Home Blog Page 113

CPF ร่วมรณรงค์วันคุ้มครองโลก เดินหน้าลดการใช้พลาสติก ตลอดห่วงโซ่การผลิต

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมรณรงค์ลดการใช้พลาสติก รับวันคุ้มครองโลก (Earth Day)ภายใต้แนวคิด “Planet vs. Plastics : ลดพลาสติก กู้วิกฤตโลก” ลดการใช้พลาสติกตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single Use) พัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ง่ายต่อการนำกลับมารีไซเคิล รวมไปถึงปลูกฝังพนักงานมีส่วนร่วมแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก นอกจากให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคแล้ว ยังตระหนักถึงสุขภาวะที่ดีด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทฯมุ่งมั่นมีส่วนร่วมแก้ปัญหาขยะพลาสติก โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และหลัก BCG Model มาใช้ เดินหน้าลดการใช้พลาสติกตลอดกระบวนการผลิต ลดการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว (Single Use) ส่งเสริมและพัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ง่ายต่อการนำกลับมารีไซเคิล และง่ายต่อการคัดแยกขยะ รวมไปถึงปลูกฝังความตระหนักสู่พนักงานในองค์กรมีส่วนร่วมจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

บรรจุภัณฑ์ของซีพีเอฟจึงถูกการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การรีไซเคิล (Design for Recycling) โดยหน่วยงานวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของซีพีเอฟได้ร่วมกับคู่ค้าพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้วัสดุชนิดใหม่ๆ ลดความหนา ปรับขนาด หรือ เปลี่ยนรูปแบบของบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร ในขณะที่ยังคงรักษาคุณสมบัติและประสิทธิภาพในการปกป้องผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัยและคงคุณค่าอาหารตามหลักโภชนาการไว้อย่างสมบูรณ์ด้วย โดยล่าสุด ซีพีเอฟ ร่วมกับพันธมิตร 2 บริษัทในกลุ่ม SCG ได้แก่ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP และบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ในการพัฒนาด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์จากเยื่อกระดาษและพอลิเมอร์ และด้านนวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) ซึ่งจะช่วยให้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารในเครือซีพีเอฟ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยิ่งขึ้น

บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ในประเทศไทย นำร่องใช้พลาสติกชีวภาพที่ผลิตจาก polylactic acid (PLA) ตั้งแต่ปี 2558 ในการผลิตถาดบรรจุหมูสดและไก่สดแช่เย็น การออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ง่ายต่อการรีไซเคิล โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกฟิล์มชนิดเดียวกัน (Mono Plastic) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% โดยไม่ต้องแยกวัสดุต่างชนิดกัน นอกจากนี้ ยังมุ่งเพิ่มสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลตามความเหมาะสม โดยไม่กระทบกับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร อาทิ พัฒนาถาดไข่ไก่จากพลาสติกรีไซเคิล 100% โดยร่วมมือกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัทในเครือเอ็กซ์เซล (Excel Group) และการใช้ถาดไข่ไก่ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิล 100% (สำหรับผลิตภัณฑ์ไข่ไก่เคจฟรี และถาดไข่ไก่ขนาด 30 ฟอง) เป็นต้น ส่งผลให้ใน 2566 สามารถลดการใช้พลาสติกใหม่ได้มากกว่า 1,000 ตัน

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ลดการใช้พลาสติกในกระบวนการผลิตและขนส่ง โดยสายธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์บกใช้ Bulk Feed Tank ทดแทนการใช้ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสัตว์ สามารถลดการใช้พลาสติกได้ 13,216 ตัน ในปีที่ผ่านมา สายธุรกิจสัตว์น้ำ เปลี่ยนจากการใช้ถุงพลาสติกบรรจุลูกพันธุ์กุ้ง มาเป็นใช้กล่อง Q-Pass Tank ลดการใช้พลาสติกได้มากกว่า 10,000 ตัน ที่สำคัญ บริษัทฯสร้างความตระหนักสู่พนักงานในองค์กร มีส่วนร่วมแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ด้วยการถ่ายทอดความรู้และการจัดการขยะพลาสติกอย่างถูกวิธี รวมไปถึงการให้ความรู้กับชุมชนและสถานศึกษารอบสถานประกอบการของซีพีเอฟด้วย

