Home Blog Page 113

จากเส้นทางธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป สู่ “มั่งคั่งแอนนิมอล” เกษตรกรอัจฉริยะ ในระบบคอนแทรคฟาร์ม

0

ความมั่นคงในอาชีพอาจจะวัดจากรายได้ต่อปี ยอดขาย หรือกำไรสุทธิ แต่สำหรับ “ภชภณ วนพงศ์ทิพากร” มองต่างไปถึงความต่อเนื่องของอาชีพแบบไร้ความเสี่ยง แต่เป็นความมั่นคงที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเขาและคุณภาพชีวิตที่ดีของครอบครัว

ภชภณ เล่าว่า เดิมทำธุรกิจครอบครัวตัดเย็บเสื้อผ้าส่งประตูน้ำ แต่ตนเองมีมุมมองกับธุรกิจเสื้อผ้า คือการรอรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า ที่เสี่ยงกับความไม่แน่นอน และมองว่าวัตถุดิบหลายอย่างที่ใช้ในการผลิต ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นในขั้นตอนผลิตมีเศษผ้าเหลือใช้กลายเป็นต้นทุนแฝง ขณะที่คู่แข่งของไทยอย่างฮ่องกงและจีน มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เขาจึงมองหาช่องทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ ทั้งการมีการสั่งซื้อที่แน่นอนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

หนึ่งในธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์นั้นได้มากที่สุด คือ การเลี้ยงไก่เนื้อในระบบเกษตรพันธสัญญา หรือ “คอนแทรคฟาร์ม” โดยภชภณเริ่มต้นเป็นเกษตรกร ภายใต้ชื่อ บริษัท มั่งคั่งแอนนิมอล จำกัด ทำประกันราคากับบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2546 หลังเห็นตัวอย่างความสำเร็จของญาติที่จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจเขาศึกษาสัญญาอย่างดี พบว่าไม่มีความเสี่ยงด้านการตลาด ปัญหาโรคน้อย ต้นทุนต่ำสุด และต้องทำให้ตนเองเป็นผู้รับจ้างเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด

เมื่อเริ่มแรกเขาเรียนรู้การเลี้ยงไก่ด้วยตัวเอง จากการฝึกงานในฟาร์ม เรียกว่ากิน-นอนอยู่ในฟาร์ม ควบคู่กับการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้มาช่วยงานในฟาร์มด้วยตัวเอง และเดินทางไปศึกษาความก้าวหน้าของระบบฟาร์ม ในงานแสดงเทคโนโลยีทางปศุสัตว์ระดับนานาชาติ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาประยุกต์ใช้

ปัจจุบัน ภชภณยกเลิกสัญญากับบริษัทแรกไปหลายปีแล้ว และทำสัญญาคอนแทรคฟาร์มกับบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเนื้อสัตว์รายใหญ่ 3 บริษัท เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2562 เลี้ยงไก่เนื้อ 270,000 ตัว จำนวน 10 โรงเรือน ในจังหวัดนครราชสีมาและปราจีนบุรี

สำหรับการเป็นคู่สัญญากับ ซีพีเอฟ เขาบอกว่าต้องทำงานแข่งกับตัวเอง เลี้ยงให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด เช่นอัตราการตายไม่เกิน 2% และกำหนดน้ำหนักมาตรฐานในวันจับสัตว์ ที่สะท้อนความสามารถในการเลี้ยง เพื่อทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนสูงสุด และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างอาหารปลอดภัยให้ผู้บริโภค

ที่สำคัญ ซีพีเอฟ ถือเป็นคู่ค้าที่ดี ผู้บริหารและพนักงานช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะช่วงการระบาดของ โควิด-19 ได้รับเงินช่วยเหลือจากผลกระทบด้านการจับไก่เข้าโรงงานชำเเหละไม่ได้ตามเเผนที่กำหนดไว้ ทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพต้นทุน ค่าใช้จ่ายฟาร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็ได้ให้ความช่วยเหลือ เพื่อลดภาระต้นทุน ทำให้ฟาร์มมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่าย

ภชภณ กล่าวย้ำว่า การเลี้ยงไก่ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นความท้าทาย และยังกระตุ้นตัวเองให้พัฒนาตลอดเวลา ที่สำคัญคือต้องรักษามาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการผลักดันให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farm) เพื่อยกระดับการบริหารจัดการฟาร์มให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับเกษตรพันธสัญญา ผมไม่คิดเรื่อง “เอาเปรียบ” กับ “เสียเปรียบ” แต่ต้องมีความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย เราต้องแข่งกับตัวเอง แข่งกับต้นทุน รู้จังหวะในการทำธุรกิจ มีความสามารถในการบริหารจัดการ ถ้าสองฝ่ายพึงพอใจก็เป็นคู่สัญญาที่ win-win ทั้งคู่” ภชภณ กล่าว

