Home Blog Page 119

รู้เก็บรู้ออม : สูงวัยแบบมั่นคง

0

วันหนึ่งทุกคนก็ต้องแก่ และเป็นสมาชิกของสังคมผู้สูงวัย แต่บั้นปลายชีวิตของคนเราอาจไม่ได้สวยงาม เมื่อมีผลวิจัยพบว่า คนไทยวัยเกษียณจะประสบปัญหาทางการเงิน แม้ว่าผู้สูงอายุอาจมีเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณ แต่มูลค่าการออมกลับอยู่ในระดับที่ต่ำและไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

ที่สำคัญ กลุ่มผู้สูงอายุจัดเป็นกลุ่มคนที่มีระดับความรู้ทางการเงินน้อยกว่าคนวัยอื่น และมีทักษะด้านการเงินอยู่ในระดับต่ำที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สถานะการเงินของผู้สูงวัยจะตกอยู่ในสภาพที่เปราะบาง อาการน่าเป็นห่วงทั้งสุขภาพการเงิน และสุขภาพร่างกาย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และที่ผ่านมาก็มีบทบาทด้านการส่งเสริมความรู้พื้นฐานเรื่องการบริหารเงินให้กับคนไทยวัยเกษียณและใกล้เกษียณ ล่าสุดขอชวนผู้สนใจไปเปิดมุมมองและแนวคิดสำคัญ เตรียมพร้อมวางแผนเกษียณอย่างไรให้มีความสุข กับงาน “จาก Aged Society สู่ Happy Young Old” ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00–12.00 น. ที่หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถนนรัชดาฯ

พบกับเสวนาหัวข้อ “เรื่องชวนคิด ออกแบบชีวิตเกษียณสุข” โดยคุณแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ, ศ.พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะกรรมการ บ.ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม, คุณวศิน วัฒนวรกิจกุล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย และ ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

ต่อด้วยเสวนาหัวข้อที่ชวนติดตามกับ “#Young Old อย่าง Happy ได้ สไตล์คุณ” โดยคุณประสาน อิงคนันท์ ผู้ก่อตั้งเพจมนุษย์ต่างวัย และ คุณชุติมา แสนนนท์ เจ้าของเพจ แต่งให้สวย Style 50+ คนที่ต้องการเตรียมตัวแก่แบบมั่นคงและมั่งคั่ง ต้องไม่พลาดกับงานดีๆ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วทาง https://www.set.or.th/th/about/event-calendar/event/eventdetails?id=86972 หรือหากไม่สะดวกเดินทาง ก็สามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook และ YouTube : SET Thailand

พิเศษ! ผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า และมาร่วมงานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ 100 คนแรก รับของที่ระลึก Young Old Gift set มูลค่ากว่า 300 บาท ฟรี

คนที่อยากวางแผนการเงิน หรือรู้ตัวว่าใกล้เกษียณเข้าไปทุกที อยากจะมีชีวิตแบบเกษียณสุข สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “Happy Money สุขเงินสร้างได้” www.set.or.th/happymoney  หรือโทร.สอบถามเพิ่มเติม SET Contact Center 0-2009-9999.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ และนิวซีแลนด์ ร่วมจัดงาน Business Matching พัฒนาคุณภาพอาหารและความยั่งยืน

0

เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำราชอาณาจักรไทย นายโจนาธาน คิงส์ (H.E. Jonathan Kings) เป็นประธานเปิดงาน Business Matching จัดขึ้นโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมมือกับประเทศนิวซีแลนด์ เปิดโอกาสให้ซีพีเอฟ พบกับพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากนิวซีแลนด์ 6 แห่ง เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตอาหารที่ทันสมัย ปลอดภัย และยั่งยืน ตอบวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลกของประเทศไทย และการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เห็นอนาคตก่อนใคร (See Tomorrow First) ของประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีผู้บริหารของซีพีเอฟเข้าร่วม ณ ห้อง Calla Suite โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ

ฯพณฯ นายโจนาธาน คิงส์ กล่าวเปิดงานว่า นิวซีแลนด์มีความมุ่งมั่นสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลกเพื่อพัฒนาความยั่งยืนและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร ความร่วมมือกับซีพีเอฟครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างนิวซีแลนด์กับประเทศไทย ยังเป็นการเน้นย้ำถึงความตั้งใจจริงที่จะสร้างประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน และความรับผิดชอบต่อการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

“ขอขอบคุณซีพี สำหรับความร่วมมือที่สร้างเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศของเราทั้งสอง ยกระดับผู้คนในสังคม และเป็นความร่วมมือที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันต่ออนาคตอันยั่งยืน ขอเฉลิมฉลองการเดินทางร่วมกันของเราต่อไป การผลักดันนวัตกรรม ความยั่งยืน และความมั่งคั่งของประเทศไทยและนิวซีแลนด์” ฯพณฯ นายโจนาธาน คิงส์ กล่าว

