Home Blog Page 116

เมืองไทยประกันชีวิต จัดพิธีทำบุญเสริมสิริมงคล ต้อนรับปีใหม่ 2567

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญเสริมสิริมงคล เนื่องในโอกาสต้อนรับปีใหม่ ปี 2567 เริ่มต้นศักราชใหม่กับปีมังกร (ปีมะโรง) โดยมี นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ            เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนางยุพา ล่ำซำ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นางนวลพรรณ ล่ำซำ  ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ  ผู้บริหารและพนักงานร่วมในพิธี  

พร้อมประกาศเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง  รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และคุณภาพการให้บริการที่ดี เข้าถึงได้ง่าย เพื่อส่งมอบแก่ผู้เอาประกันทุกท่าน  ในฐานะองค์กรที่มีการบริหารงานอย่างมีจรรยาบรรณและยึดหลักบรรษัทภิบาล (Good Corporate Governance) ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาวเพื่อสร้างสมดุล   ทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง  พร้อมอยู่เคียงข้างดูแลในทุกช่วงของชีวิต  ทุกเจนเนอเรชัน และทุกบทบาทของชีวิต  โดยงานจัดขึ้น  ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ 

แนะเลือกภาชนะอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟให้ปลอดภัย

0
อาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ ย้ำภาชนะพลาสติกสามารถใช้อุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย ระบุต้องใช้พลาสติกสำหรับเข้าเตาไมโครเวฟเท่านั้น ชี้การทดลองในต่างประเทศที่พบไมโครพลาสติกในน้ำยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ขอผู้บริโภคอย่าเพิ่งตระหนก
รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เตาไมโครเวฟ เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับอุ่นอาหาร โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ไมโครเวฟ ทำให้อาหารสุกได้ในระยะเวลาสั้น มีความปลอดภัย อำนวยความสะดวกในการปรุงอาหารได้มาก โดยเฉพาะตามร้านสะดวกซื้อ เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ จึงเป็นที่นิยมในทุกครัวเรือน

สำหรับกลไกการทำงานของเตาไมโครเวฟ เกิดจากน้ำที่อยู่ในอาหาร ซึ่งดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ไมโครเวฟได้ดีที่สุด ทำให้โมเลกุลของน้ำสั่นสะเทือน เสียดสีจนเกิดความร้อนขึ้น ทำให้อาหารร้อนและสุก ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันตรายกับมนุษย์ และสามารถพบเจอคลื่นไมโครเวฟได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น เร้าเตอร์ ไวไฟ (router wifi)

การอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ ยังคงคุณค่าสารอาหารมากกว่าการให้ความร้อนชนิดอื่น เพราะใช้ความร้อนในระยะเวลาที่น้อยกว่า ทั้งนี้คลื่นไมโครเวฟไม่มีการทิ้งของเสียหรือสารเคมีลงไปในอาหาร เพราะเป็นเพียงคลื่นที่วิ่งผ่านไปมา จึงไม่ได้ก่อให้เกิดเป็นมะเร็ง

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “ข้อควรระวัง ในการใช้เตาไมโครเวฟ ควรเลี่ยงภาชนะที่เป็นโลหะ เช่น จาน-ชามที่มีขอบทอง หรือ ช้อนส้อม ที่อาจเผลอใส่เข้าไป แม้แต่ฟอยล์ก็ตาม คลื่นไมโครเวฟที่เจอโลหะ จะทำให้อิเล็คตรอนที่อยู่ในโลหะขยับไปมาอย่างรวดเร็ว และอาจเกิดประกายไฟทำให้ตู้เสียหายได้ ส่วนการระเบิดเกิดจากการนำอาหารบางอย่างเข้าไป อาทิ การทำไข่ต้ม เพราะภายในไข่มีน้ำอยู่ ความร้อนจะทำให้น้ำขยายตัวและเกิดความดันขึ้นทำให้ไข่แตกระเบิดได้ ส่วนภาชนะที่เหมาะสมสำหรับใส่เตาไมโครเวฟ คือ จานกระเบื้อง แก้ว และเซรามิก”

นอกจากนี้ หากเป็นภาชนะพลาสติก ควรใช้ภาชนะพลาสติกคุณภาพดีสำหรับเข้าเตาไมโครเวฟเท่านั้น ซึ่งสังเกตได้โดยพลิกดูเครื่องหมายสามเหลี่ยม ซึ่งจะมีตัวเลขระบุชนิดของพลาสติก โดยเบอร์ 1 จะเป็นพลาสติกประเภท PET (Polyethylene Terephthalate) และเบอร์ 5 จะเป็นประเภท PP (Polypropylene) ที่สามารถนำเข้าเตาไมโครเวฟได้เพราะมีจุดหลอมเหลวสูง ข้อควรระวังแม้ว่าจะเป็นพลาสติก PET แต่ต้องมีระบุว่า ไมโครเวฟเซฟ (Microwave Safe) ด้วย โดยผู้ผลิตที่เชื่อถือได้และใส่เครื่องหมายนี้บนภาชนะ แสดงให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าภาชนะพลาสติกนั้นสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้นำกลับมาใช้ซ้ำ

