Home Blog Page 114

“ธนูลักษณ์” ออกขายหุ้นกู้ 300 ล. 24-26 ต.ค.นี้ มั่นใจกระแสตอบรับดีเดินหน้ารุกธุรกิจการเงิน

0

“ธนูลักษณ์” บริษัทในเครือสหพัฒน์ฯ ประเดิมตลาดออกขายหุ้นกู้ 300 ล้านบาท 24-26 ต.ค.นี้ มั่นใจได้รับกระแสตอบรับที่ดี หลังพันธมิตรบีทีเอสฯ เข้าร่วมทุน เดินหน้ารุกธุรกิจให้บริการทางการเงิน ทั้งธุรกิจให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) พร้อมสยายปีกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายต่อยอดเสริมธุรกิจการเงิน ชี้ฐานะการเงินแกร่ง มีส่วนผู้ถือหุ้นกว่าหมื่นล้าน ขณะที่มีหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ เพียง 0.18 เท่า

น.ส.สุธิดา จงเจนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) (TNL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมระดมทุนโดยออกและเสนอขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 6.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 ประเภทหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มจำนวนไม่เกิน 200 ล้านบาท รวมไม่เกิน 500 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาการเสนอขายระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566

สำหรับวัตถุประสงค์การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายพอร์ตสินเชื่อ และ/หรือ ใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย จำนวน 400-500 ล้านบาท และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวนไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้

น.ส.สุธิดา กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้นกู้ของบริษัทจะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุน ทั้งนี้ ภายหลังจากปลายปี 2565 ที่ผ่านมา TNL ได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยการปรับโครงสร้างองค์กร และปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเพิ่มทุนขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมและขายให้บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (หรือ BTSG) พันธมิตรทางกลยุทธ์ของบริษัทเข้ามาถือหุ้น ทำให้บริษัทมีฐานทุนรวมกันเกินกว่าหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มเครื่องยนต์หรือ New Engines มาเสริมทัพธุรกิจเดิมให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยรุกขยายเข้าไปทำ 3 ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยซื้อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีหลักประกันจากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ นอกจากนี้ยังลงทุนในบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate for Sale) ขณะที่ยังคงดำเนินธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่เดิม

“ทีมผู้บริหารมั่นใจว่า การเพิ่ม 3 Engines ใหม่ จะสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มบริษัทได้ และเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่งการที่บริษัทมีธุรกิจ Asset Financing ซึ่งมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันหลัก และมีธุรกิจ AMC ที่เน้นสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน รวมถึงการมี Engine ของการพัฒนา Real Estate for Sale ทำให้เรามี Network และความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี จะเป็นจุดแข็งและ Synergy ที่สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาวได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 ที่ผ่านมา” น.ส.สุธิดากล่าว

สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 TNL มีรายได้รวม 1,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 187 ล้านบาท หรือ 435% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจใหม่ด้านธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตรากำไร (Net Profit Margin) ที่สูง ทั้งนี้ หลังการปรับโครงสร้างบริษัท TNL มีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ 30 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 10,288 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ต่ำเพียง 0.18 เท่า

ซีพีเอฟ ส่งเสริมการผลิต-บริโภคอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ใน “วันอาหารโลก” 16 ต.ค. 2023

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการผลิตอย่างรับผิดชอบ ใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รสชาติอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก สอดรับแนวคิดวันอาหารโลกปี 2023 (World Food Day 2023) “น้ำคือชีวิต น้ำคืออาหาร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน

นลินี โรบินสัน

นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ (CPF RD Center) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก มีนโยบายหลักในการสร้างอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร โดยให้ความสำคัญกับการส่งมอบอาหารปลอดภัย คุณภาพดี ตรงตามความต้องการอาหารของผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัย ตลอดจนได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนากระบวนผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งพลังงาน น้ำ และวัตถุดิบต่างๆ ลดการสูญเสียในขั้นตอนการผลิต (food loss) ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัทฯ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050