สำหรับงาน Business Matching เป็นการจับคู่ธุรกิจ ระหว่างซีพีเอฟ กับบริษัทด้านเทคโนโลยีจากนิวซีแลนด์ นำสู่ความร่วมมือ 3 ด้านได้แก่ ด้านปศุสัตว์และอาหาร ด้านเทคโนโลยี และด้านห่วงโซ่อุปทาน ก่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร ส่งเสริมความปลอดภัยของผู้บริโภค และสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

นายพีระพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานวิศวกรรมกรรมกลาง ซีพีเอฟ กล่าวขอบคุณ สำนักงานพาณิชย์นิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ และพันธมิตรธุรกิจจากนิวซีแลนด์ที่ร่วมงานครั้งนี้ ช่วยให้ซีพีเอฟได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำสมัยของนิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็นประเทศชั้นนำด้านเกษตรกรรม และเทคโนโลยีปศุสัตว์ โดยซีพีเอฟเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของบริษัทในประเทศไทย ช่วยยกระดับการเลี้ยงสัตว์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สนับสนุนธุรกิจของซีพีเอฟเติบโตก้าวหน้าในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทชั้นนำจากนิวซีแลนด์ 6 แห่งที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ได้แก่ BECA, DSH Systems, Integrated Control Technology, PTN Munafacturing Limited, MACSO Technologies และ SEEN Safety ซึ่งแต่ละบริษัทเป็นผู้นำด้านการออกแบบนวัตกรรมเกี่ยวกับโรงงาน เทคโนโลยีการผลิตอาหารแบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง องค์กรเหล่านี้พร้อมนำเสนอโซลูชั่นที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การจัดการข้อมูลปศุสัตว์ เสริมสร้างความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

แคมเปญ See Tomorrow First ของประเทศนิวซีแลนด์ (หรือในภาษาเมารี เรียกว่า Aotearoa) สะท้อนชีวิตของชาวนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นประเทศแรกๆของโลก การได้เห็นวันพรุ่งนี้ก่อนได้กระตุ้นให้คนนิวซีแลนด์ใส่ใจต่ออนาคต และพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้วันพรุ่งนี้ดียิ่งขึ้น

CPF คว้า 2 รางวัล ASRA 2023 จากรายงานความยั่งยืนโดดเด่นด้านสิทธิมนุษยชน – สิ่งแวดล้อม   

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับรางวัล “รายงานความยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับภูมิภาคเอเชีย” ประจำปี 2023  หรือ Asia Sustainability Reporting Awards (ASRA) รวม 2 ประเภท  ได้แก่  รางวัล Asia’s Best Sustainability Report (Human Rights) ระดับ Silver  และ รางวัล Asia’s Best Environmental Impact Reporting ระดับ Bronze  สะท้อนความชัดเจน ครบถ้วน  ถูกต้อง และโปร่งใสของข้อมูล ในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2565  (Sustainability Report 2022)    

ซีพีเอฟ ได้รับ 2 รางวัลดังกล่าว จากการเปิดเผยข้อมูลที่ครอบคลุมตั้งแต่ การจัดทำนโยบายการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ตลอดจนการรายงานผลการดำเนินงานอย่างครบถ้วน โปร่งใส ในด้านสิทธิมนุษยชน และด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในระดับสากล  

บริษัทให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มตลอดห่วงโซ่คุณค่าของซีพีเอฟ บริษัทจึงมีความมุ่งมั่นในการสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มรับทราบถึงผลการดำเนินงานที่ถูกต้องแม่นยำ ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาภายใต้กรอบการตรวจประเมินสถานะด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence Framework: HRDD) โดยการวางนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบ
ด้านสิทธิมนุษยชน มีการบูรณาการในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องและครบวงจร

บนพื้นฐานของความแตกต่างหลากหลาย ความเสมอภาคเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity Equality and Inclusivity) อาทิ การจ้างงานและบริหารด้านแรงงาน การสรรหาและจ้างงานแรงงานต่างด้าวอย่างมีจริยธรรม (Ethical Recruitment) การจัดการเรื่องร้องเรียนและเยียวยาผู้ถูกละเมิด นอกจากการเปิดเผยข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนสู่สาธารณชนผ่านรายงานความยั่งยืนประจำปีแล้ว บริษัทยังได้เปิดเผยข้อมูลผ่านรายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ตลอดจนช่องทางออนไลน์อื่นๆ เช่น เว็บไซต์บริษัท เว็บไซต์ข่าว โซเชียลมีเดีย เป็นต้น 

นอกจากนี้  ซีพีเอฟ มีการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในระดับสากลมากขึ้น รวมถึงผลการดำเนินงานที่บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมผ่านโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาทิ การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภููมิอากาศ(Task Forces on Climate-Related Financial Disclosures (TCFD)) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตลอดจนกลยุทธ์ในการรับมือ และเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero)

ในรายงานความยั่งยืน ยังได้รายงานถึงการบรรลุเป้าหมายในการลดการดึงน้ำจากภายนอกมาใช้ต่อหน่วยการผลิต ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยมาตรการ 3Rs คือ  Reduce ลดการใช้น้ำ Reuse นำน้ำมาใช้ซ้ำ Recycle นำน้ำผ่านการบำบัดกลับมาใช้ใหม่  และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยกิจการทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ มีการปลูกต้นไม้รวมกว่า 5.4 ล้านต้นทั่วโลก เพื่อการอนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูป่าป่าบกและป่าชายเลน เพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 39,000 ตันต่อปี 