เอไอเอส ชูพลังจากสุดยอดพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายที่1 ตัวจริง ส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลจากมือถือและเน็ตบ้านที่ดีที่สุดให้คนไทย

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป และ นายธีร์ สีห์อัมพรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจบรอดแบนด์ AIS ร่วมกันกล่าว ในโอกาสมอบรางวัล “ผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมทางด้านงานขาย และงานบริการของปี 2566”  ให้กับพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย เพื่อเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นและเป็นการขอบคุณที่ดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างดีเยี่ยม  ว่า “ทุกวันนี้ Digital Lifestyle คือ วิถีการใช้ชีวิตของทุกคน เป้าหมายของ AIS จึงมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับวิถีดังกล่าว จนปัจจุบันเรามีโครงข่าย 5G ครอบคลุมแล้ว 90% ทั่วประเทศ และโครงข่ายไฟเบอร์ บรอดแบนด์ ที่เข้าถึงกว่า 13.3 ล้านครัวเรือนทั่วไทย  เพื่อให้คนไทยได้รับความสะดวกจากการใช้ดิจิทัลอย่างไร้ข้อจำกัด”

“ด้วยนโยบายของ AIS ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการส่งมอบบริการแก่ลูกค้าด้วยคุณภาพที่เป็นเลิศ ร่วมกับพาร์ทเนอร์ช่องทางจัดจำหน่ายในหลากหลายกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าผ่าน Customer Service Touchpoint ที่ปัจจุบันขยายตัวต่อเนื่อง ในปัจจุบันที่มีแล้วมากกว่า 25,000 แห่งทั่วประเทศ ที่นอกจากจะมอบประโยชน์แก่ลูกค้า คนไทย แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการร่วมสร้างการเติบโตของพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายไปพร้อมๆกัน ตามหลักคิด ECOSYSTEM ECONOMY – เศรษฐกิจแบบร่วมกัน อีกด้วย”

            ปัจจุบัน AIS มีช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า ที่ดูแลทั้งการใช้งานมือถือ และ การใช้งานเน็ตบ้าน ที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย

·               ร้านเอไอเอส ร้านเอไอเอส เทเลวิซ ,ร้านเอไอเอส บัดดี้ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น รวมไปถึงการสมัครบริการเน็ตบ้าน ทั้ง AIS Fibre และ 3BB รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ  ที่ ปัจจุบันมีกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ

·         ร้านค้าเทคโนโลยีชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้า และบริการที่ตอบสนอง Digital Lifestyle อาทิ Jaymart, TG , iStudio by SPVi, iStudio by Copperwired และ iStudio by Uficon ที่จำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี สมาร์ตโฟน และดิจิทัล แก็ดเจ็ต โดยภายในร้านจะมีบริการของ AIS ที่มาพร้อมสินค้าและบริการต่างๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือ ซิมแบบรายเดือน และเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น หลากหลายรูปแบบ  โดยร้านค้าในกลุ่มนี้ปัจจุบันมีกว่า 700 สาขา

·               ร้านค้ารายย่อย ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน และพื้นที่ห่างไกล จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมบริการด้านธุรกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ 

นายปรัธนา และ นายธีร์ ร่วมกันย้ำว่า “นอกจากนี้เรายังทำงานร่วมกับพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายในการยกระดับเทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์งานบริการที่ตอบโจทย์ Digital Lifestyle อยู่เสมอ พร้อมร่วมพัฒนาทักษะพนักงาน ให้มีความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้มอบคำแนะนำและให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นเลิศ ภายใต้มาตรฐานเอไอเอสอีกด้วย เพราะเราเชื่อมั่นเสมอว่า การมีพันธมิตรที่มีความรู้ ความชำนาญ และจุดแข็งที่แตกต่าง หลากหลาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ  เป็นหัวใจหลักที่จะส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดี และแตกต่างได้ ที่สำคัญคือ มีส่วนร่วมลดข้อจำกัด สร้างความเท่าเทียมให้ลูกค้าและคนไทยสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการคุณภาพของเอไอเอสอย่างสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ” 

ซีพีเอฟ – กระทรวงแรงงานฯ เซ็น MOU ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว ขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน​) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด ดูแลพนักงานในสถานประกอบกิจการห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน หนุนสร้างสังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ตั้งเป้าภายในปี 2567 นี้ ฟาร์มและโรงงานกว่า 400 แห่งทั่วไทยผ่านการรับรองโรงงานสีขาว

ในวันที่ 19 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)​ และ ซีพีเอฟ พร้อมกับมอบธงนำร่องสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) แก่นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และผู้บริหารบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ โดยมีนางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงานและซีพีเอฟร่วมด้วย ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอย่างเข้มแข็งและมั่นคง กระทรวงแรงงานมุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนบูรณาการดำเนินแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบตามหลักเกณฑ์โรงงานสีขาว สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้เป็นหลักประกันว่าพนักงานของซีพีเอฟทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย มีระบบและกลไกในการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดแบบครบ วงจร เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรที่มีแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี ดูแลพนักงานทุกคนด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้พนักงานทุกคนที่ทำงานในประเทศไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

“ขอชื่นชมซีพีเอฟที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐบรรลุเป้าหมายในการป้องกัน และหยุดยั้งปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน และยังมีการต่อยอดดูแลชุมชนที่อยู่รอบๆ หน่วยงานให้มีความเข้มแข็ง และห่างไกลจากยาเสพติดอย่างจริงจัง”​ นายพิพัฒน์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า พนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทฯ บรรลุวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง การลงนามบันทึกความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นการประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการต่อต้านยาเสพติด นำหลักเกณฑ์และแนวทางของโรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) นำมาปฏิบัติ ส่งเสริมแบบจริงจังอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาสถานประกอบการของซีพีเอฟกว่า 437 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นองค์กรที่ปลอดจากยาเสพติด ซึ่งครอบคลุมพนักงานทั้งคนไทยและ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 70,000 คน โดยการตั้งเป้าหมายภายในปีนี้ สถานประกอบกิจการทุกแห่งในประเทศไทย ได้รับการรับรองโรงงานสีขาวและมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ร่วมสร้างความยั่งยืนขององค์กร ชุมชนและประเทศต่อไป

“ซีพีเอฟมีความยินดีร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่ายพัฒนาสถานประกอบกิจการของบริษัทฯ ทุกแห่งทั่วประเทศเป็นต้นแบบองค์กรดูแลพนักงานทุกคน และชุมชนรอบข้างมีภูมิคุ้มกันห่างไกล สนับสนุนสังคมไทยมีความเข้มแข็ง และเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืนที่ผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นลำดับแรก ประโยชน์ของประชาชนเป็นลำดับที่สอง และประโยชน์ของบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย”​ นายประสิทธิ์กล่าว

ซีพีเอฟ ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนองค์กรปลอดยาเสพติดและเป็นโรงงานสีขาว ตามโครงการ “ซีพีเอฟ องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” โดยให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดี เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การให้ความรู้ความเข้าใจให้พนักงานมีความตระหนักและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดอย่างจริงจัง การอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พนักงานมีความเสี่ยงไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู และให้โอกาสพนักงานที่รักษาหายสามารถกลับมาทำงานกับองค์กรได้ เพื่อสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งของซีพีเอฟปลอดจากยาเสพติด เป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข มั่นคงและยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนภัยมิจฯ แอบอ้างเป็นจนท. หลอกเรื่องคืนเงินภาษีเงินปันผล

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่หนังสือเตือนภัยมิจฉาชีพ โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไป โดยหลอกลวงเรื่องการคืนภาษีเงินปันผล รวมถึงมีการชักชวนให้ร่วมลงทุนด้วยนั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ TSD ไม่มีการให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อหรือส่ง SMS แนบ Link เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการคืนภาษีเงินปันผลในทุกกรณี จึงขอเตือนผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไปให้ใช้ความระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และไม่ควรหลงเชื่อให้ข้อมูลใด ๆ โดยขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือประสงค์ที่จะสอบถามข้อมูล สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ SET Contact Center 0 2009 9999 หรือ email: [email protected]

ออมสิน เปิดโครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ลดดบ. 4 กลุ่มสินเชื่อ แก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐบาล

0
ออมสิน เปิดให้กู้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ตั้งเป้าแก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐ ลดดอกเบี้ย 4 กลุ่มสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารออมสิน ได้พิจารณาออกมาตรการรีไฟแนนซ์ ภายใต้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” รับรีไฟแนนซ์หนี้เดิม (ไม่ใช่การปล่อยสินเชื่อใหม่) เพื่อช่วยลดภาระแก่ลูกหนี้ 4 กลุ่ม ด้วยหลักเกณฑ์ดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเงื่อนไขพิเศษอื่น เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐ และสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ทั้งนี้ ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชนลดภาระการชำระหนี้ ผ่อนสบายมากขึ้น หรือผู้ที่รีไฟแนนซ์แล้วแต่ประสงค์ผ่อนชำระเงินงวดเท่าเดิม ก็จะตัดเงินต้นมากขึ้นเพราะดอกเบี้ยลดลง ทำให้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้น โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ทั้ง 4 มาตรการ ดังนี้

☑️ 1. Re-Card : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้บัตรเครดิต
▪️ เพื่อไปชำระหนี้บัตรเครดิตของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น โดยการรีไฟแนนซ์/รวมหนี้บัตรเครดิตมาผ่อนชำระกับธนาคารออมสินในรูปแบบเงินกู้ระยะยาว (Long Term Loan)
▪️ วงเงินกู้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้รวม สูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 2. Re P-Loan : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan : P-Loan)
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล P-Loan ของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 3. Re-Nano : รับรีไฟแนนซ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อ Nano Finance ที่กู้ไปเพื่อลงทุนในการประกอบอาชีพ
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 8 ปี
▪️ ธนาคารออมสินร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันการกู้

☑️ 4. Re-Home : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย
▪️ เพื่อไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น วงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท
▪️ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี
▪️ เงื่อนไขพิเศษผ่อนต่ำ ปีที่ 1 ผ่อนชำระเงินงวดล้านละ 3,000 บาท/เดือน ปีที่ 2 ล้านละ 4,000 บาท/เดือน และปีที่ 3 ล้านละ 5,000 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ธนาคารสนับสนุนนโยบายรัฐในการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชน ให้สามารถมีเงินเหลือใช้สอยดำรงชีพโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ รวมถึงส่งเสริมการปลูกฝังทัศนคติการกู้เงินเท่าที่จำเป็นและผ่อนไหว โดยมาตรการสินเชื่อรีไฟแนนซ์ “โครงการสินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เปิดให้ยื่นขอกู้ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 และจัดทำนิติกรรมสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต่อยอดความสำเร็จธนาคารน้ำใต้ดิน สร้างความมั่นคงทรัพยากรน้ำ

0

“น้ำ” คือทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญยิ่ง ทั้งใช้ในการอุปโภค บริโภค ในครัวเรือน ภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม การบริหารจัดการน้ำที่ดีย่อมทำให้มีทรัพยากรน้ำไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอ นวัตกรรม ‘ธนาคารน้ำใต้ดิน’ นับเป็นหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำแบบสมดุลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วม จากความแปรปรวนของสภาวะอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

วันนี้ พาขึ้นเหนือไปจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อชมความสำเร็จของ หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ที่นอกจากจะเป็นหมู่บ้านต้นแบบ “ชุมชนคนเลี้ยงหมู” แล้ว ที่นี่ยังเดินหน้าโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน จนปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม

พิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร เล่าที่มาว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ประสบปัญหาการระบายน้ำท่วมขังจากน้ำฝนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ มาอย่างยาวนาน ชาวชุมชนจึงได้ร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิธีการแก้ปัญหา จนมาพบกับรูปแบบการบริหารจัดการน้ำผิวดินสู่ใต้ดิน (Ground Water Recharge) หรือการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน ทำให้สามารถนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน

การดำเนินโครงการฯ ตามกลยุทธ์ “ขีด คิด ร่วม ข่าย” จากการนำ “ขีด” ความสามารถของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบน้ำมาขับเคลื่อนโครงการฯ ภายใต้การสนับสนุนของผู้บริหารหมู่บ้านฯ ร่วมกับทีมงานของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่มาร่วม “คิด” นำแนวคิดนวัตกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยการทำธนาคารน้ำ ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขัง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำและนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ ผ่านการมีส่วน “ร่วม” ของทีมงานและผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ที่ร่วมกันสนับสนุนร่วมถึงวางแผนงานโครงการ และร่วมพัฒนาแหล่งเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือ “ข่าย” ความร่วมมือกับเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ

โครงการฯนี้ เริ่มต้นจากการศึกษาดูงานความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินของ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดต่อไปยังเกษตรกร ขณะเดียวกัน ได้เชิญวิทยากรจาก อบต.วังหามแห จ.กำแพงเพชร มาบรรยายให้ความรู้ และทำ Work shop ร่วมกันทั้งชาวชุมชน เกษตรกร และทีมงาน รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า มาให้คำแนะนำโครงการฯ กระทั่งสามารถสร้างระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งรูปแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด รวม 10 บ่อในพื้นที่โครงการ

“ธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นการบริหารจัดการน้ำใต้ดินแบบครบวงจร ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และน้ำหลาก และยังช่วยป้องกันการสูญเสียสมดุลของน้ำใต้ดิน หลังจากดำเนินโครงการฯนี้แล้ว สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตรให้กับชุมชน ทั้งยังสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับเกษตรกร ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้การบริหารการจัดการกักเก็บน้ำใต้ดิน ถ่ายทอดองค์ความรู้และเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของหน่วยงาน และน้องๆนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ และวางแผนต่อยอดสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้หลักสูตรชลกร ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกำแพงเพชรต่อไป” พิเชษฐ์ กล่าว

การดำเนินโครงการตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารน้ำใต้ดินทั้ง 10 บ่อ มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรในโครงการหมู่บ้านฯ ได้ถึง 50 ไร่ นอกจากนี้ ยังขยายผลสู่ “โครงการ 1 บ้าน 1 บ่อ” ส่งเสริมการสร้างบ่อระบบปิดในบ้านเกษตรกรในโครงการฯ นำร่องแล้ว 12 ครัวเรือน และวางเป้าหมายขยายโครงการฯ ให้กับเกษตรกรทั้งหมู่บ้านสุกรพันธุ์และสุกรขุนครบทั้ง 40 ครัวเรือน ภายในปี 2567 นี้

วันนี้หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร สามารถแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยนวัตกรรมธนาคารน้ำใต้ดิน โดยการฝากน้ำไว้กับดิน ที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และป้องกันปัญหาภัยแล้ง ทำให้มีน้ำใช้ในการเลี้ยงสุกรและการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี ช่วยสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนของเครือซีพีและซีพีเอฟ ทั้งด้านการสร้างอาชีพมั่นคงยั่งยืนจากการเลี้ยงหมู และมีรายได้จากการเพาะปลูกพืช ปลูกผักกระเฉดน้ำ เลี้ยงปลาดุก-ปลาสวาย และปุ๋ยมูลสุกรตากแห้ง ที่เป็นอาชีพเสริม ดังที่ดำเนินการมาตลอด 45 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ที่นี่เป็น “หมู่บ้านสามัคคี เทคโนโลยีทันสมัย พัฒนาก้าวไปอย่างยั่งยืน”

รู้เก็บรู้ออม : เช็กระดับความรู้เรื่องการเงิน

0

“ความไม่รู้” เป็นบ่อเกิดแห่งการเรียนรู้ เราไม่สามารถอ้างความไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาดใดๆ อีกทั้งในชีวิตจริงแล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเพราะความไม่รู้นั้น มักจะแพงเสมอ!!

ความรู้เรื่องการเงินขั้นพื้นฐาน เป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ ส่งผลให้มีสุขภาพการเงินอ่อนแอ จากการไม่มีเงินเก็บ ไม่รู้จักออม ใช้จ่ายแบบเกินตัว หาเงินได้เท่าไรก็ไม่พอจ่าย และการก่อหนี้สินจนท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ตลาดหลักทรัพย์ฯเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม SET Fin Quizz โดยเปิดให้ทุกคนเข้ามาทดสอบ เพื่อวัดระดับความรู้ในเรื่องการเงินและการลงทุน ผ่านแบบทดสอบความรู้การเงินในชีวิตประจำวัน หรือ “Know Your Money” ที่มีเนื้อหาครอบคลุม 6 ด้านคือ การบริหารรายรับ การบริหารรายจ่าย การบริหารหนี้สิน การบริหารเงินออม การบริหารการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน

พบว่า ผลทดสอบของคนไทย 32,090 คน ในปี 2566 ส่วนใหญ่กว่า 70% มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเงินในกระเป๋าของตนเองทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์การออม ประเภทของรายจ่าย และโครงสร้างรายรับ แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มในเรื่องการประกันชีวิต การจัดพอร์ตลงทุน และดอกเบี้ยทบต้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงได้จัดทำแบบทดสอบเกี่ยวกับการลงทุนอีก 2 ชุด คือ แบบทดสอบความรู้การลงทุนในหลักทรัพย์ หรือ “Ready to Invest” เพื่อช่วยเช็กความพร้อมก่อนลงทุนจริงกับแบบทดสอบความรู้การเลือกหุ้น หรือ “Fit to Invest” เพื่อช่วยเรื่องการค้นหาหุ้นด้วยตัวเอง พบว่า 80% ของผู้ทดสอบ 9,890 คน มีความเข้าใจเรื่องความต้องการผลตอบแทนสูง ก็จะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น และเข้าใจว่าความผันผวนของราคาคือความเสี่ยง รวมถึงไม่ควรใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มเรื่องการคำนวณค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น จะต้องรวมทั้งส่วนต่างของราคาและเงินปันผล

นอกจากนี้ ยังได้ทำหลักสูตร SET e-Learning เพื่อเสริมความรู้เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นจากเงินปันผล การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยแต่ละแบบทดสอบจะเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจากแหล่งความรู้ต่างๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาทีหลังอีก เช่น หลักสูตรใน SET e-Learning และสื่อเรียนรู้บนเว็บไซต์ของ SETInvestnow, INVESTORY และห้องสมุดมารวย

ซึ่งจะเห็นได้ว่า SET Fin Quizz เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินการลงทุน โดยผลจากแบบทดสอบถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อออกแบบเนื้อหาความรู้ให้ตอบโจทย์ เพื่อปิดช่องว่างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนของคนไทย

ผู้ที่สนใจ สามารถทำแบบทดสอบ SET Fin Quizz ได้ที่เว็บไซต์ https://finquizz.setgroup.or.th ส่วนองค์กร หน่วยงาน สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการข้อมูลผลทดสอบของกลุ่มไปใช้เป็นการเฉพาะ พร้อมรับ e-Certificate หลังทำแบบทดสอบเสร็จ สามารถติดต่อได้ที่อีเมล [email protected]

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ออมสินฉลองครบ 111 ปี จัดดบ.เงินฝากสูงสุดคุ้มกับ “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน”

0

ธนาคารออมสิน ฉลองครบ 111 ปี ออก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน” รับดอกเบี้ยเต็มๆ ไม่ต้องเสียภาษี

รายละเอียดเงินฝาก :

เงื่อนไขการฝาก

  1. เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  2. บุคคลธรรมดาที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป
  3. นิติบุคคลทุกประเภท
  4. บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกประเภท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน 

อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.61 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 1.89 ต่อปี)

ระยะเวลารับฝาก

  • ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เม.ย. 2567 

รายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/3p0gz

⚠ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ผู้เลี้ยงไก่ไข่ แจงอากาศร้อนกระทบแม่ไก่ออกไข่น้อย ทำให้ราคาขยับตามกลไกตลาด

0
พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง

นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า การขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มฟองละ 20 สตางค์ อยู่ที่ราคาฟองละ 3.60 บาท ตามที่เครือข่ายสหกรณ์ไข่ไก่ประกาศไปเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากภาวะอากาศร้อน – แล้ง ที่ทำให้แม่ไก่ไข่เกิดความเครียด กินอาหารได้น้อยลง กินน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย เนื่องจากไก่ไม่มีต่อมเหงื่อ ทั้งยังมีขนปกคลุม เป็นอุปสรรคต่อการระบายความร้อนออกจากร่างกาย เมื่อมีความเครียดสะสมและสารอาหารที่ได้ไม่เพียงพอกับการสร้างฟองไข่ ผลผลิตไข่ไก่จึงลดลง ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ขนาดไข่ไก่ก็เล็กลง รายได้ที่เกษตรกรได้รับก็ลดลงด้วย สวนทางต้นทุนค่าน้ำที่สูงขึ้นและค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้มากขึ้น เชื่อผู้บริโภคเข้าใจ

“ราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้น-ลง ตามกลไกตลาดอุปสงค์-อุปทาน ซึ่งเห็นได้ว่าช่วงอากาศร้อน-แล้ง ปริมาณไข่ไก่จะน้อยลงจากสภาพทางกายภาพของแม่ไก่ กระทบปริมาณผลผลิตไข่ออกสู่ตลาด ทำให้ราคาไข่หน้าฟาร์มขยับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดเช่นนี้ทุกปี หากอากาศเย็นลงปริมาณไข่ไก่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ราคาก็จะขยับลง เชื่อว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจในกลไกนี้ดี” นางพเยาว์กล่าว

สอดคล้องกับ กรมการค้าภายใน ที่ยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ราคาไข่ไก่เป็นไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนของทุกปี แม่ไก่ไข่จะออกไข่น้อยลงหรือมีขนาดเล็กลง ทำให้ปริมาณไข่ไก่หายไปราว 10% และราคาอาจขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

อนึ่ง ราคาไข่ฟองละ 3.60 บาทไม่ใช่ราคาสูงสุดในปี 2567 เนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคม 2567 ราคาไข่คละหน้าฟาร์มเคยสูงสุดที่ 3.80 บาทมาแล้ว

ส.ผู้เลี้ยงสุกรฯ ยืนยันทยอยปรับราคาหมูหน้าฟาร์มตามกลไกตลาด วอนผู้บริโภคเข้าใจ ย้ำราคายังต่ำกว่าต้นทุนผลิต

0
สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ยืนยันการปรับราคาสุกรหน้าฟาร์มเป็นการทยอยปรับตามอุปสงค์-อุปทาน ไม่ได้ปรับครั้งเดียว 12 บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรยังขายสุกรได้ต่ำกว่าราคาต้นทุน หลังแบกภาระขาดทุนสะสมมานานกว่า 1 ปีแล้ว

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่มีการลงพื้นที่สำรวจตลาดและแจ้งว่ามีการปรับราคาหมูหน้าฟาร์มทั้งตัวขึ้น 12 บาทต่อกิโลกรัมและมีผลต่อราคาเนื้อหมูในตลาดสดต้องปรับสูงขึ้นนั้น เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากราคาดังกล่าวเป็นการทยอยปรับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ไม่ใช่การปรับครั้งเดียว ที่สำคัญราคาขายปลีกเนื้อสันในราคาสูง250 บาทต่อกิโลกรัม เพราะสันในเป็นเนื้อส่วนที่มีเพียงชิ้นเดียวในหมู 1 ตัว ราคาจึงสูงเมื่อเทียบกับชิ้นส่วนอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า

“สมาคมฯ ดูแลทั้งผู้บริโภคและเขียงหมู ไม่ได้ปล่อยปละละเลย และพยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกภาคส่วนได้รับราคาที่เป็นธรรม ทั้งที่ผู้เลี้ยงยังไม่สามารถขายหมูหน้าฟาร์มได้ตามราคาแนะนำ ซ้ำร้ายยังมีภาระขาดทุนสะสมนานกว่า 1 ปี จนเกษตรกรหลายรายต้องทิ้งอาชีพไปเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ สมาคมฯ ประกาศราคาแนะนำสุกรหน้าฟาร์ม เป็นประจำทุกๆ วันพระ ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพออยู่ได้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา มีการปรับราคาขึ้น 4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70-75 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงเพียง 65 บาทเท่านั้นขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรตามประกาศของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คือ 78-80 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรจึงยังอยู่ในภาวะขาดทุนสูง

ราคาหมูหน้าฟาร์มดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกชิ้นส่วนต่างๆ ต่อกิโลกรัม เช่น หมูเนื้อแดง ไม่ควรเกิน 150บาท หมูสามชั้นและหมูสันนอก 170-180 บาท หมูสันในประมาณ 180 บาท ส่วนสะโพกและหัวไหล่เฉลี่ย 115-125บาท อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกยังมีระบบการค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคอีสาน จะขายหมูตรงจากฟาร์มให้กับเขียงหมู ราคาเนื้อหมูอาจต่ำกว่าบางพื้นที่ ที่เขียงหมูต้องซื้อผ่านโบรกเกอร์

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลราคาและระบบการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคและผู้ค้า ขณะเดียวกันต้องดูแลเกษตรกรให้ได้รับราคาที่เหมาะสมด้วย หากภาคการผลิตอยู่ในภาวะที่ขาดทุนต่อเนื่องและถูกกดราคา ผู้เลี้ยงก็ไปไม่รอด จึงควรปล่อยให้กลไกตลาดทำงานสร้างสมดุลราคา และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนไทยมีเนื้อหมูบริโภคโดยไม่ขาดแคลนและในราคาสมเหตุผล