กรณีการเผยแพร่ผลงานวิจัย เรื่องเตาไมโครเวฟ โดยนำผลงานวิจัยจากหลายแห่งมารวมกัน และให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการสลายตัวของพลาสติกเป็นไมโครพลาสติกด้วยการใช้เตาไมโครเวฟ โดยผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา สหรัฐอเมริกา ได้ทำวิจัยทดลองนำขวดนม PP ของเด็กใส่น้ำและเติมกรดลงไปเล็กน้อย เป็นการจำลองเหมือนใส่อาหาร จากนั้นนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ 3 นาที และนำไปตรวจหา ไมโครพลาสติก หรือ นาโนพลาสติก พบว่ามีจำนวนในระดับ พันล้านชิ้น ต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรของพลาสติก จากนั้นมีการทำวิจัยต่อ โดยนำเนื้อเยื่อของตับไปแช่ในสารละลายที่มีไมโครพลาสติกปริมาณสูง พบว่าเนื้อเยื่อเหล่านั้นตาย แต่งานวิจัยสองส่วนนี้มีความเข้มข้นของปริมาณไมโครพลาสติกต่างกันมากถึงหลักล้านเท่า จึงไม่สามารถเชื่อมโยงงานวิจัยกันได้โดยตรงว่าไมโครพลาสติกทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อตับของผู้บริโภค

แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะพบไมโครพลาสติกอยู่จริง และกล่าวอ้างว่าเด็กที่กินนมจากน้ำที่อุ่นด้วยเตาไมโครเวฟจะได้รับไมโครพลาสติก แต่ไม่ได้เป็นปริมาณที่ยืนยันทางการแพทย์ว่ามากพอที่จะทำให้เด็กได้รับอันตราย ทั้งนี้ ไม่เคยมีการทดลองกับมนุษย์ด้วยการดื่มน้ำและเจาะเลือดหาไมโครพลาสติก จึงไม่อาจทราบได้ว่าร่างกายสามารถกำจัดไมโครพลาสติกเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด แม้จะพบงานวิจัยในหนู หรือเนื้อเยื่อของหนูบางสายพันธุ์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าปริมาณนั้นถือว่าน้อยหรือมากและอันตรายหรือไม่

ทั้งนี้ไมโครพลาสติกยังสามารถพบได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำ เช่น เวชสำอาง ลิปมัน เกลือ หรือแม้แต่ถุงชา จึงยังต้องใช้การวิจัยอีกพอสมควรจึงจะทราบถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งปัญหาของการทดลองประเภทนี้ คือ ขาดกลุ่มควบคุม (control group) เพราะปัจจุบันไม่มีมนุษย์ที่ไม่เคยเจอไมโครพลาสติกเลย มาทดลองเจาะเลือดเพื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ที่เจอไมโครพลาสติกอยู่เป็นระยะในชีวิตประจำวัน

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟยังไม่เคยพบปัญหาที่ทำให้มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยหรือเกิดโรคภัย ทั้ง ๆ ที่มีการใช้เตาไมโครเวฟอย่างแพร่หลายเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันที่ดีว่าอาหารที่อุ่นจากเตาไมโครเวฟไม่สร้างปัญหาสุขภาพ ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ สิ่งที่ผู้บริโภคควรตระหนักคือ การเลือกภาชนะที่ใช้อย่างเหมาะสม และเตาไมโครเวฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะมั่นใจในการใช้งานเตาไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย

ซีพีเอฟ ชวนร่วมดูแลโลกยั่งยืน พัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ รักสุขภาพ รักษ์โลก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำความมุ่งมั่นบนเส้นทางธุรกิจสีเขียว (Green Business) พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและผลิตภัณฑ์ปลอดคาร์บอน ชวนคนไทยร่วมดูแลโลกอย่างยั่งยืน สนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ไปด้วยกัน ชูกลุ่มผลิตภัณฑ์หมู ไก่ กุ้ง และไข่ไก่ ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส รายแรกของไทยที่ได้รับรองฉลากคาร์บอน ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์สีเขียวเป็น 40 % ภายในปี 2030

