Home Blog Page 118

“ห้าดาว” ลดค่าครองชีพผู้บริโภค … ปรับลดราคาสินค้า Five Star ทั่วไทย

0

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เปิดเผยว่า “ธุรกิจห้าดาว” (Five Star) ประกาศปรับลดราคาจำหน่ายสินค้า Five Star ถาวรหลายรายการ มาตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค โดยโครงสร้างราคาใหม่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรเดิมของเถ้าแก่แฟรนไชส์ หากแต่เป็นการช่วยกระตุ้นผู้บริโภคซื้อสินค้าห้าดาวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขายดียอดนิยมของห้าดาว หลายรายการ อาทิ ไก่ย่างทุกสูตร ไก่ทอด ไก่กรอบ และไก่จ๊อทุกเมนู ส่งผลให้เถ้าแก่ห้าดาวสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จนได้กำไรที่มากกว่าเดิม

“ห้าดาวให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ในการกับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ รสชาติ และความคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคมาโดยตลอด ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของครอบครัวห้าดาว ที่บริษัทฯ และแฟรนไชส์ มุ่งขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 40 ปี เพื่อเดินหน้าการสร้างโอกาสแก่เถ้าแก่ห้าดาว เติบโตบนเส้นทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างมั่นคง ควบคู่กับการสร้างแหล่งอาหารให้กับชุมชนและผู้บริโภคอย่างยั่งยืน” นายสุนทร กล่าว

ธุรกิจห้าดาว ยึดหลักการสร้างคุณค่าภายใต้ 3 ประโยชน์ คือ ประโยชน์แรก ประชาชนที่ได้รับประทานอาหารที่ดี มีคุณภาพ ในราคาคุ้มค่าเข้าถึงได้ เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ประโยชน์ต่อมา คือเถ้าแก่ในฐานะคู่ค้าที่แข็งแกร่ง ที่ต้องได้รับประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยห้าดาวไม่เคยลดกำไรของผู้ประกอบการแม้ในช่วงเวลา Promotion ก็ตาม ตอกย้ำการมุ่งสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ และสุดท้ายประโยชน์จึงจะส่งต่อมาถึงบริษัทฯ

รู้เก็บรู้ออม : ส่อง บจ. จ่ายปันผล ปี 66

0

การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี และสม่ำเสมอ เป็นทางเลือกที่ถือว่าปลอดภัย  และลดความเสี่ยงในการลงทุน  นักลงทุนเองสามารถสร้างความมั่งคั่งจากหุ้นปันผล ไม่ว่าจะเป็นการซื้อแล้วถือยาว หรือซื้อในช่วงจ่ายปันผล    “คุณนายพารวย”  จึงขอนำเสนอตัวเลขสถิติการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยของปีพ.ศ. 2566 ที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและเผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้  

ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน  ช่วยให้รู้ช่วงเวลาในการจ่ายเงินปันผล  สามารถนำไปประกอบการวางแผนและตัดสินใจเลือกหุ้นปันผล  รวมทั้งเลือกจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นปันผลมาสะสมไว้ในพอร์ต  ซึ่งนอกจากจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลตามเป้าหมายที่วางไว้  หากซื้อในจังหวะดี ได้ราคาถูก  เราก็จะได้ผลตอบแทนสองเด้ง ทั้งจากเงินปันผลและกำไรส่วนต่างราคาหุ้น

ปี 2566  บจ. ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 593,098 ล้านบาท  ตัวเลขนี้เป็นการจ่ายเงินปันผล 842 ครั้ง ของบจ. จำนวน 583 บริษัท  บจ.ส่วนใหญ่จ่ายเงินปันผลปีละครั้ง มีบางบริษัทจ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือ 4 ครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท โดยช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการจ่ายเงินปันผลของ บจ. ในตลาดหุ้นไทย มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.49%  