สอดคล้องกับที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) กำหนดให้วันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันอาหารโลก” (World Food Day) โดยในปีนี้ แนวคิดในการรณรงค์การผลิตและการบริโภคอาหาร คือ “Water is life, Water is food, Leave No One Behind” หรือ “น้ำคือชีวิต น้ำคืออาหาร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตอกย้ำคุณค่าของน้ำ ทั้งน้ำดื่มและน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในห่วงโซ่การดำเนินชีวิตของมนุษย์ จำเป็นต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนให้ใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด และเพียงพอสำหรับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารตระหนักดีถึงความสำคัญของการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิตอย่างรับผิดชอบ ทั้งการใช้น้ำภายในองค์กรและลดการพึ่งพาแหล่งน้ำภายนอก อีกทั้งยังมีนโยบายบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำหลัก 3 Rs ได้แก่ 1.ลดการใช้น้ำ (Reduce) 2.นำน้ำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านการบำบัด (Recycle) และ 3.นำน้ำกลับมาใช้ซ้ำโดยไม่ผ่านการบำบัด (Reuse) ส่งเสริมบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ ยังมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามนโยบายการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น ส่งเสริมการสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพของประชากรทั่วโลก ร่วมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-Being) และการผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production) ตอบโจทย์แนวโน้มประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น พร้อมคำนึงถึงสมดุลระบบนิเวศ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการผลิตอาหาร (Climate Change)

“ซีพีเอฟ ผลิตอาหารที่มีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มคน ทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและทั่วโลก ตอบโจทย์ไลฟ์สเตจ (Lifestage) ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย ตั้งแต่อาหารวัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ในทุกโอกาสของการกิน ตั้งแต่ อาหารเช้า อาหารระหว่างวัน อาหารกินเล่น อาหารกินอิ่มท้อง หรือ ตอบโจทย์เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ ลดหวานมันเค็ม หรืออาหารโปรตีนทางเลือกอย่าง Meat Zero ช่วยเรื่องสุขภาพให้ดีขึ้น” นางนลินี กล่าว

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร CPF RD CENTER มีทีมนักวิจัยและเชฟที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการดำเนินการศึกษาวิจัยพัฒนาอาหารเชิงลึก เพื่อคิดค้นและสร้างสรรค์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเพิ่มขึ้น และมีรสชาติอร่อยตรงใจผู้บริโภคที่สุด โดยมีการควบคุมคุณภาพและการผลิตทุกขั้นตอน สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนาและผลิตอาหารให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคที่เหมาะสม เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับผู้ป่วยทางการแพทย์ สนับสนุนการเข้าถึงอาหารของทุกคนในทุกรูปแบบที่แตกต่างกัน ตามแนวทางการผลิต-การบริโภคอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกในอนาคต

แจ้งนักลงทุนขอให้ศึกษางบการเงินของ NEWS พร้อมติดตามคำชี้แจง

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NEWS) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินงวด 6 เดือน ปี 2566 เกี่ยวกับ การบันทึกผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน 90 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรากฏรายการต้นทุน   ในการจัดจำหน่าย 127 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กับกิจการที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่มีรายได้ 7 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 308 ล้านบาท ซึ่งมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน สภาพคล่อง และผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ให้ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ NEWS และติดตามคำชี้แจงของบริษัท

สรุปข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงินงวด 6 เดือน ปี 2566  

รายการมูลค่า (ล้านบาท)ข้อมูลในงบการเงิน / คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ
ขาดทุนจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน90 (36% ของมูลค่า เงินลงทุน)ในระหว่างงวด 6 เดือน ปี 2566 เงินลงทุนในตราสารทุน
ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเพิ่มขึ้น 203 ล้านบาท เป็น 249 ล้านบาท โดยมีมูลค่ายุติธรรมคงเหลือ 142 ล้านบาท
ต้นทุนในการ    จัดจำหน่าย127 (47% ของค่าใช้จ่าย)บริษัทชี้แจงใน MD&A ว่าต้นทุนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากส่วนงานหลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์  ในขณะที่หมายเหตุประกอบงบการเงิน มีค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์       92 ล้านบาท เป็นรายการกับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน และมีภาระผูกพัน     ที่จะต้องจ่ายค่าบริการจากการทำสัญญาค่าประชาสัมพันธ์กับบริษัท     ที่เกี่ยวข้องกัน 76 ล้านบาท

ประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ NEWS ชี้แจง คือ รายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ความเหมาะสมของรายการและแนวทางบริหารความเสี่ยง รวมถึงความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวข้างต้น ว่าได้พิจารณาอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน สภาพคล่อง และฐานะการเงินของบริษัทอย่างไร