สำหรับรางวัล Asia Sustainability Reporting Awards (ASRA) จัดโดย CSR Works International Pte. Ltd. เป็นรางวัลระดับภูมิภาคเอเชียที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อยกย่องแนวปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาความยั่งยืนผ่านกระบวนการจัดทำและรายงานผล โดยซีพีเอฟได้รับการประเมินให้ได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นปีที่ 5

เมืองไทยประกันชีวิต และ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม สานต่อ “โครงการแสงแก้วผ่าตัดต้อกระจกผู้สูงอายุ” ปีที่ 8 

0

เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มพร้อมด้วยโรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้วและกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์   สานต่อโครงการแสงแก้วเพื่อการผ่าตัดต้อกระจกผู้สูงอายุ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8  มุ่งสร้างสรรค์สังคมผู้สูงวัยให้มีคุณภาพ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย  เนื่องจากประชากรผู้สูงวัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสร้างสังคมที่ให้โอกาสแก่ผู้สูงอายุในการมีชีวิตที่ดีและมีความสุขเป็นสิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง    ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจัดกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุในพื้นที่ชุมชน เพื่อสร้างพื้นที่สังคมที่เข้มแข็งและสร้างความสุข  รวมทั้งการส่งเสริมให้ครอบครัวมีการเตรียมความพร้อมและความรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงวัย ในโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ 18 ชั่วโมง (Care Giver)  ที่มีการอบรมไปแล้ว  3  รุ่น 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม  สานต่อโครงการแสงแก้ว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8  เป็นการผ่าตัดต้อกระจกเพื่อผู้สูงอายุที่ขาดแคลน  สำหรับช่วยเหลือดูแลปัญหาดวงตาให้แก่ผู้สูงอายุ โดยได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจาก กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์    ทั้งนี้โครงการเปิดหน่วยคัดกรองโรคต้อกระจกเชิงรุก สำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราบางแค  บ้านพักคนชราจังหวัดปทุมธานี และชุมชนใกล้เคียงเขตพื้นที่ภาษีเจริญ ยานนาวา หนองแขม พบผู้สูงวัยที่เป็นผู้ป่วยโรคต้อกระจก จำนวน 54 คน ซึ่งได้เข้ารับการรักษาผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมเป็นที่เรียบร้อย   โดยคนไข้ทุกท่านได้รับการดูแลตรวจติดตามจากทีมจักษุแพทย์ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา 1 เดือน  สามารถคืนการมองเห็นพร้อมสุขภาพดวงตาที่ดีให้ผู้สูงอายุทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการฯ

โดยในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารได้แก่นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเมืองไทยยิ้มพร้อมด้วย นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  และ นางสาวอนัญญา อัตชู ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ร่วมกิจกรรมเพื่อสรุปผลการดำเนินของ “โครงการแสงแก้ว การคัดกรองและผ่าตัดโรคต้อกระจก เพื่อผู้สูงอายุ”   และยังได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่ทุกคนอีกครั้ง

“การดำเนินโครงการแสงแก้ว โดย มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม  เมืองไทยประกันชีวิต  โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว  และ  กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วง ถือเป็นความร่วมมือในการรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นองค์รวม ตลอดระยะ 8 ปีของโครงการแสงแก้วคืนการมองเห็นให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศไทยไปแล้ว รวม 683 ดวงตา และหวังให้ผู้สูงอายุทุกท่านมีความสุขในการมองเห็น มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่ดีขึ้นต่อไป  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economic) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน” นายสาระ กล่าวสรุป.

แม็คยีนส์ – อ๊อตเทริ จับมือส่งต่อเสื้อใหม่กับโครงการ Wash & Share ครั้งที่ 3 แก่มูลนิธิกระจกเงา

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำโดยนายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายกวิน นิทัศนจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เค-เน็กซ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซัก Otteri wash & dry ร่วมส่งต่อเสื้อใหม่ในโครงการ Wash & Share ครั้งที่ 3 แก่มูลนิธิกระจกเงาเมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับโครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 3 “แม็คยีนส์” ได้ร่วมสนับสนุนโดยนำเสื้อผ้าใหม่ที่เสื่อมสภาพส่งมอบให้อ๊อตเทริ ประสานผู้เข้าร่วมโครงการนำไปทอเส้นใย และส่งกลับให้แม็คยีนส์ผลิตเสื้อรีไซเคิลเพื่อมอบให้กับมูลนิธิกระจกเงา เพื่อส่งต่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการต่อไป  