จากความสำเร็จของระบบคอนแทรคฟาร์ม ทำให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล มีแผนขยายฟาร์มเพิ่มเติมในปี 2568 เพราะเห็นว่าธุรกิจนี้ยังเติบโตได้ ตราบใดที่คนยังต้องรับประทานอาหาร ส่วนหัวใจของความสำเร็จคือ การบริหารธุรกิจให้เร็ว และยังต้องสนุกกับการทำงาน ต้องเป็นแบบอย่างให้พนักงานและลูกชายได้เห็นอาชีพที่มีความก้าวหน้าและเติบโตตามเป้าหมาย

ทุกวันนี้ กิจวัตรประจำวันของ ภชภณ จึงไม่ใช่การตรากตรำทำงาน แต่คือการมีความสุขกับครอบครัว มีเวลาแวะเวียนไปตรวจเยี่ยมฟาร์มและพูดคุยกับพนักงาน และมีเวลามองหาธุรกิจอื่นๆที่อยากทำ ทั้งหมดนี้คือคำตอบของโจทย์ที่เขาตั้งไว้แต่แรกกับคอนแทรคฟาร์ม ที่สามารถสร้างอาชีพมั่นคงและความมั่งคั่งให้เขาได้อย่างแท้จริง

การคุ้มครองผู้ลงทุนตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

0
บทความโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ก.ล.ต. มีภารกิจหลักตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ในการออกหลักเกณฑ์ กำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และบังคับใช้กฎหมายเมื่อมีการฝ่าฝืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลงทุน ดังนั้น “การคุ้มครองผู้ลงทุน” ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญและดำเนินการควบคู่ไปกับกระบวนการการทำงานด้านต่าง ๆ ของ ก.ล.ต. ตลอดทั้งสาย ตั้งแต่ด้านการระดมทุน เช่น ผ่านการออกหลักทรัพย์ การกำกับธุรกิจในตลาดทุน และการบังคับใช้กฎหมาย หรือที่เรียกกันว่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

ในบริบทนี้ขอชวนมาทำความเข้าใจกับ “การคุ้มครองผู้ลงทุน” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นภารกิจที่อยู่ปลายน้ำ โดยอาจมองได้ทั้งมิติของกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการกระทำผิดอันเนื่องจากการซื้อขายหรือการกระทำที่ไม่เป็นธรรมในตลาดทุน และการกระทำความผิดโดยทุจริตของกรรมการและ/หรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนหรือธุรกิจในตลาด

แม้การกระทำฝ่าฝืนกฎหมายจะเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งเมื่อเทียบกับการดำเนินงานและธุรกรรมปกติในตลาดทุน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดเพียงไม่กี่ครั้ง มักส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ก.ล.ต. จึงให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ลงทุนหรือตลาดทุนเสียหาย การเอาเปรียบผู้ลงทุนโดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ล่วงรู้มา การสร้างราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น โดย ก.ล.ต. จะดำเนินการกับผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในตลาดทุน

ความผิดที่เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มความผิด ดังนี้

(1) กลุ่มการเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ลงทุนหรือตลาดทุนเสียหาย แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

1.1 มาตรา 240 การบอกกล่าวหรือเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือที่ทำให้สำคัญผิด อาจเป็นข้อมูลเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงานของบริษัท ราคาการซื้อขายหลักทรัพย์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์นั้น

1.2 มาตรา 241 การวิเคราะห์หรือคาดการณ์ ที่ใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนข้อมูล ซึ่งรู้ว่าข้อมูลนั้นเป็นเท็จหรือไม่ครบถ้วนแต่ยังเลือกใช้ข้อมูลนั้น ละเลยพิจารณาความถูกต้องของข้อมูล หรือบิดเบือนข้อมูลที่นำมาใช้ ซึ่งทั้ง 2 กรณี ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์และส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน โดยความผิดในมาตรา 240 และ 241 นั้น มีบทลงโทษตามมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนเป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 296/2 ในส่วนของโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์

(2) กลุ่มการเอาเปรียบผู้ลงทุนโดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ล่วงรู้มา แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

2.1 มาตรา 242 การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน โดย “ข้อมูลภายใน” ในที่นี้หมายถึง ข้อมูลที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ มีบทลงโทษตามมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 296/2 ในส่วนของโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์