สำหรับช่วงเทศกาลจ่ายเงินปันผล จะอยู่ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม โดยในปี 2566 ช่วงเวลานี้มีการจ่ายเงินปันผลรวม 530 ครั้ง คิดเป็น 62.9% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปี 2566  โดยมีเดือนพฤษภาคม เป็นเดือนที่การจ่ายเงินปันผลมากที่สุด รวม 449 ครั้ง คิดเป็น 53.3%  และในแต่ละปี จะมีช่วงเทศกาลจ่ายปันผลอีกรอบในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี โดย ก.ย. ปีที่แล้ว มีการจ่ายเงินปันผลรวม 175 ครั้ง หรือเท่ากับ 20.8%

หากพิจารณาเป็นหมวดธุรกิจแล้ว  มี 3 หมวดธุรกิจที่ครองแชมป์จ่ายปันผลสูงสุด นั่นคือ อันดับแรก หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค จ่ายปันผลไป 137,737  ล้านบาท, อันดับสอง เป็นหมวดธนาคาร ที่จ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่ารวม 130,738 ล้านบาท และอันดับสาม เป็นหมวดหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ที่จ่ายปันผลไป 67,511 ล้านบาท

บริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ย่อมแสดงว่า มีผลประกอบการดี สภาพคล่องสูง และมีกำไรต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนก็สามารถใช้ข้อมูลส่วนนี้มาคัดกรองเลือกเฟ้นหุ้นได้    จากรายงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้ว่าในปี 2566  บจ.ไทยจะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 946,605 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2.6% ก็ตาม  แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายบริษัทแล้ว พบว่า บจ. ไทย จำนวน 625 บจ. จากทั้งหมด 828 บจ. ยังมีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจในปี 2566

จากตัวเลขสถิติต่างๆ ที่รวบรวมมา เชื่อได้ว่า จะช่วยให้นักลงทุนคัดกรองหุ้นเด็ด จับจังหวะเวลาซื้อขายหุ้นได้ และได้รับผลตอบแทนแบบปังๆ  บรรลุความต้องการและเป้าหมายที่วางไว้ สมปรารถนากันทุกคนค่ะ!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

สมาคมอาหารสัตว์ฯ ลงนามข้อตกลง “USSEC”ชูโมเดลถั่วเหลืองยั่งยืนสหรัฐฯ ต้นแบบสร้างวัตถุดิบยั่งยืนในไทย

0

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ สภาการส่งออกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USSEC) ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน รวมถึง การจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ ให้ตอบสนองความต้องการสินค้าปศุสัตว์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ หวังเป็นต้นแบบให้การผลิตข้าวโพดฯ มัน ข้าวและปลาป่น ปรับตัวเป็นวัตถุดิบยั่งยืนของไทยได้ในเร็ววัน

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจอาหารสัตว์ และปศุสัตว์ของไทย มีความพร้อมที่จะเดินหน้าเกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมให้ความสำคัญมาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่าสิบปี

ปีนี้ความต้องการผลิตอาหารสัตว์ของไทยอยู่ที่ประมาณ 21.3 ล้านตัน โดยในจำนวนนี้ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้ากว่า 60% และยังใช้วัตถุดิบภายในประเทศอีกประมาณ 40% ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี หรือแม้แต่วัตถุดิบภายในประเทศอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ข้าว และปลาป่น จะต้องเข้าสู่ระบบการผลิตที่ยั่งยืนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้ง 100% ด้วย

“ความร่วมมือกับ USSEC ในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างในการจัดหาถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่มีความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแหล่งความรู้ที่จะช่วยเร่งให้ไทยสามารถพัฒนาระบบการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าว หรือปลาป่น เพราะราคาจะไม่ใช่สิ่งแรกที่ตลาดถามหาอีกต่อไป แต่ค่าการปล่อยคาร์บอนของสินค้าชิ้นนั้นต่างหาก จะเป็นสิ่งแรกที่ตลาดถามถึง ซึ่งไทยต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้” นายพรศิลป์กล่าว

ขณะที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มีความพยายามในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สมาคมฯ ในนามของภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดำเนินการตรวจวัดการปล่อยคาร์บอนในแปลงปลูกข้าวโพดและกระบวนการผลิตปลาป่น ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประมวลผล อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนของสมาชิกสมาคมฯได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้การส่งออกอาหารของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ท่ามกลางความท้าทายในการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบอาหารสัตว์ของประเทศคู่ค้า