เที่ยวคลองบางกอกใหญ่ ชมอันซีนแบบจุกๆ บนสายน้ำแหล่งพหุวัฒนธรรม

0

การท่องเที่ยวนั่งเรือล่องคลอง ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ริมคลองนั้น ถือเป็นกิจกรรมที่สนุก และใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบวันเดย์ทริป เพราะเป็นการเดินทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก ระหว่างนั่งโดยสารบนเรือ ก็สามารถนั่งทอดสายตา ชมดูสิ่งต่างๆ ตลอดทางที่เรือแล่นผ่าน นอกจากนี้ ในบางเส้นทางสัญจรโบราณ อย่างเช่น คลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองบางหลวง เราจะมีโอกาสได้ชมบ้านเก่าที่เป็นของบรรดาเจ้าขุนมูลนายสม้ยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และสถานที่สำคัญอย่างวัดวาอารามที่พบเห็นอยู่มากมาตลอดเส้นทางคลอง

เกรียนพาเที่ยว” มีโอกาสได้ท่องเที่ยวชมคลองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้มาสัมผัสกับความเสน่ห์ของคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งแตกต่างกับทริปก่อนหน้านี้ที่เราไปชมสวนมะพร้าวในคลองบางประทุนอย่างชัดเจน เห็นได้จากจำนวนของเรือที่สัญจรไปมาบนคลองบางกอกใหญ่นี้ ดูคึกคัก และหนาแน่นกว่าทริปก่อนอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะวิวไฮไลท์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ คือพระพุทธธรรมกายเทพมงคล องค์พระขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านเด่นชัดของคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้ ยิ่งเวลาใกล้ช่วงสายของวัน เราก็ยิ่งเห็นเรือนักท่องเที่ยวลำยาวหลายต่อหลายลำแล่นสวนตลอดทาง พร้อมกับเสียงม้คคุเทศก์บนเรือส่งเสียงภาษาจีนบรรยายให้นักท่องเที่ยวดังให้ได้ยินแบบไม่ขาดสายเลยทีเดียว

เรือนักท่่องเที่ยวแล่นไปมาตลอดลำคลองบางกอกใหญ่

สำหรับทริปล่องคลองบางกอกใหญ่ครั้งนี้ เราเดินทางไปกับคุณอาณัติ นักเล่าเรื่องท้องถิ่น ซึ่งจัดทริปเที่ยวคลองเส้นทางต่างๆ อยู่ โดยมีจุดนัดพบที่ท่าเรือวัดใหม่ยายนุ้ย ส่วนเรือที่ใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นเรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ขนาด 10 ที่นั่ง บนหลังคาเรือติดตั้งแผงโซลาเซล ทำให้การเดินเรือครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างสบายๆ เพราะเรือไฟฟ้าเดินเครื่องเงียบมาก ไม่ส่งเสียงดังรบกวน และไม่สร้างมลพิษให้กับคลองอีกด้วย

เรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ทำความเร็วได้ประมาณ 10 กม./ชม.

จุดหมายแรก หลังจากแล่นเรือไปตามคลองด่าน เราจอดเรือเทียบที่ท่าวัดอินทารามวรวิหาร เพื่อแวะทานอาหารเช้า โดยคุณอาณัติพาเราไปที่ร้านสุริยากาแฟ ร้านกาแฟเก่าแก่คู่ตลาดพลูอายุกว่า 100 ปี ปัจจุบัน รุ่นลูกรุ่นหลานก็กระจายกันเปิดเป็นสาขาต่างๆ แต่ร้านแรกดั้งเดิมจะตั้งอยู่ในตลาดวัดกลาง (วัดจันทาราม) สำหรับแอดมิน มีโอกาสมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านดั้งเดิมนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่จะสะดวกแวะซื้อที่ร้านตรงใต้สะพานตลาดพลู เมนูเครื่่องดื่มที่อยากแนะนำ คือ ชาซีลอน จะเป็นชาดำเย็น หรือ ชานม ขอบอกว่า หอมอร่อยชื่นใจดีนัก น่าเสียดายที่วันที่เราไป เมนูปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด หมดเสียก่อน เลยไม่ได้สั่งมาทานคู่กัน

หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้อง เราเดินย้อนกลับมาที่วัดอินทารามวรวิหาร เข้าชมความงามของพระอุโบสถ และไหว้สักการะพระพุทธชินวร พระประธาน และที่สำคัญ ยังได้มีโอกาสชมพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง อยู่ในวิหารด้านหน้าพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางนี้ถือเป็นปางที่หาชมได้ยาก และพบได้ในวัดเพียงไม่กี่แห่ง ลักษณะเป็นการจำลองภาพหีบพระศพ และมีพระบาทของพระพุทธเจ้ายื่นออกมาจากหีบ มีพระภิกษุ 3 รูป พนมมือไหว้พระบาทที่ยื่นออกมา นอกจากนี้ ผนังด้านข้างยังมีภาพวาดจิตรกรรมเป็นรูปพระสงฆ์กำลังยิ้มหัวเราะโดยคุณอาณัฐเล่าให้ฟังว่า เป็นภาพวาดรูปพระสุภัททะ พระชราที่บวชตอนแก่ โดยตามพระสูตรกล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสุภัททะกลับบอกแก่หมู่ภิกษุว่า “หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร” อันเป็นสาเหตุให้ต่อมามีการสังคายนาพระธรรมขึ้นในภายหลัง