ตลท. แจ้งนักลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ AQUA และติดตามคำชี้แจง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (AQUA) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2566 เกี่ยวกับรายการเงินลงทุนในตราสารทุนที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนที่มีมูลค่าลดลง 68% ของมูลค่าต้นงวด ทำให้งวด 6 เดือน ปี 2566 ปรากฏผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุน (Unrealized Loss) ดังกล่าว 54 ล้านบาท และนับตั้งแต่ปี 2565 บริษัทลงทุนในตราสารทุนในความต้องการของตลาด 311 ล้านบาท และมี Unrealized Loss จากการลงทุนดังกล่าวรวม 101 ล้านบาท

ทั้งนี้ ให้ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ AQUA และติดตามคำชี้แจงของบริษัท

AQUA ได้นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2566 โดยปรากฏรายการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนในตราสารทุน และผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนดังกล่าว สรุปดังนี้

หน่วย : ล้านบาท เงินลงทุนในตราสารทุนในความต้องการของตลาด31 ธันวาคม 256530 มิถุนายน 2566
ยอดคงเหลือต้นงวด79
บวก  เพิ่มระหว่างงวด3112
หัก   ลดลงระหว่างงวด(185)
ยอดคงเหลือปลายงวด12681
บวก  กำไร (ขาดทุน) จากการขายเงินลงทุน0.1
(หัก)  กำไร (ขาดทุน) จากการวัดมูลค่ายุติธรรม(47)(54)
มูลค่ายุติธรรม7927

ประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ AQUA ชี้แจง คือ รายละเอียดการลงทุน นโยบายการลงทุน หลักเกณฑ์และขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติลงทุน แนวทางบริหารความเสี่ยง ความเห็นของคณะกรรมการต่อความเหมาะสมของนโยบายการลงทุน และกระบวนการติดตามการลงทุน

AIS ช่วยเต็มกำลัง ให้โทรและส่ง SMS ฟรี หนุนภารกิจช่วยคนไทยจากเหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล

0

AIS เดินหน้าสนับสนุนระบบสื่อสารอย่างเต็มกำลังในภารกิจช่วยเหลือคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอิสราเอล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ AIS ได้เร่งส่ง SMS แจ้งเตือนแสดงความห่วงใยให้กับลูกค้าที่ใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติ รวมถึงยังเปิดให้ลูกค้าสามารถโทรติดตามขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และ AIS Call Center ได้ฟรี นอกจากนี้ AIS ยังเข้าไปสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในภารกิจช่วยเหลืออพยพคนไทย ให้ทีมคณะทำงานสามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังร่วมสนับสนุนภารกิจของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ในการสื่อสารให้ประชาชนทราบสถานการณ์ข่าวสารที่มีความจำเป็นต่อการตัดสินใจและความปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตผ่าน SMS และเพื่อเป็นการเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อคนไทย AIS ได้เพิ่มเติมมาตรการพร้อมอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยการเปิดบริการให้ลูกค้าสามารถโทร และส่ง SMS ภายในประเทศอิสราเอล และกลับมายังครอบครัวที่ประเทศไทยได้ฟรี

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราได้ส่งกำลังใจและเฝ้าติดตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลอย่างใกล้ชิด โดย AIS แสดงความห่วงใยเข้าร่วมภารกิจในการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารให้กับคนไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่และคณะทำงานในการอพยพช่วยเหลือคนไทยที่ทำงานและอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้กลับสู่ประเทศไทย จนถึงวันนี้สถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายและเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เราจึงเพิ่มเติมมาตรการดูแลช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงสามารถติดต่อกับครอบครัวในประเทศไทยได้อย่างราบรื่น  AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายและระบบสื่อสารขอแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น โดยเราพร้อมเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อให้คนไทยได้รับความปลอดภัยสูงสุด”

