย่างเคร่งครัด  นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ และสะท้อนถึงความโดดเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพตัวแทนอย่างต่อเนื่อง 

ห้าดาว x โก๋แก่ ส่ง ‘โก๋แก่ รสไก่ย่างห้าดาว’ ดึงกลยุทธ์ ‘The Heritage Fusion’ ผสานตำนานความอร่อยแบบใหม่

ห้าดาว (FIVE STAR) แบรนด์ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารแถวหน้า ตำนานความอร่อยคู่คนไทยมากว่า 40 ปี จับมือ โก๋แก่ แบรนด์ขนมขบเคี้ยวอันดับหนึ่งของโปรดคนไทย เปิดตัว ‘ถั่วลิสงอบกรอบ รสไก่ย่างห้าดาว ตราโก๋แก่’ เจาะตลาดสแน็กในไทย ตอกย้ำรสชาติซิกเนเจอร์ของ ไก่ย่างห้าดาว ดึงกลยุทธ์ ‘The Heritage Fusion’ ผสานจุดแข็งของแต่ละแบรนด์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ต้องการประสบการณ์ความอร่อยแนวใหม่ ภายใต้รสชาติที่คุ้นเคย

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างห้าดาวและโก๋แก่ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการนำเสนอความอร่อยที่แปลกใหม่และสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้บริโภค การผสานระหว่างรสชาติของถั่วโก๋แก่คลุกเคล้ากับน้ำจิ้มรสซิกเนเจอร์สูตรเฉพาะของไก่ย่างห้าดาวที่คนไทยคุ้นเคย เป็นการสร้างสรรค์ที่ลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสองแบรนด์ เชื่อว่าจะสร้างตำนานแบบที่ยากจะปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ห้าดาวเอง ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ยืนหนึ่งเรื่องไก่ย่างที่มีสูตรเฉพาะ ส่วนโก๋แก่ แบรนด์ขนมถั่วลิสงอบกรอบ รสชาติเข้มข้น ที่ครองใจผู้บริโภคไทยมาหลายทศวรรษ

“การเลือกกลยุทธ์ The Heritage Fusion นำเสนอความลงตัวระหว่างความเก่าแก่และความทันสมัยของทั้งสองแบรนด์ เพื่อผสมผสานเอกลักษณ์ของห้าดาวที่เชี่ยวชาญด้านไก่ย่างเข้ากับโก๋แก่ที่เด่นเรื่องถั่วลิสงอบกรอบ ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในรสชาติให้แก่ผู้บริโภค นี่คือการแสดงพลังร่วมกันที่ไม่เพียงแต่สร้างความแตกต่าง แต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการขนมทานเล่นในบ้านเราอีกด้วย” คุณสุนทร กล่าว

สำหรับ ‘ถั่วลิสงอบกรอบ รสไก่ย่างห้าดาว ตราโก๋แก่’ มาพร้อมรสชาติที่เข้มข้นไม่เหมือนใครจากการคัดสรรถั่วลิสงคุณภาพสูง นำมาคลุกเคล้ากับน้ำจิ้มรสซิกเนเจอร์ของไก่ย่างของห้าดาว เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ เป็นต้นไป ในร้าน 7-Eleven ห้างแม็คโครและโลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ ราคาซองละ 22 บาท .

AIS จับมือ Warner Bros. Discovery เปิดตัว Max สตรีมมิงใหม่ 19 พ.ย. นี้

AIS ประกาศว่า Max บริการสตรีมมิงจาก Warner Bros. Discovery จะพร้อมให้บริการสำหรับลูกค้า AIS ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ตอกย้ำการเป็น OTT HUB หรือศูนย์กลางการรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงชั้นนำทั้งของไทยและระดับโลกที่หลากหลายที่สุดบนโครงข่ายอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดย Max จะมอบประสบการณ์สตรีมมิงแบบใหม่ให้แก่ผู้ชมในภูมิภาค ด้วยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ซีรีย์ที่ทลายทุกขีดจำกัด เรื่องสุดฮิตและโด่งดัง คอนเทนต์เรียลลิตี้ที่น่าติดตาม และรายการโปรดสำหรับครอบครัวจากแบรนด์ดังมากมาย อาทิ HBO, DC Universe, Harry Potter, Max Originals, Cartoon Network และภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ดีที่สุด รวมถึงรายการคุณภาพจาก Discovery, AFN และอื่นๆ อีกมากมาย มาไว้ในที่เดียว

ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป สิทธิ์การใช้งาน HBO GO ของลูกค้า AIS จะเปลี่ยนเป็นสิทธิ์การใช้งาน แพ็กเกจ Max มาตรฐาน (Max Standard) ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การสตรีมที่เหนือระดับบน Max ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย รวมถึงคำแนะนำรายการส่วนบุคคล การค้นหาที่ราบรื่น หมวดหมู่ตามประเภทรายการ และศูนย์รวมแบรนด์ แพ็กเกจมาตรฐานของ Max รองรับการสตรีมพร้อมกันบนอุปกรณ์สองเครื่องในครั้งเดียว และสามารถรับชมบนอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้นรวมถึงทีวี นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์ได้สูงสุดถึง 30 รายการเพื่อรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา

สำหรับลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน AIS 3BB Fibre3 ที่มีแพ็กเกจ HBO GO, PLAY PREMIUM PLUS หรือ PLAY XL อยู่แล้วในปัจจุบัน สามารถสตรีมคอนเทนต์พร้อมรับชม 5 ช่องพรีเมียม HBO, HBO Signature, HBO HITS, HBO Family, Cinemax ผ่าน AIS PLAY, AIS PLAYBOX และ 3BB GIGATV ได้ตามปกติ

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับอีกหนึ่งพาร์ทเนอร์ระดับโลก วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี่ ที่มาร่วมกันส่งมอบประสบการณ์ความบันเทิงบน Max แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการรับชม 5 ช่องพรีเมียมบน AIS PLAY ผ่านเครือข่ายอันดับหนึ่งของไทย ทั้ง 5G และอินเทอร์เน็ตบ้านที่ครอบคลุมมากสุดทั่วไทย ทำให้วันนี้เราเป็น OTT HUB ศูนย์กลางการรับชมคอนเทนต์  ความบันเทิงชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ทำให้มีทางเลือกให้แก่ลูกค้าได้เลือกรับชมคอนเทนต์ที่หลากหลายทั้งภาพยนตร์ ซีรีย์ วาไรตี้ สารคดี แอนิเมชัน และ คอนเทนต์สำหรับเด็กและครอบครัว ตอบโจทย์ครบทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

ความร่วมมือในครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับให้คนไทย ขณะที่เรากำลังนับถอยหลังสู่การเปิดตัว Max เร็วๆ นี้ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกทั้งฟีเจอร์ใหม่ที่เหนือระดับและคอนเทนต์ต่างๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ Dune: Prophecy, A Knight of the Seven Kingdoms: The Hedge Knight (ภาคก่อนของ Game of Thrones), ซีรีย์ Harry Potter, ซีซันใหม่ของ House of the Dragon, The White Lotus และ The Last of Us ที่กำลังจ่อคิวมาลงจอให้สตรีมบน Max ในเร็วๆ นี้”

Tony Qiu ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Warner Bros. Discovery กล่าวว่า“AIS เป็นพันธมิตรระยะยาวของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี่ มาโดยตลอด และในขณะที่เราเปิดตัว Max ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายความสัมพันธ์นี้เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่มีบทบาททางวัฒนธรรมจากแบรนด์อันเป็นที่รักไปสู่แฟนๆ ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น”

พิเศษสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงยังคงสามารถสมัครแพ็กเกจรายปีของ HBO กับ AIS ในราคาสุดคุ้มที่สุด เพียง 1,190 บาท ภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567

เมืองไทยประกันชีวิต – Ageas – เมืองไทยประกันภัยเฉลิมฉลองสัมพันธภาพอันล้ำค่า ครบรอบ 20 ปีจัดงาน “20th Anniversary: Honouring Our Treasured Relationship”

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) Ageas SA/NV และบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมเฉลิมฉลองสัมพันธภาพอันล้ำค่าอย่างยิ่งใหญ่ ในโอกาสครบรอบ 20 ปี จัดงาน “20th Anniversary: Honouring Our Treasured Relationship” พร้อมเดินหน้าผนึกกำลังส่งต่อการสร้างความมั่นคงแก่คนไทยผ่านนวัตกรรมประกันภัยที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความแตกต่าง ยกระดับความพึงพอใจเพื่อความสุขที่ยั่งยืน

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วยผู้รับเชิญและผู้บริหารร่วมงานในบรรยากาศที่แสนอบอุ่นอย่างคับคั่งทั้งนี้ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง Ageas กับเมืองไทยประกันชีวิตประสบความสำเร็จ สามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง และการสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้กับธุรกิจ รวมถึงการสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองประกันชีวิตและประกันสุขภาพ และช่วยต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสนับสนุนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าให้มากขึ้น

ในช่วงเวลาสำคัญของการเติบโตและขยายตัวของเมืองไทยประกันชีวิต โดย เอจิเอิส (Ageas) เข้าร่วมทุนกับเมืองไทยประกันชีวิต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 (2004) เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน นับเป็นการผนึกกำลังทางธุรกิจที่สำคัญในการเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะด้านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต เทคโนโลยี และช่องทางการขายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางนายหน้าธนาคาร การตลาดแบบตรง รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุม ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของไทย ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจที่คำนึงถึงจริยธรรมและบรรษัทภิบาล ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ และเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทยมาจนถึงปัจจุบันจากวันนั้นถึงวันนี้ ตลอดระยะเวลา 20 ปี สำหรับผม Ageas เป็น “มากกว่าคำว่าพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ” เพราะได้ร่วมทุกข์ทสุขผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยต่อจากนี้ ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือทางธุรกิจที่เกิดขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีส่วนช่วยให้คนที่อยู่ในประเทศไทยรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านมีชีวิตที่มั่นคงมากขึ้นผ่านการได้รับความคุ้มครองทั้งประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ”