ข้อตกลงความร่วมมือสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนระหว่าง 2 หน่วยงานนี้ ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การศึกษาพิธีการรับรองความยั่งยืนของวัตถุดิบถั่วเหลืองจากสหรัฐ (SSAP- Soy Sustainability Assurance Protocol) ที่สามารถใช้เป็นเอกสารยืนยันความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์ ตลอดจน ข้อแนะนำด้านความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำคัญคือ USSEC จะสนับสนุนด้านวิชาการและกลไกการรายงานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานโลก เพื่อสนับสนุนให้การผลิตอาหารสัตว์และการปศุสัตว์ของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรฐานที่โลกต้องการ

นายจิม ซัทเทอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ USSEC กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ คาดว่าความต้องการอาหารสัตว์ของไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 4.5 % จากปี 2567 ถึง 2572 โดยความต้องการในการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ USSEC พร้อมมากที่จะร่วมมือกับ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ในการเปิดทางสู่อนาคตที่แข็งแกร่งในภูมิศาสตร์การเกษตร ทั้งภาคการผลิตพืชวัตถุดิบ การผลิตภาคปศุสัตว์และการผลิตอาหารของประเทศไทย

สำหรับถั่วเหลืองของสหรัฐฯ มีรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับถั่วจากแหล่งที่มาอื่น ๆ โปรตีนพืชอื่น ๆ และน้ำมันพืช ตั้งแต่ปี 2523 เกษตรกรถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในการปลูกถั่วเหลืองถึง 60% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ดินได้ถึง 48% ปรับปรุงการอนุรักษ์ดินได้ถึง 34% และเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองได้ถึง 130% โดยใช้พื้นที่ปลูกเท่าเดิม

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้โมเดลถั่วเหลืองของสหรัฐมาพัฒนาในหลายด้าน เช่น การลดรอยเท้าคาร์บอนในโรงงานอาหารสัตว์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรดินและน้ำ การลดการใช้สารเคมีในการเกษตร และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารสัตว์ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

AIS ชูนวัตกรรมโครงข่ายสุดล้ำให้ลูกค้าใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมบน 5G SA(DSDA) ครั้งแรกในไทยยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลของคนไทยอีกขั้น

0

AIS ตอกย้ำศักยภาพ 5G ตัวจริงมี 1 เดียว เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ดิจิทัลให้กับคนไทย ครั้งแรกในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่ลูกค้าสามารถใช้งาน 2 ซิม พร้อมกัน (Dual Active) ได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่าบนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G SA (Standalone) กับสุดยอดเทคโนโลยีนวัตกรรมโครงข่าย Dual SIM Dual Active (DSDA) ประเดิมใช้งานได้แล้วบนสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปกับ Xiaomi 14 Series เป็นรุ่นแรก ที่จะมายกระดับการใช้งานของลูกค้าให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติ

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเดินหน้าขยายความครอบคลุมและมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแกร่งแล้ว ภารกิจสำคัญของ AIS คือการนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G มาเชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลของลูกค้าในทุกมิติ อย่างการพัฒนาเทคโนโลยี VoNR (Voice over 5G New Radio) บนเครือข่าย 5G SA  สำเร็จเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสคุณภาพการใช้งานและเพิ่มประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถโทรสื่อสารได้ชัดเจนบนโครงข่าย 5G SA บนคลื่นที่มากที่สุดของเอไอเอสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยวันนี้เราสามารถให้บริการ 5G SA ได้ครอบคลุมกว่า 85% ของพื้นที่ประชากรในกรุงเทพฯ”

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS

 “ล่าสุดวันนี้เราได้ยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม   ครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมเน็ตเวิร์คล่าสุด Dual SIM Dual Active (DSDA) หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้พร้อมกัน 2 ซิม ทั้ง Data และ Voice ทำให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ต หรือเล่นเกมออนไลน์ได้ต่อเนื่อง โดยไม่หลุดถึงแม้จะมีสายเข้าที่ซิม 2”