จากนั้น เราขึ้นเรือเพื่อล่องออกสู่คลองบางกอกใหญ่จนเกือบถึงประตูน้ำบริเวณวัดกัลยาณมิตร แวะจอดเทียบท่าเพื่อขึ้นไปไหว้สักการะหลวงพ่อโตซำปอกง และ พระปางป่าเลไลย์ ในพระอุโบสถ รวมทั้งชมความงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั้งในวิหาร และอุโบสถ ซึ่งพบว่า มีภาพวาดหลายจุดที่ชำรุดเสียหาย มีสภาพหลุดร่อนจากความชื่้น ก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลรักษาต่อไป สำหรับจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถแห่งนี้ จะเป็นการวาดเล่าเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่น ภาพวาดคดีการลักเด็กที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัย ร.3

ประตูเรือบริเวณหน้าวัดกัลยาณมิตร ทำหน้าที่เปิดปิดการสัญจรของเรือที่เข้าออกระหว่างคลอง-แม่น้ำเจ้าพระยา
ภาพวาดจิตรกรรมเล่าเรื่องคดีลักเด็กใ เหตุการณ์จริงในสมัยรัชกาลที่ 3

จากที่วัดกัลย์ฯ เราสามารถเดินเท้าไปยังทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไปยังศาลเจ้าเกียงอันเกง ขอพรต่อองค์เจ้าแม่กวนอิม ที่แกะสลักจากไม้จันทร์หอมอายุกว่า 200 ปี ซึ่งวันที่เราไป มีนักท่องเที่ยว ผู้คนที่ศรัทธา และสายมู จำนวนมาก มาแน่นขนัดทั้งที่หลวงพ่อโต วัดกัลย์ และศาลเจ้าแห่งนี้

จากนั้น เราเดินย้อนกลับมาที่วัด เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือ มัสยิดบางหลวง หรือ สุเหร่ากุฎีขาว ศาสนสถานของชาวมุสลิม หนึ่งเดียวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดไทย คือ หากเดินผ่าน แล้วไม่สังเกตเห็นป้ายที่บอกว่าเป็นมัสยิดแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องเห็นเป็นวัดไทยแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน

มัสยิดกุฎีขาว

และเราก็เดินเท้ากลับมาลงเรือ เพื่อล่องกลับคลองบางกอกใหญ่ และแวะสถานที่ต่อไป นั่นคือ วัดหงส์รัตนาราม อุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ “หลวงพ่อแสน” นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มักจะเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานภายในพระอุโบสถนี้ด้วย ภายในวัดหงส์ยังมีสถานที่สำคัญ คือ วิหารพระทองคำสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตร จากน้้นพวกเราก็เดินทางต่อไปแวะคลายร้อนกันที่ร้านคาเฟ่อู่เรือ ไฮไลท์คือ จุดชมองค์พระใหญ่ วัดปากน้ำ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้แบบสวยงามสุดๆ เลยทีเดียว

จุดชมวิวองค์พระใหญ่ ของร้านคาเฟ่อู่เรือ

เมื่อพักจนหายเหนื่อย และได้ถ่ายรูปองค์พระใหญ่จนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาตอ้งเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ นั่นคือ วัดนางชี เพื่อชมงานประดับมุกบานหน้าต่างและประตูอุโบสถ ศิลปะชั้นยอดของเมืองนากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบได้ที่วัดนางชี และวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยสภาพส่วนใหญ่ชำรุดจากการถุกปลวกกิน รอการบูรณะซ่อมแซมจากทางญี่ปุ่นต่อไป

ก่อนจะปิดท้ายทริปนี้ ด้วยการกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งที่วัดนางชีนี้จะการจัดงานบุญประจำปีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน คือ “งานชักพระวัดนางชี” หรือ “งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ” โดยจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี

จบทริปนี้ไปด้วยประทับใจท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในเดือนมีนาคม แต่ต้องขอบอกว่า แม้แอดมินจะเกิดและใช้ชีวิตที่ฝั่งธนฯ มาครึ่งชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสความ “อันซีน” ที่พบเห็นได้แบบไม่จำกัด ตลอดแนวคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้

สัตวแพทยสมาคมฯ จับมือ FAVA เดินหน้าขับเคลื่อน “สุขภาพหนึ่งเดียว” คน สัตว์ สิ่งแวดล้อม ปลอดภัยและยั่งยืน

0
สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปภัมภ์ ผนึกกำลังองค์กรสมาพันธ์สมาคมสัตวแพทย์แห่งเอเซีย (The Federation of Asian Veterinary Associations : FAVA) ขับเคลื่อนแนวคิด “สุขภาพหนึ่งเดียว” (One Health) สู่เป้าหมายอาหารปลอดภัย สุขอนามัยที่ดี ของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางอาหารและการบริโภคอย่างยั่งยืน

นายสัตวแพทย์ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า การเดินหน้านโยบาย “สุขภาพหนึ่งเดียว” เป็นแนวทางการแก้ปัญหาและส่งเสริมสุขภาพดีแบบองค์รวม ประกอบด้วย สุขภาพคน สุขภาพสัตว์ และสุขภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการระบาดของโรคที่อันตรายทั้งในคนและสัตว์ ตลอดจนเป็นกลไกเฝ้าระวังและควบคุมโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ เช่น โรคไข้หวัดนก โรค ASF ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของอาหารไม่เพียงแต่ประเทศไทย หรือภูมิภาคนี้ แต่รวมถึงประชากรโลก