นายฮานส์ เดอ คายเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ageas SA/NV กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในโอกาสที่เราฉลองครบรอบ 20 ปีของความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จระหว่างเมืองไทยและ Ageas ในประเทศไทย ความร่วมมือที่ดี สร้างขึ้นบนพื้นฐานของความไว้วางใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน และวิสัยทัศน์ร่วมกัน ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างเรากับเมืองไทยได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่านี้ เราร่วมกันเผชิญความท้าทายและฉลองความสำเร็จ จนมาถึงช่วงเวลาพิเศษนี้ในวันนี้ ความร่วมมือที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่การเติบโตของธุรกิจในแต่ละวัน แต่ยังเกี่ยวกับการสร้างบริษัทที่แข็งแรงและการขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ โดยที่ยังคงรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืน การรวมพลังของเราเพื่อสร้างบริษัทประกันภัยชั้นนำในประเทศไทยและขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทย พันธมิตรอันมีค่าของเรา สำหรับความเชื่อมั่นที่มั่นคงในพลังของ Bancassurance ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ความพยายามร่วมกันของเราได้เปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่ และทำให้เมืองไทยประกันชีวิตประสบความสำเร็จในตลาด Bancassurance ของไทย

ในอนาคต Ageas จะเสริมสร้างความร่วมมือกับเมืองไทย ขยายขีดความสามารถด้านดิจิทัลและนำเสนอ โซลูชันการประกันภัยที่สร้างสรรค์ เราจะร่วมกันสร้างคุณค่าไม่เพียงแต่สำหรับลูกค้าของเรา แต่สำหรับสังคมไทยโดยรวมด้วย และเมื่อมองไปข้างหน้า ผมมั่นใจว่าความร่วมมือที่แข็งแกร่งนี้จะเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสใหม่ ๆ และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะเรื่องราวความสำเร็จระหว่างไทยและเบลเยียม Birds

นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แป้งมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปี แห่งความร่วมมืออันแน่นแฟ้นของ 3 บริษัท ซึ่งวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงฉลองให้กับความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น จากความไว้วางใจที่สนับสนุนกันในทุกจังหวะด้วยวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันต่อธุรกิจประกันทั้งในฐานะผู้ดูแล และผู้เยียวยาเมื่อเกิดภัย ดังสโลแกนของเรา “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา” ซึ่งพิสูจน์แล้วจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้ง สึนามิ , วิกฤตการเงิน , น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ หรือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เราเคียงบ่าเคียงไหล่ก้าวข้ามมาด้วยกันอย่างเข้มแข็ง ในฐานะที่แป้งมีหมวกอีกใบ เป็นที่ปรึกษาด้านการทูตทางเศรษฐกิจ ราชอาณาจักรเบลเยียม เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกันครั้งนี้จะสามารถผลักดัน และเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจในระดับสากล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า เราจะมองไปข้างหน้าร่วมกัน ในการหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และขอให้ความสัมพันธ์ของระหว่างองค์กรของเรา มีความเจริญก้าวหน้าและยั่งยืนตราบนานเท่านาน”

”ในโอกาสนี้ ทั้ง 3 องค์กร ยังได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านสภากาชาดไทย โดยเมืองไทยประกันชีวิต บริจาคเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท Ageas SA/NV บริจาคเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท และเมืองไทยประกันภัย บริจาคเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท รวมเป็นเงินบริจาคทั้งสิ้นจำนวน 3,000,000 บาท โดยมีนางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ

AIS – GC ดึงพลังคนรุ่นใหม่สร้างโลกที่น่าอยู่กับภารกิจGreen University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2”

รวมพลาสติกใช้แล้วและขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการได้กว่า 1 ล้านชิ้น

AIS และ GC ประกาศความสำเร็จในภารกิจปลุกพลังคนรุ่นใหม่กับโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของน้องๆ นิสิต นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมถึงความเข้าใจในการจัดการขยะทั้งขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์

ซึ่งในปีนี้มีนิสิต นักศึกษา จากทั่วประเทศเข้าร่วมถึง 42 มหาวิทยาลัย โดยสามารถรวบรวมได้มากกว่า 1,058,634 ชิ้น ภายในระยะเวลา 2 เดือนจากการเก็บขยะพลาสติกใช้แล้วผ่าน GC YOUเทิร์น และขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน AIS E-Waste+ ซึ่งในปีนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้โชว์ความกรีน เก็บขยะทั้ง 2 ประเภทได้เยอะสุด คว้าแชมป์ไปได้สำเร็จ

นอกจากนี้ภายใต้โครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” ยังสร้างการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายคนรุ่นใหม่ ผ่านกิจกรรมประกวดภาพถ่าย “ทิ้ง เทิร์น ให้เท่ สไตล์กรีนยู” และกิจกรรมการประกวดคลิปสั้น “Green Creator ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ที่ได้รับความสนใจจากน้องๆ นิสิต นักศึกษา ส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขันมาถึง 79 ผลงานเลยทีเดียว

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ขอขอบคุณ น้องๆ นิสิต นักศึกษา รวมถึงคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาจากทั้ง 42 มหาวิทยาลัย ที่ให้ความสนใจและสนับสนุนการเข้าร่วมโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” ที่เป็นการทำงานร่วมกันของ AIS และพาร์ทเนอร์อย่าง GC ที่นอกเหนือจากการรวบรวมขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 1 ล้านชิ้น เข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี และผลงานของน้องๆ บนโซเชียลมีเดียที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ถึงวิธีการรับมือและผลกระทบของการจัดการขยะแล้ว เรายังเห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นปัญหาของสิ่งแวดล้อมและยังมีความพร้อมที่จะเข้ามาหาวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างยั่งยืน”