สำหรับการใช้งาน 2 ซิม แบบเดิมบนสมาร์ทโฟน จะเป็นแบบ DSDS (Dual SIM Dual Standby) ยังมีข้อจำกัด เพราะ โทรหรือเล่น Data พร้อมกันได้ครั้งละหนึ่งซิมเท่านั้น มีการโทรด้วยซิมหนึ่ง อีกซิมจะถูกตัดการทำงานทั้ง Voice และ Data ทันที จนกว่าซิมแรกจะวางสาย อาจทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งานจริงของลูกค้า โดยนวัตกรรม Dual SIM Dual Active (DSDA) จะเข้ามาพลิกโฉมการใช้งานของลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนแบบ 2 ซิม ให้สามารถใช้งานได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม เพียงซิมหลักและซิมรองใช้งานบนเครือข่าย AIS 5G ที่รองรับ VoNR (Voice over 5G New Radio) หรือ VoLTE (Voice Over LTE)

โดยสามารถใช้งานได้ทั้งอินเทอร์เน็ตและการโทรรับสาย (Data + Voice) ได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด บนซิมหลัก  แม้มีสายเรียกเข้าจากซิม 2 หรือแม้แต่ การใช้งานการโทรทั้ง 2 ซิม (Voice + Voice) ที่จะไม่พลาดทุกการสื่อสารสำคัญ ไม่ว่าซิมใดกำลังใช้สาย อีกซิมหนึ่งก็ยังสามารถรับสายหรือโทรออกได้เช่นเดียวกัน และสามารถสลับใช้งานได้ทันทีเมื่อมีสายเข้า  โดยเลือกได้ว่าจะพักสายสนทนา หรือจะฟังสายอีกซิม และการใช้งาน Voice + SMS/MMS เมื่อกำลังใช้สายอยู่ และมีข้อความ SMS/MMS จากอีกซิมหนึ่งเข้ามาจะทำให้สามารถรับข้อความได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องวางสาย

        “เรายังเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระดับสากลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดในทุกมิติ จนมาถึงวันนี้ที่เราได้พัฒนานวัตกรรม DSDA ไปพร้อมกับทาง Xiaomi สำเร็จพร้อมใช้งานควบคู่กับสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปกับ Xiaomi 14 Series เป็นรุ่นแรก และคาดว่าจะมีสมาร์ทโฟนที่รองรับทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้” นายวสิษฐ์  กล่าวทิ้งท้าย

        สำหรับลูกค้า AIS ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การใช้งานนวัตกรรม DSDA บน 5G SA สามารถจอง Xiaomi 14Series  ทั้ง Xiaomi 14 Ultra และ Xiaomi 14 ได้แล้ว ที่ AIS Shop และตัวแทนจำหน่าย ทั่วประเทศ

กรมประมง เอาจริงเปิดกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” นำร่องจับปลาหมอสีคางดำ 5 จังหวัด

0

จังหวัดสมุทรสงครามและประมงจังหวัดฯ นำร่องเปิดกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” เดินหน้าจริงจัง ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเริ่มโครงการพิชิตปลาหมอสีคางดำ ในแม่น้ำลำคลองของจังหวัด เพื่อลดการแพร่ระบาดและสนับสนุนการนำไปเพิ่มมูลค่าอย่างเหมาะสม ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสัตว์น้ำพื้นถิ่นและสมดุลระบบนิเวศ

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า การเปิดตัวกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” ในวันนี้ เป็นการเดินหน้าตามโครงการ “ปฏิบัติการล่า ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่ง Kick Off ไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 พร้อมกัน 5 จังหวัดนำร่อง คือ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศเป้าหมายในการกำจัดปลาหมอสีคางดำ อย่างเป็นรูปธรรม

บัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม

สำหรับกิจกรรมจับปลาของจังหวัดสมุทรสงครามครั้งนี้ เป็นหนึ่งในปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อปกป้องผลผลิตสัตว์น้ำของเกษตรกรและทรัพยากรประมงของประเทศ ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของหลายภาคส่วน ประกอบด้วย ชาวประมง เกษตรกร ชุมชน และข้าราชการ ในการฟื้นฟูสมดุลสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำ และเป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน

กิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วยการลากอวนจับปลาหมอสีคางดำในบ่อพักน้ำ บริเวณสระน้ำด้านข้างศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม โดยประมงจังหวัดสมุทรสงคราม มีเป้าหมายในการจัดกิจกรรมนี้เดือนละ 1 ครั้ง ตลอดปี 2567 ควบคู่กับการจัดแสดงนิทรรศการชีววิทยาของปลาหมอสีคางดำ และการชิมอาหารจากการแปรรูปปลาหมอสีคางดำ

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงวางแผนและกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกันและแก้ปัญหา การแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคมและชุมชน ผ่านกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและลดจำนวนปลาหมอสีคางดำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับแนวทางหลักในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาปลาหมอสีคางดำ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย 1. การจับปลาด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทั้งอวนล้อม อวนลาก และทอดแห 2. การปล่อยปลานักล่า เช่น ปลากะพง 3. สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่า 4. นำไปทำปลาป่น เป็นอาหารสัตว์

ที่ผ่านมา ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม มีการจัดกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูแหล่งน้ำและช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อ เช่น การปล่อยปลากะพงขาว ปลาอีกง และมอบกากชา เพื่อกำจัดปลาหมอสีคางดำ ตลอดจนมีการแนะนำให้ใช้เครื่องมือประมงอย่างเหมาะสมในการจับปลาแต่ละพื้นที่ทั้งทอดแหและลากอวน โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561- ปัจจุบัน

นายบัณฑิต กล่าวว่า กรมประมงยังได้หาแนวทางในการนำปลาหมอสีคางดำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปลาแดดเดียว น้ำปลา ผงคลุกข้าวแบบญี่ปุ่น ปุ๋ยน้ำ และเมนูอาหารหลายชนิด รวมถึงอาหารทานเล่น อาทิ ไส้อั่ว ปั้นขลิบ ข้าวเกรียบ ปลาแผ่นบด เป็นต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นรายได้ให้กับเกษตรกรและคนในชุมชน รวมถึงประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ สร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตามเป้าหมายการกำจัดปริมาณปลาหมอสีคางดำ

ตลท. สั่ง NUSA ชี้แจงข้อมูลการประชุมคณะกรรมการที่แตกต่างกัน

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีหนังสือแจ้งให้บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) (NUSA) ชี้แจงข้อมูลการประชุมคณะกรรมการที่แตกต่างกัน โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น (จัดตามมาตรา 100) ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการใหม่และเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการบริษัทเป็นนายนพพล มิลินทางกูร ต่อมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการประชุม คณะกรรมการเมื่อวันท่ี 15 มีนาคม 2567 ที่มีเนื้อหาที่แตกต่างกันดังนี้

• หนังสือจากนายวิษณุ เทพเจริญ แจ้งว่าในฐานะที่ตนเองเป็นประธานกรรมการมิได้รู้เห็นและเรียกประชุม กรรมการในวันดังกล่าว การประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
• หนังสือจากนายนพพล มิลินทางกูร แจ้งว่าในฐานะประธานกรรมการ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการ ในวันดังกล่าวซ่ึงที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 และได้นำส่งสารสนเทศเกี่ยวกับการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้กับกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเเพื่อให้เปิดเผย สารสนเทศผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน NUSA ยังไม่ได้เปิดเผยมติคณะกรรมการบริษัท

เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ NUSA ช้ีแจงข้อเท็จจริงดังกล่าว ภายในวันที่ 25 มีนาคม 2567

AIS ผนึก กระทรวง พม. เปิดตัวโครงการ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” ชวนนิสิต-นศ. สร้างนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุและคนพิการ ชิงรางวัลรวม 2 แสนบาท

0

AIS ACADEMY ผนึก กรมกิจการผู้สูงอายุ และ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่อเนื่อง ร่วมเคียงข้าง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ล่าสุดเปิดตัวโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 ภายใต้แนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อ ขับเคลื่อนอนาคตด้วยนวัตกรรม” เชิญชวนนิสิต-นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โชว์ไอเดียออกแบบนวัตกรรม ภายใต้โจทย์ “เทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร” ตั้งเป้าสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มคนพิการให้มีศักยภาพในการดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับองค์ความรู้ใหม่ๆ และทักษะดิจิทัลจากบุคลากรของ AIS ที่จะร่วมเป็นเมนเทอร์ในกิจกรรมนี้ตลอดโครงการ

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวว่า “AIS ACADEMY ยังคงเดินหน้าเพื่อเป็นแกนกลางในการพัฒนาศักยภาพของคนทั้งภายในและภายนอกองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยในองค์รวม ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมมือกันจัดให้กลุ่มพนักงาน AIS ได้ร่วมส่งต่อความรู้ สร้างอาชีพกับประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิค-19 ผ่านกิจกรรมอุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ รวมถึง สร้างห้องสมุดดิจิทัลเพื่อมอบโอกาสการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ให้กับเด็กไทย”

“ล่าสุดประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงความต้องการในการดูแลผู้พิการท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นความท้าทายของสังคมอย่างมาก ดังนั้น AIS จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานร่วมกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ และ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 ภายใต้แนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อ ขับเคลื่อนอนาคตด้วยนวัตกรรม” ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เปิดเวทีการแข่งขันให้นิสิต นักศึกษา ได้โชว์ไอเดียการนำนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการ พร้อมโอกาสในการได้รับองค์ความรู้จากพนักงาน AIS ที่จะร่วมเป็นเมนเทอร์ แบ่งปันทักษะ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้แก่น้องๆ อย่างใกล้ชิดตลอดการแข่งขัน โดยความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของชาวเอไอเอสที่พร้อมเคียงข้างสังคมไทยโดยใช้ขีดความสามารถของการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ – Cognitive Tech-Co นั่นเอง” นางสาวกานติมา กล่าวทิ้งท้าย

นิสิต นักศึกษา ที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวม 200,000 บาท โดยรางวัลชนะเลิศจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท และโอกาสในการร่วมงานกับ AIS ในการพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงร่วมกับกระทรวง พม. ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 เมษายน 2567 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jumpthailand.com หรือ https://www.facebook.com/AISJumpThailand

เตือนนักลงทุน ระวังโดนหลอก บัญชีปลอมแอบอ้างเป็นผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือเตือนนักลงทุน โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่ปรากฏบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่แอบอ้างชื่อและภาพของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) รวมทั้งได้มีการใช้บัญชีดังกล่าวไปชักชวนหรือหลอกลวงประชาชนทั่วไปให้มาร่วมลงทุน หรือรับข้อมูลการลงทุน นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเตือนผู้ลงทุนและประชาชนว่า อย่าได้หลงเชื่อบัญชีปลอม เพจปลอมและโซเชียลมีเดียใด ๆ ที่มีการแอบอ้างดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่ต้องการหลอกลวง

ทั้งนี้ หากพบบัญชีปลอม เพจ Facebook หรือโซเชียลมีเดียใด ๆ ที่มีการแอบอ้างโลโก้และชื่อของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงชื่อและภาพผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดทุน เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนหรือรับข้อมูลการลงทุน ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ และขอให้สอบถามหรือตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ที่ SET Contact Center 0 2009 9999 หรือ email: [email protected]

เมืองไทยประกันชีวิต บุกประกันออนไลน์ ส่ง “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” เปิดประสบการณ์ใหม่ไม่เคลมก็ได้คืน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำนโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง”  ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) และสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของประกันอุบัติเหตุออนไลน์ ด้วยการเปิดตัว “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” เติมความมั่นใจรับมืออุบัติเหตุ หากไม่เคลมก็ได้คืน 

ทั้งนี้ “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” โดดเด่นด้วยผลประโยชน์กรณีต่ออายุกรมธรรม์ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี และไม่เคยเคลม จะได้รับคืนเบี้ยประกันภัย 1 ปีเท่ากับจำนวนเบี้ยประกันภัยต่อปีในปีสุดท้าย พร้อมโดดเด่นด้วยความคุ้มครองการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียอวัยวะ และอื่น ๆ จากอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์สูงสุดไม่เกิน 1,200,000 บาท หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์สูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท อุบัติเหตุสาธารณะ สูงสุดไม่เกิน 2,400,000 บาท การถูกฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายร่างกาย สูงสุดไม่เกิน 1,200,000 บาท รวมถึงเงินค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย คุ้มครอง 24 ชั่วโมง    ทั่วโลก มีให้เลือกได้จุใจถึง 3 แผน คือ S  M และ L ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-60 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาทต่อปี 

พิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อประกันอุบัติเหตุ PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” บนช่องทาง Online Sale และ MTL Click โดยชำระเบี้ยประกันภัยรายปี เบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 5,000 บาท (เฉพาะการชำระเบี้ยประกันภัยต่อกรมธรรม์ในปีแรกเท่านั้นและสำหรับการซื้อแบบประกันใหม่เท่านั้น) รับโปรโมชันผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน เมื่อชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารยูโอบี ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงไทย ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 พฤษภาคม 2567(6)  

“เมืองไทยประกันชีวิต เรามีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม(Democratizing Insurance) พร้อมเดินหน้าออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกันได้อย่างเข้าใจและเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย”       

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อประกันอุบัติเหตุออนไลน์ PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” จากเมืองไทยประกันชีวิต ได้ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชัน และสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่ลิงก์นี้       https://webmtl.co/4c5KRXn  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

40 ปี “ธุรกิจห้าดาว” สานฝันผู้ประกอบการมีธุรกิจเป็นของตนเอง สร้างอาชีพมั่นคง เติบโตบนเส้นทางธุรกิจยั่งยืนไปด้วยกัน

0

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เปิด เผยว่า “ธุรกิจห้าดาว” (Five Star) สานฝันผู้ประกอบการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มุ่งสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ มาตลอด 40 ปี ปัจจุบันมีแฟรนไชส์กว่า 5,000 รายในประเทศไทย และอีก 3,500 รายในต่างประเทศ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายความสำเร็จเป็น 11,500 ราย ใน 10 ประเทศ โดยมุ่งเน้นการสานต่อความสำเร็จ สร้างเถ้าแก่ที่เข้มแข็งมีคุณภาพ ส่งต่ออาหารคุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยมีบริษัทฯ เป็น “เพื่อนแท้ทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกๆด้าน ช่วยสร้างโอกาสที่จับต้องได้ บนพื้นฐานความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจของห้าดาวที่มีมาอย่างยาวนาน ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการเป็นเถ้าแก่ที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง

“ตลอดการดำเนินงาน 40 ปี ธุรกิจห้าดาวมุ่งมั่นสร้างอาชีพ ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเติบโตบนเส้นทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน จากระบบบริหารจัดการแบบครบวงจร ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ โดยมีบริษัทฯ เป็นทีมหลังบ้านที่แข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนที่ต่ำกว่าในอุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน จึงลดความเสี่ยงของผู้ลงทุน ทำให้สามารถคืนทุนได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอน ช่วยสร้างงานให้กับคนในชุมชน เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งมอบอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน” นายสุนทร กล่าว

ธุรกิจห้าดาว เป็นธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารในรูปแบบแฟรนไชส์สัญชาติไทย ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพีเอฟเรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวมีแฟรนไชส์จำหน่ายอาหารหลากหลาย ตั้งแต่ ซุ้มไก่ย่าง-ไก่ทอดห้าดาว กระทะเหล็ก Hi Pork เป็ดเจ้าสัว ข้าวมันไก่ไห่หนาน และ STAR COFFEE และยังคงเดินหน้าพัฒนารูปแบบร้านให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งรูปแบบ Five Star Glass House และ Five Star Shop

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการทำ Food Delivery สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในยุคของสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่สำคัญยังมีทีมงานเข้าตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน QSC และประเมินการรักษามาตรฐานของร้านอยู่เสมอ ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยของสินค้า และมีความเป็นเลิศในการบริการ