2.2 มาตรา 244/1 และ 244/2 การซื้อขายหลักทรัพย์ตัดหน้าลูกค้า โดยใช้ข้อมูลคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าซึ่งเป็นการที่ลูกค้า ส่งแก้ไข หรือยกเลิกคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์/สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ไปยังโบรกเกอร์ บลจ. พนักงาน หรือลูกจ้าง และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องนำข้อมูลเหล่านั้นไปบอกต่อผู้อื่นโดยนำข้อมูลคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปใช้ประโยชน์ มีบทลงโทษตามมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 296/2 ในส่วนของโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์

(3) กลุ่มการสร้างราคาหลักทรัพย์ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

3.1 มาตรา 244/3 (1) การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขาย ดังที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา สร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไป โดยการร่วมกันเข้าซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทำให้เสมือนว่าหุ้นมีราคาหรือปริมาณการซื้อขายเปลี่ยนแปลงผิดปกติและไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้นภายในเวลาที่กำหนด จึงส่งผลกระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งและผู้ลงทุนรายย่อย ซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 296/2 ในส่วนของโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์

3.2 มาตรา 244/3 (2) การซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะต่อเนื่องกันโดยมุ่งหมายทำให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งการกระทำผิดนี้มีบทลงโทษตามมาตรา 296/1 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 1 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 296/2 ในส่วนของโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์

ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ข้างต้น การไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการหรือผู้บริหารตามมาตรา 89/7 หรือการใช้บัญชีบุคคลอื่นซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น ก.ล.ต. สามารถเลือกนำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับได้ โดยเสนอให้คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) เป็นผู้เห็นชอบและกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยพิจารณาถึงปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ (1) ความร้ายแรงของการกระทำ (2) ผลกระทบต่อตลาดทุน (3) พยานหลักฐาน (4) ความคุ้มค่าในการดำเนินการ เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้นจะดำเนินมาตรการลงโทษ ดังนี้

  • 1. ชำระค่าปรับทางแพ่ง
  • 2. ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงที่จะได้รับจากการกระทำความผิด
  • 3. ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์/สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี
  • 4. ห้ามเป็นผู้บริหาร/กรรมการ ของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลาไม่เกิน 10 ปี
  • 5. ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบคืนแก่ ก.ล.ต.

ทั้งนี้ มาตรการลงโทษดังกล่าวขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ ค.ม.พ. พิจารณาบังคับใช้ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกมาตรการ โดยหากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. มีอำนาจฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลพิจารณากำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งให้ผู้กระทำความผิดปฏิบัติต่อไป

สำหรับการกระทำความผิดโดยทุจริตของกรรมการและ/หรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนหรือธุรกิจในตลาดทุน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ยังกำหนดแนวทางการทำหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ว่าต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัท มติคณะกรรมการตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ตามมาตรา 89/7 โดยหากพบว่ากรรมการและผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่สุจริต เช่น การมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง การเปิดเผยงบการเงินที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบการเงิน เป็นต้น จะมีบทลงโทษตามมาตรา 312 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี การดำเนินการกับผู้กระทำผิดในแต่ละกรณีมีความแตกต่างกัน ตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในการพิสูจน์การกระทำความผิดตามองค์ประกอบของกฎหมาย ซึ่งในบางกรณีการรวบรวมและแสวงหาหลักฐานทำได้ไม่ง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับอาชญกรรมทางเศรษฐกิจ บางกรณีสามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่พิสูจน์การกระทำผิดได้อย่างชัดเจน ประกอบกับเป็นข้อมูลที่ผู้กำกับดูแลสามารถเรียกตรวจสอบได้ทันที แต่ในขณะเดียวกันมีการกระทำความผิดหลายกรณีที่พยานหลักฐานส่วนใหญ่อยู่กับผู้กระทำผิดที่ต้องการปกปิดหรือกระทำอำพรางความผิดของตน อย่างกรณี “การกระทำทุจริตของผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน” ที่จำเป็นต้องแสวงหาข้อมูลและพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การกระทำผิดและต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนและตลาดทุนในวงกว้าง โดยบูรณาการความร่วมมือและร่วมทำงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นเมื่อมีกรณีบังคับใช้กฎหมาย เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บชก.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังเดินหน้ามาตรการส่งเสริมและยกระดับการคุ้มครองผู้ลงทุน โดยการจัดทำโครงการยกระดับทั้งองคาพยพในตลาดทุนในส่วนที่เป็นต้นน้ำและกลางน้ำ เพื่อให้ป้องกันเหตุที่ไม่สมควรเกิดในตลาดทุน (ปลายน้ำ) ได้มากขึ้น ได้แก่ (1) การคัดกรองคุณภาพและกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ให้ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักแห่งธรรมาภิบาล การปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการจดทะเบียนโดยอ้อม (backdoor listing) ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น และ (2) การยกระดับบุคลากรในตลาดทุนที่เกี่ยวข้องอย่างผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน บุคลากรของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างชอบธรรมและรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและการคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างแท้จริง และ (3) การสร้างกลไกที่เอื้ออำนวยให้ผู้ลงทุนมีความรู้และสามารถปกป้องสิทธิตนเองได้

ก.ล.ต. มุ่งเน้นการดำเนินการตามพันธกิจภายใต้ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ โดยการปฏิบัติหน้าที่บนหลักของความถูกต้อง เป็นธรรม กำกับและพัฒนาตลาดทุนให้น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ โดยสามารถติดตามความคืบหน้า การดำเนินการกับผู้กระทำความผิดและการบังคับใช้กฎหมายได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หากผู้ใดพบเห็นการกระทำความผิดในตลาดทุนสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ศูนย์บริการประชาชนโทร 1207 หรืออีเมล [email protected]

บุญรอดฯ คว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 องค์กรที่น่าทำงานที่สุดในเอเชีย 3 ปีซ้อน

0

บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด คว้ารางวัล “HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023” หนึ่งในองค์กรที่น่าทำงานที่สุดในระดับเอเชีย 3 ปีติดต่อกัน จากนิตยสาร HR Asia ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างคน ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ Bringing Joy To Life ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขให้กับทั้งคนในองค์กรและส่งต่อให้ผู้คนในสังคมเป็นพื้นฐานการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า สิ่งที่ทำให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาตลอด 90 ปี คือการมีบุคลากรคุณภาพ ทุกคนล้วนมีส่วนในการสร้างความสำเร็จให้กับองค์กร และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เราต้องการทำให้คนของเรามีความสุข ได้รับการดูแลที่ดี ควบคู่กับการพัฒนาความสามารถ ที่สำคัญคือทุกคนต้องทำงานเป็นทีม ต้องมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน ช่วยกันพัฒนาองค์กรให้เติบโต

นายสุนิษฐ์ สก๊อต Head of Organization Capability ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาองค์กรและส่งเสริมการเรียนรู้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “คน” ถือเป็นหนึ่งเครื่องชี้วัดความสำเร็จในการขับเคลื่อนองค์กร ตลอดระยะเวลา 90 ปี ในการ “สร้างคน” ตามวิถีของบุญรอดฯ คือการให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะวัฒนธรรม “คนเก่ง” และ “คนดี” ควบคู่กันไป ขณะเดียวกันก็ไม่มองข้ามการดูแลให้พนักงานทุกคนอยู่ในองค์กรอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ สภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือแม้กระทั่งผลตอบแทนที่ได้รับ ที่ผ่านมาเราจึงให้ความสำคัญกับการรับฟังพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงบรรยากาศในการทำงานให้ดีมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสและพื้นที่ให้พนักงานได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ รวมถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ดีที่สามารถส่งมอบความสุขและสร้างประโยชน์ให้ผู้คนในชุมชนและสังคมไปพร้อมกันได้ และนำมาซึ่งพื้นฐานสำคัญที่สามารถทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด”

ทั้งนี้ รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 หนึ่งในองค์กรที่น่าทำงานที่สุดในระดับเอเชีย จัดโดยนิตยสาร HR Asia ซึ่งเป็นนิตยสารด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ บุญรอดฯ ยังสามารถทำคะแนนรวมสูงสุดในหมวด Think, Feel & Do ที่มอบให้กับองค์กรที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีมอย่างสร้างสรรค์ด้วย โดยมีเกณฑ์การพิจารณาจากความผูกพันและความพึงพอใจของพนักงานที่มีต่อองค์กรในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ดี ส่งเสริมความสุขของพนักงานภายในองค์กร พร้อมสนับสนุนโอกาสเติบโตของพนักงาน โดยปี 2566 มีองค์กรไทยที่เข้าร่วมกว่า 286 บริษัท

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ อบก. จัดงาน Climate Care Forum 2023 : Time to Reduce “ลด-เพื่อ-โลก”

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมเปิดงาน Climate Care Forum 2023 : Time to Reduce “ลด-เพื่อ-โลก” ภายใต้ความร่วมมือ “Climate Care Platform”

โดยงานครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญและไม่รอช้าในการลดและจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า นำไปสู่เป้าหมายที่ประเทศไทยมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 โดยมี ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดี กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ปาฐกถาพิเศษ ภายในงานมีการมอบใบประกาศเกียรติคุณส่งเสริมและยกย่องสมาชิก Climate Care Platform 29 องค์กรที่ดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่น ผู้สนใจติดตามข้อมูลโครงการความร่วมมือ ข้อมูล “29 เรื่องราว ลด-เพื่อ-โลก” และรับชมงานย้อนหลัง ได้ที่ Facebook: SET Social Impact

AIS ร่วมมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ กสทช. ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เครื่อง SIM BOX หลอกลวงปชช. 5 จุด

0

AIS ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. ขยายผลจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกัน 5 จุด และตรวจยึดเครื่อง GSM Gateways (SIM BOX) พร้อมซิมการ์ด 320 เบอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ในการกระทำความผิด

พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร  เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ,พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ หรือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ร่วมกันให้ข้อมูลว่า  “ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย ในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย และจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนประเทศ เพื่อนบ้าน ตั้งแต่ อ.คลองใหญ่จ.ตราด, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อสกัดไม่ให้ มีการเผยแพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มี การกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการย้ายฐานปฏิบัติ การเข้าสู่พื้นที่ใหม่ๆ ที่ยังสามารถอาศัยสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยได้และปลอดภัยจากการกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและบางส่วนอยู่ ภายใต้อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการร่วมตำรวจและ กสทช. ได้มีการ ลงพื้นที่หาข่าวจนนำมาสู่การปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

จุดที่ 1 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64  อัน  เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง

จุดที่ 2  เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน  เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง

จุดที่ 3  เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง

จุดที่ 4 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64  อัน  เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง

จุดที่ 5  เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด  จำนวน 62  อัน  เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง

ซึ่งครั้งนี้ พบว่า เป็นลักษณะของการใช้พื้นที่ในอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ แล้วใช้เราเตอร์ของอาคาร ทำให้กลืนไปกับปริมาณการใช้งานของอาคาร เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับได้ยากขึ้น นอกจากนี้การเข้ามาตั้ง SIM BOX ในลักษณะนี้ทำให้หมายเลขการโทรแสดงเป็นหมายเลขภายในประเทศ เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการขึ้นหมายเลขหน้าเบอร์โทร Prefix ของ กสทช.ที่เคยกำหนดไว้ และทำให้ประชาชนหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “จากกรณีการเกิดอาชญากรรมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ และมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ส่งผลกระทบตั้งแต่การสูญเสียทรัพย์สิน ไปจนถึงสภาพจิตใจ ดังนั้น AIS จึงให้ความสำคัญอย่างมากในการดูแล ปกป้อง ความปลอดภัยของลูกค้าและประชาชน  ที่ผ่านมาจึงทำงานร่วมกับภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจไซเบอร์ และ กสทช. ตั้งทีมประสานงาน ตรวจสอบ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากการที่ประชาชนแจ้งความร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้งผ่านบริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ ตลอด 24 ชั่วโมง จนสามารถนำไปสู่การขยายผล จับกุม คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง”

ซึ่งปัจจุบันนอกจากมิจฉาชีพจะใช้กลอุบายในการโทรหลอกลวงเช่นในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ยังมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อที่จะโทรหลอกลวงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลงเชื่อ สูญเสียทรัพย์สิน หรือ กระทำการข่มขู่ทวงหนี้ทำให้เกิดความหวาดกลัว ผ่านการใช้อุปกรณ์ SIM BOX เครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์แบบใส่ซิมการ์ด ที่เป็นการลักลอบใช้เป็นช่องทางการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงประชาชนบุคคลทั่วไปภายในประเทศ ซึ่งทาง AIS ได้ร่วมส่วนหนึ่งของภารกิจในการติดตามและตรวจสอบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น จนสามารถทราบถึงต้นตอหรือแหล่งกบดานของคนร้าย ซึ่งนำสู่การบุกทลายแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้สำเร็จ”

รู้เก็บรู้ออม : CISA ใบเบิกทางสู่อาชีพการเงิน

0

การมีบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จขององค์กร ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องอัตราผลตอบแทนเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรด้วย

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ที่ผ่านมาได้ส่งเสริมและยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทยมาโดยตลอด สามารถผลิตบุคลากรด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ป้อนสู่ตลาดทุนไทยแล้ว จำนวน 2,359 คน ผ่านหลักสูตร CISA ที่เกิดจากความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) มาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน

หลักสูตร CISA ย่อมาจาก Certified Investment and Securities Analyst เป็นหลักสูตรด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุนที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. ในการใช้ขึ้นทะเบียนเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน มีจุดเด่นคือเป็นหลักสูตรที่รวบรวมความรู้ด้านการวิเคราะห์การลงทุน ทั้งหลักเกณฑ์ กฎระเบียบการซื้อขายหลักทรัพย์ จรรยาบรรณ มาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง หลักทรัพย์ทุกประเภทที่ซื้อขาย และวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องทิศทางพัฒนาการของตลาดทุนไทย

ที่สำคัญเป็นหลักสูตรที่สามารถศึกษาได้ด้วยตัวเอง จึงเปิดกว้างให้กับทุกคนที่สนใจ ทั้งคนที่มีพื้นฐานการศึกษาและทำงานด้านการเงินอยู่แล้วหรือคนที่อยากเปลี่ยนสายงาน นอกจากนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายไม่สูง จึงเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงความรู้ และสามารถต่อยอดไปขึ้นทะเบียนใบอนุญาตได้หลายวิชาชีพในตลาดทุน

หลักสูตรแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับ Foundation Knowledge (คุณวุฒิ AISA) และระดับ Advanced Knowledge (คุณวุฒิ CISA) โดยคุณวุฒิที่ได้รับจะเป็นใบเบิกทางสู่วิชาชีพงานการเงินที่หลากหลาย ถ้าเป็นสายสถาบันการเงิน ก็สามารถเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน ผู้จัดการกองทุน วาณิชธนากร นักวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต ส่วนสายบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ นักลงทุนสัมพันธ์ นักวิเคราะห์การเงิน ผู้จัดการด้านการลงทุน ไปจนถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) ขณะที่วิชาชีพอื่นๆก็สามารถใช้ CISA เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการทำงาน เช่น ผู้แนะนำการลงทุน ผู้วางแผนการลงทุน เป็นต้น

และล่าสุด ได้มีการจัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ที่สอบผ่านหลักสูตร CISA เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีหลังสถานการณ์โควิด ซึ่งตั้งแต่ปี 2563 จนถึงกลางปี 2566 มีผู้สอบผ่านหลักสูตร CISA ทุกระดับสูงถึง 540 คน นอกจากนี้ จะมีการมอบรางวัล CISA Achievement Award เป็นครั้งแรกให้กับคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระ ในฐานะบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงแก่หลักสูตรและสร้างคุณูปการต่อตลาดทุนไทย โดยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านงานวิเคราะห์หลักทรัพย์กว่า 30 ปี เคยได้รับรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนถึง 6 ครั้ง และเป็นวิทยากรอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี

คนที่สนใจอาชีพด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุน สามารถดูข้อมูลหลักสูตร CISA เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/cisa 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS โชว์ศักยภาพ คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีระดับเอเชียแปซิฟิก

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS  เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อยกระดับ Digital Infrastructure ของประเทศ โดยล่าสุด นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ได้รับรางวัลสุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับเอเชียแปซิฟิก Technology Leader of the Year Award ที่จัดขึ้นโดย FutureNet Asia เพื่อยกย่องผู้บริหารที่มีผลงานโดดเด่นและมีส่วนร่วมสำคัญต่อการพัฒนาและยกระดับวงการเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

และ AIS ยังได้รับรางวัล The APAC Operator Award ที่สะท้อนให้เห็นถึงการนำนวัตกรรมและขีดความสามารถของโครงข่ายในด้าน Autonomous Network เข้ามายกระดับประสบการณ์การดูแล Voice of Customer ของลูกค้าและภาคอุตสาหกรรม ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Huawei ถือเป็นองค์กรโทรคมนาคมไทยรายเดียวที่ได้รับถึง 2 รางวัลจากเวทีระดับเอเชียแปซิฟิก

นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก กล่าวว่า “ผมและทีมงาน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่เวที FutureNet Asia ได้มอบรางวัล Technology Leader Award และรางวัล The APAC Operator Award ให้แก่ AIS โดยทั้งสองรางวัลถือเป็นกำลังใจและเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ของเราในการยกระดับศักยภาพโครงข่ายของ AIS ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ในทุกมิติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมด้วยการก้าวสู่การเป็น Cognitive Tech-Co ที่สมบูรณ์แบบ”

ขอขอบคุณ FutureNet Asia ที่มองเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS เราขอยืนยันในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีว่า จะมุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่คนไทย นำพาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลส่งเสริมการเติบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป”

รู้เก็บรู้ออม : ยกเครื่องกติกาครั้งใหญ่!!

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือที่รู้จักในชื่อว่า ตลาดหุ้น นั้น ได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่เพื่อการลงทุนของนักลงทุนจำนวนมาก

เมื่อมีผู้เล่นลงสนามลงทุนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ และนักลงทุน จึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์โดยตรง

ปัญหาการตกแต่งงบการเงินและเปิดเผยข้อมูลไม่จริงของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนการสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลเสียหายต่อการลงทุน ทำให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการยกเครื่องกฎกติกามารยาทครั้งใหญ่ ทั้งหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติต่างๆ

“ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง” รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์ฯ พูดถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า อยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นในการยกระดับเกณฑ์กำกับดูแลใน 5 มิติ ที่จะครอบคลุมตั้งแต่ 1.กระบวนการ Listing ปรับปรุงคุณสมบัติบริษัทที่ขอจดทะเบียนทั้งใน SET และ Mai ไม่ว่าจะเป็น New Listing, Backdoor Listing รวมถึงการย้ายกลับมาซื้อขาย (Resume Trading) จะต้องผ่านการพิจารณาในลักษณะเดียวกัน

2.กระบวนการ Ongoing Obligations ให้เข้มงวดเพิ่มขึ้น แต่ไม่เป็นภาระกับ บจ.มากเกินไป โดยจะเพิ่มสัญญาณเตือนให้ผู้ลงทุนที่มากขึ้น ปรับปรุงเงื่อนไขการขึ้นเครื่องหมาย C ในกรณีของบริษัทที่มีรายได้น้อย ขาดทุนติดต่อหลายปี ผิดนัดชำระหนี้ ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน มีปริมาณถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือฟรีโฟลตน้อย

3.กระบวนการ Trade Surveillance ด้วยการเพิ่มระบบตรวจจับการซื้อขายที่ผิดปกติ ซึ่ง ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯและสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยอยู่ระหว่างร่วมกันจัดตั้ง “Securities Bureau” ที่จะช่วยให้รู้สถานะของลูกค้า เช่น วงเงินโดยรวมของทุกสมาชิก ช่วยให้โบรกเกอร์วิเคราะห์ความเสี่ยงได้ดีขึ้น

4.กระบวนการ Delisting ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเพิ่มเหตุในการถูกเพิกถอน และความเข้มงวดในการกำกับดูแลบริษัทที่เข้าข่าย

และ 5.กระบวนการ Escalation to Public โดยเพิ่มเหตุของการเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย C (Caution) และอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเติมในการแยกเครื่องหมาย C ตามเหตุที่แตกต่างกันที่จะช่วยบ่งบอกถึงความเข้มข้น

ส่วนการกำกับซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามใช้มาตรการจากเบาไปหนัก เห็นได้จากกรณีหุ้นไอพีโอ หรือกรณีที่มีความผิดปกติ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะใช้วิธีให้ข้อมูลกับนักลงทุน เพื่อใช้พิจารณาประกอบตัดสินใจซื้อขาย, การให้ บจ.ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อมีข้อมูลบางอย่างที่ส่งสัญญาณเตือนภัย, การออกข่าวเตือนกรณีหุ้นมีการซื้อขายที่ผิดปกติ และการสั่งให้หยุดพักซื้อขายชั่วคราว

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นความพยายามครั้งสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งกระบวนการ ให้เหมาะสม ทันต่อเหตุการณ์ ให้การซื้อขายเป็นไปอย่างเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรม.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยสไมล์คลับ ส่ง “Muang Thai Smile Premium Collection” แบบใหม่ เอาใจสมาชิกช่วงท้ายปี

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ชวนสมาชิกฯ ร่วมสัมผัสความน่ารักกับของพรีเมียมสุดพิเศษ  “Muang Thai Smile Premium Collection 2023” ให้ทุกคนได้เช็กความน่ารัก..น่าแลก กับของพรีเมียมคอลเลกชันใหม่  เพียงใช้คะแนนสะสมเริ่มต้น 15 Smile Points แลกรับไอเทมสุดคิวท์ไม่ซ้ำใครไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจกัน มีสินค้าให้เลือกถึง 6 ไอเทม ดังนี้ Griptok ที่ติดโทรศัพท์ลายน้องรักษ์ยิ้ม 15 Smile Points , กระเป๋าใส่เหรียญทรงสามเหลี่ยม 15 Smile Points, แก้วกาแฟรักษ์ยิ้ม 50 Smile Points , กระเป๋าคล้องแขนสไตล์ญี่ปุ่น 50 Smile Points  และ ผ้าห่มคลุมไหล่รักษ์ยิ้ม 80 Smile Points ขนนุ่มอุ่นเวอร์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด) โดยสมาชิกฯ ที่สนใจสามารถใช้สิทธิ์แลกรับของพรีเมียมได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เมืองไทยสไมล์คลับ พร้อมมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกฯ ในทุกวัน โดยสมาชิกฯ สามารถเช็กคะแนนสะสม  รวมถึงติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุก   ไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ทุก Gen ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทย   ประกันชีวิต

AIS ผนึก​ สช.​ ขยายผลหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ปักหมุด​ รร.เอกชน​ 4,000​ ​ แห่งทั่วประเทศ

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS)​ และภาคีเครือข่ายภาครัฐ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จับมือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เดินหน้าขยายผลหลักสูตร “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์” ที่เป็นการยกระดับจากองค์ความรู้สู่หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ครั้งแรกของไทย ที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาไทย พร้อมส่งต่อให้แก่ นักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สช. มากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป็นโรงเรียนภาคเอกชนกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ ให้มีทักษะดิจิทัล และมีความรู้เท่าทันการใช้สื่อโซเชียลได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย สร้างเด็ก เยาวชนและคนไทยเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ ให้สามารถใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และร่วมกันยกระดับดัชนีสุขภาวะดิจิทัล (Thailand Cyber Wellness Index) ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ​ สช. กล่าวว่า “บทบาทของ สช. มีภารกิจในการขับเคลื่อนการศึกษาเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มอบหมายไว้ คือ “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งจะต้องมีความสมดุล ทั้งการเรียนด้านวิชาการและการมีทักษะชีวิตที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไปด้วยกัน โดยในปีนี้ สช.ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชน ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลโดยตรงต่อการศึกษา โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดเวลา ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการใช้งาน และอาจตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามทางไซเบอร์ ดังนั้นเราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ให้นักเรียนมีองค์ความรู้ในการรับข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ และรู้จักหลีกเลี่ยงภัยไซเบอร์ต่างๆ ที่เข้ามาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง AIS กับกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะมาช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนให้ยกระดับไปอีกขั้น

ด้วยการจัดอบรมการเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สช.​ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Online และ Onsite เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษานำหลักสูตรดังกล่าวไปบูรณาการผ่านการเรียนการสอนที่หลากหลาย อาทิ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และวิทยาการคำนวณ ให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 และจะขยายผลให้ครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สช. กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ รวม 2,000,000 คน  ได้เริ่มเรียนรู้เนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ภายในภาคเรียนของปีการศึกษา 2/2566 เพื่อเสริมสร้างทักษะดิจิทัล ให้สามารถรับมือและใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย ตามเป้าหมายการทำงานของ สช.”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม  หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า​หลังจากที่ก่อนหน้านี้ AIS ได้ขยายผลนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ส่งต่อไปยังเยาวชน นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศ ทั้งความร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านไปยังโรงเรียนในสังกัดกว่า 29,000 แห่งทั่วประเทศ โรงเรียนในสังกัด กทม.ทั้ง 437 แห่ง รวมถึงยังขยายไปยังภาคอุดมศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา นอกจากนี้เรายังส่งต่อไปยังภาคประชาชนผ่านหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สกมช. รวมทั้งกลุ่มผู้สูงวัยในสหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุ กทม.และชมรมอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์เพื่อผู้สูงวัย หรือ OPPY CLUB By Loxley ซึ่งมีผู้เข้าอบรมหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์แล้วกว่า 300,000 คน

โดยการทำงานร่วมกับสช.ครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้กลุ่มนักเรียนในโรงเรียนเอกชนเข้าถึงเนื้อหาหลักสูตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยมีภูมิคุ้มกัน ไม่ตกเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์ และเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีและมีคุณภาพ ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลเราขอเป็นศูนย์กลางในการสร้างและส่งเสริมการใช้งานที่ถูกต้อง เหมาะสม และมีความปลอดภัยให้กับลูกค้าและคนไทยทุกกลุ่ม”