ด้านนางชนัญชิดา วิบูลคณารักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท พีทีที
โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC
 กล่าวว่า “โครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” เป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมพฤติกรรมและปลูกฝังแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมให้กลุ่มเยาวชน เราตระหนักดีว่าความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูด แต่เป็นภารกิจที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับโลกใบนี้และคนรุ่นต่อไป นอกจากความสำเร็จในกลุ่มนิสิตนักศึกษา เรามุ่งหวังให้โครงการนี้ขยายผลไปยังคนรอบข้าง รวมถึงครอบครัวและชุมชนของน้องๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมที่กว้างขึ้น และเชื่อว่าความตระหนักรู้ด้านการจัดการขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้คนทุกเพศทุกวัย ที่จะลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

Creator จากทุกทีม จากทุกมหาวิทยาลัยที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน

โดยผู้ชนะจากทั้ง 3 กิจกรรม ได้รับทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และเกียรติบัตร สามารถติดตามภาพกิจกรรมและผลงานของน้องๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/YOUTURNPLATFORM และ https://www.facebook.com/ais.sustainability/

เคล็ดลับจัดการเงินคนเจน Z

ปัจจุบันความรู้เรื่องการเงินการลงทุนเป็นที่สนใจของทุกคน อย่างไรก็ตาม คนในกลุ่มช่วงอายุ หรือเจเนอเรชันที่ต่างกัน ย่อมมีความสนใจในรายละเอียดที่แตกต่างกัน เพราะคนแต่ละกลุ่มอายุจะมีช่วงเวลาการเติบโต ปัจจัยแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคเฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้ทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนกัน รวมถึงนิสัยการใช้เงินด้วย

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ www.setinvestnow.com แบ่งกลุ่มช่วงอายุหลักๆ ให้เห็นภาพง่ายๆ คือ คนเจนเบบี้บูมเมอร์คือช่วงวัยเกษียณหรือใกล้เกษียณ, เจน X คือช่วงวัยกลางคน, เจน Y คือวัยผู้ใหญ่กำลังสร้างตัวสร้างครอบครัว และเจน Z คือ วัยรุ่นสร้างตัว หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้นวัยทำงาน

แม้สังคมจะประกอบไปด้วยคนเจนต่างๆที่ต้องอยู่ร่วมกัน แต่สำหรับคนเจน Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2540-2555 ถือว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนต่อไป เพราะคนวัยทำงานที่อายุน้อยที่สุดในตอนนี้ และคนที่กำลังจะเข้าสู่โลกการทำงานในอีกสิบปีข้างหน้า ล้วนเป็นคนเจน Z

โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อาชีพการงานไม่แน่ไม่นอน ความรู้ตกยุคเร็วขึ้น ส่งผลให้คนเจน Z ต้องเจอกับยุคสมัยที่อาชีพการงานหายากขึ้น แข่งขันสูงขึ้น ต้องปรับตัวให้ตามทันโลกแม้ว่าข้อได้เปรียบของคนเจน Z คือ เวลาที่มีมากกว่า เพราะอายุยังน้อย ทำให้มีระยะเวลามากสำหรับการออมและการลงทุน แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ จะต้องไม่ประมาททางการเงิน เพราะคนเจนนี้มีชีวิตแบบพร้อมเสียตังค์ได้ตลอดเวลา ทั้งจากช็อปปิ้งออนไลน์ และมิจฉาชีพสารพัดรูปแบบ เช่น การหลอกลงทุนที่อาศัยความอยากได้อยากมีมาเป็นเหยื่อล่อ

คนเจนนี้จึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนการเงิน โดยเคล็ดลับการจัดการเงินของคนเจน Z หรือวัยรุ่นสร้างตัวมีดังนี้ คือ 1.เทคนิคออมเงินต้องออมก่อนใช้จ่ายเสมอ และออมไว้อย่างน้อย 10% หากลงมือทำได้จะออมเงินมากน้อยเท่าไรก็ตาม แต่สิ่งที่ได้รับคือ การปลูกฝังนิสัยการออมให้กับตัวเอง

2.เทคนิคใช้เงินเป็น รู้จักใช้เงินแบบพอดี อะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าซื้อ ถึงแม้จะลดราคา จัดโปรฯ ดึงดูดใจมากเท่าไร ก็ต้องหนักแน่นเข้าไว้ถือเป็นการฝึกวินัยทางการเงินที่ดี

3.เทคนิคหาเงินเก่ง การสร้างรายได้เพิ่ม ทั้งจากการพัฒนาตัวเองให้มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน, การหารายได้เสริม หรือสร้างรายได้หลายทางจากอาชีพที่สองหรือสาม

และ 4.เทคนิคต่อเงินงอกเงย รู้จักใช้เงินลงทุนทั้งในสินทรัพย์เพื่อใช้งาน เช่น บ้าน รถยนต์ และสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อส่วนต่างกำไร เช่น หุ้น ที่ดิน คอนโด ของสะสม และการลงทุนในกองทุนรวม หุ้นปันผล หรือซื้อคอนโดปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้แบบสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะการทยอยลงทุนในหุ้นปันผล ข้อได้เปรียบเรื่องเวลาของคนเจน Z จะทำให้คนเจนนี้มีเวลาลงทุนในตลาดหุ้นได้อีกนาน หากหุ้นตกก็สามารถค่อยๆเก็บสะสมหุ้นดีๆไว้ให้เต็มพอร์ต