ในการสัมมนาระดับภูมิภาค เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา จัดโดย FAVA และสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในหัวข้อ FAVA ‘s One Health Approach on Sustainable Food Security in Asia Pacific (แนวทางสุขภาพหนึ่งเดียวกับความมั่นคงทางอาหารในเอเซียแปซิฟิค) เป็นความร่วมมือกันในการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเรื่องโรคอุบัติใหม่ในคนและในปศุสัตว์ รวมถึงการเฝ้าระวังระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมภายใต้บริบทสุขภาพหนึ่งเดียว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการระบาดของโรคที่อันตรายทั้งในคนและสัตว์ และการดำเนินนโยบายของภาครัฐ เอกชน และองค์การต่าง ๆ ในการร่วมมือกันด้านความมั่นคงของอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาค

สำหรับภาคปศุสัตว์ไทย แนวคิด “สุขภาพหนึ่งเดียว” มุ่งมั่นแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพร่วมกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และภาคสังคม ในการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา โดยเฉพาะมีการกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในภาคการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพื่อส่งเสริมการผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ให้มีความปลอดภัย (Food safety) และตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะส่งผลให้การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาในสัตว์ให้บรรลุผล

นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขี้นต่อเนื่องทั้งในคนและในสัตว์ ซึ่งสามารถติดต่อกันได้รวมทั้งการแพร่เชื้อจากสัตว์ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องมีความร่วมมือกันในระดับภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิก FAVA ได้เปิดสำนักงานสุขภาพหนึ่งเดียวที่เมืองฟูกูโอกะ (FAVA One Health Fukuoka Office, FOF) ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ให้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือของสัตวแพทย์สมาชิก FAVA ที่อยู่ในสมาคมต่าง ๆ เพื่อสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในภูมิภาค

รู้เก็บรู้ออม : เพิ่มเวลาเทรดหุ้น

0

เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2567 นี้เป็นต้นไป ที่นักลงทุนจะมีเวลาเทรดหุ้นได้มากขึ้น เนื่องจากตลาดทุนทั้ง 3 ตลาด คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ SET, ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) จะขยายเวลาทำการซื้อขาย โดยเปิดให้ ซื้อขายช่วงบ่ายเร็วขึ้น 30 นาที

เวลาซื้อขายใหม่สำหรับภาคบ่ายของ SET กับ mai จะเริ่มตั้งแต่ 14.00-16.30 น. ส่วนช่วงเวลาซื้อขายช่วงก่อนเปิดตลาด (Pre-Opening Period) ของภาคบ่าย ก็จะเขยิบเร็วขึ้นเป็น 13.30–14.00 น.

สำหรับ TFEX จะขยายเวลาทำการซื้อขายในช่วงกลางวันสำหรับสินค้ากลุ่ม Equity Futures & Options, Currency Futures และ Interest Rate Futures โดยเวลาทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Afternoon Session) ที่ปรับใหม่จะเป็น 13.45–16.55 น. ทำให้เวลาซื้อขายก่อนเปิดตลาดภาคบ่าย ขยับเร็วขึ้นเป็น 13.15–13.45 น.

การปรับเพิ่มเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งนี้มาจากการเปิดระดมความคิดเห็น และการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยพิจารณาเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ของต่างประเทศ พบว่ามีระยะเวลาซื้อขายหลักทรัพย์นานกว่าตลาดหุ้นไทย โดยระยะเวลาเปิดทำการซื้อขายของ SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 4.5 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศมีระยะเวลาเปิดทำการซื้อขายอยู่ที่เฉลี่ย 5-7 ชั่วโมงต่อวัน

ขณะเดียวกัน ยังเป็นผลดีต่อนักลงทุนในด้านการเพิ่มโอกาส และความสะดวกของการลงทุน ทำให้นักลงทุนมีเวลาในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนได้ทันกับความเคลื่อนไหวของข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ตลอดจนยังอาจ เป็นแรงหนุนต่อมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ด้วย

การเพิ่มเวลาเทรดครั้งนี้เป็นไปตามแผนงานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯวางไว้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค ความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

การยกระดับบริการต่างๆก็เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

อย่าลืม 25 มี.ค.นี้ ดีเดย์เวลาซื้อขายใหม่ของภาคบ่ายทั้ง 3 ตลาด SET mai และ TFEX เชื่อว่านักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากนาทีลงทุนที่เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กรุงเทพโปรดิ๊วส ตรวจประเมินระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด สร้างความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานข้าวโพด

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้กับ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตรวจประเมินระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดของบริษัทฯ ครอบคลุม คู่ค้า เกษตรกร และ โรงงานอาหารสัตว์ ของ ซีพีเอฟ ทั่วประเทศ โดยมีบริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนชั้นนำ เป็นผู้ดำเนินการตรวจประเมินประสิทธิภาพระบบตรวจสอบย้อนกลับย้อนกลับข้าวโพด (Corn Traceability System) ของบริษัทฯ ในฐานะผู้ตรวจสอบอิสระจากภายนอก (Third-party verifier)

