Home Blog Page 114

เมืองไทยประกันชีวิต ชูกลยุทธ์ “Happiness, Your Way” ตั้งเป้าเป็นคู่คิดด้านวางแผนชีวิต และสุขภาพที่ลูกค้าวางใจอันดับหนึ่ง

0
เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าปักธงผู้นำแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มอย่างยั่งยืน เปิดตัวแนวคิดการดำเนินงานประจำปี 2567 “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” มุ่งเติมเต็มความสุขในแบบที่เป็นคุณ ตั้งเป้าเป็นอันดับหนึ่งในการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ ที่เน้นตอบโจทย์ทุกความเป็นคุณ (Personal) ในทุกช่วงของชีวิต (Life) เติมเต็มความสุข เพื่อให้คุณเป็นตัวคุณและรู้สึกดีที่สุดในรูปแบบของตัวคุณเอง แม้จะเป็นเรื่องของประกันก็ตาม

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ในปี  2567  นี้  เมืองไทยประกันชีวิต  เดินหน้าสานต่อการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning)  พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ประจำปี  “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง… ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ เพื่อความสุขและรอยยิ้มของพนักงานภายใน พาร์ทเนอร์ ลูกค้า และสังคมอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ จะดำเนินงานผ่าน 2 แนวคิดหลัก ได้แก่ 

  • Personal  เน้นการสร้างสรรค์พัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความเป็นคุณอย่างแท้จริง    โดยใช้ภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจ ช่องทางที่เข้าถึงได้ง่าย และส่งมอบความเป็นตัวตนในแบบที่เป็นคุณ อาทิ ความร่วมมือในการขายประกันชีวิตและสุขภาพผ่านความร่วมมือกับ LineBK ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ ซื้อง่าย จ่ายเบา ผ่าน Line และยังให้ข้อมูลด้วยภาษาและเงื่อนไขที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากอีกด้วย หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ของบริษัทฯ ที่ให้บริการลูกค้าอย่าง MTL Online Sales website (online.muangthai.co.th/)  แอปพลิเคชัน  MTL  Click  รวมถึงแอปพลิเคชันใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง MTL Connect ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทฯ ในการดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางการขาย ที่ใช่ที่เหมาะสม ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ในแบบที่เป็นตนเองอย่างเท่าเทียมและง่ายมากยิ่งขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกบทบาทชีวิต ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งคนตัวเล็ก คนตัวใหญ่ เพราะเราเข้าใจทุกความแตกต่างและความเสี่ยงของแต่ละคน
  • Life มุ่งสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตของผู้คนทุกกลุ่ม เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการได้อย่างเต็มที่ จึงมีการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างครบด้าน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพเพื่อส่งมอบความคุ้มครองให้กับคุณและคนที่คุณรัก การส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย การรักษาอย่างครอบคลุมและตรงจุด และสิทธิประโยชน์สำหรับทุก ๆ ไลฟ์สไตล์ ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกันและเอื้อให้ทุกๆ คน ทั้งลูกค้าของบริษัทฯ และประชาชนทั่วไป   ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของบริษัทฯ สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่  เช่น บุคคลทั่วไปสามารถใช้แอปพลิเคชัน MTL Fit เพื่อเก็บข้อมูลการออกกำลังในรูปแบบต่างๆ พร้อมสะสมคะแนนเพื่อนำไปใช้แลกเป็นสิทธิประโยชน์อย่างส่วนลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จากนั้นเมื่อลูกค้าจ่ายเบี้ยประกันภัย นอกจาก     จะได้รับความคุ้มครองสุขภาพตามแผนที่ลูกค้าเลือกสรร เบี้ยประกันภัยดังกล่าวจะถูกนำไปคำนวนเป็นคะแนน Smile Point เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากเมืองไทยสไมล์คลับต่อไป นอกจากนี้ เมื่อเจ็บป่วย บริษัทฯ ก็มีสถานพยาบาลในเครือข่ายมากกว่า 860 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ตามที่ตนเองต้องการ

อย่างไรก็ตาม เมืองไทยประกันชีวิตสามารถส่งมอบความสุขและรอยยิ้มได้ตามแนวทางที่วางไว้ โดยการนำเอา เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยเติมเต็ม ทั้ง AI, Machine Learning, Automation และ Digital Tools อื่น ๆ ในทุก ๆ กระบวนการ ทั้งการขาย การพิจารณารับประกัน การพิจารณาสินไหม ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อตอบโจทย์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางการขายและเจ้าหน้าที่บริการ ซึ่งทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อมอบความสุขในทุกรูปแบบของผู้คนทุกกลุ่มในทุกช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพนักงานภายใน พาร์ทเนอร์ ลูกค้า และบุคคลต่าง ๆ ในสังคม 

นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจของเมืองไทยประกันชีวิตไม่ได้เน้นการเติบโตด้านรายได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย 

นายสาระ กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตไว้ว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนคือการประสานความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินธุรกิจในทุกๆวัน ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของบริษัทฯ เป็นเรื่องของประกันชีวิต จึงทำให้ความยั่งยืนแรกในมิติสังคมของเราเกี่ยวข้องกับประกันชีวิตโดยตรง กล่าวคือ เรามุ่งสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance)  ไม่ว่าจะเป็นการขยายอายุรับประกันภัยสำหรับแบบประกันภัยหลัก ๆ  ถึง  90  ปี  พร้อมให้ความคุ้มครองต่อเนื่องสูงสุดถึงอายุ  99  ปี      

การพัฒนาแบบประกันภัยสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงแบบประกัน ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านอายุ โรคประจำตัวที่เป็นอยู่ หรือไหวแค่ไหนก็ออกแบบให้เข้าถึงได้เพื่อสร้างความอุ่นใจโดยไม่เป็นภาระ  รวมถึงการเปิดการเข้าถึงความคุ้มครองและสุขภาพที่ดีในรูปแบบใหม่ ๆ ตามสภาวะโลกที่เปลี่ยนไป สำหรับมิติสิ่งแวดล้อม เมืองไทยประกันชีวิตได้ลงทุนและเปิดโอกาสให้ลูกค้า  Unit-Linked สามารถลงทุนในสินทรัพย์สีเขียว ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) ตราสาร ESG (ESG Bond) และตราสารส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมสีเขียวให้แก่พนักงานในองค์กร อาทิ การแยกขยะ การลดใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง การลดใช้กระดาษผ่านกระบวนการดิจิทัลต่างๆ  การเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น เพื่อให้มีการขยายผลสู่สังคมในวงกว้างต่อไป ท้ายที่สุดบริษัทฯ ยังยึดมั่นและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐานสากล และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณสูงสุดอย่างเคร่งครัดเป็นสำคัญ ตามพันธกิจด้านความยั่งยืนที่ว่า

“บริษัทฯ ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG) เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย”  

จากแนวทางที่ผ่านมา ส่งผลให้เมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ เบี้ยประกันภัยโรคร้ายแรงเติบโต 70% และ เบี้ยประกันภัยบำนาญเติบโต 13% ขณะที่ด้านธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2566 สูงกว่า 300% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140%  ด้านความแข็งแกร่งและเสถียรภาพทางด้านการเงิน บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่ง ทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลและภายในประเทศจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA(tha) ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินระดับประเทศที่สูงที่สุดพร้อมรับรางวัลการันตีทั้งในด้านองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการ ในระดับประเทศและระดับสากล สะท้อนถึงการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและความสำเร็จในการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน

รู้เก็บรู้ออม : ดอกเบี้ย ตัวชี้ทิศทางเศรษฐกิจ

0

ผ่านพ้นช่วงเทศกาลรื่นเริงฉลองปีใหม่มาได้เกือบเดือน คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองชีวิตตามความเป็นจริง โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายมีมุมมองในแง่ดีว่าปีนี้เศรษฐกิจประเทศจะกระเตื้องขึ้น

แต่หากพิจารณาแล้ว ปัจจัยที่เป็นตัวกดดันเศรษฐกิจยังอยู่กันครบ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอก คือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน, การสู้รบของอิสราเอล- ปาเลสไตน์ หรือกรณีล่าสุด ความตึงเครียดของจีน-ไต้หวัน หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน

ส่วนปัจจัยในประเทศ หนีไม่พ้นทิศทางของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจ เพราะ “ดอกเบี้ยนโยบาย” เป็นเครื่องมือที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้กำหนดนโยบายการเงินของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การลงทุน ผ่านการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย หรือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ

การปรับตัวขึ้นลงของ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” จึงส่งผลกระทบกับชีวิตและการลงทุน เพราะสิ่งที่ตามมาอันดับแรกคือ การเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าธนาคารทั้งผู้กู้ และผู้ฝากเงิน ในทิศทางเดียวกัน เรียกได้ว่า กระทบกับกระเป๋าตังค์ของทุกคนกันถ้วนหน้า

รอบปีที่ผ่านมา ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น ทำให้ผู้คนรัดเข็มขัด จับจ่ายใช้สอยน้อยลง แม้จะมีหลายฝ่ายมองว่า ปีนี้ขาขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายน่าจะสิ้นสุดลง จะไม่มีการปรับขึ้นหลายครั้งแบบปีที่ผ่านมาอีก และจะเริ่มมีทิศทางเป็นขาลงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป แต่ถึงกระนั้น นักลงทุนต้องติดตาม เพื่อประเมินสถานการณ์และทิศทางการลงทุนให้ดี

เป็นโอกาสดีที่ “ห้องเรียนนักลงทุน Live!” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้อนรับปี 2567 ด้วยการชวนนักลงทุน และผู้สนใจทั่วไปมาร่วมจับสัญญาณเศรษฐกิจ พร้อมวางแผนปรับพอร์ตสู้กับความผันผวน เข้าใจกลไกของเศรษฐกิจระดับมหภาคไปกับกูรูผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนมืออาชีพ พร้อมแนะนำเคล็ดลับดีๆ ที่ใช้ในการปรับพอร์ตลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ โดยพบกันทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.67

เริ่มต้นหัวข้อแรกของปีด้วยเรื่อง “เข้าใจดอกเบี้ย… กุญแจสำคัญบอกทิศทางเศรษฐกิจ” บรรยายโดย ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงาน Fund Management บลจ.บัวหลวง

ผู้เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของดอกเบี้ยที่มีต่อเศรษฐกิจและการลงทุน พร้อมเคล็ดลับดีๆในการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในยุคเศรษฐกิจผันผวน

อย่าพลาด! งานมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ม.ค.67 นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. ดูสดผ่าน ออนไลน์ได้ฟรีทาง Facebook, YouTube และ TikTok “SET Thailand”

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ https://www.set.or.th/th/about/event-calendar/event/eventdetails?id=86776 และ พิเศษสุดสำหรับคนที่ลงทะเบียนล่วงหน้า พร้อมชมสดและ Check in ในวันงาน จำนวน 100 คนแรก รับฟรี ชุดสื่อความรู้ออนไลน์อีกด้วย รีบเลยค่าา!!