เพียงเท่านี้ จะช่วยให้คนเจน Z สามารถวางแผนการเงิน และพร้อมรับมือกับอนาคตได้อย่างดีแน่นอน!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปลาหมอคางดำ หยุดจับก็เจ๊ง กรมประมงต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

บทความโดย สินี ศรพระราม
นักวิชาการอิสระ

หลังเปิดปฏิบัติการไล่ล่าปลาหมอคางดำที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นับเป็นการจุดกระแส “จับปลาหมอคางดำ” ขยายวงกว้างไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีการแพร่ระบาด ทั้งสงขลา เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น ส่วนสมุทรสาครและสมุทรสงคราม มีการจับปลาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้า โดยกรมประมงรายงานตัวเลขการจับปลาหมอคางดำล่าสุดใน 18 จังหวัด ได้มากกว่า 3 ล้านกิโลกรัม และส่งต่อไปยังโรงงานปลาป่น และการทำน้ำหมักชีวภาพ
 
สำหรับการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ 450 ล้านบาท รับซื้อปลาในราคากิโลกรัมละ 15 บาท (ส่งต่อไปทำปลาป่นและน้ำหมักชีวภาพ) ซื้อพันธุ์ปลาผู้ล่า และการนำปลาไปใช้ประโยชน์ รวมถึงการวิจัยนวัตกรรมและฟื้นฟูธรรมชาติ ซึ่งล่าสุดอนุมัติเพิ่มอีก 4.9 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการแปรรูปเป็นปลาร้า โดยมีเป้าหมายกำจัดปลาหมอคางดำ 200,000 กิโลกรัม
 
จากการจับปลาต่อเนื่อง 3 เดือน (กรกฎาคม-กันยายน) ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรีและกรุงเทพฯ ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่าปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของแต่ละจังหวัดลดลง และสามารถเดินหน้าปฏิบัติการขั้นตอนการปล่อยปลาผู้ล่า คือ ปลากะพง (ปล่อยไปแล้ว 100,000 ตัว ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน) ลงไปกำจัดลูกปลาหมอคางดำที่ยังหลงเหลือในแหล่งน้ำ พุ่งเป้าควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด นับว่าแผนปฏิบัติการตามแนวทางของกรมประมงกำลังเดินหน้าด้วยดีตามลำดับ
 
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ ชาวบ้านและชาวประมงในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มีความเป็นห่วงการจับปลาหมอคางดำของภาครัฐขณะนี้ที่หยุดชะงัก เนื่องจากงบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับรับซื้อปลาหมด ซึ่งจะส่งผลให้ปลาในแหล่งน้ำกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นได้อีก เพราะตามหลักวิชาการไม่ควรหยุดจับปลาและต้องจับให้ปลาเหลือน้อยที่สุด ซึ่งกรมประมงควรวางแผนตั้งงบประมาณไว้ต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนแผนปฎิบัติการให้ประสบความสำเร็จทุกขั้นตอน มิฉะนั้นจะทำให้การแก้ปัญหาไม่ประสบความสำเร็จและจะกลับไปซ้ำรอยเดิม
 
กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ ประกาศแนวทางแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำประกอบด้วย 1.เร่งการจับปลาหมอคางดำ คาดว่าจะลดปริมาณปลาหมอคางดำได้ประมาณ 4 ล้านกิโลกรัม 2. ปล่อยปลาผู้ล่า เช่น ปลากะพง ลงในแหล่งน้ำที่พบการระบาดซึ่งชนิดของปลาจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ 3. ใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำที่จับได้ไม่ให้สูญเปล่า เช่น นำไปทำเป็นปุ๋ยหมัก น้ำปุ๋ยชีวภาพ ปลาร้า หรือปลาป่น 4. ป้องกันการแพร่กระจายข้ามแหล่งน้ำ 5.ให้ความรู้กับประชาชน ในการสังเกตระวังป้องกัน และ 6.แผนระยะกลางและระยะยาวใช้เทคโนโลยีด้านการเหนี่ยวนำโครโมโซมปลาหมอคางดำ ทำให้ปลาเป็นหมัน
 
ด้านเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในเขตบางขุนเทียน ยอมรับว่าปลาหมอคางดำลดลงไปประมาณ 30% จึงขอให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการจับและรับซื้อปลาหมอคางดำในราคากิโลกรัม 15 บาท อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเร่งจับออกจากบ่อเลี้ยงและชาวบ้านช่วยลงแขกจับปลาออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อกำจัดปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดให้ได้มากที่สุดและปล่อยปลาผู้ล่าตามขั้นตอน ที่สำคัญต้องให้ความรู้กับเกษตรกรด้านการบริหารจัดการบ่อเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเล็ดลอดเข้าไปในบ่อเลี้ยงได้อีก ขณะที่ชุมชนต้องเรียนรู้การกำจัดปลาอย่างถูกวิธีและไม่เคลื่อนย้ายปลามีชีวิตออกนอกพื้นที่ หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกระทรวงฯ อย่างเคร่งครัด

“เกษตรกรต้องการมีรายได้หลักจากกุ้งที่เลี้ยงในบ่อเพราะราคาดีกว่าปลาหมอคางดำมาก แต่ถ้าไม่ขายปลาในโครงการของรัฐบาล ปลานี้แทบไม่มีราคา ขายเป็นปลาเหยื่อได้เพียงกิโลกรัมละ 5-7 บาท ไม่คุ้มกับค่าอาหารและค่าใช้จ่าย ที่สำคัญรายได้จากการจับกุ้งแต่ละครั้งหลักแสนบาท ตอนนี้รายได้ลดลงมากกว่า 50% เพราะกุ้งถูกปลาหมอคางดำกินเกือบหมด” เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในเขตบางขุนเทียน กล่าว
 
ก่อนหน้านี้สื่อออนไลน์ยังได้เผยแพร่ข่าวชาวประมงที่จังหวัดสมุทรสาครออกล่าปลาหมอคางดำและได้ปลากะพงติดแห 2 ตัว ขนาดความยาว 8-9 นิ้ว เมื่อจับผ่าท้องดูพบลูกปลาหมอคางดำในท้อง 3 ตัว แสดงให้เห็นว่าปลากะพงเป็นปลานักล่าที่มีศักยภาพสูงในกำจัดปลาหมอคางดำ ซึ่งรัฐบาลควรเดินหน้าตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง
 
ล่าสุด นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ยืนยันว่าปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติเบาบางลง แต่ยังกลัวว่ามีเกษตรกรที่ยังเลี้ยงปลาหมอคางดำไว้ในบ่อเลี้ยงจะทำให้การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น
 
เห็นได้ว่ารัฐบาลควรหาวิธีการและจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสมในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ โดยเฉพาะการเร่งจับปลาออกจากแหล่งน้ำให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด นับเป็นวิธีการที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมจึงควรทำต่อเนื่องไม่หยุด และดำเนินการตามแผนให้ครบวงจร เพื่อควบคุมปลาให้อยู่ในวงจำกัด หากเกิดการหยุดชะงักก็จะทำให้การแก้ปัญหาต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ตลอดเวลา และไม่มีหนทางที่จะจบปัญหานี้ได้ทั้งในวันนี้หรือในอนาคต.
 

ประมงสงขลา จันทบุรี และเพชรบุรีเดินหน้าเฝ้าระวังและกำจัดปลาหมอคางดำต่อเนื่อง เน้นขอความร่วมมือช่วยจัดการในบ่อร้าง

สถานการณ์ปลาหมอคางดำในทุกพื้นที่มีความหนาแน่นลดลงอย่างเป็นรูปธรรม หลังกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม 7 มาตรการของกรมประมงอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง รวมถึงประมงจังหวัดสงขลา ประมงจังหวัดจันทบุรี และประมงเพชรบุรีที่ยังไม่หยุดควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำหลากหลาย เน้นสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อเฝ้าระวังการแพร่กระจายอย่างเข้มข้น ร่วมมือกับเกษตรกรกำจัดปลาหมอคางดำที่อยู่ในบ่อร้างหยุดวัฏจักรการระบาด ส่งเสริมการแปรรูปและบริโภค และฟื้นฟูความหลากหลายของระบบนิเวศ

นายเจริญ โอมณี ประมงจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำพบเฉพาะพื้นที่ในอำเภอระโนดเท่านั้น ซึ่งประมงจังหวัดมีการสำรวจปริมาณปลาเป็นประจำทุกเดือน พบว่าความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในภาพรวมทุกคลองลดลงจากการสำรวจ เกิดจากการดำเนินมาตรการของกรมประมง จากความต้องการจับมาบริโภคเพิ่มขึ้นชาวบ้านจับขึ้นทุกวันทั้งมาใช้บริโภคและนำมาแปรรูปทำปลาแดดเดียวซึ่งได้ราคาค่อนข้างดี โดยเฉลี่ยจับขึ้นมาได้วันละ 80 กิโลกรัม

“ประมงจังหวัดสงขลาเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกอำเภอของจังหวัดสงขลา รวมถึงชาวประมงในทะเลสาปสงขลาช่วยกันเฝ้าระวังการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำอย่างใกล้ชิดซึ่งในขณะนี้ยังไม่พบปลาหมอคางดำในพื้นที่อื่นนอกเหนือจากอำเภอระโนด” นายเจริญกล่าว

ต่อจากนี้ ประมงสงขลาจะเน้นให้ความสำคัญกับการกำจัดปลาหมอคางดำที่อยู่ในบ่อทิ้งร้าง เพื่อป้องกันการหลุดรอดออกมาแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยร่วมมือกับชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสงขลา เจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยจับปลาหมอคางดำจากบ่อที่ทิ้งร้าง โดยใช้กากชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จำนวน 1,000 กิโลกรัม สำหรับปลาที่จับได้จะนำมาหมักน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้ในกลุ่มเกษตรกรต่อไป พร้อมทั้งเตรียมปล่อยปลานักล่าเพิ่มเติมเพื่อช่วยควบคุมการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำขณะเกิดน้ำหลากในช่วงปลายปี