ผู้เชี่ยวชาญของอีอาร์เอ็มได้ลงพื้นที่ตรวจประเมินการใช้งานระบบจริงทุกขั้นตอน ครอบคลุม 4 หัวข้อหลัก คือ นโยบายการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การใช้งานระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดของบริษัท การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ ตั้งแต่ ขั้นตอนการลงทะเบียนสถานประกอบการคู่ค้า การซื้อขายข้าวโพดจากเกษตรกรและจากผู้รวบรวม จนถึง การขายข้าวโพดให้กับบริษัทฯ และการจัดการด้านข้อมูลกรณีเหตุสุดวิสัย เพื่อติดตามประเมินผลการทำงานของคู่ค้าให้สอดคล้องกับแนวปฎิบัติตามหลักสากล ของระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร รวมถึงนโยบายของเครือซีพี ไม่รับซื้อและไม่นำเข้าผลผลิตข้าวโพดจากพื้นที่รุกป่าและพื้นที่เผาแปลง อย่างเคร่งครัด

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า ขั้นตอนการใช้งานรวมถึงการจัดการข้อมูลในระบบตรวจสอบย้อนกลับมีรายละเอียด ที่ช่วยให้พ่อค้าสามารถเห็นข้อมูลของข้าวโพดที่รับซื้อจากเกษตรกรว่ามาจากแปลงไหน รวมถึงมีภาพถ่ายดาวเทียมจากบริษัทมาตรวจว่ามาจากแหล่งปลูกที่ไม่รุกป่าและไม่เผาแปลง การมีผู้เชี่ยวชาญของอีอาร์เอ็มลงพื้นที่ตรวจประเมินการใช้งานระบบช่วยให้พ่อค้าผู้ใช้งานจริงมีข้อมูลในการปรับปรุงขั้นตอนและขบวนการใช้งานระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดให้เป็นไปตามมาตรฐานของซีพีได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น

หลังจากการตรวจประเมิน ทางอีอาร์เอ็มจะนำส่งรายงานรวมถึงคำแนะนำเพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพให้กับคู่ค้า ร่วมสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับให้เป็นเครื่องมือจัดหาผลผลิตทางการเกษตรที่ช่วยจัดการและป้องกันปัญหาบุกรุกพื้นที่ป่า และฝุ่นควัน PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตามเป้าหมายโครงการคู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน (Partner to Green) เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน

กรุงเทพโปรดิ๊วส เป็นบริษัทรายแรกที่ได้พัฒนา ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด ตั้งแต่ปี 2559 ใช้ในกระบวนการจัดซื้อข้าวโพดเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อยืนยันได้ว่าข้าวโพดที่จัดซื้อสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า และไม่เผาหลังเก็บเกี่ยว และมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมายกระดับความโปร่งใสของระบบ นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมมาช่วยติดตามและกำกับดูแลการเผาแปลงของเกษตรกร ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการทวนสอบระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยตนเอง (Self-Audit) และปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการตรวจประเมินระบบตรวจสอบย้อนกลับโดยองค์กรตรวจสอบอิสระจากภายนอก

47 ปี “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา”ต้นแบบเกษตรกรสร้างชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน

0

ที่ดินแห้งแล้งรกร้างว่างเปล่า 1,253 ไร่ ในตำบลบ้านซ่อง อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับการพลิกฟื้นจนมีความอุดมสมบูรณ์ สร้างชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็งภายใต้ชื่อ “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” เปลี่ยนชาวบ้านยากไร้สู่กลุ่มเกษตรกรผู้มั่งคั่ง ด้วยการทำเกษตรกรรม มีการเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพหลัก ปลูกพืชไร่และไม้ผลเป็นอาชีพเสริม จนสามารถส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นชุมชนต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน มานานกว่า 47 ปี นับตั้งแต่ปี 2520 พวกเขาทำได้อย่างไร?

ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด มาให้คำตอบกับคำถามนี้ เขาบอกว่าที่นี่เมื่อ 47 ปีที่แล้ว ชาวบ้านต่างเผชิญปัญหาความยากจน ไร้โอกาส ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ต้องการเข้ามาแก้ไข ด้วยการรวบรวมผืนดินที่แห้งแล้ง รกร้างมาพัฒนาให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งให้ความรู้ที่ทันสมัยในการเลี้ยงสัตว์ควบคู่กับการเพาะปลูก จัดหาแหล่งเงินทุน และหาตลาดในการจัดจำหน่าย ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง

ด้วยโมเดล “3 ประโยชน์ 4 ประสาน” ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร เพื่อรองรับการพัฒนาเกษตรกรรมทันสมัย ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ประการ คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ต่อประชาชน และสุดท้ายเป็นประโยชน์ต่อองค์กร โครงการฯ นี้ ช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิตเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาเข้าถึงที่ดิน เทคโนโลยีการเลี้ยงสุกร และแหล่งเงินทุน

โครงการฯ นี้ มีเครือซีพี โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ รับหน้าที่ดูแลและส่งเสริมเกษตรกรในการเลี้ยงสุกรที่มีคุณภาพ ในรูปแบบประกันราคา ด้วยเทคโนโลยีด้านสายพันธุ์สุกรพันธุ์ดี อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ พร้อมปัจจัยการผลิตที่จำเป็น รวมทั้งรับผิดชอบสนับสนุนทั้งการผลิตและการหาตลาดแทนเกษตรกร ด้วยการรับซื้อลูกสุกรที่โตได้ขนาดกลับคืนในราคาประกัน เกษตรกรจึงมีรายได้มั่นคง เพียงพอที่จะดูแลครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ สามารถจัดสรรรายได้ชำระคืนเงินกู้ครบในระยะเวลา 10 ปี ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน บ้านอยู่อาศัย และโรงเรือนเลี้ยงสุกร เปลี่ยนจากเกษตรกรยากไร้ สู่ครอบครัวที่มีฐานะพออยู่พอกินและมีที่ดินเป็นของตนเอง

หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าก้าวสู่มาตรฐานสากล ด้วยการนำนวัตกรรมการเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เลี้ยงสุกรในโรงเรือนปิดแบบ EVAP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งด้านการเจริญเติบโตและสุขภาพของสุกร เกษตรกรสามารถขยายการผลิตจากเดิมเลี้ยงรายละ 30 แม่ เป็น 150-500 แม่ ตามกำลังความสามารถของแต่ละราย มีการใช้ระบบไบโอแก๊ส เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้กับชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อน

ในทศวรรษที่ 4 หมู่บ้านแห่งนี้ไม่เคยหยุดพัฒนา มีการต่อยอดจากองค์ความรู้ด้านการจัดการและการใช้เทคโนโลยีทันสมัย สู่การสร้างสรรค์โครงการที่หลากหลายเพื่อสมาชิกหมู่บ้านและชุมชนโดยรอบ โดยมีเยาวชนลูกหลานร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดรับอาชีพเสริมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มพูนรายได้ จากอาชีพเลี้ยงสุกรปัจจุบันมี 22 ครอบครัว มีแม่สุกรเพิ่มจาก 30 แม่ เป็น 100- 700 แม่ มีรายได้ 300,000 – 2,000,000 บาท/เดือน ส่วนอาชีพเสริมเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ 6 ครอบครัว มีรายได้ 90 -150,000 บาท/เดือน ปลูกผักอินทรีย์ 2 ครอบครัว สร้างรายได้ 50,000-100,000 บาท/เดือน ปลูกยางพารา 2 ครอบครัว มีรายได้ 50,000-100,000 บาท/เดือน และเพาะเห็ดฟาง 2 ครอบครัว สร้างรายได้ 50,000-100,000 บาท/เดือน

“ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริมส่งผลให้เกษตรกรมีความมั่นคง มั่งคั่ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญเรายังให้ความสำคัญกับระบบนิเวศชุมชน สมาชิกของหมู่บ้านทุกคนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ ธนาคารน้ำใต้ดิน เพื่อให้การทำการเกษตรมีผลผลิตตลอดปี ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการเก็บกักน้ำไว้ใช้ยามจำเป็นได้อย่างเหมาะสมที่สุด สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำได้ถึง 1 ล้านบาท/ปี และกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ต้อนรับผู้ที่สนใจเช่นเดียวกับ ป่านิเวศเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ บนเนื้อที่ 14 ไร่ ของหมู่บ้าน มีพรรณไม้ถึง 109 ชนิด จำนวน 5 หมื่นต้น และเกษตรกรยังต่อยอดความสำเร็จป่านิเวศฯ สู่การพัฒนาการใช้สมุนไพรเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ยาปฏิชีวนะได้ 2.8 ล้านบาท/ปี” ภักดี กล่าว

นอกจากนี้ ชาวหนองหว้ายังได้ร่วมกันระดมทุนจัดตั้งโรงชำแหละสุกรร่วมกับซีพีเอฟ เป็นโรงชำแหละทันสมัย สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เพื่อให้เป็นปลายทางการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสู่ผู้บริโภค นับเป็นก้าวย่างสำคัญของชาวหนองหว้าที่ได้วางรากฐานที่เหนียวแน่นสู่ลูกหลาน ได้เข้าศึกษาเรียนรู้และต่อยอดอาชีพของตนเองได้ พร้อมสืบสานองค์ความรู้ของชุมชนสู่ลูกหลานรุ่นต่อไปอย่างเป็นระบบ

“หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” พลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้ง ให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรสีเขียว เกษตรกรมีอาชีพเลี้ยงสัตว์และอาชีพเสริมที่มั่นคง สร้างอนาคตการศึกษาที่ดีให้กับลูกหลาน ที่สำคัญซีพีและซีพีเอฟ ได้มอบความรู้อันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าให้กับเกษตรกร เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน ชาวหนองหว้าพิสูจน์แล้วว่าโจทย์ที่ยากที่สุดแต่พวกเขาก็ทำได้ ด้วยความเข้มแข็งของชาวชุมชน วันนี้เกษตรกรชาวหนองหว้ายังคงช่วยกันคิดสร้างสรรค์ เปิดรับสิ่งใหม่ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืนต่อไป./