คุณนายพารวย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ PwC ต่อยอดความรู้ให้ผู้ประกอบการเพื่อสังคม สอนทำงบการเงินอย่างง่าย

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าต่อยอดความรู้การเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม ผ่านโปรแกรมการเรียนรู้ SET SE101: Online Offering เป็นปีที่ 4 ส่งเสริมความรู้สร้างศักยภาพการทำธุรกิจ โดยปีนี้จับมือกับ PwC ประเทศไทย ให้ความรู้ความเข้าใจการจัดทำงบการเงินอย่างง่าย 4 หัวข้อ ภายใต้แนวคิด “บัญชีง๊ายง่าย” ประกอบด้วย พื้นฐานบัญชีที่จำเป็น เรียนรู้เรื่องรายรับ รายจ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการเพื่อสังคมและผู้สนใจรับชมผ่านช่องทางออนไลน์ เริ่ม 25 มกราคม 2567 ที่ www.setsocialimpact.com และ Facebook: SET Social Impact

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในทุกระดับ รวมถึงผู้ประกอบการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise: (SE) ที่เป็นข้อต่อที่สำคัญในการสร้างและขยายผลลัพธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยโปรแกรมการเรียนรู้ SET SE101: Online Offering มีเส้นทางการให้ความรู้ SE ตั้งแต่ในปีแรก ด้วยการปูพื้นฐานเรื่องการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม ทักษะการประกอบธุรกิจ ขยายผลสู่นวัตกรรมการสร้างความยั่งยืน และโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม ด้วยเนื้อหาแบบ How-to ที่ SE สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที

“ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา SET SE101: Online Offering ไม่เพียงแต่ได้รับความสนใจจาก SE แต่ยังครอบคลุมไปถึงวิสาหกิจชุมชน เครือข่ายภาคสังคม รวมไปถึงอาจารย์ นิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ที่นำเนื้อหาไปเป็นสื่อการเรียนการสอนในหลักสูตรวิชาผู้ประกอบการเพื่อสังคม และปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมกับพันธมิตร PwC ประเทศไทย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษี ร่วมกันพัฒนาเนื้อหาความรู้เรื่องบัญชีอย่างง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SE ที่ยังขาดทักษะความรู้ด้านบัญชีและวิธีทำงบการเงิน โดยเนื้อหาที่ร่วมกันจัดทำนั้นเป็นเนื้อหาที่เข้าใจง่าย นำไปใช้ได้ทันที พร้อมเทคนิคตัวอย่างการลงงบการเงินที่ถูกต้องเพื่อเสริมความเข้าใจ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่า SET SE101: Online Offering ปีนี้จะช่วยส่งเสริมทักษะการทำธุรกิจของ SE ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อขยายผลลัพธ์ทางสังคมต่อไป” นายภากรกล่าว

นายไพบูล ตันกูล หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี และหัวหน้าสายงานความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม PwC ประเทศไทย กล่าวว่า PwC ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเป้าหมายและการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยเราได้ร่วมสนับสนุนการทำงานกับ SET Social Impact Platform มาเป็นปีที่ 2 ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้นำผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านบัญชีและภาษีแก่ SE ที่เข้าร่วมโครงการ SET Social Impact GYM 2023 และพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านพื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี เช่น ความเข้าใจด้านรายรับ รายจ่าย การลงงบการเงิน เป็นต้น จึงได้ร่วมพัฒนาความรู้ผ่านโปรแกรมการเรียนรู้ SET SE101: Online Offering 2024 ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินการอยู่ และหวังว่าโปรแกรมนี้จะได้รับความสนใจและเป็นประโยชน์ต่อยอดทักษะให้กับ SE

โปรแกรมการเรียนรู้ SET SE101: Online Offering 2024 ความรู้เบื้องต้นการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม ด้วยบัญชีอย่างง่าย ภายใต้แนวคิด “บัญชีง๊ายง่าย” มีทั้งหมด 4 หัวข้อ ได้แก่ “เรียนรู้…พื้นฐานบัญชีที่ SE ต้องรู้” “SE…กับบัญชีรายรับ” “SE…กับบัญชีรายจ่าย และต้นทุน” และ “SE…กับภาษีมูลค่าเพิ่ม” รับชมตอนแรก 25 มกราคม 2567 เป็นต้นไปที่ www.setsocialimpact.com ในเมนู impact program หรือ Facebook: SET Social Impact

ไข้หูดับ ภัยเงียบที่ป้องกันได้ เพียงงดหมูดิบ และแยกอุปกรณ์สุก-ดิบ

0

สัตวแพทย์ ม.มหิดล แนะผู้บริโภคสายชาบู หมูกระทะ ตระหนักเรื่องการใช้อุปกรณ์แยกเนื้อหมูสุกและดิบ พร้อมขอผู้ประกอบการให้มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค เตรียมอุปกรณ์คีบเนื้อหมูดิบโดยเฉพาะ เพื่อลดความเสี่ยงโรคไข้หูดับ

ผศ. ดร. นายสัตวแพทย์ดุสิต เลาหสินณรงค์

ผศ. ดร. นายสัตวแพทย์ดุสิต เลาหสินณรงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคไข้หูดับ เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (STREPTOCOCCUS SUIS) ที่ก่อโรคในหมู ส่วนมากแบคทีเรียชนิดนี้จะอยู่ในต่อมทอมซิลของหมู ซึ่งในกระบวนการชำแหละเนื้อหมูที่ไม่ถูกวิธี หากเฉือนคอไปโดนเชื้อ อาจทำให้เชื้อปนเปื้อนในเนื้อหมู เลือดหมู และส่วนอื่นๆ ได้

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ป่วยที่พบส่วนมากได้รับเชื้อจากการกินเนื้อหมูดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือ เลือดหมู ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาการติดเชื้อเริ่มต้นจะมีไข้อ่อน การกินยาลดไข้ไม่สามารถช่วยรักษาได้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบประสาท อาการที่เด่นชัด คือ หูไม่ได้ยิน มีอาการหูอื้อ จึงเรียกโรคนี้ว่า ไข้หูดับ หากเข้ารับการรักษาไม่ทันอาจทำให้มีความเสี่ยงถึงแก่ชีวิตได้

นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดและไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หูดับ เช่น การกินยาถ่ายพยาธิ จะช่วยป้องกันโรคนี้ได้ ความจริงคือ ยาถ่ายพยาธิไม่สามารถป้องกันหรือขับเชื้อแบคทีเรียออกจากร่างกายได้ ขณะที่ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะกินเนื้อหมูดิบจะช่วยฆ่าเชื้อโรคนั้น ความเชื่อนี้ก็ไม่เป็นความจริง แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แม้แต่การบีบมะนาวก็เป็นเพียงการบีบกรดลงบนเนื้อสัตว์ทำให้เนื้อสัตว์เปลี่ยนสีไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้เช่นกัน ดังนั้น การรับประทานเนื้อหมูสุก และหลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่ใช้กับเนื้อหมูดิบมาใช้กับอาหารที่จะรับประทาน ก็จะช่วยป้องกันโรคไข้หูดับได้

ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร ชาบู หมูกระทะ ขอให้มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ด้วยการเตรียมอุปกรณ์สำหรับคีบเนื้อหมูดิบโดยเฉพาะ ให้เพียงพอกับจำนวนผู้ใช้บริการ หากคิดว่าเป็นการเพิ่มต้นทุน สามารถซื้อแบบใช้แล้วล้างเพื่อใช้ซ้ำได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ผู้ประกอบการทุกร้านควรมีอุปกรณ์แยกคีบของสุกและของดิบ

ในส่วนของผู้บริโภค ควรตระหนักเรื่องการใช้อุปกรณ์แยกหมูสุกและดิบ หากทางร้านไม่ได้เตรียมให้ควรร้องขอกับทางร้าน พร้อมควรหยุดนิสัยหรือความเคยชินในการใช้ตะเกียบคีบของดิบร่วมกับของสุก อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยและคงไม่เป็นไร เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคเอง ที่สำคัญก่อนรับประทานต้องแน่ใจว่าเนื้อหมูสุกแล้วเท่านั้น

ขณะที่ผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อหมูกลับไปประกอบอาหารเองที่บ้าน แนะเลือกซื้อจากร้านจำน่ายที่เชื่อถือได้ ในขั้นตอนการทำอาหาร หากผู้ประกอบอาหารมีบาดแผลที่ร่างกาย ต้องปิดแผลให้มิดชิดเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล จนนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดได้

องค์กรนานาชาติชื่นชม ‘ฟาร์มไก่อัจฉริยะ ซีพีเอฟ’ ต้นแบบการผลิตอาหารคุณภาพสู่ผู้บริโภค

0

กรมปศุสัตว์ และสมาชิกองค์กรการเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (Asian Productivity Organization: APO) จาก 19 ประเทศ ชื่นชมฟาร์มกรอกสมบูรณ์ ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นต้นแบบฟาร์มไก่อัจฉริยะ (Smart Farm) ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลทันสมัยช่วยยกระดับประสิทธิภาพการเลี้ยงและดูแลสุขภาพสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ พร้อมจะนำความรู้และแนวทางไปถ่ายทอดและส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยทั่วเอเชียแปซิฟิก ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับภูมิภาค

นางสาวรัชฎา อสิสนธิสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมโครงการพิเศษ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กล่าวว่า การเยี่ยมชมฟาร์มกรอกสมบูรณ์ในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกองค์กร APO ทั่วเอเชียแปซิฟิกซึ่งเป็นข้าราชการ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา และเกษตรกรได้เรียนรู้ระบบฟาร์มอัจฉริยะ รวมถึงนำข้อดีและแนวปฏิบัติที่ดีในการเลี้ยงไก่เนื้อ ประยุกต์ใช้พัฒนาภาคปศุสัตว์ของภูมิภาคให้ทันสมัยตั้งแต่ระดับเกษตรกรจนถึงระดับนโยบาย รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีขีดความสามารถสูงขึ้น

“ขอขอบคุณ ซีพีเอฟ ที่ให้สมาชิก APO ได้ร่วมศึกษาดูงานและความสำเร็จของระบบฟาร์มอัจฉริยะของการเลี้ยงไก่ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคปศุสัตว์จาก 19 ประเทศในเอเชียจะได้นำความรู้ไปต่อยอดพัฒนาฟาร์มอัจฉริยะของการเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศต่อไป ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ต่อการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรและการสร้างความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาคเอเชีย” นางสาวรัชฎา กล่าว

รองศาสตราจารย์ มุกุนด์ มโรเตรา คาดำ (Dr. Mukund Marotrao Kadam) อาจารย์ของศูนย์วิจัยและฝึกอบรมสัตว์ปีก ภาควิชาสัตว์ปีก มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สัตว์และประมงมหาราษฏระ เมืองนาคปุระ ประเทศอินเดีย กล่าวว่า สมาชิก APO ที่มาจากหลายประเทศประทับใจและได้รับความรู้เรื่องการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี รวมถึงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ในฟาร์มอัจฉริยะของซีพีเอฟ และจะนำความรู้ที่ได้จากวันนี้ ส่งต่อให้กับเกษตรกร นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาภาคปศุสัตว์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นายสุรเชษฐ ปิ่นเกล้า ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ฟาร์มอัจฉริยะ” (Smart Farm) ที่ทันสมัย และคำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพสูง ปลอดภัย ปลอดสารสู่ผู้บริโภค ทั้งนี้ ฟาร์มกรอกสมบูรณ์ ได้รับคัดเลือกจากกรมปศุสัตว์ให้เป็นต้นแบบสำหรับการศึกษาดูงานของสมาชิกองค์กรการเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย จาก 19 ประเทศ ที่มาร่วมงานสัมมนานานาชาติ Multicountry Observational Study Mission on smart Poultry Farming เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะ เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์และจัดการสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อนำไปเผยแพร่ความรู้แก่เกษตรกรรายย่อยได้สามารถเพิ่มผลผลิต พัฒนาประสิทธิภาพและมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์

ฟาร์มกรอกสมบูรณ์ เป็นฟาร์มไก่ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ระบบดิจิทัล และกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ ในการบริหารและการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ เช่น ระบบให้อาหารและน้ำ การควบคุมอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ใช้เทคโนโลยี IoT ในการแสดงผลการเลี้ยงความเป็นอยู่และดูแลสุขภาพของสัตว์แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้เนื้อไก่ปลอดภัย ปราศจากยาปฏิชีวนะ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ภายใต้แบรนด์ไก่เบญจา ไก่เลี้ยงด้วยซูเปอร์ฟู้ดชั้นดี เติบโตแข็งแรงตามธรรมชาติ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและสารเร่งโตตลอดการเลี้ยงดู และยังมีโอเมก้า 3 สูง การันตีคุณภาพและมาตรฐานระดับโลก อาทิ รางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2022” หรือ Superior Taste Award 2022 จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute และ “สุดยอดสินค้านวัตกรรมระดับโลก” (Top Innovative Product) จากงาน Thaifex 2019

ทั้งนี้ องค์กรการเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย เป็นองค์การระหว่างประเทศของรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพให้กับประเทศสมาชิก สำหรับการเยี่ยมชมฟาร์มกรอกสมบูรณ์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนานานาชาติ Multicountry Observational Study Mission on Smart Poultry Farming เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการปศุสัตว์ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ และผู้ประกอบการ SME ในภาคปศุสัตว์

เครือซีพี-มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ-ซีพีเอฟ ผนึกกำลัง JCC หนุนเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนร. ปีที่ 36

0

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี สร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน ปูพื้นฐานอาชีพนำองค์ความรู้ไปใช้ในอนาคต ณ โรงเรียนบ้านนาคำ (โพนสวรรค์) อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCC ให้ความสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยโครงการฯ นี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมี มูลนิธิฯ เป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนทั้ง 4 แห่งในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ได้รับโอกาสนี้ จะดำเนินโครงการด้วยความตั้งใจ บริหารจัดการไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน และขอขอบคุณ JCC มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ที่เดินหน้าโครงการฯ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 โดยในปี 2543 มูลนิธิฯผนึกกำลังกับ JCC ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนโครงการฯ จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 24 ปี โดยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดี ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร สำหรับปีนี้ JCC สนับสนุนงบประมาณ แก่ 4 โรงเรียนในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านนาคำ โรงเรียนบ้านนาเต่า โรงเรียนบ้านค้อ และโรงเรียนพระซองวิทยาคาร

ส่วน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนมูลนิธิ ทั้งงบประมาณและบุคลากร อย่างเต็มกำลัง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่ และการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด แก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารโครงการได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กเยาวชนไทย ที่เป็นอนาคตของประเทศ จากการบริโภคไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ อิ่มท้อง สมองแจ่มใส และหวังว่าโรงเรียนจะสามารถดำเนินการบริหารจัดการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

ทางด้าน นายโคโซ โท รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า JCC ตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือและส่งเสริมในด้านอาหารและโภชนาการแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดี ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ภายใต้ความร่วมมือของ JCC รวม 146 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยนำรายได้จากการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 มาเป็นกองทุนบริหารจัดการในรุ่นต่อไป ส่งผลให้สามารถขยายผลสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนกว่า 180,000 คน คุณครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1,300 คน ตลอดจนชุมชน ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการบริหารฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านการจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้ชาวชุมชนได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

ผู้เลี้ยงหมู เร่งนายกฯ – DSI กวาดล้างหมูเถื่อน หวั่นคดีล่าช้า อุตสาหกรรมฟื้นตัวยาก

0
ผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ วอนนายกรัฐมนตรีและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เร่งปราบปราม “หมูเถื่อน” และกวาดล้างที่หมูผิดกฎหมายยังคงซุกซ่อนในห้องเย็นจำนวนมาก ทั้งคดี 161 ตู้ และ 2,385 ใบขนสินค้า น้ำหนักมากกว่า 100,000 ตัน หวั่นคดีล่าช้า หมูเถื่อนถูกระบายสู่ตลาดบิดเบือนกลไกตลาด กดราคาในประเทศให้ตกต่ำ อุตสาหกรรมไม่ฟื้นตัว 

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงหมู โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยต้องแบกภาระขาดทุนมานานกว่า 10 เดือน แม้ราคาหน้าฟาร์มจะทยอยปรับขึ้นตามอุปสงค์-อุปทาน ก็ตาม แต่ราคาเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 70-76 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนผลิตเฉลี่ยยังสูงกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม หากหมูเถื่อนที่ยังซุกซ่อนอยู่ในห้องเย็นกระจายออกสู่ตลาด จะเป็นการเพิ่มซัพพลายให้สูงผิดปกติ ราคาจึงถูกกดให้ต่ำ ทำให้เกษตรกรยังคงเผชิญปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง และอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมสุกรที่เพิ่งฟื้นตัว

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

สำหรับ “หมูเถื่อน” มีการปราบปรามกันมานานกว่า 2 ปี ซึ่งคดีใหญ่ ประกอบด้วย คดีหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ น้ำหนัก 4,500 ตัน และคดีหมูเถื่อนสำแดงเท็จเป็นโพลิเมอร์และอาหารปลาแช่แข็ง เล็ดลอดจากท่าเรือแหลมฉบังอีก 2,385 ใบขนสินค้า น้ำหนักมากกว่า 60,000 ตัน (60 ล้านกิโลกรัม) ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศรอจังหวะขายปะปนกับหมูไทยบนเขียงหรือช่องทางออนไลน์ 

“หมูเถื่อนกว่า 60 ล้านกิโลกรัม เล็ดลอดออกมาขายในตลาด ทำให้ปริมาณหมูเพิ่มมากขึ้นเกินกว่าความต้องการ กดราคาในประเทศให้ตกต่ำ ขณะที่เกษตรกรพยายามฟื้นฟูฟาร์มและนำหมูเข้าเลี้ยงใหม่ หลังเจอปัญหาโรคระบาด ASF ตั้งแต่ปี 2565 แต่เมื่อผลผลิตพร้อมจับกลับต้องขายขาดทุน ที่สำคัญหมูเถื่อนยังอยู่ในประเทศอีกจำนวนมาก จึงอยากขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการทำงานซ้ำอีกครั้ง ให้ DSI นำคดีกลับเข้าสู่ขบวนการสอบสวนเพื่อขุดรากถอนโคนผู้กระทำผิดโดยเร็ว” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

สำหรับการดำเนินคดีหมูเถื่อน หยุดชะงักมานานกว่า 1 เดือน หลังจากที่ DSI เปลี่ยนไปทำคดีสวมสิทธิ์ตีนไก่ 10,000 ตู้ ทั้งที่การสอบสวนคดีหมูเถื่อน 161 ตู้ ก่อนหน้านี้มีความคืบหน้าไปมาก พบผู้กระทำผิด 18 บริษัท จับกุมแล้ว 10 บริษัท และมีการยึดทรัพย์จากการกระทำผิดแล้ว 92 ล้านบาท ส่วนการขยายผลหมูเถื่อน 2,385 ใบขนสินค้า อยู่ระหว่างรอเอกสารจากกรมศุลกากร และใบรับรองการส่งมอบสินค้าของบริษัทเดินเรือ (Bill of Lading : BL) เพื่อนำไปตรวจสอบปลายทางส่งมอบสินค้าและจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ขณะนี้คดีกลับไม่คืบหน้า  

นายสิทธิพันธ์ กล่าวย้ำว่า หมูเถื่อนยังถูกซุกซ่อนในห้องเย็นอีกมาก ทำให้การปรับราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต้องทำแบบระมัดระวัง ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและต้องดูแลเกษตกรให้ได้รับราคาที่เป็นธรรมควบคู่ไปด้วย จึงขอเรียกร้องให้ DSI เดินหน้าปราบปรามและดำเนินคดีกับผู้นำเข้าหมูเถื่อนให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายโดยเร็ว เพื่อนำตัวคนผิดทุกรายไปรับโทษตามความผิด และตรวจค้นห้องเย็นทั่วประเทศต่อเนื่อง กวาดล้างหมูเถื่อนให้หมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้หมูไทยเข้าสู่ตลาดได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งราคาจะปรับตามกลไกตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรเดินหน้าผลิตหมูคุณภาพสูง ไม่มีสารปนเปื้อน ไม่มีสารเร่งเนื้อแดง เพื่อสุขภาพที่ดีและความมั่นคงทางอาหารของคนไทยในระยะยาว

แพทย์ยันเนื้อไก่ไม่ใช่ต้นเหตุโรคเกาต์ มีโปรตีนสูง ดีต่อสุขภาพ

0
สัตวแพทย์ แนะผู้บริโภคเลือกรับประทาน เนื้อไก่ โปรตีนสูง ไขมันน้อย แคลอรี่ต่ำ ดีต่อสุขภาพ พร้อมย้ำ การรับประทานเนื้อไก่อย่างพอดีไม่ได้ส่งผลให้เกิดโรคเกาต์

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ สินวัต อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ไขมันน้อย แคลอรี่ต่ำ โปรตีนสูง เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก สามารถรับประทานได้ทุกคน ทุกเพศวัย ทุกชนชาติ ศาสนา อีกทั้งราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเนื้อไก่ติดอันดับโลก ยืนยันได้ว่ามาตรฐานและความปลอดภัยในระบบการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัยด้านอาหาร

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ สินวัต

ผศ.สพ.ญ.ดร.นวลอนงค์ กล่าวว่า สำหรับความเชื่อว่าการรับประทานเนื้อไก่หรือสัตว์ปีก เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์นั้น ยืนยันว่า การกินไก่ไม่ใช่สาเหตุของการเกิดโรคเกาต์

โรคเกาต์ เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมกรดยูริก (Uric Acid) ให้อยู่ในระดับสมดุลได้ ร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้เป็นปกติ จึงเกิดการสะสมของกรดยูริกในกระแสเลือดและตามข้อปริมาณมากจนเกิดการอักเสบ ทั้งนี้ กรดยูริกเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นได้เองและอาหารที่รับประทานเป็นอีกส่วนหนึ่ง

ขณะที่ผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่ได้มีโรคประจำตัว ระบบการทำงานของร่างกายจะขับกรดยูริกออกมาทางปัสสาวะได้ตามปกติ ไม่เกิดการสะสมในร่างกายปริมาณมากเกินไป ร่างกายจึงอยู่ในภาวะปกติ

เนื้อไก่ มีสารทางชีวโมเลกุลที่เรียกว่า พิวรีน ที่ช่วยให้กระบวนการการทำงานของร่างกาย ระบบเซลล์ ทำงานได้ตามปกติ เมื่อพิวรีนเข้าสู่ร่างกาย จะผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึม ถูกเปลี่ยนแปลง ย่อยให้ไปอยู่ในรูปกรดยูริก ทั้งนี้ พิวรีนไม่ได้มีอยู่ในเฉพาะเนื้อไก่ แต่มีอยู่ในอาหารหลายๆ ประเภท อาทิ เนื้อสัตว์ชนิดอื่น หอย เครื่องในสัตว์ ผักบางชนิด รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในอาหารแต่ละชนิดจะมีปริมาณพิวรีนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ไม่ใช่เพียง เนื้อไก่ เท่านั้น ที่มีพิวรีน แต่อาหารชนิดอื่นๆ ก็มีพิวรีนด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ควรสังเกตอาการตนเองว่า เมื่อรับประทานเนื้อไก่แล้วมีอาการหรือไม่ หากไม่เกิดอาการก็สามารถรับประทานไก่ได้ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่พอดี รวมถึงอาหารชนิดอื่นๆ ด้วย หากรับประทานอาหารใดแล้วทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดข้อกำเริบ ต้องหลีกเลี่ยง ควบคู่กับการดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์

กรุงเทพโปรดิ๊วส และ แอลดีซี ร่วมมือใช้แผนที่ดาวเทียมตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่ถั่วเหลือง ยืนยันปลอดการตัดไม้ทำลายป่า

0
บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี บริษัทย่อยของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  และบริษัท หลุยส์ เดรย์ฟัส หรือ แอลดีซี ผู้ค้าและแปรรูปสินค้าเกษตรชั้นนำระดับโลก ลงนามบันทึกความเข้าใจ เพื่อสร้างความร่วมมือในการใช้แผนที่ดาวเทียมและข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับในการจัดหาถั่วเหลือง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบีเคพีปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า และร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์

กรุงเทพโปรดิ๊วส และแอลดีซี มีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2568 เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของสินค้ามากขึ้น โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันทั้งทุกมิติ ทั้งด้านการค้า ด้านเทคนิค และความยั่งยืน ครอบคลุมเรื่องการใช้ข้อมูลระบบตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงการประยุกต์ใช้แผนที่ดาวเทียมในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดหาถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจากประเทศบราซิล สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบีเคพีและซีพีเอฟในประเทศไทย รวมถึงกิจการในภูมิภาคเอเชีย

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับสร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อยกระดับการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การลงนามกับแอลดีซีในครั้งนี้เพื่อบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน มุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 และเป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนของระบบการผลิตอาหารของโลก” นายไพศาลกล่าวสรุป

นายเจมส์ โจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้า กลุ่มแอลดีซี ผู้บริหารสูงสุดด้านโซลูชั่นอาหารและอาหารสัตว์ และผู้บริหารสูงสุดประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า แอลดีซียินดีที่ได้ร่วมมือกับกรุงเทพโปรดิ๊วสในการดำเนินโครงการนำร่องการตรวจสอบย้อนกลับวัตุดิบทางการเกษตร เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยั่งยืน และช่วยลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“โครงการนี้ยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของแอลดีซีที่จะส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดทั้งกิจกรรมและการดำเนินธุรกิจของเรา โดยนำโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค เพื่อสนับสนุนอนาคตของการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน” นายเจมส์ โจว กล่าว

ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทฯ ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนและบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าร่วมกันเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังจะแสวงหาโอกาสในการบูรณาการระบบต่างๆที่รวมถึงการถ่ายโอนข้อมูลแบบเรียลไทม์ และปรับปรุงโซลูชันด้านดิจิทัลสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับให้สอดคล้องกับกฎหมายสินค้าปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR, Regulation (EU) 2023/1115) รวมถึงมาตรฐานการรับรองความยั่งยืน เช่น Round Table on Responsible Soy (RTRS) การรับรองความยั่งยืนและคาร์บอนระหว่างประเทศ (International Sustainability and Carbon Certification :ISCC) และมาตรฐาน ProTerra ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม ที่ผ่านขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และนำไปแปรรูป โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแผนปี 67-69 ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน สู่ตลาดทุนที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน

0
ตลาดหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก้าวสู่ปีที่ 50 โดยกำหนดแผนกลยุทธ์ 3 ปี (2567-2569)  มุ่งสร้างตลาดทุนไทยที่มีคุณภาพสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Delivering Market Quality x Growth)  ยกระดับความเชื่อมั่นด้วยการพัฒนาระบบและนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการป้องปรามการกระทำผิด ปกป้องผู้ลงทุน รวมทั้งติดตามคุณภาพบริษัทจดทะเบียน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยและสนับสนุนบริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียน ดึงดูดผู้ลงทุนผ่าน In-bound / Out-bound roadshow พร้อมทั้งสนับสนุน SMEs / Startups ผ่าน LiVE Platform  พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับโลกเพื่อเป็น Platform ในการขยายธุรกิจของผู้ร่วมตลาด ตลอดจนสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระสำคัญของตลาดทุนไทยและประเทศสู่ความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ตามเป้าหมายในปี 2050

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า  ท่ามกลางความท้าทายและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะการกำกับดูแลให้ตลาดทุนมีความโปร่งใสและเป็นธรรม (Market Integrity) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเพิ่มการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนทั้งกระบวนการ ตั้งแต่เริ่มเข้าจดทะเบียน การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน ไปจนถึงการเพิกถอน โดยทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุน พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างความน่าสนใจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งการระดมทุนและการลงทุน สร้างโอกาสแก่ผู้ร่วมตลาดทุน รวมทั้งขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศ พร้อมก้าวสู่ปีที่ 50 พัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนภายใต้วิสัยทัศน์  “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ผ่านแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2567-2569 “สร้างตลาดทุนที่มีคุณภาพ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน” ใน 3 ด้านหลัก 1) ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน 2) เสริมศักยภาพการแข่งขัน 3) สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ดังนี้

  1. ยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน

1.1 เสริมสร้างคุณภาพและเครื่องมือในการปกป้องผู้ลงทุน โดยพัฒนาเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์และติดตามคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการจัดทำระบบ Financial Data Health Check และ Surveillance Prevention and Analytics (SPA)  รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตร เช่น สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียน และนำมาใช้ประมวลผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น

1.2 ปกป้องและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจจับข่าวปลอมหลอกลงทุนที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียล เพื่อเตือนผู้ลงทุนผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และรายงานไปยัง Anti-Fake News Center ในการดำเนินการเตือนสาธารณชนต่อไป นอกจากนี้ จะพัฒนาระบบที่จะแจ้งไปยังผู้ประกอบการสื่อโซเชียลในการนำข่าวปลอมออกและปิดเพจปลอม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่มากขึ้น คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2567

    2. เสริมศักยภาพการแข่งขัน

    2.1 เพิ่มความน่าสนใจดึงดูดการลงทุน

    • Supply side สนับสนุนบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Target industries) เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ และอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตร พร้อมนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งบริษัทที่จะระดมทุนและบริษัทจดทะเบียน เช่น One Report และ Digital IPO System และสนับสนุนการทำงานของบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนา LiVE Platform ให้ผู้ประกอบการ SMEs / Startups สามารถเข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย และเข้าใช้งานง่าย นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนเพื่อดึงดูดผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศผ่านการทำ In-bound / Out-bound roadshow
    • Demand side  เพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม (More Choice) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ลงทุนรุ่นใหม่ เช่น Small Size Thai Share รวมถึงสภาวะตลาดเพื่อประโยชน์ในการบริหารความเสี่ยง เช่น Inverse ETF เตรียมพร้อมขยายระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ ปรับปรุงการพัฒนาดัชนีใหม่ ๆ การทำให้การเข้าถึงตลาดทุนเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (More Streamline) ทั้งการเปิดบัญชีซื้อขายที่สะดวกรวดเร็ว และพัฒนาช่องทางที่เข้าถึงการลงทุนที่ง่ายขึ้นและรองรับการซื้อขายสินทรัพย์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ จะมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชนในวงกว้างผ่านโครงการต่างๆ พร้อมให้ความรู้เชิงลึกเพื่อเพิ่มทักษะแก่ผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน

    2.2 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน

    พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามมาตรฐานโลก เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของผู้ร่วมตลาด ขยายความร่วมมือในรูปแบบพันธมิตรทั้ง IT Service และ Data Solution

    3. สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

    • ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) มุ่งให้ความรู้แก่บริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ SET ESG Academy และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน ESG ผ่านโครงการ Climate Care Collaboration Platform และ SET Carbon ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดจาก ESG Data Platform  นอกจากนี้ จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการยกระดับ SET ESG Assessment สู่มาตรฐานระดับโลก
    • ด้านสังคม (Social)  มุ่งเน้นพัฒนาผู้ประกอบการที่เป็นธุรกิจครอบครัว (Family Business) และธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)  โดยเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวสู่ LiVE Platform ให้มากขึ้น รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุนให้กับกลุ่ม Multi-jobber & Freelance
    • ด้านบรรษัทภิบาล (Governance) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุนและการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม และสนับสนุนให้มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน

    ขณะเดียวกัน กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการด้าน ESG ภายในองค์กรอย่างเข้มข้น เช่น การต่อยอดโครงการ SET’s Journey Towards Net Zero เพื่อมุ่งสู่การเป็น Net Zero Organization การพัฒนาองค์กรให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Culture transformation)  พร้อมกับการพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพ (Risk management & Enhancing governance)

    สรุปพัฒนาการสำคัญตามแผนงานปี 2566

    1)  สร้างโอกาสการระดมทุนและลงทุน

    • หุ้น IPO มีมูลค่าระดมทุน 38,260 ล้านบาท สูงสุดอันดับ 7 ในเอเชีย โดยมี 12 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น New Economy
    • ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2566 มีมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ย 53,331 ล้านบาทต่อวัน
    • TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 534,898 สัญญา
    • เพิ่ม 11 สินค้าที่อ้างอิงหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ฮ่องกง ยุโรป อเมริกา (รวม 23 หลักทรัพย์) SMEs / Startups กว่า 3,000 รายเข้าร่วม LiVE Platform และมี 4 บริษัทจดทะเบียนใน LiVEx
    • ผลักดันจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

    2)  ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและรักษาความน่าเชื่อถือตลาดทุน

    • SET CONNECT เปลี่ยนระบบซื้อขายใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่เป็นมาตรฐานสากล มีประสิทธิภาพสูง
    • TDX เปิดซื้อขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน เรียลเอ็กซ์ (RealX) เป็นสินค้าแรก
    •  สนับสนุนการเปิดเผยและเชื่อมโยงข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนผ่าน ESG Data Platform โดยมี 658 บริษัทเข้าร่วม (74% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด)
    • ยกระดับกระบวนการกำกับดูแลทั้ง 5 ขั้นตอน
    • Listing: เพิ่มคุณสมบัติบริษัทเข้าจดทะเบียน
    • Ongoing Obligations: เพิ่มการกำกับดูแล บจ. ที่มีปัญหาด้านผลการดำเนินงาน โดยเพิ่มเหตุ C-sign
    • Trade Surveillance: เพิ่มระบบตรวจจับการซื้อขายที่ผิดปกติ และศึกษาแนวทางการจัดตั้ง “Securities Bureau”
    • Delisting: เพิ่มเหตุในการถูกเพิกถอน
    • Escalation to Public: ให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลเพิ่มกรณีมีเหตุสงสัย และตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ข้อมูลกรณีการซื้อขายร้อนแรง รวมทั้งเปิดเผยข้อมูล Program trading

    3)  พัฒนาตลาดทุนเพื่อสังคมและประเทศ

    • 28 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในดัชนี DJSI มากที่สุดในอาเซียน
    • จัดทำ “คู่มือการใช้สัญญามาตรฐานสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต” แก่บริษัทจดทะเบียนและสร้าง ESG partners ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
    • ประกาศเป้าหมาย Net-Zero Commitment ในปี 2050 และเข้าร่วมการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD)
    • ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน / การลงทุนแก่คนไทยและธุรกิจ ผ่านโครงการ Happy Money, รู้สู้หนี้, LiVE Platform และ Family Business
    • ร่วมมือกับพันธมิตร องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ ริเริ่มโครงการ “ร่วมมือ จับปลอมหลอกลงทุน”
    • เสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม โดยมี 51 business co-creation ระหว่างพันธมิตรภาคธุรกิจและ Social Enterprise