นายสมพร รุ่งกำเนิดวงศ์ ประมงจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประมงจันทบุรีดำเนินการตามมาตรการของกรมประมงบูรณาการความร่วมมือกับหลายภาคส่วน กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ ผู้นำชุมชน เกษตรกร ชาวประมง และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน รวมถึงซีพีเอฟ สนับสนุนอุปกรณ์การจับสัตว์ ลูกปลาผู้ล่า ช่วยกันจัดการปลาหมอคางดำด้วยแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทในพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ มีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าในบริเวณอ่าวคุ้งกระเบนยังมีความหลากหลายของชนิดสัตว์น้ำพื้นถิ่น และพบปลาหมอคางดำในบริเวณคลองชลประธานน้ำเค็มและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของโครงการ ประมงจันทบุรีมีเป้าหมายในการดำเนินการตามมาตรการของกรมประมง และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเจ้าของบ่อเลี้ยงสัตว์ ชาวประมงที่ความชำนาญในการจับสัตว์น้ำช่วยกันจับปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำร้าง ขณะนี้สำนักงานประมงจังหวัดจันทบุรียังคงดำเนินการรับซื้อปลาหมอคางดำจากเกษตรกรที่จับจากธรรมชาติ จำนวน 5,000 กิโลกรัมเพื่อส่งต่อให้กับสำนักงานพัฒนาที่ดินเพื่อไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ ขณะนี้มีรับซื้อไปแล้ว ประมาณ 3,000 กิโลกรัม

“การกำจัดปลาหมอคางดำให้สำเร็จอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง จริงใจ และทุ่มเท โดยเน้นการจับปลาหมอคางดำออกจากบ่อร้างให้หมด ขณะที่เจ้าของบ่อช่วยทำให้บ่อแห้งและปิดประตูกันน้ำเข้าถาวร เพื่อจำกัดพื้นที่อยู่อาศัย ควบคู่กับร่วมการจับในแหล่งน้ำธรรมชาติให้มากที่สุด ขณะเดียวกันช่วยกันสร้างความตระหนักและส่งเสริมนำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น” นายสมพรกล่าว

สำหรับที่จังหวัดเพชรบุรี นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า ประมงเพชรบุรีได้มีการสำรวจปริมาณปลาหมอคางดำพบมีอยู่ไม่ถึง 40 ตัวต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร (ตรม.) จากเดิมที่เคยพบ 80 ตัวต่อ 100 ตรม. และยังเดินหน้าบูรณาการทุกภาคส่วนดำเนินมาตรการกำจัดต่อเนื่อง ทั้งจัดลงแขกลงคลอง ปล่อยปลาผู้ล่า

นอกจากนี้ ยังมีการสื่อสารสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนร่วมมือกันจับปลาทันทีที่พบไม่ต้องรอกิจกรรมของภาครัฐ ตามแนวทาง “เจอ แจ้ง จับ” ประมงยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนำปลาหมอคางดำที่จับได้ไปประกอบเป็นอาหารหรือแปรรูปเป็นสินค้าประจำจังหวัด โดยเตรียมจับมือกรมราชทัณฑ์สอนผู้ต้องขังทำ “น้ำปลา” ฝึกเป็นทักษะอาชีพต่อไป ตั้งเป้าลดประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่เหลือน้อยกว่า 30 ตัวต่อ 100 ตรม. และฟื้นฟูความหลากหลายของระบบนิเวศในแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน.

เปิดตัวสุดปัง! Chester’s Flagship Store @Siam ชูคอนเซ็ปต์ ‘Good Food Good Mood’ เพิ่มสีสันให้แลนด์มาร์กคนรุ่นใหม่

บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ผู้นำเมนูไก่ย่างมากกว่า 36 ปี ภายใต้แบรนด์เชสเตอร์ (Chester’s) พลิกโฉมร้าน Chester’s สาขาสยามสแควร์ครั้งใหญ่ ปรับใหม่ทั้งร้านสร้างให้เป็น Chester’s Flagship Store แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางสยามที่ครองใจวัยรุ่นทุกเจนเนอเรชั่นมากว่า 3 ทศวรรษ ดีไซน์ภายใต้แนวคิด ‘Good Food Good Mood’ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าร้าน Chester’s ทุกคนได้รับประทานอาหารในบรรยากาศร้านรูปแบบใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเชสเตอร์ด้วยรสชาติที่คุ้นเคยของเมนูสุดฮิตตลอดกาล อย่าง ข้าวอบไก่ย่าง ข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ รวมทั้ง “พริกน้ำปลา” ตำนานความอร่อยที่ครองใจผู้บริโภคทุกคน ดาวเด่นประจำร้านช่วยให้ทุกมื้อที่เชสเตอร์อร่อยยิ่งขึ้น