นางสาวอรพรรณ มั่งมีศรี ผู้อำนวยการสำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการที่ดี และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา บริษัทฯไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) และดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG (Environment Social Governance) ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งตั้งแต่ปี 2552 – ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Label) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. รวม 880 รายการ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ หมู ไก่ กุ้ง เป็ด และ ไข่ไก่ ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) อาทิ ในกลุ่มกุ้ง ได้รับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตั้งแต่ อาหารกุ้ง ลูกกุ้ง กุ้งสด กุ้งแช่แข็ง และเกี๊ยวกุ้ง เป็นต้น

ซีพีเอฟมีผลิตภัณฑ์คาร์บอนตํ่าที่ได้รับรองฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction Label) จำนวน 56 รายการ อาทิ อาหารไก่เนื้อ ไก่มีชีวิต สุกรขุน เนื้อไก่สด เนื้อหมูสด และไข่ไก่ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ยังได้รับฉลากคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Product) รวม 2 รายการ ได้แก่ ไข่ไก่ Cage Free แบรนด์ยูฟาร์ม (U Farm) แพ็กเกจขนาด 4 ฟอง/แพ็ก และขนาด 10 ฟอง/แพ็ก นับเป็นไข่ไก่เคจฟรี (ไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบไม่ขังกรง) ปลอดคาร์บอนรายแรกของทวีปเอเชีย ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการลดคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด และจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เท่ากับศูนย์

นอกจากนี้ ในปี 2566 มีผลิตภัณฑ์ใหม่ของซีพีเอฟที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก. จำนวน 62 รายการ และในจำนวนดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส อาทิ นักเก็ตไก่จากพืช เนื้อบดจากพืช ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส รายแรกของประเทศไทยที่ได้รับรองฉลากคาร์บอน

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 880 รายการ ผลิตภัณฑ์คาร์บอนตํ่าที่ได้รับรองฉลากลดโลกร้อน 56 รายการ และไข่ไก่ปลอดคาร์บอน 2 รายการ ช่่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่ต่ำกว่า 2.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยซีพีเอฟ มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2023 สัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์สีเขียวของบริษัทฯจะอยู่ที่ 38 % และเพิ่มเป็น 40 % ในปี 2030 ซึ่งปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำที่ได้รับรองจากอบก. หลายรายการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม อาทิ ไข่ไก่สด ซีพี ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 30 % เนื้อไก่สด 50 % และเนื้อหมูสด 13 % สอดคล้องกับความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำของผู้บริโภคทั่วโล

ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ซีพีเอฟ ได้มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ โดยปฏิบัติตามหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐาน ISO 14040 ISO 14044 และ ISO 14067 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกใช้วัตถุดิบ การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ และการแปรรูปอาหาร รวมถึงการประเมินประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศ (Eco-Efficiency Analysis) ซึ่งเป็นการประเมินประสิทธิภาพด้านต้นทุนการผลิตควบคู่ไปกับการประเมินผลกระทบของผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม

DR น้องใหม่ ‘HK 13’ อ้างอิง EIF ฮ่องกง พร้อมซื้อขาย 3 ม.ค.นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับหลักทรัพย์ DR ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่อ้างอิง ETF ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ออกโดย บล. เคจีไอ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ม.ค. นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “HK13”

DR “HK13” อ้างอิงกับ Tracker Fund of Hong Kong (2800.HK) ซึ่งเป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี Hang Seng โดยลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดย DR “HK13” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2567

DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มี ด้วยเงินบาท โดย DR จะเปิดซื้อขายแบบต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียด DR “HK13” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) www.kgieworld.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com

เมืองไทยสไมล์คลับ ส่งมอบความสุข ช้อปสนุกส่งท้ายปี Season of happiness

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี เมืองไทยประกันชีวิต โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ได้รวบรวมสิทธิพิเศษจากศูนย์การค้าชั้นนำ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขพร้อมเอาใจสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสายช้อป ช้อปได้ทุกสไตล์แบบจัดเต็มส่งท้ายปี ณ ศูนย์การค้าชั้นนำหรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ร่วมรายการ ตอบโจทย์ทุกโมเมนต์แห่งความสุขได้ง่ายๆ เพียงแลกคะแนนสะสม Smile point ผ่าน MTL Click Application ดังนี้

Central let’s celebrate 2024  ใช้คะแนนสะสม 30 Smile Points แลกรับบัตรของขวัญเซ็นทรัล  มูลค่า  100 บาท จำนวน 1 ใบ จำกัดจำนวน 5 สิทธิ์ / ท่าน / เดือนกดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ แผนกลูกค้าสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ภายใน 15 นาที ระยะเวลารับสิทธิ์ 14 พฤศจิกายน 2566 -9 มกราคม 2567