CPF อัพสกิลคู่ค้า SMEs ร่วมส่งมอบอาหารปลอดภัยมาตรฐานสู่สากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมมือกับสถาบันมาตรฐานอังกฤษ British Standard Institution (BSI) จัดอบรมพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มวัตถุดิบเครื่องปรุง เพิ่มขีดความสามารถการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของวัตถุดิบให้มีความสม่ำเสมอได้มาตรฐานสากล ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นางวิไลลักษณ์ คลอดเพ็ง รักษาการผู้บริหารสูงสุด สายงานประกันคุณภาพอาหารกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า วัตถุดิบเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อคุณภาพของอาหาร ซึ่งซีพีเอฟได้รับความร่วมมือจากคู่ค้าธุรกิจในการส่งมอบวัตถุดิบที่มีคุณภาพปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการที่ทำหน้าที่ผลิตและจัดหาวัตถุดิบในกลุ่มเครื่องปรุงให้กับซีพีเอฟสามารถปรับตัวทันความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซีพีเอฟจึงเดินหน้าเพิ่มทักษะของคู่ค้าธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจาก BSI จัดอบรมถ่ายทอดและแบ่งปันองค์ความรู้ให้คู่ค้า SMEs ในกลุ่มวัตถุดิบเครื่องปรุงเป็นรุ่นที่ 2 รวมทั้งมีการให้คำแนะนำและปรึกษา เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้า SMEs สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง มีแนวปฏิบัติที่ดีตามวัฒนธรรมความปลอดภัยอาหาร (Food Safety Culture) พร้อมทั้งสามารถดำเนินงานตามระบบมาตรฐานขั้นสูงด้านความปลอดภัยอาหาร และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ได้แก่มาตรฐาน BRC IFS (International Food Standard) และ FSSC22000 เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถคู่ค้า SMEs มีรายได้เพิ่มขึ้นและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างยั่งยืน

“การอบรมในวันนี้ สอดรับกับความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ช่วยยกระดับขีดความสามารถคู่ค้า SMEs ในการสร้างสรรค์วัตถุดิบคุณภาพสูงยิ่งขึ้น ให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ดีที่สุด ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังให้คำแนะนำและที่ปรึกษากับคู่ค้าเพื่อสนับสนุนคู่ค้า SMEs ให้เติบโตไปด้วยกัน” นางวิไลลักษณ์กล่าว

“นิพนธ์ ยธิกุล” ที่ปรึกษา บริษัท เอ็น แอนด์ พี อกริโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตพริกไทยและเครื่องเทศ กล่าวว่า ขอขอบคุณที่ซีพีเอฟที่เปิดโอกาสให้คู่ค้ารายเล็กได้รับความรู้ใหม่ๆ เท่าทันโลก เข้าใจกระแสผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะนำไปถ่ายทอดให้พนักงานต่อไปและลงมือช่วยกันปรับปรุงพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าได้มาตรฐานสากลไปด้วยกัน

“วิคกี้ วิศรุตนันทะ” ผู้จัดการโรงงาน บริษัท พีดีเอส ฟู๊ดส์ ผู้ผลิตผักสด กล่าวเสริมว่า จะนำความรู้ที่ได้นำไปปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่อยกระดับความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลลากรในองค์กร ได้มีความตระหนัก และให้ความสำคัญในการควบคุมและป้องกันคุณภาพผักสตลอดกระบวนการตั้งแต่เกษตรกรจนถึงการขนส่ง เพื่อที่จะส่งมอบผักสด สะอาด ปลอดภัยให้แก่ซีพีเอฟอย่างต่อเนื่อง

“วรารักษ์ วิเชียรกัลยารัตน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเซ็นเตอร์ฟู้ด โปรดักส์ จํากัด ผู้ผลิตวุ้นเส้น กล่าวว่า หัวข้อการอบรมในวันนี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมความปลอดภัยอาหารของไทยเซ็นเตอร์ฟู้ด และจะนำความรู้ใหม่กลับไปปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมทั้งให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกที่ดีให้แก่บุคลากร รวมทั้งการวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงและปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยของวุ้นเส้นที่ดียิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนซีพีเอฟส่งมอบอาหารรสชาติอร่อย ปลอดภัย สร้างความสุขให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก

การฝึกอบรมคู่ค้า SMEs ให้มีความรู้และเข้าใจหลักการของระบบคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ทั้งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety Culture) การควบคุมอาหารปลอม (Food Fraud) และระบบการปกป้องอาหารให้ปลอดภัย (Food Defense) เป็นหนึ่งในกิจกรรมดำเนินการภายใต้โครงการ “Partner to Grow…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” ซึ่งซีพีเอฟร่วมกันพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของ SMEs ในด้านต่างๆ ตามนโยบาย “ด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจ” ส่งเสริมและสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ยกระดับการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG ช่วยให้คู่ค้าสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจทั้งคุณภาพความปลอดภัยของสินค้า สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน

AIS สนับสนุนระบบสื่อสารให้แก่คณะทำงาuรบ.ไทย​ ช่วยเหลืออพยพคนไทยหนีภัยสู้รบในอิสราเอล

0

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ประเทศอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและได้รับผลกระทบนั้น  โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์ AIS ได้ส่งความห่วงใยให้ลูกค้าที่ใช้บริการโรมมิ่งอยู่ในประเทศอิสราเอล สามารถโทรติดต่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และ AIS Call Center ได้ฟรี”

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง และรัฐบาลไทยมีภารกิจในการอพยพช่วยเหลือคนไทยที่ทำงานและอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวกลับสู่ประเทศไทย  เอไอเอสจึงขอร่วมส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังคนไทย รวมถึงคณะทำงานที่จะเดินทางไปช่วยเหลือ โดยได้สนับสนุนระบบสื่อสารเพื่ออำนวยความสะดวก ให้คณะทำงานสามารถประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านทาง กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนในการรับมอบการสนับสนุนดังกล่าว

เมืองไทยประกันชีวิต-มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม​ ส่งมอบเครื่องบริโภคให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ​ บรรเทาทุกข์ประชาชนที่เดือดร้อน

0

นายสาระ  ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และนางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ร่วมมอบเครื่องบริโภค ได้แก่ ข้าวสารและปลากระป๋อง ให้แก่ นายอนุกูล  ปีดแก้ว  ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 

ทั้งนี้​ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการของทางภาครัฐ ส่งมอบให้กับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ  โดยมี  นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ  อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ  นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน  นายธนสุนทร สว่างสาลี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และ นายอนันต์ ดนตรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ร่วมในพิธี  ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ  เมื่อเร็วๆ นี้

AIS จับมือ​พันธมิตร 190 องค์กร ปักหมุดศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกในไทย​ เดินหน้าสู่ HUB of E-Waste

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ วันที่14 ตุลาคมปีนี้​ เป็นวันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล​(International E-Waste Day)​  AIS เดินหน้าภารกิจคนไทยไร้ e-waste ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกที่ลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเป้าหมายในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบปราศจากการฝังกลบหรือ Zero e-waste to landfill  เดินหน้ายกระดับการทำงานสู่การเป็น HUB of E-Waste หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ครั้งแรกของไทยที่ภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กรมาร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการนำขยะ E-Waste เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า AIS​ เป็นองค์กรแรกในไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน International E-Waste Day ของ WEEE Forum (Waste Electrical and Electronic Equipment) ซึ่งเป็นสมาคมระดับนานาชาติที่รวบรวมข้อมูลด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีสมาชิกจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งบนเว็บไซต์หลักของ WEEE Forum ก็มีกิจกรรมและการทำงานของ AIS จากประเทศไทย รวมถึงจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก

และเนื่องในวัน International E-Waste Day ปีนี้ AIS​ ขอประกาศว่า AIS พร้อมเป็น HUB of E-Waste หรือ ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของไทย ที่วันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กร มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ HUB of E-Waste ด้านต่างๆ อาทิ ด้านองค์ความรู้ ด้านเครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ด้านจุดรับทิ้ง ด้านการขนส่ง หรือแม้แต่ด้านรีไซเคิล  เพื่อขับเคลื่อนการทำงานในการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนคนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถมีช่องทางในการทิ้งที่จะนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีแบบไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบแบบ Zero e-waste to landfill”

การเป็น HUB of E-Waste ของ AIS แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน โดยมีภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อเร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา

  • HUB of Knowledge ศูนย์กลางความรู้ที่รวบรวมข้อมูล บทความ งานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม และขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการอัพเดทข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
  • HUB of Community ศูนย์กลางเครือข่าย Green Community สร้างชุมชนให้เกิดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะ E-waste และการระดม แลกเปลี่ยนไอเดียในการแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ กลุ่มกรีนพหลโยธิน , องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) , ARI Innovation District เป็นต้น
  • HUB of Drop Points ศูนย์กลางความร่วมมือในการขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ร่วมกันมากกว่า 2,500 จุดทั่วประเทศ
  • HUB of Transportation ศูนย์กลางระบบจัดการ E-Waste ที่ทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย ในการรับขยะ E-Waste รวมถึงการติดตามสถานะขยะ E-Waste ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ผ่านแอป E-Waste+ ที่สามารถตรวจสอบและติดตามได้ว่าขยะ E-Waste ทุกชิ้นจะถูกนำส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน
  • HUB of Circular ศูนย์กลางการจัดการและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับบริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์สยาม จำกัด (WMS) โดยมีเป้าหมายหลัก บริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีโดยปราศจากการฝังกลบ หรือ Zero e-waste to landfill

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://sustainability.ais.co.th/th/home

ททท. ผนึก AIS ชูแคมเปญ “Welcome Back to Thailand” มอบซิม Amazing Thailand SIM ฟรีให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ

0

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือ AIS 5G เดินหน้าร่วมกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย รับไฮซีซั่นส่งท้ายปลายปี 2566 ลุยเปิดแคมเปญยักษ์ใหญ่ “Welcome Back to Thailand” ผ่านการมอบประสบการณ์และอำนวยความสะดวกจากบริการดิจิทัลและระบบสื่อสารที่ดีที่สุดในไทยจาก AIS ผ่าน Amazing Thailand SIM ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่ง The Fastest Network in Thailand ให้ทุกการเชื่อมต่อบนโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกสุดในไทย พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวครอบคลุมทุกมิติกับสุดยอดสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ Premium Lifestyle ชั้นนำของไทย ผ่านการทำงานร่วมกับ Online Travel Agent ชั้นนำในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand ให้รู้จักมากยิ่งขึ้น

นายฉัททันต์  กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า “ตามที่ ททท. ขานรับนโยบายของรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับมาตรการการอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาท่องเที่ยว (Ease of Traveling) เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้มีความสะดวกสบายและถ่ายทอดประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซั่นส่งท้ายปลายปี 2566 โดยบูรณาการร่วมกับพันธมิตรบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่มีความพร้อมเรื่องการให้บริการโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านแคมเปญ “TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand” มอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น”

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “ภาคการท่องเที่ยว คือ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสารที่แข็งแกร่งของประเทศ จึงพร้อมทำหน้าที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกด้านตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางถึง และตลอดการใช้เวลาอยู่ในประเทศไทย”

“จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน จะพบว่านิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก ดังนั้นโครงข่ายดิจิทัลเทคโนโลยีที่จะทำให้การเชื่อมต่อออนไลน์ไม่สะดุด และเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็วจึงมีความสำคัญสูงสุด เราจึงไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาโครงข่ายทั้ง 5G , Fixed Broadband พร้อม WiFi ที่มีคุณภาพดีที่สุดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกสุดในไทย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม หรือ Unseen จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand โดยผ่านหัวใจหลักที่นักท่องเที่ยวจะเชื่อมต่อตลอดเวลาที่อยู่ในไทย คือ Amazing Thailand SIM ที่นอกจากจะมาพร้อมแพ็กเกจการใช้งานสุดพิเศษที่คุ้มค่า ดีที่สุดเท่าที่เคยมีแล้ว ยังได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสุดยอดพันธมิตร Premium Lifestyle ที่ร่วมมอบสุดยอดสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้แก่นักท่องเที่ยว เบื้องต้น ประกอบด้วย Bangkok Insurance, Central Group, Central Retail, Central Pattana, Centara Hotels & Resorts, Grab Thailand, King Power, Siam Piwat, Singha Park Chiang Rai, SIXT, และ TAGTHAi อีกด้วย”

นายปรัธนา ย้ำว่า “เครือข่ายสื่อสารที่ดี นอกจากจะสนับสนุน อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังเป็นสื่อกลางที่จะประชาสัมพันธ์ประเทศผ่านมุมมองของนักท่องเที่ยวที่ Share ประสบการณ์ผ่าน Social Media อีกด้วย ที่สำคัญ AIS ยังขอยืนยันความเป็นเครือข่ายปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวในระหว่างใช้เวลาในเมืองไทย ผ่านการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่นักท่องเที่ยว อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัยแน่นอน โดยทั้งหมดนี้เป็นเพียงมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อย่างดีที่สุด”

สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่วางแผนเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย สามารถร่วมกับแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่านพันธมิตร Online Travel Agent ชั้นนำในแต่ละประเทศ เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการใน Platforms นักท่องเที่ยวสามารถรับฟรีซิม  Amazing Thailand SIM ที่มอบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุด 8GB ไปทดลองใช้งานฟรี และสามารถติดตามข่าว BBC NEWS และ กีฬาทางช่อง beIN SPORTS CONNECT ผ่าน AIS PLAY, ใช้ AIS 1 Point แลกรับฟรีหรือส่วนลดร้านStreet food และช้อปปิ้งจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เช่น ถนนเยาวราช พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ทั้งประกันการเดินทาง มูลค่าสูงสุด 50,000 บาท, ส่วนลดช้อปปิ้ง, โรงแรมที่พักและร้านอาหารชื่อดัง จากพันธมิตรชั้นนำ ที่ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ โดยแคมเปญนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.ais-amazingthailandsim.com