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ฟู้ด กล่าวว่า เชสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ อยู่กับวัยรุ่นสยามทุกเจนเนอเรชั่น มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 จะเห็นว่าสาขานี้สามารถครองใจลูกค้ามาได้อย่างยาวนาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา สำหรับ Chester’s Flagship Store สาขาสยามสแควร์ ครั้งนี้เป็นการปรับปรุงร้านใหม่ทั้งหมด ภายนอกที่ดีไซน์โดดเด่น และพิเศษในช่วงเย็นถึงค่ำจะมีการเล่นไลท์ติ้งบริเวณด้านนอกร้าน สร้างสีสันสะดุดตา ทำให้ร้านดูสนุก มีชีวิตชีวามากขึ้น เข้ากับบรรยากาศแสงสียามค่ำคืน ส่วนภายในแบ่งโซนสุดชิค ด้วยบรรยากาศที่โมเดิร์น แฝงความอบอุ่น ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งโซนเคาน์เตอร์บาร์ สำหรับลูกค้าสายชิลล์ ที่อยากรับประทานอาหารไปด้วยทำงานไปด้วย หรือโซนบูธที่ให้ความเป็นส่วนตัว รวมถึงโซนโต๊ะขนาดใหญ่สามารถนั่งล้อมสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

ด้าน สาวกตัวจริง “ไมกี้-ปณิธาน บุตรแก้ว” เปิดใจว่า สยามคือจุดนัดพบของตัวเองและเพื่อนๆ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมของวัยรุ่น ทั้งช้อปต่างๆ และสถานที่แฮงก์เอาท์พักผ่อนแบบชิลล์ เชสเตอร์เป็นอีกร้านที่มาบ่อย ซึ่งลุคใหม่นี้ดูทันสมัย คิดว่าโดนใจเด็กสยามแน่นอน ที่ชอบอีกอย่างคือ ในร้านมีหลายโซนให้เลือกนั่ง เป็นอีกหนึ่งจุดนัดพบที่สามารถรวมกลุ่มแก๊งค์เพื่อนๆ มารับประทานอาหารข้าวหรือถ่ายภาพได้เลย ทั้งนี้ ยังมีโค-เวิร์คกิ้งสเปซรองรับไลฟ์สไตล์คนเจนผม นอกจากได้ทานเมนูที่อร่อยคุ้นเคย ก็ยังได้บรรยากาศใหม่ๆ ที่ทำให้เพลิดเพลินมากขึ้นเวลามาที่นี่

ทั้งนี้ ลูกค้ายังได้ลิ้มลองความอร่อยสุดพิเศษ ที่หาได้เฉพาะเชสเตอร์ สาขาเรือธงกลางสยามสแควร์ กับเมนู ‘Chick N’ Waffle’ เมนูลับสุดชิคและเอ็กซ์คลูซีฟ มีเฉพาะที่นี่ที่เดียว เลือกได้ถึง 3 รสชาติ คือ รสออเนียนชีสไข่กุ้ง อร่อยกลมกล่อมด้วยซอสหัวหอมผสมชีส รสวาซาบิมาโยกุ้ง เผ็ดวาซาบิกำลังดีชวนลิ้มลอง และรสโคเรียนสไปซี่ชีส หอมชีสพร้อมความเผ็ดสไตล์เกาหลี และเพิ่มความสดชื่นด้วยเครื่องดื่มรีฟิลจากเครื่องโพสต์มิกซ์ Pepsi รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมจอ LED Dynamic Display แต่งแต้มความสนุกด้วยรสชาติหลากหลายเติมได้ไม่อั้นอีกด้วย

“ธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) ในไทย มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ “ทานอาหารนอกบ้าน” ประกอบกับการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับเชสเตอร์แบรนด์ไก่ย่างและเมนูข้าวอันดับหนึ่งของไทย พร้อมรับมือตลาดที่กำลังเติบโต มีกลยุทธ์เชิงรุกที่รักษาผู้บริโภคทุกรุ่น ด้วยการพัฒนาเมนูใหม่ เพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภครุ่นใหม่ ออกเมนูสำหรับครอบครัว และเมนู Grab & Go ตอบโจทย์ความสะดวกรวดเร็ว รวมถึงขยายสาขาใหม่ถึง 23 สาขา มากสุดในรอบ 16 ปี และร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าที่มีศักยภาพ คาดปีนี้รายได้จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน

เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด QSR และพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับผู้บริโภคทุกเจน ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายและการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมาก” นางสาวลลนากล่าว

นอกจากนี้ เชสเตอร์ ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยเชสเตอร์เป็น QSR ที่เสิร์ฟด้วยภาชนะใช้ซ้ำทั้งหมด ตั้งแต่ แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อนส้อม รวมถึงถ้วยใส่พริกน้ำปลาแก่ลูกค้าที่รับประทานอาหารที่ร้าน รวมทั้งใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ ขณะเดียวกันยังใส่ใจและดูแลสุขภาพ ตลอดจนความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยร่วมกับกรมอนามัย ภายใต้โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ ไม่นำน้ำมันพืชมาทอดอาหารซ้ำ และยังได้จับมือกับบริษัทในเครือบางจาก ภายใต้โครงการ ‘ทอดไม่ทิ้ง’ นำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วจากเชสเตอร์ทุกสาขา ไปเป็นวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพยั่งยืน (SAF) รวมทั้งการดำเนินกิจกรรม ‘ปันรัก ปันน้ำใจ’ ที่ทำต่อเนื่องทุกปีมากกว่า 1 ทศววรรษ โดยนำจิตอาสาเชสเตอร์แบ่งปันเมนูอร่อยของเชสเตอร์ เติมเต็มความสุขให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส .