Home Blog Page 118

สมาพันธ์ปศุสัตว์ฯ เป็นห่วงวิกฤตอาหารสัตว์ หลัง ‘ประกาศนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง’ หมดอายุสิ้นปี

0

“ประกาศนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง” ปี 2563-2566 กำลังจะสิ้นสุด 31 ธันวาคมนี้ ทั้งที่มีกำหนดต่ออายุประกาศทุกๆ 3 ปี แต่กลับไม่ได้รับการเสนอในที่ประชุม ครม. คาดนำเข้าไม่ทันการณ์ ภาคปศุสัตว์เตรียมรับผลกระทบหนัก ไม่มีวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ เดือดร้อนทั้งระบบ

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล เลขาธิการสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองปีละเกือบ 3 ล้านตันเพื่อผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากไทยผลิตถั่วเหลืองได้เพียงปีละ 2-3 หมื่นตัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ สินค้ากากถั่วเหลืองอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการนโยบายอาหาร กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้พิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) โดยมีกำหนดพิจารณาคราวละ 3 ปี และประกาศนำเข้ากากถั่วเหลืองปี 2563-2566 กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาโดย ที่ประชุม ครม. ก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ต่อไป

ทั้งนี้ สมาพันธ์ฯ ได้มีหนังสือติดตามความคืบหน้าการดำเนินการออกประกาศดังกล่าวไปแล้วหลายฉบับ ตั้งแต่ฉบับแรกเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 – ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 14 กรกฏาคม 2566 – ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 แต่ยังไม่เป็นผล จนกระทั่งวันที่ 20 ตุลาคม 2566 จึงมีการประชุม คณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยกระทรวงพาณิชย์ มีหนังสือเสนอประกาศดังกล่าว เข้า ครม.ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 แต่ปัจจุบันเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่ถูกบรรจุเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งกินเวลาร่วม 2 เดือนแล้ว ล่าสุด จะถูกบรรจุวาระเข้าในการประชุม ครม.วันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่สุดท้ายกลับมีการถอนวาระดังกล่าวออกโดยไม่ทราบสาเหตุ และแจ้งว่าจะบรรจุเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้งในวันที่ 26 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นวันประชุม ครม.วันสุดท้ายของปี 2566 และเป็นไปไม่ได้เลยที่การประกาศนำเข้ากากถั่วเหลืองจะดำเนินการได้ทัน เพราะภายหลังจากผ่านที่ประชุม ครม.แล้ว จะต้องมีกระบวนการออกประกาศยกเว้นอากรของกระทรวงการคลังอีกขั้นตอนหนึ่ง

ข้อมูลขณะนี้พบว่า วันที่ 3 มกราคม 2567 จะมีเรือขนถ่ายสินค้ากากถั่วเหลืองเข้าสู่ประเทศไทยเป็นลำแรก และตลอดเดือนมกราคม 67 จะมีเรือนำเข้ากากถั่วเหลืองจำนวน 4 ลำ รวมปริมาณ 2.1 แสนตัน ซึ่งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากประกาศนำเข้ากากถั่วเหลืองออกไม่ทัน ได้แก่ 1.) เรือที่ขนถ่ายสินค้ากากถั่วเหลืองที่จะเข้ามาไทยจะไม่สามารถขนถ่ายสินค้าได้ และมีค่าใช้จ่าย (Demurrage Charge) วันละ 2.5 แสนบาท/ลำเรือ และเดือน มค. มีเรือเข้ามาพร้อมกัน 4 ลำ จะมีค่าใช้จ่ายรวม 1 ล้านบาท/วัน นับไปทุกวันจนกว่ารัฐบาลจะออกประกาศ และ 2.) ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของอัตราดอกเบี้ยสูญเปล่า กรณีประกาศลดหย่อนอัตราภาษีของกระทรวงการคลังออกล่าช้า กรณี มค.67 มีรายการเข้ามาจำนวน 2.1 แสนตัน มูลค่านำเข้าประมาณ 4,200 ล้านบาท มูลค่าภาษีที่ต้องสำรองจ่ายจะสูงถึง 336 ล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ยสูญเปล่า 1.68 ล้านบาท/เดือน ระยะเวลาขอคืนภาษี 6 เดือน คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยสูญเปล่าในเดือน มค.รวม 10.08 ล้านบาท

“ทั้งหมดเป็นความเสียหายที่ไม่ได้เกิดจากผู้ประกอบการ แต่เกิดจากความล่าช้าของรัฐ ที่สำคัญ ความเสียหายต่อเนื่องยังมีอีกมาก หากเกิดการหยุดชะงักของกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ เพราะไม่มีวัตถุดิบในการผลิต อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังผู้บริโภค และกระทบต่อการส่งออกสินค้า เนื้อไก่ และกุ้ง ซึ่งมีมูลค่าทั้งระบบรวมกันกว่าหนึ่งล้านล้านบาท ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ รัฐบาลต้องออกประกาศดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน เพื่อจำกัดความสูญเสียให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด” นายพรศิลป์กล่าว

ล่าสุด สมาพันธ์ฯ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ยื่นถึงนายกรัฐมนตรี เร่งรัดประกาศดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อระงับความสูญเสียต่อภาคธุรกิจอาหารสัตว์และปศุสัตว์

ทั้งนี้ สมาชิกสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบด้วย 1.) สมาคมปศุสัตว์ไทย 2.) สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ 3.) สมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก 4.) สมาคมกุ้งไทย 5.) สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ 6.) สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย 7.) สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ 8.) สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ 9.) สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย 10.) สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดเพื่อการค้าและการส่งออก 11.) สมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย 12.) สมาคมผู้เลี้ยงไก่พันธุ์ 13.) สมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ 14.) สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย และ15.) สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

ครม.รับทราบข้อเสนอแบงก์ชาติ บรรจุหลักสูตรทักษะความรู้การเงินตั้งแต่ชั้นอนุบาล แก้ปัญหาหนี้ระยะยาว

0
คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรี รับทราบ ข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้สถานศึกษาต้องมีหลักสูตรบังคับด้านทักษะความรู้ทางการเงิน ตั้งแต่ระดับอนุบาล เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ในระยะยาว พร้อมอนุมัติงบประมาณ จำนวน 4,900 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ และอุ้มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี-รายย่อย 

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ข้อแนะนำสำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบว่า ควรให้มีการกำหนดหลักสูตรวิชาบังคับในสถานศึกษา ตั้งแต่ระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล ให้มีทักษะความรู้ทางด้านการเงิน ออมทรัพย์ทั้งในยามฉุกเฉินและเพียงพอในวัยเกษียณ

ทั้งนี้ ครม.ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 4,900 ล้านบาท เพื่อดำเนินในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ โดยกระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการ 3 ข้อ ดังนี้

1.มาตรการช่วยเหลือพักหนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

2.มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบ

3.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ตามโครงช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ

ทั้งนี้ งบประมาณ 4,900 ล้านบาท แบ่งเป็นงบสำหรับช่วยเหลือเอสเอ็มอี 400 ล้านบาท และช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ 4,500 ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยให้สถาบันการเงินสำรองเงินไปก่อน และตั้งของบประมาณชำระคืน จากสำนักงบประมาณต่อไป  

“การแก้ไขหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ จะช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ของลูกหนี้ในระบบ ช่วยเหลือให้ลูกหนี้ที่มีหนี้นอกระบบสามารถกลับเข้ามาในระบบได้ และป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ที่มีหนี้ในระบบกลับไปเป็นหนี้นอกระบบได้อีก  สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ช่วยให้ประชาชนสามารถผ่อนชำระหนี้ได้สอดคล้องกับศักยภาพในการหารายได้ พร้อมทั้งผลักดันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อย่างเหมาะสมเป็นธรรม” นายคารม กล่าว

รักใครให้กินไข่ “ไข่ไก่” สุดยอดอาหารจากแม่ไก่

0
บทความ โดย น.สพ.ดร.กิตติ ทรัพย์ชูกุล อุปนายกสัตวแพทยสภา คนที่ 1 และ รองประธานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง

ไข่ไก่ สุดยอดอาหารจากแม่ไก่ ประโยชน์มากมาย
มีเลซิทิน บำรุงสมอง เสริมความจำ ช่วยป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ บำรุงดวงตา และหัวใจ โปรตีนสูง ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ แร่ธาตุและสารอาหารต่างๆ ในไข่ขาวให้พลังงานและมีโปรตีนที่ดูดซึมได้ง่าย ส่วนไข่แดง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมถึงไขมันอิ่มตัวชนิดดี จึงทำให้ไข่ไก่เหมาะสำหรับทุกคนทุกวัย เป็นสุดยอดอาหารแก่คนที่คุณรัก

สำหรับปริมาณการบริโภคไข่ไก่ กรมอนามัยแนะนำว่า สามารถรับประทานได้ทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่วัยทารก รับประทานได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยบดไข่แดงและป้อนให้เด็ก เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบ สามารถรับประทานไข่ได้ทั้งฟอง ซึ่งเด็กๆ จะชอบกินไข่อยู่แล้ว โดยกินได้ทุกวัน วันละ 1 ฟอง หากต้องการให้เด็กเติบโตเร็วขึ้น สามารถที่จะรับประทานได้มากกว่านั้น ส่วนในวัยรุ่นบริโภคไข่ได้วันละฟอง เช่นเดียวกันกับหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นกลุ่มพิเศษที่สามารถบริโภคไข่ได้ทุกวัน วันละ 1 ฟอง

ขณะที่วัยทำงาน รับประทานไข่ได้ทุกวัน วันฟอง โดยเริ่มต้นที่มื้อเช้าด้วย ไข่ดาว ไข่ต้ม หรือโจ๊กใส่ไข่ จะรู้สึกสดชื่นทั้งวัน หรือในช่วงเวลาบ่ายหลังจากทำงานเหนื่อย แนะนำกินไข่ต้ม 1-2 ฟอง จะทำให้อิ่มยาวไปถึงเย็น เพราะโปรตีนจากไข่ไก่ดูดซึมง่าย และเป็นโปรตีนคุณภาพทำให้อิ่มท้อง

สำหรับในวัยผู้ใหญ่การออกกำลังกายจะลดลง และโปรตีนอาจจะเสื่อมสภาพไป การที่ร่างกายไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรงและขาจะลีบได้ การบริโภคไข่ต่อเนื่องจะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของโปรตีน พร้อมฟื้นฟูโปรตีนในกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม รวมถึงไข่ไก่ยังช่วยในเรื่องโครงสร้างของร่างกายด้วย จึงเห็นได้ว่าผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะรับประทานไข่ไก่ทุกวัน

นอกจากนี้ ไข่ไก่ มีเลซิทิน ซึ่งช่วยบำรุงสมอง เสริมความจำ การบริโภคไข่ทุกวันจึงเป็นการป้องกันการเกิดเอาซัมเมอร์ได้

ในผู้สูงวัยที่มีข้อสงสัยว่ากินไข่แล้วจะมีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล ทางการแพทย์มีคำตอบชัดเจนแล้วว่า ไข่ไก่ ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่คอลเลสเตอรอลในร่างกายของคน 80% เกิดจากที่ตับสร้างขึ้น เมื่อมีภาวะเครียดหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับการสร้างตัวของคอเลสเตอรอลจะผิดปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ผู้สูงอายุจึงสามารถบริโภคไข่ได้เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ฟอง

ขณะที่ผู้ที่ไม่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน สามารถบริโภคได้ทุกวัน ส่วนในกลุ่มที่มีปัญหาของโรคดังกล่าว แพทย์จะแนะนำให้รับประทานไข่วันเว้นวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้ ข้อมูลทางการแพทย์ ได้เคยขีดเส้นว่าคอเลสเตอรอลที่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร คือ คอเลสเตอรอลสูง แต่วันนี้ทางสหรัฐอเมริกา ระบุว่าไม่ต้องมองที่ตัวเลข 200 ให้มองเรื่องของสัดส่วนของคอเลสเตอรอลชนิดดีกับชนิดไม่ดี วันนี้การบริโภคไข่ไก่ได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยคอเลสเตอรอล 80% ร่างกายสร้างขึ้นเอง และอีก 20% คือจากอาหารที่รับประทาน ดังนั้นการบริโภคไข่ไก่ จึงเป็นการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีให้กับร่างกาย

สำหรับการบริโภคไข่ไก่ที่ดีที่สุด ให้บริโภคไข่ที่สดใหม่ เพราะสารอาหารและโปรตีนยังไม่เสื่อมคุณภาพ โดยสังเกตที่วันผลิตและวันหมดอายุ หรือเมื่อตอกออกมา ไข่สดจะยังเป็นวงอยู่ ส่วนไข่เก่าไข่ขาวจะเหลวเสื่อมสภาพไป ขณะที่การซื้อไข่ในห้างสรรพสินค้าที่มีการปรับอากาศให้เย็นจะช่วยรักษาคุณภาพของไข่ไก่ไว้ให้ดีกว่าการซื้อในที่อากาศร้อน และหากต้องการเก็บไข่ให้ได้นานขึ้นแนะนำให้เก็บไข่ในตู้เย็น โดยเอาด้านป้านขึ้น เอาด้านแหลมลง

ส่วนวิธีการปรุงที่ดีที่สุดของการบริโภคไข่ให้ได้ประโยชน์สูงสุดที่ทางแพทย์ยืนยันคือ ไข่ต้ม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ 6 นาทีครึ่ง ถึง 9 นาที หากใช้เวลาต้มนานกว่านั้นจะเกิดขอบเป็นสีน้ำตาลหรือสีออกเขียว เพราะโปรตีนเสียคุณภาพไป โดยจะพบได้ง่ายในไข่พะโล้

สุดท้ายนี้ การดูแลสุขภาพที่พิเศษที่สุดคือการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง และข้อสำคัญคือไม่เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรง

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ AIS เปิดตัวประกันสุขภาพออนไลน์ “Health จุใจ IPD+OPD” หายห่วงเรื่องค่ารักษา พร้อมสิทธิพิเศษโดนใจ

0
เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ AIS มอบความสุขส่งท้ายปีแก่ลูกค้า AIS Serenade ส่งโครงการ “Health จุใจ IPD+OPD” ช่วยเพิ่มความอุ่นใจ หายห่วงเรื่องค่ารักษา เปิดประสบการณ์ใหม่ประกันสุขภาพออนไลน์ และสิทธิพิเศษโดนใจ  เพียงกรอกโค้ด “AISMTL20”  พร้อมรับความสุขและความอุ่นใจ   ได้แล้วตั้งแต่ 1 พ.ย. -  30 ธ.ค. 2566

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ส่งมอบความสุขส่งท้ายปี พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยแบบประกันที่โดนใจและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS Serenade โดยเฉพาะ ผ่านโครงการ “Health จุใจ IPD+OPD” ดูแลครบการรักษาโรคทั่วไป โรคระบาด อุบัติเหตุ แบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ที่จัดแพ็คความคุ้มครองแบบจุใจ เต็มอิ่มกับความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย คุ้ม ครบ ซื้อง่าย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เลือกได้ในแบบที่เป็นคุณ

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MTL

โดยโครงการ  “Health จุใจ IPD+OPD”  โดดเด่นด้วยความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่ายแบบผู้ป่วยใน (IPD) นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานทุกโรงพยาบาลทั่วไทย และเลือกคุ้มครองสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) ที่คุ้มครองตั้งแต่โรคเล็ก โรคร้ายแรง โรคทั่วไป อุบัติเหตุ แอดมิตก็เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรกในวงเงินเดียวสูงสุด  200,000 บาทต่อครั้ง ไม่จำกัดครั้ง นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และดูแลค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) เหมาจ่ายสูงสุด 50,000 บาทต่อปี พร้อมดูแลยาวถึงอายุ 99 ปี  มีให้เลือกได้จุใจถึง 4 แพ็ค คือ S M  L และ XL เบี้ยประกันภัยแพ็คเล็กเริ่มต้นเดือนละ 999 บาท 

รพีพรรณ  แนวบุญเนียร  หัวหน้าส่วนงานบริหารบริการประกันภัยและสินเชื่อดิจิทัล AIS

คุณรพีพรรณ  แนวบุญเนียร  หัวหน้าส่วนงานบริหารบริการประกันภัยและสินเชื่อดิจิทัล AIS กล่าวว่า “ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประกัน อย่างเมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจร่วมกันเพื่อส่งมอบประสบการณ์และความพิเศษให้กับลูกค้า AIS Serenade ทั้งโมบายล์ และเน็ตบ้าน เราเชื่อว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของบริการดิจิทัลอย่างประกันสุขภาพออนไลน์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสร้างความสุขและความอุ่นใจ”  

สำหรับลูกค้า AIS Serenade  ที่ซื้อประกันโครงการ “Health จุใจ IPD+OPD” ผ่านช่องทางออนไลน์  www.add-digital.co.th/life/healthjoojai   ซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเลือกชำระเงินแบบรายปี และกรอกโค้ด “AISMTL20” รับส่วนลดทันที 20% ของค่าเบี้ยประกันภัยปีแรก เมื่อเลือกแพ็ค M, L หรือ XL  โดยสิทธิพิเศษเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2566 สำหรับผู้ที่สนใจ  สามารถศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชัน และสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์   www.add-digital.co.th/life/healthjoojai   ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

“วรวุฒิ-คาร์โล” ควบ NSX GT3 นำทีม “สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต” คว้าดับเบิ้ลโพเดียม ปิดฤดูกาล TSS 2023

0

วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และทีมเมท คาร์โล แวน แดม ประเดิมรถแข่งคันใหม่ Honda NSX GT3 2021 นำทีม “สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต” คว้าดับเบิ้ลโพเดียม 2 เรซติดต่อกัน ในศึกรถยนต์ทางเรียบ Thailand Super Series 2023 สนามสุดท้ายที่ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมื่อวันที่ 16-17 ธันวาคม ที่ผ่านมา

การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ B-Quik Thailand Super Series 2023 (TSS 2023) เดินทางเข้าสู่สนามสุดท้าย ที่บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งที่มีความยาวต่อรอบ 4.554 กิโลเมตร โดยเมื่อวันที่ 16-17 ธันวาคม 2556 เป็นการแข่งขันในเรซที่ 7 และ 8 ซึ่งเป็นเรซปิดท้ายฤดูกาล

ไฮไลท์ในรุ่นใหญ่ที่สุดอย่าง Thailand Supercar GT3 อยู่ที่ทีม Singha Motorsport Team Thailand ที่เปิดตัวรถแข่งคันใหม่ล่าสุด Honda NSX GT3 2021 ลงสนามเป็นครั้งแรก ภายใต้หมายเลข 89 ขับโดย วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และ คาร์โล แวน แดม นักขับชาวดัตช์

เกมการแข่งขันในเรซที่ 8 เป็นไปอย่างเข้มข้น ภายใต้การออกสตาร์ทแบบ Rolling Start รถแข่งหมายเลข 89 จาก Singha Motorsport Team Thailand ได้ออกตัวจากลำดับที่ 5 โดยมี คาร์โล แวน แดม ทำหน้าที่ขับมือแรก

หลังผ่าน 29 นาทีแรก รถแข่ง Honda NSX GT3 2021 หมายเลข 89 ยังคงรักษาอันดับที่ 5 เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ก่อนที่จะขับเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนมือให้กับ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ทำหน้าที่ในช่วงครึ่งทางหลังของการแข่งขัน

ขณะที่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เมื่อ safety Car ต้องออกปฏิบัติหน้าที่ หลังจากรถแข่งหมายเลข 55 มีปัญหาเครื่องยนต์ ซึ่งหลังจากรีสตาร์ทในช่วงท้าย วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี สามารถเดินคันเร่งขยับแซงขึ้นมาจบการแข่งขันอันดับที่ 2 ได้สำเร็จ ด้วยเวลารวม 1 ชั่วโมง 1 นาที 58.359 วินาที

ถือเป็นผลงานคว้าดับเบิ้ลโพเดียมภายใต้รถแข่งคันใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังในเรซที่ 7 ที่แข่งขันกันในวันเสาร์ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดีและ คาร์โล แวน แดม ก็ผนึกกำลังนำรถ Honda NSX GT3 2021 หมายเลข 89 เข้าเส้นชัยอันดับที่ 2 ได้เช่นเดียวกัน

หลังจบการแข่งขัน วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี เผยว่า ถือเป็นผลงานที่เกินคาด ต้องขอบคุณทีมงานทุกคน รวมถึงต้องขอบคุณพี่เอ๋ (คุณชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม) ที่เริ่มต้นพัฒนารถแข่งขันนี้มาก่อนในปี 2022 และโดยรวมถือเป็นผลงานที่ดีส่งท้ายปี พร้อมตั้งเป้าพาทีม Singha Motorsport Team Thailand กลับมาผงาดหัวแถวอีกครั้งในปี 2024

รู้เก็บรู้ออม : Mutual Fund Fair!!

0

เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะได้โบกมือบ๊ายบายปีเก่า และเซย์ฮัลโหลกับปีใหม่กันแล้ว แต่สำหรับผู้ที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้ในปีหน้า แต่ยังไม่ได้ตระเตรียมวางแผนภาษี ทีนี้ก็คงต้องวุ่นวายไปกับการซื้อประกัน หรือการลงทุนในกองทุน SSF และ RMF เพื่อจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีในปีหน้า

แต่โค้งสุดท้ายของปีนี้ พิเศษตรงที่มีการออกกองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่ นั่นคือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน Thailand ESG Fund (Thai ESG) โดยผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กองทุนรวม Thai ESG เป็นกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นพื้นฐานดีที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนถึง 193 บริษัท และลงทุนในตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ผู้ซื้อกองทุน Thai ESG จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่ไม่เกินคนละ 1 แสนบาทต่อปี โดยสิทธิลดหย่อนภาษีนี้เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาต่างหาก ไม่รวมกับวงเงิน 5 แสนบาทของเพดานการซื้อกองทุน RMF + SSF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + ประกันชีวิตแบบบำนาญ และผู้ซื้อต้องถือครองไว้นาน 8 ปีเต็ม นับแบบวันชนวัน ให้สิทธิซื้อตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2575 (รวมซื้อได้ 10 ปี) แบบไม่มีข้อผูกมัดให้ต้องซื้อต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีนั้น จำเป็นต้องมีการศึกษาเงื่อนไขต่างๆให้ดีเสียก่อน เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษี กองทุนแต่ละประเภทก็มีเงื่อนไขแตกต่างกัน ผู้ลงทุนจึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ให้ถูกต้อง จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวแก้ปัญหาภาษีกันทีหลัง

จึงเป็นโอกาสดีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน จัดงาน Mutual Fund Fair โค้งสุดท้ายปลายปี! งานมหกรรมที่รวมกองทุนลดหย่อนภาษีไว้ในงานเดียว ทั้งกองทุนรวม RMF, SSF และ “Thai ESG” พร้อมสัมมนาในทุกประเด็นที่จะช่วยให้เราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานมีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2566 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ที่หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บนถนนรัชดา

ตลอดทั้งวัน จะมีทั้งการจัดสัมมนา เวิร์กช็อป เรื่องการวางแผนภาษี ในหัวข้อต่างๆที่ไม่น่าพลาด ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อสัมมนาในภาคเช้า “เจาะลึกน้องใหม่ ลงทุนยั่งยืน พร้อมคืนภาษี กับ Thai ESG”, “วางแผนและจัดพอร์ตกับกองทุนภาษี สแกนหุ้น–กองทุนยั่งยืน” และหัวข้อ “ไขข้อข้องใจในกองทุนลดหย่อนภาษี” กับ “กองไหนดี เลือกช็อปกองทุน Thai ESG ให้ตรงใจ” ในภาคบ่าย

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานยังสามารถช็อปปิ้งเลือกซื้อกองทุนทั้ง SSF-RMF และ Thai ESG จาก บลจ. ชั้นนำ พร้อมรับโปรโมชันพิเศษเฉพาะภายในงานอีกด้วย

หรือถ้าไม่สะดวกเดินทาง ก็สามารถติดตามรับชมงานผ่านช่องทาง Facebook Live ของ SET Thailand โดยกดติดตามเพื่อรับชม ช่วงเช้า https://fb.me/e/33Al2x3PF และช่วงบ่าย https://fb.me/e/3dBuYCJNG  ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและกองทุนที่เสนอขายได้ที่ http://www.ThailandESG.com 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS พร้อมระงับเบอร์โทรต้องสงสัยที่ใช้งานสูงผิดปกติ ขานรับนโยบายรัฐบาล ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

0

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า จากกรณีการเกิดอาชญากรรมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ และมีประชาชนตกเป็นเหยื่อ สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมากนั้น  ในส่วนของ AIS มีความห่วงใยและทำงานร่วมกับภาครัฐ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแล ปกป้อง ความปลอดภัยของลูกค้าและประชาชนภายใต้ โครงการ AIS อุ่นใจไซเบอร์ ในหลากหลายรูปแบบ

วรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส

AIS พร้อมยกระดับการทำงานไปอีกขั้น โดยร่วมกับ ภาครัฐ  นำโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช.ในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์  โดยมุ่งไปที่เบอร์โทร ซึ่งเป็นเลขหมายแบบเติมเงินเท่านั้น (ไม่รวมถึงเลขหมายแบบรายเดือน หรือเบอร์ที่ลงทะเบียนภายใต้หน่วยงานหรือองค์กร) ที่มีการโทรออกเป็นจำนวนมากแบบผิดปกติ และหลังจากตรวจสอบร่วมกับหน่วยงาน AOC ของภาครัฐ แล้ว AIS จะส่ง SMS แจ้งเตือนและระงับการใช้งานหมายเลขดังกล่าวทันที อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้บริการ พร้อมดูแลลูกค้า ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว และยังคงใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าเจ้าของเบอร์ดังกล่าวสามารถดำเนินการยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้ใช้งานอย่างถูกต้องได้ ผ่านทาง AIS Shop ทั่วประเทศ หรือ ติดต่อกลับมาที่ AIS 1175 เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

นายวรุณเทพ กล่าวว่า “สำหรับลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถโทรแจ้งผ่านบริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง โดย AIS จะตรวจสอบเบอร์ดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีต่อไป” 

เปิดโลกการเรียนรู้ห้องเรียนธรรมชาติ “ซีพีเอฟ” ปลูกจิตสำนึกคนรุ่นใหม่ ร่วมปกป้องสิ่งแวดล้อม

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างการมีส่วนร่วมของเยาวชนคนรุ่นใหม่รักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินโครงการ “ปันรู้ ปลูกรักษ์” เปิดโลกการเรียนรู้ห้องเรียนธรรมชาติ ให้น้องๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศ ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง พร้อมเป็นแนวร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อส่งมอบสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้ง อากาศ น้ำ ป่าไม้ ดิน ฯลฯ ให้กับคนรุ่นต่อๆไป จึงมุ่งมั่นสร้างการรับรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปกป้องสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการ “ปันรู้ ปลูกรักษ์” ให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนต่างๆ ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง สร้างผู้นำหรือตัวแทนเยาวชนที่สามารถสื่อสาร คิดสร้างสรรค์และต่อยอดเรื่องดังกล่าวสู่สังคมต่อไป

“โครงการ ปันรู้ ปลูกรักษ์ เน้นถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์จากที่ซีพีเอฟประสบความสำเร็จมาแล้ว ในการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน โครงการกับดักขยะทะเล มาสอนให้น้องๆ เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ รักต้นไม้ รักป่า เห็นความสำคัญของการได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ เห็นผลกระทบของปัญหาขยะ ซึ่งจนถึงปัจจุบันสามารถสร้างผู้นำหรือตัวแทนเยาวชน และขยายผลสู่การสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ” นางกอบบุญ กล่าว

ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ จัดกิจกรรม Road Show “เปิดโลกการเรียนรู้ห้องเรียนธรรมชาติ” โดยผสานเครือข่ายสร้างการรับรู้ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายโครงการฯ (ปี 2566-2570) ในการถ่ายทอดความรู้แก่เด็กและเยาวชนอายุ 7-24 ปี ให้มีส่วนร่วมในโครงการฯ 30,000 คน สร้างผู้นำหรือตัวแทนเยาวชน 500 คน ใน 150 เครือข่ายภาคประชาสังคม โดยผู้ร่วมโครงการจะได้เรียนรู้ด้านอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมต่อ หรือบูรณาการกับ STEM คือ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) คณิตศาสตร์ (Mathematics) เพื่อเสริมการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ควบคู่กับกิจกรรมนันทนาการ ด้วยหลักสูตรค่ายเยาวชนส่งเสริมการรับรู้จากการเรียนรู้ระยะสั้น ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรมและวิถีชุมชน การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติและการปฏิบัติภาคสนาม เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และร่วมกันพลิกฟื้นความหลากหลายทางชีวภาพ คืนสมดุลสู่ระบบนิเวศ ทั้งป่าต้นน้ำและป่าชายเลน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลให้เยาวชนได้มีประสบการณ์จริง ทำให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหา ปูพื้นฐานการสร้างเครือข่ายเยาวชนจากรุ่นสู่รุ่น

โครงการปันรู้ ปลูกรักษ์ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ซีพีเอฟมุ่งมั่นทำสิ่งดีๆ เพื่อตอบแทนชุมชน สังคม และประเทศชาติ สานต่อความมุ่งมั่นในภารกิจอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)

ก.ล.ต. เผยสถิติแจ้งเบาะแสผ่าน “สายด่วนหลอกลงทุน” และปิดกั้นช่องทางมิจฉาชีพหลอกลงทุนออนไลน์

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดสถิติการแจ้งเบาะแสผ่าน “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 202 บัญชี และปัจจุบันดำเนินการปิดกั้นช่องทางหลอกลวงดังกล่าวไปแล้ว 175 บัญชี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 86 ของจำนวนบัญชีที่ได้รับแจ้งทั้งหมด  

ก.ล.ต. เปิดเผยสถิติการแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนในตลาดทุนผ่าน “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร 1207 กด 22 ระบบรับแจ้งบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th/scamalert และอีเมล [email protected] ภายใต้ “โครงการร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” ที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในตลาดทุน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยประสานงานกับ Meta (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram รวมทั้ง LINE (ประเทศไทย) ปิดกั้นช่องทางของมิจฉาชีพบนแพลตฟอร์มดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น

ตั้งแต่โครงการ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” เปิดตัวเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสว่า มีสื่อหลอกลงทุนผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 202 บัญชี แบ่งเป็นแพลตฟอร์ม Facebook 192 บัญชี Instagram 1 บัญชี และ LINE 9 บัญชี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566) เมื่อ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลแล้ว ได้ประสานแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มพิจารณาดำเนินการปิดกั้นบัญชีโดยเร็ว ภายใต้กรอบเวลาเฉลี่ยภายใน 48 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ได้รับแจ้ง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการปิดไปแล้ว 175 บัญชี หรือคิดเป็นร้อยละ 86 ส่วนที่เหลือเป็นการแจ้งเข้ามาใหม่และอยู่ระหว่างการดำเนินการปิด   

สำหรับการแจ้งเบาะแสการหลอกลงทุนผ่านสื่อสังคมออนไลน์พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการแอบอ้างใช้ชื่อ โลโก้ และภาพผู้บริหารของ ก.ล.ต. หน่วยงานและบริษัท รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดทุน การปลอมแปลงใบอนุญาต และอ้างว่ารับรองโดย ก.ล.ต. และหน่วยงานทางการ แอบอ้างใช้ชื่อและภาพบุคคลกรในตลาดทุน รวมถึงการชักชวนลงทุนในหุ้นกองทุน สินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยข้อเสนอที่ให้ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง ไม่มีความรู้ก็ลงทุนได้ มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังดำเนินการป้องปรามเรื่องหลอกลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 

(1) ขึ้นเตือนบนหน้าเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ Investor Alert เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.

(2) ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) กระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อออกข่าวแจ้งเตือนประชาชน

(3) ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการหลอกลงทุนเฉพาะกรณีที่แอบอ้างชื่อ/โลโก้ หรือภาพผู้บริหารของ ก.ล.ต.

(4) ดำเนินการส่งเรื่องให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายภายใต้ พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 กรณีอ้างผลตอบแทนสูง หรืออาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่

(5) ดำเนินการส่งเรื่องไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาดำเนินการกรณีชักชวนลงทุนใน Forex หรือการแจ้งเบาะแสการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์

(6) ดำเนินการส่งเรื่องให้กระทรวงดิจิทัลฯ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่นอกเหนือการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอย้ำให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ด้วยการสอบถามโดยตรงกับบริษัทหรือบุคคลที่ถูกแอบอ้าง รวมทั้งไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหรือไม่โอนเงินเข้าชื่อบัญชีบุคคลธรรมดา สำหรับการแจ้งเบาะแสให้ได้ผล ขอให้แจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อให้ได้รับการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วและตรงจุด เช่น

          (1) เรื่องหลอกลงทุนในตลาดทุน ติดต่อสายด่วน ก.ล.ต. โทร 1207 กด 22

          (2) เรื่องหลอกลวงออนไลน์เกี่ยวกับการฝาก ถอน ชำระเงิน บัตรเครดิต และสินเชื่อ ติดต่อสายด่วน 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

          (3) เรื่องการเงินนอกระบบที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ติดต่อสายด่วน 1359 ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

          (4) อาชญากรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ การอายัดบัญชีปลายทางชั่วคราว (บัญชีม้า) ติดต่อสายด่วน 1441 ศูนย์ AOC เป็นต้น

“เด่นวิทย์” คว้าแชมป์กอล์ฟ “ไทยแลนด์ โอเพ่น ครั้งที่ 51”

0
เด่นวิทย์ เดวิด บริบูรณ์ทรัพย์ ทำรอบสุดท้าย 3 อันเดอร์ คว้าแชมป์ที่สกอร์รวม 22 อันเดอร์ รับถ้วยพระราชทาน รัชกาลที่ 9 พร้อมเงินรางวัล 750,000 บาท ในการแข่งขันกอล์ฟ “ไทยแลนด์ โอเพ่น” ครั้งที่ 51 ณ สนามกอล์ฟริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ พาร์ 71 จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดวิด บริบูรณ์ทรัพย์ หรือ เด่นวิทย์ วัย 20 ปี ซึ่งจบรอบสามนำห่างคู่แข่ง 5 สโตรก ทำเพิ่มในรอบสุดท้ายอีก 3 อันเดอร์ จาก 4 เบอร์ดี้ 1 โบกี้ คว้าแชมป์รายการที่ 3 ในออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ไปครองต่อจากความสำเร็จในรายการ สิงห์ เชียงใหม่ โอเพ่น 2021 และรายการ สิงห์ ออลไทยแลนด์ พรีเมียร์ แชมเปี้ยนชิพ 2022
นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นการคว้าแชมป์สัปดาห์ที่สองติดต่อกันของโปรชลบุรีรายนี้หลังจากสัปดาห์ที่แล้วคว้าแชมป์รายการอารามโก้ อินวิเตชั่นแนล และจบด้วยการเป็นมือหนึ่งของเอเชียนเดเวลล็อปเม้นท์ทัวร์ที่ซาอุดิอาระเบีย

โดยเด่นวิทย์ รับเงินรางวัล 750,000 บาท จากเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 5 ล้านบาท ทำให้ขยับขึ้นมาจบที่อันดับ 4 ในอันดับเงินรางวัลสะสมที่จำนวน 1,045,537 บาท จากการเล่น 9 รายการ

ด้าน“โปรเจมส์” เนติพงศ์ ศรีทอง ชิพอินอีเกิ้ลที่หลุมสุดท้ายก่อนจบอันดับสองที่สกอร์รวม 21 อันเดอร์ รับเงินรางวัล 475,000 บาท ในแมตช์ปิดฤดูกาลของออลไทยกอล์ฟทัวร์ 2023 และจบที่ 5 อันดับเงินรางวัลสะสมที่จำนวน 986,379 บาท จากการเล่น 7 รายการ

“โปรไทเกอร์” วิชญภัทร สินสร้าง ทำรอบสุดท้าย 8 อันเดอร์ จาก 9 เบอร์ดี้ 1 โบกี้ สกอร์รวม 20 อันเดอร์ จบอันดับ 3 ร่วมกับ โคสุเก ฮามาโมโต้ รับเงินรางวัลคนละ 240,625 บาท

อันดับ 5 เป็นของ ภูสิทธิ์ ทรัพย์อัประไมย สกอร์รวม 17 อันเดอร์ หลังจากตีรอบสุดท้าย 6 อันเดอร์ และด้วยเงินรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้จำนวน 158, 750 บาท ทำให้ภูสิทธิ์ จบฤดูกาลด้วยการเป็นนักกอล์ฟทำเงินสูงสุดของออลไทยแลนด์ฯ 2023 ด้วยจำนวน1,088,303 บาท จากการเล่นทั้งหมด 13 รายการ

นอกจากนี้ ธนภัทร พิชัยกุล ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วได้แชมป์รายการ สิงห์ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส ก็ทำผลงานดีต่อเนื่องด้วยการจบที่ 6 ร่วมกับ จอห์น คัทลิน อดีตแชมป์ปี 2019 โดยทำสกอร์รวมคนละ 16 อันเดอร์ และรับเงินคนละ 126,250 บาท

วีรวิชญ์ นาคประชา ทำอีก 6 อันเดอร์ จบที่ 8 สกอร์รวม 14 อันเดอร์ รับเงินรางวัล 106,000 บาท ขณะที่ ภาณุพล พิทยารัฐ อดีตแชมป์รายการนี้ จบที่ 9 ร่วม สกอร์รวม 13 อันเดอร์ รับเงินรางวัล 82,687 บาท

ทั้งนี้ การแข่งขันกอล์ฟรายการ “ไทยแลนด์ โอเพ่น” เป็นการแข่งขันกอล์ฟอาชีพรายการใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของไทยโดยในปีนี้เป็นการแข่งขันครั้งนี้ที่ 51 และเป็นแมตช์ปิดฤดูกาลของออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ 2023