THE MALL LIFESTORE JOY OF GIVING ต่อที่ 1 ใช้คะแนนสมสะ 35 Smile Points แลกรับบัตรกำนัลศูนย์การค้ามูลค่า 100 บาท จำกัด 15 สิทธิ์ / ท่าน / สัปดาห์  กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ จุดแลกรับของสมนาคุณของศูนย์การค้า ภายใน 30 นาที ระยะเวลารับสิทธิ์ 27 พฤศจิกายน 2566 – 14 มกราคม 2567 ต่อที่ 2 ช้อปในศูนย์การค้า ครบทุก 2,000 บาท รับ 2 สิทธิ์ (ลูกค้าทั่วไป 1 สิทธิ์) ลุ้นรางวัลใหญ่ CAMRY 2.5 PREMIUM มูลค่า 1,599,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ระยะเวลารับสิทธิ์ 27 พฤศจิกายน 2566 –  7 มกราคม 2567 ต่อที่ 3 ช้อปในศูนย์การค้า เพียง 7,000 บาทขึ้นไป (ปกติ 8,000 บาท) รับ Holiday Party Set (Placement 4 ชิ้น Coaster 4 ชิ้น ) มูลค่า 1,490 บาทจำกัด 1 สิทธิ์ / ท่าน / ตลอดรายการ ระยะเวลารับสิทธิ์  27 พฤศจิกายน 2566 – 14 มกราคม 2567 สถานที่รับสิทธิ์ต่อที่ 2-3 ณ จุดแลกรับของสมนาคุณของศูนย์การค้า  เดอะมอลล์ทุกสาขา โดยแสดงรูปบัตรสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับผ่าน MTL Click Application รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับสิทธิ์ (สงวนสิทธิ์งดเว้นการถ่ายภาพหน้าจอ)

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แลกพ้อยท์ช้อปฟินเวอร์ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสม 35 Smile Points  แลกรับบัตรกำนัล Magic Gift Card มูลค่า 100 บาท สมาชิกฯ 1 ท่าน แลกรับได้สูงสุด 5 สิทธิ์ / สัปดาห์ ระยะเวลารับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 พิเศษทุกวันอังคาร (Pink Day) เฉพาะเดือน ธันวาคม 2566 – มกราคม 2567 รับฟรี the1 Point 1,000 Points เมื่อช้อปสินค้าร้านใดๆ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ครบ 1,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ กรุณาแสดงใบเสร็จที่ระบุวันที่ตรงกับวันรับสิทธิ์พร้อมรหัสกับเจ้าหน้าที่ สมาชิกฯ แลกได้ 1 สิทธิ์ / สัปดาห์ / หมายเลข The1ระยะเวลารับสิทธิ์วันที่ 5, 12, 19, 26 ธันวาคม 2566 และ 2, 9,16, 23, 30 มกราคม 2567 กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application แสดงรหัสรับสิทธิ์ ณ จุดแลกของสมนาคุณของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกสาขาภายใน 60 นาที

VIZ Coin ร้านค้าในเครือ ONE SIAM และ ONESIAM SuperApp สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสม 35 Smile Points เปลี่ยนเป็น 100 VIZ Coins สำหรับใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้า/บริการ ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, สยามดิสคัฟเวอรี่, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, ไอซีเอสและร้านค้าบน ONESIAM SuperApp  จำกัด จำนวน 5 สิทธิ์ / ท่าน / วัน กดรับสิทธิ์ผ่าน MTL Click Application นำรหัสที่ได้ รับ VIZ Coins ผ่านแอปพลิเคชัน ONESIAM SuperApp ระยะเวลารับสิทธิ์ 1 พฤศจิกายน 2566 – 31 ตุลาคม 2567

ส.ผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร ผนึก “ลีโอ” จัดงาน KhaoSan Countdown 2024 จัดเต็มความสนุกควบคู่ความปลอดภัย ปลุกกระแสท่องเที่ยวไทยรับปีใหม่

0

สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร จับมือ แบรนด์ลีโอ, สถานีตำรวจชนะสงคราม และหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ผนึกกำลังจัดงาน “KhaoSan Countdown 2024” ร่วมส่งท้ายปี 2566 ต้อนรับปี 2567 เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2566 โดยมีกิจกรรมไฮไลท์ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 16.00 - 24.00 น. จัดเต็มความสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน และ DJ รวมไปถึงโชว์ต่างๆ ที่จะมาร่วมสร้างความสุขให้กับนักท่องเที่ยวที่มาร่วมเฉลิมฉลอง

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายลง ตลอดปี 2566 ถือเป็นปีแห่งการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ กับการจัดงาน “เคาท์ดาวน์”ตามสถานที่ไฮไลท์ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีกิจกรรมรอต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย ซึ่ง “ถนนข้าวสาร” ถือเป็นอีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรอคอยเพื่อมาพบกับความสุขและสนุกสนานต้อนรับปีใหม่

งาน KhaoSan Countdown 2024 จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “เที่ยวเมืองไทย สนุก ปลอดภัย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างความจดจำของผู้มาร่วมงาน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าสู่ปี 2567 ด้วยความสนุก ปลอดภัยกับประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจที่ไม่รู้ลืม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต และทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

กิจกรรมดังกล่าวยังถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ถนนข้าวสาร สู่เป้าหมาย 10 ล้านคน ในปี 2567 พร้อมยกระดับให้ถนนข้าวสารเป็นอีกหนึ่งจุดบนแผนที่เคาท์ดาวน์ของประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย พร้อมก้าวสู่ “แลนด์มาร์ค” สถานที่เคาท์ดาวน์ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

รู้เก็บรู้ออม : ทุนสอบ AISA สู่อาชีพการเงิน

0

อาชีพในแวดวงนักการเงินการลงทุน ถือเป็นสายอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนักวางแผนการเงิน, นักวิเคราะห์, ผู้จัดการกองทุนล้วนเป็นตำแหน่งงานที่มีรายได้สูง ยิ่งปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล ทำให้มีการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น ส่งผลให้อาชีพสายการเงินการลงทุนเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่อย่างมาก

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” มีบทบาทด้านส่งเสริมและสนับสนุน ในการยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทย รวมทั้งผลิตบุคลากรด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ป้อนสู่ตลาดทุนไทยเป็นจำนวนมาก ผ่านหลักสูตร Certified Investment and Securities Analyst (CISA) ที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

และ “โครงการ New Breed Capital Market Financial Professionals 2024” ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนา เตรียมความพร้อมให้บุคลากรมีความรู้ และทักษะตรงกับความต้องการของตลาดทุนไทย

โครงการนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนในระดับอุดมศึกษา ได้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ผ่านหลักสูตร CISA ระดับ Foundation Knowledge หรือที่เรียกว่าคุณวุฒิ AISA ซึ่งเป็นคุณวุฒิความรู้ด้านการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการใช้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเชิญชวนน้องๆนิสิต นักศึกษามาสมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อติดอาวุธความรู้ พร้อมใบเบิกทางสู่วิชาชีพด้านการเงิน โดยน้องๆ จะได้โอกาสร่วมเรียนรู้ เพื่อเข้าสอบคุณวุฒิ AISA โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนทุนในการสอบ สำหรับคนที่ผ่านเงื่อนไขที่กำหนด

สำหรับคุณสมบัติผู้สมัคร ต้องเป็นนิสิต นักศึกษาที่กำลังเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป และอายุไม่เกิน 25 ปี และปีนี้ยังขยายโอกาสให้กับคนที่จบปริญญาตรีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 25 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2545 เป็นต้นไป) สมัครได้ด้วย รวมทั้งนิสิต นักศึกษา ที่กำลังเรียนปริญญาโท หรือเอก มีอายุไม่เกิน 35 ปี (เกิดวันที่ 1 ม.ค.2533 เป็นต้นไป) ก็สามารถสมัครได้เช่นกัน

ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนและสอบคัดเลือก เพื่อชิงทุนสอบคุณวุฒิ AISA จำนวน 250 ทุน และคัดเลือกเหลือ 100 คนเท่านั้นที่จะได้ร่วมกิจกรรม Exclusive Financial Career Camp สัมผัสโลกธุรกิจและการทำงานของมืออาชีพผ่านการเยี่ยมชมกิจการ ตลอดจนกิจกรรม Workshop เพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพบนเส้นทางวิชาชีพสายการเงิน

น้องๆ ที่ใฝ่ฝันอยากทำงานในวิชาชีพสายการเงินการลงทุน ต้องไม่พลาดโอกาสครั้งนี้ รีบสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 ก.พ.2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครได้เลยที่ www.set.or.th/newbreed2024  หรืออัปเดตกิจกรรมต่างๆ ของโครงการได้ที่ Facebook: SETYoungGen

คุณนายพารวย

อย.ห่วงใยผู้บริโภค แนะวิธีเลือกซื้อเนื้อหมูปลอดภัย ปลอดสารเร่งเนื้อแดง

0

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห่วงใยผู้บริโภค แนะวิธีสังเกตเนื้อหมูที่ปลอดสารเร่งเนื้อแดง ในการนำมาปรุงประกอบอาหารให้มีความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ชี้ความร้อนไม่สามารถทำลายได้ ย้ำ อย.ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคมาเป็นอันดับแรก มีการลงพื้นที่สุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง

เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สารเร่งเนื้อแดง คือ ยาที่นำมาใช้ในการรักษาโรค อยู่ในกลุ่ม เบตาอะโกนิสต์ (Beta-Agonist) เช่น ซัลบูทามอล (Salbutamol) เคลนบูเทอรอล (Clenbuterol) มาเพนเทอรอล (Mapenterol) หรือ แรคโตพามีน (Ractopamine) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดลมให้ผู้ป่วยสามารถหายใจคล่องขึ้น โดยใช้ในปริมาณเล็กน้อยเพียง 1 มิลลิกรัม ถึง 2 มิลลิกรัม ในบางคนใช้แล้วมีอาการแพ้ยา และยากลุ่มนี้ อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อขยับขยายตัวมากขึ้น เคลื่อนไหวตลอดเวลา กล้ามเนื้อกระตุกหรือสั่น

จากอาการข้างเคียงของยาข้างต้น จึงมีคนนำยามาใช้กับหมู เพื่อตอบสนองความต้องการและความนิยมของลูกค้าที่ต้องการบริโภคเนื้อหมูส่วนที่เป็นเนื้อแดง มีมันน้อย ผู้เลี้ยงหมูจึงนำยากลุ่มนี้ผสมในอาหารสัตว์ หรือ นำไปฉีดในหมู โดยหมูที่ได้รับยาจะตื่นตัวและเคลื่อนไหวตลอดเวลา กล้ามเนื้อทำงานมากขึ้น ทำให้สัดส่วนไขมันของหมูบางลง สัดส่วนเนื้อแดงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เภสัชกรเลิศชาย ย้ำว่า การนำยาดังกล่าวไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อในหมู หรือเร่งให้มีเนื้อแดงมากขึ้น ถือเป็นการปรับเปลี่ยนขั้นตอนกระบวนการการผลิต สุดท้ายผู้ที่บริโภคเนื้อหมูจะได้รับยาที่ตกค้างอยู่ในกล้ามเนื้อหมูหรือเนื้อหมู และเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ สังเกตได้จากหลังการรับประทานเนื้อหมูแล้วเกิดอาการ หายใจเร็วขึ้น ใจสั่น หรือรู้สึกกล้ามเนื้อสั่น โดยยาจะออกฤทธิ์ทันที ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นยาจะหมดฤทธิ์และถูกขับออกตามทางเดินปัสสาวะ

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ กลุ่มคนที่เป็นโรคหัวใจ มีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ หากได้รับยานี้ จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูง และคนที่เป็นโรคเบาหวาน ยานี้จะไปบดบังอาการของโรคทำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานไม่รู้ตัวและวูบได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่ายานี้กระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง

“สารเร่งเนื้อแดง ไม่สลายตัวเพราะความร้อน ดังนั้นกระบวนการปรุงอาหารไม่สามารถช่วยกำจัดสารนี้ได้ แม้ผ่านกระบวนการปรุงอาหารแล้ว สารนี้ยังคงตกค้างอยู่” เภสัชกรเลิศชาย กล่าว

เภสัชกรเลิศชาย แนะนำว่า วิธีการป้องกันสารเร่งเนื้อแดง ให้เลือกที่ตัวผลิตภัณฑ์ เลือกแหล่งจำหน่าย ซึ่งการสังเกตและเลือกซื้อเนื้อหมู ให้เลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีชมพูเรื่อๆ ไม่แดงจัด เนื้อนุ่มไม่กระด้าง เนื้อฉ่ำน้ำ มีน้ำแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมู มีชั้นไขมันหนา ไม่มีสีคล้ำเขียวและไม่มีกลิ่นเหม็น หากหมูมีลักษณะเนื้อแห้งแดง มันน้อย เนื้อมาก ควรเลี่ยงเพราะมีความสุ่มเสี่ยง

ผู้บริโภคควรซื้อเนื้อหมูที่อยู่ในตู้แช่เย็น ไม่วางบนเขียงที่อุณหภูมิปกติเพราะมีความเสี่ยง เนื่องจากเนื้อหมูเป็นของสด เน่าเสียได้และมีอายุการเก็บรักษา อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเลือกซื้อเฉพาะร้านที่มีตู้เย็นเท่านั้น แต่ขั้นตอนการเก็บรักษาของสดในตู้เย็นเป็นระบบการเก็บรักษาอาหารขั้นพื้นฐาน

สำหรับเนื้อหมูที่ผ่านกระบวนการตัดแต่งสไลด์หรืออยู่ในบรรจุภัณฑ์ อย.จะเข้าไปตรวจที่โรงงานตามข้อกำหนดมาตรฐาน อาทิ 1.หมูมาจากฟาร์มใด มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างหรือไม่ 2.ความสะอาดของสถานที่และโรงงาน 3.ขั้นตอนกระบวนการการผลิตสะอาดและมีความเหมาะสม เมื่อเนื้อหมูบรรจุลงผลิตภัณฑ์ จะมีสลากระบุวันเดือนปีที่ผลิต วันหมดอายุ โดยปกติระยะเวลาในการบริโภคจะไม่เกิน 3 วัน และต้องเก็บอยู่ในที่เย็นตลอดเวลา

ด้านผู้ผลิตอาหาร หรือผู้ประกอบการที่นำผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ หรือ เนื้อหมู มาใช้ในการปรุงประกอบเพื่อส่งต่อผู้บริโภค มีหน้าที่สำคัญคือคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบ สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องทราบว่าหมูมาจากฟาร์มใด ซึ่งกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ มีมาตรฐานในการเลี้ยงหมู ในฟาร์มมาตรฐานจะมีมาตรการป้องกันการใช้ยา หากเลือกจากฟาร์มมาตรฐาน สามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้

กรณีไม่ทราบแหล่งที่มาของหมู ต้องสังเกตจากลักษณะของเนื้อหมู เนื้อสีชมพู ไม่แดงจัด มีน้ำชุ่มๆ มีมันแทรก มีมันสามชั้น มีความสด จิ้มลงไปแล้วมีความนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง และที่สำคัญการเก็บรักษาอยู่ในอุณหภูมิที่เย็น เพื่อคงสภาพความสดของเนื้อสัตว์ไว้ ดังนั้น ฝากผู้ประกอบการ เลือกซื้อเนื้อหมูจากฟาร์มที่ได้การรับรองมาตรฐาน หรือเลือกจากเขียงที่มีคุณภาพ และเก็บรักษาอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ อย. มีการสุ่มตรวจเนื้อหมูอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด ลงพื้นที่สุ่มตรวจทั้งตลาดขนาดใหญ่ ตลาดค้าส่งและตลาดสดต่างๆ รวมถึงห้างสรรพสินค้า เป็นประจำทุกเดือน หากตรวจพบว่าในเนื้อหมูมีสารเร่งเนื้อแดงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในอาหารได้จะจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐาน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้ขาย หรือผู้นำเข้า มีโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท และหากมีสารเร่งเนื้อแดงในปริมาณสะสมที่สูงมาก จะไม่ถูกจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่าง ปี 2556-2566 อย. สุ่มเก็บตัวอย่าง 430 ตัวอย่าง พบสารเร่งเนื้อแดง 85 ตัวอย่าง โดยตรวจพบเฉพาะในช่วงแรก แต่ปัจจุบันไม่พบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อผู้บริโภค แสดงถึงความใส่ใจตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงหมู ไม่มีการใช้ยา มีการนำสินค้าที่มีคุณภาพมาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค และถึงแม้ว่าจะไม่พบสารเร่งเนื้อแดงแล้ว อย. ก็ยังคงทำหน้าที่เฝ้าระวังความปลอดภัย จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า อย. มีมาตรการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์สุ่มตรวจอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่แปรรูป และเนื้อสัตว์ที่อยู่บนเขียง หากพบการกระทำที่ผิดทางกฎหมาย จะดำเนินคดีอย่างเข้มงวด

ส่องพฤติกรรมคนไทยกับการรับมือภัยไซเบอร์ในปี 2566 โดย AIS อุ่นใจ CYBER

0

จากข้อมูลของตำรวจไซเบอร์พบว่าตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 ถึง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยไซเบอร์รวมมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและโลกออนไลน์กำลังเผชิญอยู่ในทุกๆ วัน

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “จากภารกิจสำคัญของ AIS ในการเสริมสร้างทักษะและความปลอดภัยในทุกการใช้งานบนดิจิทัลผ่านโครงการ AIS อุ่นใจ CYBER ที่เป็นแกนกลางสร้างเครือข่าย ร่วมกันกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวกให้กับสังคมดิจิทัลของไทย ทำให้เราเห็นถึงพฤติกรรมและข้อมูลที่น่าสนใจในการนำไปต่อยอด เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ เสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้กับลูกค้าและคนไทย เพราะนอกเหนือจากมูลค่าความเสียหายจากภัยไซเบอร์แล้ว สถิติจากตำรวจไซเบอร์ยังชี้ให้เห็นว่า รูปแบบของปัญหาที่คนส่วนใหญ่ยังคงโดนหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราคุ้นเคยกันอย่างมากในชีวิตประจำวัน คือการหลอกให้ซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ ถือเป็นปัญหาอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสูญเสียเงินไปกว่า 2,306 ล้านบาท ตามมาด้วยหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานเสริม และหลอกให้กู้เงิน ประกอบกับข้อมูลจากสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center พบว่า มีลูกค้าแจ้งเบอร์โทร และ SMS ที่คาดว่าจะเป็นมิจฉาชีพกว่า 1.6 ล้านครั้งตั้งแต่เปิดให้บริการ ซึ่งได้มีการตรวจสอบและนำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพได้อย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา”

นางสายชล ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงข้อมูลข้อมูลล่าสุดที่วัดระดับทักษะด้านดิจิทัลของคนไทย อย่าง Thailand Cyber Wellness Index ของปี 2023 ที่ริเริ่มจัดทำโดย AIS ว่าเป็นอีกหนึ่งชุดข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งทำให้เห็นถึงพฤติกรรมและความเข้าใจการใช้งานและรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • กลุ่มผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ และทักษะการใช้งานด้านดิจิทัล
  • คนไทยภาคเหนือ และภาคตะวันตก มีความเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์มากกว่าภาคอื่นๆ จากผลการศึกษาถึงระดับทักษะดิจิทัล
  • คนไทยส่วนใหญ่กว่า 87.97% มีความเข้าใจ และรู้ทันปัญหาการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ หรือ ไซเบอร์บูลลี่
  • ในขณะที่ยังมีทักษะสำคัญต่อการรับมือกับภัยไซเบอร์ ที่คนไทยยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งแน่นอนว่าการมีทักษะดิจิทัลเหล่านี้จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันและสามารถรับมือกับภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานได้
    • 48.60% ด้านความเข้าใจในสิทธิทางดิจิทัล
    • 49.83% ด้านการแสดงความสัมพันธ์ทางดิจิทัล
    • 51.80% ด้านการสื่อสาร และ การทำงานร่วมกับบนดิจิทัล

จากผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล ประกอบกับตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงจากการโดนหลอกลวง ทำให้ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการเสริมสร้าง พัฒนาทักษะดิจิทัล เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ใช้งานในทุกมิติ ทั้งทักษะการใช้ดิจิทัล (Digital Use), ทักษะการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy), ทักษะ ด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนดิจิทัล (Digital Communication and Collaboration), ทักษะด้านสิทธิทางดิจิทัล (Digital Rights), ทักษะด้านความมั่นคงความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security and Safety), ทักษะด้านการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ (Cyberbullying) และทักษะด้านความสัมพันธ์ทางดิจิทัล (Digital Relationship) เพื่อยกระดับสุขภาวะและทักษะดิจิทัลของคนไทย ให้สามารถใช้งานบนออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์” นางสายชล กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เพิ่มเติมที่ https://sustainability.ais.co.th/storage/update/report/advanc-ebook-thailand-cyber-wellness-th.pdf หรือองค์กรใดสนใจนำดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index เพื่อใช้วัดผลและขับเคลื่อนองค์กร สามารถติดต่อมาได้ที่ [email protected] 

“ทรีนีตี้” ปี 67 ลุยดิจิทัลเต็มรูปแบบ เปิดดีลที่ปรึกษาหุ้นไอพีโอ M&A หุ้นกู้เพียบ!!

0

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในงาน Opportunity Day ให้ข้อมูลภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2566 และทิศทางการดำเนินธุรกิจ ในปี 2567 ว่า ทรีนีตี้ยังคงดำเนินนโยบายตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะเดินหน้าแพลตฟอร์มดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อให้บริการกับลูกค้าแบบไร้รอยต่อ และให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของบริษัทที่จะส่งมอบผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน                                                                      

โดยปี 2567 บริษัทจะรุกธุรกิจวาณิชธนกิจในการเป็นที่ปรึกษาการเงินนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ซึ่งขณะนี้มีดีลในมือประมาณ 6-8 ดีล จะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 ดีลการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 6-8 ดีล และยังเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ (Bond)  6-8 ดีล รวมถึงตั้งเป้าในส่วนของธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) จะเติบโตทะลุ 3,200 ล้านบาท  จากปัจจุบันที่หดตัวลงมาที่ระดับ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้ทิศทางผลดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้น

 ดร.วิศิษฐ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงวด 9 เดือนแรกของปีที่มีผลขาดทุนว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ที่ปริมาณการซื้อขายลดลงเกิน 20% ทำให้รายได้จากธุรกิจค้าหลักทรัพย์ลดลง และทำให้กำไรจากพอร์ตลงทุนลดลง  เพราะบริษัทมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาลดลงตามภาวะตลาดที่ดัชนีถอยลงมาซื้อขายที่ระดับ 1,400 จุด รวมทั้งยังมีผลกระทบจากกรณีของหุ้น MORE ซึ่งคดีนี้ดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษแล้ว

  อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้นกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และมีสัดส่วน 50% ในไตรมาส 3 ทำให้บริษัทยังคงมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง