Home Blog Page 117

NT – AIS ผนึกกำลัง เสริมขีดความสามารถ 4G/5G บนคลื่น 700 MHz ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้ลงนามสัญญาในโครงการเช่าใช้บริการอุปกรณ์โครงข่ายเพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G/5G บนคลื่น 700 MHz และสัญญาการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรคมนาคมภายในประเทศ (Roaming) เพื่อเดินหน้าเสริมขีดความสามารถในการให้บริการ4G/5G ของ NT และ AIS

ภายใต้สัญญาดังกล่าว AIS โดย AWN จะจัดทำโครงข่าย 4G/5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz จำนวน 13,500 สถานีฐาน ภายในระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้ NT ใช้ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 4G/5G แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการตลอดอายุใบอนุญาตใช้งานคลื่นความถี่ 700 MHz ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2579

ทั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชน บนแนวคิด Infrastructure Sharing ซึ่งลดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่ซ้ำซ้อน ในภาพรวมของประเทศ และสามารถใช้คลื่นความถี่ที่มีอย่างเต็มประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนไทย  รองรับการเติบโตของผู้ใช้บริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพโครงข่าย 5G ของประเทศไทยให้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้นตามความตั้งใจของทั้งสององค์กร

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT กล่าวว่า “การทำสัญญา Network Sharing ร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง AIS ส่งผลประโยชน์หลายด้านโดย NT สามารถประหยัดงบประมาณการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องในระยะยาวบนคลื่น 700 MHz  และเป็นแนวทางที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มโอกาสของ NT ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5G ตามแผนธุรกิจ 5G ของ NT ที่ ครม.อนุมัติ

ทั้งนี้ โครงข่ายที่จะจัดสร้างบนคลื่น 700 MHz สามารถรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าในปัจจุบันกว่า 2 ล้านราย และรองรับการขยายตลาดในอนาคตได้ถึง 4 ล้านราย ครอบคลุมบริการสำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไปและลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ NT ยังมีข้อตกลงกับ AIS ในการให้บริการข้ามโครงข่ายบนโครงข่ายของ AISได้ในทุกคลื่นความถี่ อันจะส่งผลทำให้ลูกค้า NT ได้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G/5G อย่างมีคุณภาพ ครอบคลุมทุกพื้นที่ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งของ NT ให้มีขีดความสามารถแข่งขันในตลาดได้ สอดคล้องกับแนวนโยบายภาครัฐที่เน้นให้บูรณาการเพื่อลดความซ้ำซ้อนการลงทุนด้านโครงข่ายสื่อสารของประเทศ”

ด้าน นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับโอกาสจาก NT ในการเข้าเป็นพันธมิตรร่วมทำงานยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดย AIS พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนเป้าหมายของ NT ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีระดับสากล และ ทีมงานวิศวกรที่จะดูแลคุณภาพของโครงข่ายอย่างเต็มที่ รวมไปถึงภารกิจของ AIS เองที่มุ่งมั่นส่งมอบบริการ 5G คุณภาพให้แก่ลูกค้าจากคลื่นความถี่ทุกย่าน ตั้งแต่ 700 MHz จากความร่วมมือในครั้งนี้ที่จะทำให้มีปริมาณรวม 2×20 MHz  ที่จะสามารถขยายบริการ 5G ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่ห่างไกลในต่างจังหวัดและพื้นที่เมืองในเขตอาคารสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมผนึกพลังกับคลื่นความถี่ซึ่งได้รับการจัดสรรมาก่อนหน้านี้ ในย่าน 900 MHz, 1800 MHz,  2100 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz รวมเป็น 1460 MHz มากที่สุดในไทย ที่จะทำให้ครอบคลุมการใช้งานลูกค้าและองค์กรธุรกิจทุกรูปแบบ และต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศสู่ความเป็นเครือข่ายอัจฉริยะอย่างเป็นรูปธรรม”

โคราช ร่วมกับ ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล ‘CP ISAN RUN FOR CHARITY #4’

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยชมรม CPF Running Club จัดกิจกรรม เดิน-วิ่ง เพื่อการกุศล “CP ISAN RUN FOR CHARITY #4” นำผู้ใจบุญมากกว่า 2,000 คน ร่วมเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย และส่งต่อน้ำใจสู่ชาวโคราช โดยได้รับเกียรติจาก นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย แพทย์หญิงเพิ่มศิริ เลอมานุวรรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นายแพทย์กฤติกา หงษ์โภคาพันธ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา รศ.ดร.ฉัตรชัย โชติษฐยางกูร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและประกันคุณภาพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และนายบุญเสริม เจริญวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านบริหารกระบวนการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และรองประธานชมรม CPF Running Club ร่วมด้วย 

นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนชาวโคราช มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มากิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศลของซีพีเอฟ ถือเป็นประโยชน์ต่อสังคมชุมชน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยครั้งนี้เป็นการมอบทุนสนับสนุนให้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา เพื่อสนับสนุนในการจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ขอขอบคุณหน่วยภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และนักวิ่งทุกท่านที่สนับสนุนและมีส่วนร่วมให้เกิดกิจกรรมดีๆ ในวันนี้ 

พญ.เพิ่มศิริ เลอมานุวรรัตน์ ผอ.รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ทั้ง จ.นครราชสีมา ซีพีเอฟ ที่จัดกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล ขณะนี้มีประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ จ.นครราชสีมา เข้ามารับบริการ ที่ รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีมากขึ้น จึงต้องจัดหาเครื่องมือแพทย์ที่มีความจำเป็นอีกหลายชิ้นเพิ่มเติม เช่น เครื่องมือผ่าตัดสมอง หรือเครื่อง Cath lab ใช้ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน ดังนั้นเงินบริจาคในกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นกองทุนก้อนแรกที่นำไปต่อยอด จึงขอเชิญชวนผู้ที่มีจิตศรัทธามาร่วมสมทบทุนเพิ่มเติมให้ทางโรงพยาบาล 

นพ.กฤติกา หงษ์โภคาพันธ์ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา เปิดเผยว่า รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา มีหน้าที่หลักในการแบ่งเบาภารกิจจาก รพ.มหาราช ซึ่งมีผู้ป่วยเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพ ซึ่งยังต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นอีกหลายชิ้นจากการจัดสรรของกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณซีพีเอฟและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่ร่วมมือกันจนเกิดกิจกรรมดีๆ ในพื้นที่โคราช เงินบริจาคจากครั้งนี้ ทางรพ.จะนำไปสมทบทุน เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนต่อไป 

ด้าน นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ กล่าวว่า กิจกรรม CPF Run for Charity ดำเนินมาระยะเวลา 8 ปี มีการจัดกิจกรรม เดิน-วิ่ง เพื่อการกุศล มากกว่า 30 ครั้งทั่วประเทศ รวมรายได้ที่มอบให้การกุศลทั้งหมดมากกว่า 10 ล้านบาท วัตถุประสงค์การกิจกรรม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชน พนักงาน ชุมชน ได้ออกกำลังกาย โดยใช้กิจกรรมนี้เป็นการสานสัมพันธ์ร่วมกัน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา พร้อมทั้งสอดคล้องแนวทาง 3 ประโยชน์ของเครือซีพี นั่นคือ การทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ทั้งนี้รูปแบบการจัดงาน อยู่ภายใต้แนวคิด CPF Running Low Carbon ใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ 

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งนักวิ่งและกองเชียร์ที่ร่วมมาให้กำลังใจ พร้อมทั้งเหล่าแฟนซีที่มาสร้างสีสันตลอดทั้งกิจกรรม นอกจากนี้ ยังเต็มอิ่มกับอาหารพร้อมรับประทานแบรนด์ซีพี อาทิ ไส้กรอก ไก่ปรุงสุก ไข่ต้ม ขนมปัง รวมทั้งหมูสด จากซีพีเอฟ ที่ปรุงเป็นข้าวต้มพร้อมเสิร์ฟ นมเมจิ และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง จาก Jerhigh รวมถึงพันธมิตรอย่าง แบรนด์ ที่นำผลิตภัณฑ์ซุปไก่สกัดมามอบให้ผู้ร่วมงาน 

สำหรับรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายงาน เดิน-วิ่ง เพื่อการกุศล “CP ISAN RUN FOR CHARITY #4” จำนวน 1,028,000 บาท แบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกมอบแก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จำนวน 504,000 บาท และ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา จำนวน 504,000 บาท เพื่อสมทบทุนในการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ และสุดท้ายมอบแก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จำนวน 20,000 บาท เพื่อบำรุงสถานที่ ครั้งต่อไป ชมรม CPF Running Club จะจัดขึ้นในต้นปีหน้า ณ จ.ราชบุรี

CPF ชูภารกิจ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร ในงานมหกรรมความยั่งยืน SX2023

0

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมด้วย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานอำนวยการจัดงานมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน SUSTAINABILITY EXPO 2023 (SX2023) เยี่ยมชมบูธ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำภารกิจ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” หรือ Thai Food – Mission to Space ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร ร่วมแสดงในงาน โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง และ นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ (CPF RD Center) ร่วมให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะผู้นำด้านการผลิตอาหาร มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยให้กระบวนการผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยคำนึงถึงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น โครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” หรือ Space Food Safety Standard เป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอาหารทุกมื้อมีคุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการที่ดี ที่สำคัญปลอดภัยไร้สารตกค้างแบบ 100% ในระดับที่องค์การระดับโลกยอมรับ

นอกจากนี้ ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกไก่เป็นอันดับ 4 ของโลก การได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ จึงมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมซัพพลายเชนและเกษตรกรในห่วงโซ่การผลิต ช่วยให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับบูธของ CPF ในปีนี้ ซึ่งชูภารกิจ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” จัดแสดงในโซน Better Me ชั้น G นอกจากนี้ โซน Food Festival ชั้น LG ซีพีเอฟร่วมออกร้านส่งมอบความอร่อยและคุณภาพ ด้วยสินค้าเนื้อจากพืช โปรตีนทางเลือกจากนวัตกรรม PLANT-TEC แบรนด์ MEAT ZERO อาทิ นักเก็ตไก่ เนื้อสามชั้น ปอเปี๊ยะทอด เกี๊ยวซ่า และผลิตภัณฑ์หลากเมนูจากเนื้อไก่มาตรฐานอวกาศ อาทิ เบอร์เกอร์อกไก่นุ่ม อกไก่และสันใน สโนว์ออเนี่ยนซอส (Snow Onion Sauce) พร้อมร่วมกิจกรรม Cooking Show ที่เวทีกลางโซน Food Festival สาธิตเมนูสเต็กไก่ซีพี ซอสซัลซาผลไม้ (CP Chicken Steak with Fresh Fruit Salsa) ให้ผู้ชมในงานได้ลิ้มลองสูตรเด็ดจากไก่สดปลอดสารมาตรฐานอวกาศ

โซน Marketplace ชั้น LG HALL 8 นำเสนอผลิตภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับเพื่อนรักสี่ขา สินค้า Jerhigh & Jinny Freeze Dried มอบความอร่อยและคุณประโยชน์จากโปรตีนคุณภาพสูง ด้วยเนื้อไก่ระดับ Human-Grade 100% ผ่านกระบวนการผลิตมาตรฐานเทียบเท่าอาหารมนุษย์ ล็อคความสดใหม่ มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติแบบไม่มีอะไรผสม ด้วยนวัตกรรม Freeze-Dried โดยสามารถแช่น้ำเพื่อให้เนื้อกลับมานุ่ม ชุ่มชื้นได้เหมือนเดิม พร้อมสนุกกับเกมและกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลขนมสุนัขและแมวเกรดพรีเมี่ยม

ในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ เวลา 11.00-12.00 น. นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงทางอาหาร ในหัวข้อ “Future Food การพัฒนาและนวัตกรรมสู่ความมั่นคงทางอาหาร” ที่เวที Talk Stage HALL 4 ชั้น G

งาน SX 2023 จะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 ต.ค. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) พร้อมวิทยากรกว่า 300 คน กว่า 500 เครือข่ายธุรกิจยั่งยืน ถือเป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน

“ทรีนีตี้” มั่นใจ ตลาดหุ้นใกล้ถึงจุดกลับตัว

0
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

“ทรีนีตี้” เปิดคัมภีร์ลงทุนหุ้นไตรมาส 4 แนะใช้จังหวะดัชนีหุ้นต่ำกว่า 1500 เป็นจังหวะเข้าซื้อ หุ้น 2 กลุ่มใหญ่ที่อิงมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศและหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกที่ยังแกร่ง คาดเห็นดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้ช่วง 1-3 เดือนหลังเฟดประชุมนัดสุดท้ายของปีช่วงปลาย ต.ค. เต็มที่ขยับดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ส่วน กนง.จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนไตรมาส 4 ว่า ประเมินเป็นไตรมาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 4 ปัจจัยได้แก่ 1.การสิ้นสุดรอบการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียนไทย และอาจมีความเป็นไปได้ในการปรับประมาณการเพิ่มในกลุ่ม Oil & Gas, กลุ่มอิงกับการบริโภคภายในประเทศ กลุ่มส่งออก และกลุ่มท่องเที่ยว 2.การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งในอดีตแล้ว มักนำมาสู่การปรับตัวที่ดีของ SET Index หลังจากนั้น 3.เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งทางด้านการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น และ 4.เศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มทั่วไปยังคงดีอยู่ และเราค่อนข้างมั่นใจว่าในไตรมาสที่ 4 นี้ จะยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงใดๆเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมา

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสที่จะปรับตัว Bottom out ได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมต่อเนื่องเดือนพฤศจิกายน จากการเข้าใกล้การประชุม Fed ซึ่ง ณ ขณะนั้น ตลาดน่าจะมีการ Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยในระดับสูงแล้ว หรือหากยัง Price in ไม่หมด ก็คาดว่าในที่ประชุม Fed รอบนี้ จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายของวงจรนี้ได้ หากเป็นไปตามที่เราคาดจริง ประเมินว่าดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้หลังจากนั้นราว 1-3 เดือน

ด้านความเสี่ยงที่จำเป็นต้องติดตามในช่วงถัดไปก็คือแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจพุ่งขึ้นเกินกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางหลายแห่ง หากราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นคล้ายกับตอนช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อปีก่อน หากเกิดขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาใช้การขึ้นดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นเงินเฟ้ออีกครั้ง ซึ่งก็จะเป็นแรงกดดันต่อภาพของตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่งได้

ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะที่ SET Index กำลังซื้อขายอยู่บริเวณต่ำกว่า 1500 จุดในการทยอยเข้าสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation เริ่มมี Upside จากระดับดัชนีเป้าหมายของเราในกรณีดีสุดที่ 1515 จุด และหากยิ่งดัชนีลงลึกไปใกล้ระดับ 1470 จุด มองเป็นโซนในการเข้าซื้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจะเทียบเท่าเท่ากับระดับ PBV ที่ 1.4x ซึ่งในอดีตแล้ว มักเป็นระดับที่ SET มีเสถียรภาพในทุกๆครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวลง

นายณัฐชาต กล่าวว่า ทรีนีตี้แบ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้ง Consumer staple และ Grassroot consumption อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA 2.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัว ภาวะ De-stocking ที่ผ่อนคลายลงและเริ่มกลับกลายเป็น Re-stocking เลือกกลุ่มส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU รวมถึงกลุ่มเดินเรือและ Logistics ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายและการขนส่งทั่วโลกที่กลับมาคึกคักมากขึ้น อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE

ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ย้ำราคาไข่มีแนวโน้มย่อตัว ช่วงปิดเทอมและเทศกาลกินเจ

0

ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อย ยืนยันราคาไข่ไก่ไม่มีการปรับขึ้นนาน 3 เดือน และมีแนวโน้มย่อตัวตามวัฏจักรช่วงโรงเรียนปิดเทอมและเทศกาลกิจเจในเดือนตุลาคม ย้ำไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพสูงผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย

นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง กล่าวว่า ปัจจุบันราคาไข่คละหน้าฟาร์มฟองละ 3.90-4.00 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกเบอร์ 3 อยู่ที่ 4.30-4.40 บาท ถือว่าเป็นราคาปกติตามโครงสร้างต้นทุนที่ปรับขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ตามต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากปัจจัยของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และยังคงเป็นปัญหาหลักของภาคปศุสัตว์ ที่รอรัฐบาลใหม่พิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาในระยะยาว เพื่อพัฒนาการผลิตและสร้างอาหารมั่นคงอย่างยั่งยืน

พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง

“ผู้เลี้ยงไก่ไข่ เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) คือ การตลาดนำการผลิต เน้นผลิตไข่ในปริมาณพอดีกับความต้องการของตลาด รักษาคุณภาพด้วยการขายไข่ให้หมดวันต่อวัน เพื่อให้ไข่สดอยู่เสมอ ไม่มีการเก็บไข่เข้าห้องเย็น เพราะการเก็บไข่ในห้องเย็นจะทำให้คุณภาพลดลง และต้องจ่ายค่าไฟฟ้าห้องเย็นสูงมาก ปัจจุบันไม่มีใครเก็บไข่เข้าห้องเย็นเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เกษตรกรยินดีให้ตรวจสอบ และภาครัฐสามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา” นางพเยาว์ กล่าวย้ำ

สำหรับราคาขายปลีกไข่ไก่ต่อแผง 30 ฟอง ที่ตลาดสุพรรณบุรี ณ วันที่ 29 กันยายน 2566 เบอร์ 0 ราคา 152 บาท เบอร์ 1 ราคา 138 บาท เบอร์ 2 ราคา 129 บาท เบอร์ 3 ราคา 126 บาท และ เบอร์ 4 ราคา 121 บาท ขณะที่ตลาดสะพาน 2 กรุงเทพมหานคร ราคาเบอร์ 0 อยู่ที่152 บาท เบอร์ 1 ราคา 141 บาท เบอร์ 2 ราคา 135 บาท เบอร์ 3 ราคา 132 บาท และเบอร์ 4 ราคา 127 บาท ส่วนต้นทุนการผลิตของผู้เลี้ยงอยู่ที่ 3.76 บาทต่อฟอง ขายได้ 4 บาทต่อฟอง เห็นได้ว่าใกล้เคียงกันมาก

ก่อนหน้านื้ มีการนำเสนอราคาไข่ไก่ที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิด โดยกล่าวว่า ไข่ไก่ เบอร์ 3-4 ราคา 137 บาทต่อแผง 30 ฟอง เบอร์ 2-3 ราคา 165 บาท และเมื่อต้องมีการบวกค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะผ่านตัวกลางหลายทอดทั้งยี่ปั๊ว ซาปั๊วและค่าขนส่งไปยังจุดจำหน่ายทั่วประเทศ ถึงมือประชาชนราคาจะเพิ่มเป็นฟองละ 5-6 บาท ส่วนไข่จัมโบ้ฟองละ 8.30-8.80 บาท ซึ่งไข่จัมโบ้เป็นไข่ขนาดใหญ่กว่าเบอร์ 0 ส่วนใหญ่เป็นไข่แฝด ต่างจากไข่ที่มีการบริโภคทั่วไป มีออกมาน้อยมากไม่ถึง 0.1 % ของการผลิต ขายให้ผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม จึงมีการตั้งราคาสูง

นางพเยาว์ กล่าวว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยสร้างความใจอันดีให้กับผู้บริโภค เพราะราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้น-ลง ตามกลไกตลาดอุปสงค์-อุปทาน ซึ่งเห็นได้ว่าช่วงโรงเรียนปิดเทอมและเทศกาลกินเจของทุกปี ความต้องการบริโภคไข่ไก่ลดลงราคาก็จะอ่อนตัวลง จึงอยากให้มีการนำเสนอข้อมูลอย่างสร้างสรรค์ ไม่ให้สังคมเกิดความสับสน โดยเฉพาะการให้ข้อมูลราคาที่เกินจริงจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดสร้างความปั่นป่วนให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคได้

รมว.เกษตรฯ เป็นประธานพิธี KICK OFF เผาทำลายซากสุกรของกลาง พร้อมประกาศสงครามกับสินค้าเกษตรเถื่อน

0

รมว.เกษตรฯ เป็นประธานพิธีส่งมอบ-รับมอบ และนำตู้สินค้าประเภทซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 จำนวน 161 ตู้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อนำไปทำลายและ พิธี KICK OFF เผาทำลายซากสุกรของกลาง ณ สำนักชลประทานที่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ย้ำชัด กำชับให้เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เร่งดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้า ส่งออกสินค้าการเกษตรอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องพี่น้องเกษตรกรให้มีความมั่นใจในอาชีพ พร้อมที่จะเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร เติมเต็มความมั่นคงทางอาหาร สร้างประโยชน์เพื่อคนไทยและประเทศชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีส่งมอบ-รับมอบ และนำตู้สินค้าประเภทซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 จำนวน 161 ตู้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อนำไปทำลายตามมาตรฐานสากล โดยระบุว่า ได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเนื่องจากการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกร ทำลายกลไกราคาภายในประเทศ ทั้งยังเป็นการนำเข้าพาหะของโรคระบาดสัตว์ จะสร้างความเสียหายต่อระบบการเลี้ยงสุกรของประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งการปราบปรามการลักลอบนำเข้า ยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคเนื่องจากเนื้อสุกรที่ลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านการตรวจสอบอาจมีเชื้อโรคและสารตกค้างที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

“การจับเนื้อเถื่อน เป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการดำเนินการในวันนี้ เกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงาน ทั้งเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ตำรวจ กรมศุลกากร เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง

การทุจริตคอร์รัปชั่น การลักลอบนำเข้าทั้งเนื้อไก่ ขาไก่ เนื้อสุกร เนื้อโค เนื้อกระบือ เป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพด้านราคา มาตรฐาน คุณภาพ สุขภาพร่างกายของผู้บริโภค หากตรวจพบให้จับอย่างเดียวและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องมาเคลียร์ จะไม่ยอมให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวย้ำ

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์และสัตว์มีชีวิตอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ขอให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพและขอให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจได้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะปกป้องอาชีพของเกษตรกรและคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคอย่างเต็มที่

สำหรับการทำพิธีส่งมอบ-รับมอบของกลางซากสุกรแช่แข็งลักลอบนำเข้าจากกรมศุลกากรในวันนี้ มีจำนวน  161 ตู้ รวมกว่า 4,363,118 กก. มูลค่า 567,205,465 บาท

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวว่า ในการรับมอบของกลางซากสุกรแช่แข็งลักลอบนำเข้าจากกรมศุลกากรครั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้เตรียมความพร้อมสถานที่สำหรับการฝังทำลาย ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว ต.คลองไก่เถื่อน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่า หากสภาพอากาศมีความเหมาะสม จะดำเนินการฝังทำลายซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 ให้ครบทั้งสิ้น 161 ตู้ ต่อไป

การจัดพิธี  KICK OFF ครั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขององค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) ซึ่งการเผาเป็นวิธีที่เหมาะสมในการทำลายซากและของเสียจากสัตว์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการนำซากสุกรของกลางจำนวน 10 ตู้ โดยแบ่ง 2 ตู้แรกเข้าเตาเผาทำลายซากระบบปิดแบบไร้ควัน ซึ่งสามารถเผาได้ชั่วโมงละ 1-2 ตัน ขึ้นกับสภาพของซากสัตว์ ปริมาณน้ำและไขมันที่มีภายในซากสัตว์และอุณหภูมิของซากสัตว์ก่อนเข้าเตาเผา และจะใช้ระยะเวลาในการเผาต่อ 1 ตู้ ประมาณ 12 ชั่วโมง โดยอุณหภูมิที่เกิดขึ้นภายในเตาเผาสูงสุดอยู่ที่ 1,200 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเช่นนี้จะสามารถทำลายเชื้อโรคระบาดสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ได้ทั้งหมด อีกทั้งรูปแบบการทำงานของเตาเผาทำลายซากแบบไร้ควันจะมี 2 chamber คือ 1. Chamber สำหรับเผาตัวซาก และ 2. Chamber สำหรับดูดควันเพื่อคัดกรองควันที่เกิดจากการเผาไหม้ ทำให้มั่นใจได้ว่าภายหลังการทำงานจะไม่มีการปล่อยมลภาวะ ทั้งกลิ่น ควัน สู่สิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในเตาเผาได้โดยวิธีการนำเศษไม้ใส่ไประหว่างการเผา ซึ่งเศษไม้จะช่วยเร่งความร้อนให้อุณหภูมิถึงระดับที่เครื่องทำงานและรักษาระดับอุณหภูมิไว้ได้

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ตลอดปี 2565 ถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับตำรวจ ทหาร ศุลกากร เข้าตรวจสอบผู้ประกอบการสินค้าประเภทซากสุกรรวมจำนวนทั้งสิ้น 238 ครั้ง สามารถจับกุมเนื้อสุกร ซึ่งมีแหล่งผลิตต้นทางจากประเทศบราซิล อิตาลี เยอรมนี ลักลอบนำเข้า ปริมาณน้ำหนักรวม 1,142,487 กก. คิดเป็นมูลค่ากว่า 190 ล้านบาท

หมูโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ นวัตกรรมตอบโจทย์สุขภาพเชิงรุก ยกระดับอาหารไทย บนเวทีสัมมนาระดับนานาชาติ ม.มหิดล

0

คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่ายทั้งภาคการศึกษาและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ วิทยาศาสตร์บูรณาการสำหรับอาหารดูแลสุขภาพเชิงรุก : นวัตกรรมเนื้อหมูชีวา มีโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ ตอกย้ำความพรีเมียม ยกระดับมาตรฐานอาหารสุขภาพของไทย

รองศาสตราจารย์ ดร.พัชราณี ภวัตกุล หัวหน้าภาคโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันเวชศาสตร์การป้องกันเป็นที่แพร่หลายในทางการแพทย์ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการวิจัยและศึกษานวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งโอเมก้า 3 เป็นอีกสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของคนทุกวัย มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง สายตา ระบบหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี รวมถึงลดการอักเสบ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ

ดร.อนันตวัฒน์ กุลธนเตชานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า หมูชีวา ถือเป็นนวัตกรรมที่ยกระดับอาหารไทยไปอีกขั้น เริ่มจากการศึกษาและวิจัย ทำให้สามารถคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุด เลี้ยงด้วยสูตรอาหารธรรมชาติที่เลือกสรรพิเศษที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 สูง อาทิ เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) น้ำมันปลาทะเลลึก และสาหร่ายทะเลลึก เป็นต้น รวมถึงมีส่วนผสมของโปรไบโอติก (Probiotic) อยู่ภายในฟาร์มระบบปิดที่มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ลักษณะคอกขังรวม (Group Pen Gestation) ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ส่งผลให้หมูชีวาอยู่สบาย แข็งแรง ไม่ป่วย ได้การรับรองมาตรฐานการเลี้ยงจาก NSF จากประเทศสหรัฐอเมริกา รับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ จึงไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า หมูชีวาเป็นแหล่งโอเมก้า 3 สูง สามารถรับประทานได้ทุกวัน และช่วยดูแลสุขภาพเชิงรุก

ด้าน นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งเสริมให้ประชากรโลกมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการวิจัยและพัฒนาอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพเชิงรุก โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Planet) อย่าง หมูชีวา ถือเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่พัฒนาตั้งแต่สายพันธุ์ อาหารที่เลี้ยง ตลอดจนวิธีการเลี้ยง เพื่อให้มีโอเมก้า 3 สูง โดยได้รับการรับรองจากงานวิจัยต่างๆ รวมถึงมาตรฐานระดับนานาชาติ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงความปลอดภัยทางอาหาร พร้อมกับสร้างความมั่นคงทางอาหารและการบริโภคอย่างยั่งยืน

ผลิตภัณฑ์ ‘หมูชีวา’ เป็นเนื้อหมูคุณภาพพรีเมียม เลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน การันตีด้วยรางวัลสุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2023 หรือ Superior Taste Award 2023 ระดับ 1 ดาว โดยเชฟชั้นนำกว่า 200 คน จาก International Taste Institute รางวัล SET Awards 2021 ในกลุ่ม Business Excellence ด้านนวัตกรรมดีเด่น (Outstanding Innovative Company Awards) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร และรางวัลชนะเลิศสุดยอดนวัตกรรมระดับโลก จากงาน THAIFEX – Anuga Asia 2020 วางจำหน่ายแล้วใน ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ อาทิ The Mall, Tops, Villa Market, Foodland, MaxValu หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ufarmthailand.com/cheeva_pork

สำหรับ งานสัมมนาวิชาการ The International Conference for Public Health, Environment, and Education for Sustainable Development Goals and Lifelong Learning มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 300 คน เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และส่งเสริมนวัตกรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายในปี 2573 ด้านสาธารณสุข สุขภาพ การส่งเสริมและความเป็นอยู่ที่ดี โภชนาการและวิทยาศาสตร์การอาหาร อนามัยสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรายุทธ สุภาพรรณชาติ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหารสินทรัพย์ เป็นประธานในพิธีเปิด และ รองศาสตราจารย์ ดร.สราวุธ เทพานนท์ คณบดี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมด้วย

AIS กวาดรางวัล Digital Transformation World 2023 ยืนหนึ่งเวทีระดับโลก

0

AIS ยืนหนึ่งบนเวทีระดับโลก คว้ารางวัลใหญ่ได้แก่ Best Innovative and Future Technology Company และรางวัล Best New Catalyst – Culture and Talent ในงาน Digital Transformation World Summit 2023 งานประชุมของผู้ให้บริการเทเลคอมและผู้พัฒนาเน็ตเวิร์คชั้นนำมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จัดโดย TM Forum สมาคมผู้ให้บริการและซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมระดับโลก นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ที่จะยกระดับขีดความสามารถของโครงข่าย พร้อมขับเคลื่อนมาตรฐาน Autonomous Network ที่ล้ำหน้าระดับโลก เพื่อยกระดับประสบการณ์จากโครงข่าย AIS ให้แก่ลูกค้าและภาคอุตสาหกรรม พร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “หนึ่งในภารกิจที่จะทำให้เราบรรลุวิสัยทัศน์ Cognitive Tech-Co หรือการก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ คือการยกระดับการทำงานของเน็ตเวิร์คสู่  Autonomous Network  ที่ต้องมีความอัจฉริยะในการคาดการณ์และบริหารจัดการขีดความสามารถในการรองรับการใช้งานของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ อัตโนมัติ จากการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังต้องสร้างการมีส่วนร่วมหรือแม้แต่สามารถออกแบบให้บริการให้ลูกค้าได้แบบ Personalization

ที่ผ่านมา เราจึงมี Road Map ที่จะยกระดับสู่การเป็น Autonomous Network อย่างชัดเจน ด้วยการทำงานอย่างเข้มข้นของบุคลากรในทุกส่วนงานโดยเฉพาะทีม Engineer และทีม IT เพื่อค้นหา พัฒนา ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอาทิ Huawei ในการทดลองทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของโครงข่าย พร้อมขับเคลื่อนและสร้างมาตรฐานใหม่ของ Autonomous Network อย่างล้ำหน้าระดับสากล จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ AIS ได้รับรางวัล Best Innovative and Future Technology Company จากโครงการ Intent Driven Autonomous Networks – Phase 3  และ Best New Catalyst – Culture and Talent จากโครงการ The Rise of Robotics ในงาน Digital Transformation World Summit 2023 ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่มีผู้ให้บริการในแวดวงเทเลคอมระดับโลกกว่า 100 ประเทศเข้าร่วมงานและเข้าร่วมการแข่งขันนวัตกรรมโครงข่ายในสาขาต่างๆ”

“รางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AIS ในฐานะผู้นำนวัตกรรม ที่พร้อมจะนำพาให้ประเทศไทยปักหมุดยืนหนึ่งในเวทีเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ผ่านการกำหนดมาตรฐานใหม่ของเครือข่ายอัจฉริยะให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระดับสากล  ซึ่งแน่นอนว่าจะนำมาซึ่งการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่คนไทย และเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง”  นายวสิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

รู้เก็บรู้ออม : รู้ทันปากท้องออนทัวร์!!

0

“คุณนายพารวย” เป็น FC ของรายการ “รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์” ติดตามดูทุกตอน เพราะมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ให้ความรู้ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง การออม เทคโนโลยี ไปจนเรื่องธรรมะใกล้ตัว ถ่ายทอดเป็นคลิปวิดีโอ ความยาว 2-3 นาทีต่อตอน ดูเข้าใจง่าย

โครงการนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2563 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องการจัดทำคอนเทนต์ออนไลน์ที่มีกูรูจากแวดวงต่างๆ มาให้ความรู้ และแนะนำเทคนิคแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในเขตภูมิภาค

เนื้อหาหลักของรายการนี้ ประกอบด้วย รู้ทันทุกปัญหาเรื่องเงินกับ…กูรูปลดหนี้ “อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP®, รู้ทันความทุกข์กับ…กูรูกู้ใจ พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) เจ้าอาวาสวัดจากแดง, รู้ทันเรื่องเกษตรกับ…กูรูสวนนาป่าน้ำ “อายักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย, รู้ทันเทคนิคการขายกับ…กูรูค้าขาย “อาซ้ง” ทรงพล ชัญมาตรกิจ ผู้ก่อตั้ง TV DIRECT, รู้ทันเทคโนโลยีกับ…กูรูไฮเทค “อาซี” พุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานปฏิบัติการเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

และในปีนี้ 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดกิจกรรม “รู้ทันปากท้องออนทัวร์” ในภูมิภาค โดยได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาค เพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน เทคนิคการปลดหนี้ มีออม หนทางสร้างรายได้ พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันภัยการเงิน-การลงทุน แก่ประชาชนในภูมิภาค โดยส่งตรง “กูรูรู้ทันปากท้อง” ตัวจริงเสียงจริง ไปให้ความรู้ แนะนำเทคนิคแก้ไขปัญหาปากท้องในแง่มุมต่างๆ แก่ประชาชน และผู้สื่อข่าว อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อช่วยเป็นสื่อกลางเผยแพร่ความรู้ไปยังกลุ่มต่างๆ

ผู้เข้าร่วมงาน นอกจากจะได้พบกับกูรูรู้ทันปากท้องที่พร้อมตอบทุกปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้ ยังมีวิทยากรจากธนาคารแห่งประเทศไทย มาร่วมให้ความรู้เพื่อครบมิติเรื่องเงินและปากท้องอีกด้วย

“รู้ทันปากท้องออนทัวร์” จัดกิจกรรมสัญจรไปแล้ว 2 ครั้ง ที่ขอนแก่น และเชียงใหม่ เมื่อเดือน ส.ค. และ ก.ย.ที่ผ่านมา และกำลังจะมีงานขึ้นอีกครั้งในวันที่ 3 ต.ค.2566 นี้ ที่โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยในงานจะได้พบกับ “กูรูปลดหนี้” คุณสาธิต บวรสันติสุทธิ์ มาให้ความรู้ “รู้ทันทุกปัญหาเรื่องเงิน ตอบทุกคำถามโดยกูรูปลดหนี้” ชวนเรียนรู้การวางแผนการเงิน เทคนิคปลดหนี้ให้หมดไว และรู้ทันมิจฉาชีพหลอกลงทุน พร้อมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจะมาให้ความรู้ในหัวข้อ “ช่องทางแก้หนี้และมาตรการจัดการภัยการเงิน”

พี่น้องชาวสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง สามารถเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้ตั้งแต่เวลา 08.30-13.30 น. ฟรีตลอดงาน! ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ www.set.or.th/ruthunpakthong-ontour  หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2009-9999

และสามารถติดตามรายการ “รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์” โดยดูผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสื่อพันธมิตร มีเนื้อหาน่าสนใจมากมายรออยู่ รับรองไม่ผิดหวัง!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

gettgo จัดแคมเปญ “ครบรอบ gettgo 6 ปี ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้คุณ” ลุ้นรับทองคำ-โปรโมชันพิเศษ

0

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการ gettgo เว็บไซต์เปรียบเทียบประกันออนไลน์ เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีที่สำคัญของ gettgo ในการเปิดให้บริการครบรอบ 6 ปี  และในยุคปัจจุบันที่โซเชียลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนมากขึ้น gettgo ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาแพลตฟอร์มเปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ดังสโลแกน “รู้จุดเด่น เห็นจุดต่าง” ให้การซื้อประกันออนไลน์เป็นเรื่องที่ง่ายและเข้าถึงได้ทุกคน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าคนสำคัญและร่วมฉลองครบรอบ 6 ปี พร้อมมอบความสุขส่งท้ายปีให้ลูกค้าทุกคน gettgo  จึงได้จัดแคมเปญ “ครบรอบ gettgo 6 ปี ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้คุณ” ด้วยการจัดกิจกรรม “ลุ้น รับ โชค” ลุ้นรับทองคำ จำนวน 10  รางวัล ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองฟรี 3 เดือน และส่วนลดต่าง ๆ อีกมากมาย  รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท เพียงซื้อแบบประกันภัยประเภทใดก็ได้กับ gettgo ผ่านทางเว็บไซต์ www.gettgo.com หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทางโทรศัพท์ ในทุกการซื้อจะได้รับสิทธิ์ในการร่วมชิงรางวัล สูงสุด    4 สิทธิ์ ต่อ 1 กรมธรรม์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

ทั้งหมดนี้คือความพิเศษที่ gettgo สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้าทุกท่าน ซึ่งลูกค้าสามารถรับสิทธิ์จากแคมเปญ “ครบรอบ gettgo 6 ปี ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้คุณ” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 โดยจะจับรางวัลในวันที่ 19 มกราคม 2567 เวลา 10.00 น. ณ อาคาร 1 โถงรับรอง ชั้น 5 สำนักงานใหญ่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทาง www.gettgo.com และ Facebook Page gettgo ในวันที่ 22 มกราคม 2567

วรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด

“ก้าวสู่แพลตฟอร์มเปรียบเทียบประกันออนไลน์ที่หนึ่งในใจลูกค้า”

นายวรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ตลอดระยะกว่า 6 ปีที่ผ่านมา gettgo ไม่เคยหยุดพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงใจลูกค้า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้การซื้อประกันเป็นเรื่องง่าย สะดวกและรวดเร็ว และพร้อมดูแลลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการให้บริการที่ครบวงจรในทุกจังหวะชีวิต และ 6 ปีที่ผ่านมา เราได้เผชิญกับความท้าทาย   ต่าง ๆ  มากมาย แต่เราก็ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและคอยอยู่เคียงข้างลูกค้าเสมอ

ต่อจากนี้ gettgo ยังคงเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มให้มีความทันสมัย ตอบรับกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  พร้อมปรับเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่และมองหาพาร์ทเนอร์บริษัทประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อก้าวสู่แพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม และสามารถช่วยเปรียบเทียบเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกแบบประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ

โดยปัจจุบัน gettgo  ได้มีการขยายผลิตภัณฑ์และบริการอย่างครอบคลุม และหลากหลาย จากพันธมิตรชั้นนำของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยรถยนต์ระยะสั้น 30 วัน  พ.ร.บ. รถยนต์  ประกันสุขภาพ  รวมไปถึง So You ประกันสุขภาพที่สามารถปรับแผนความคุ้มครองได้ตามที่ต้องการ และล่าสุดกับประกันรถ EV  

สำหรับ gettgo เว็บไซต์เปรียบเทียบประกันออนไลน์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด โดยถือกำเนิดจากปณิธานในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ในยุคดิจิทัลที่ต้องการเปรียบเทียบสินค้าต่าง ๆ ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์  gettgo  จึงต้องการสร้างประสบการณ์การเปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว ผ่านการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อมคัดสรรข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจให้ผู้ซื้อได้รับความคุ้มครองที่จำเป็น                      โดย gettgo  มีประกันออนไลน์ให้เลือกสรรจากพันธมิตรที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่