Home Blog Page 10

แลกรับแบบไม่ต้องลุ้น! AIS ดันครีเอเตอร์ไทย ชวนเจ้าของคาแรกเตอร์สุดฮิตวาดลวดลายบนคอลเลกชันของพรีเมียม “อุ่นใจ x Bad Meaw” 

AIS ชวนเป็นเจ้าของไอเท็มพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ “อุ่นใจ x Bad Meaw” ได้ง่ายๆ เพียงใช้คะแนน AIS Points ขอเอาใจลูกค้าสายอาร์ต พร้อมตอกย้ำกระแสอาร์ตทอยฟีเวอร์ ด้วยการเปิดตัวคอลเลกชัน สมุดโน้ต, กระเป๋าสตางค์, หมวกแก๊ป, กระบอกน้ำ, เสื้อยืด และร่ม ที่มาพร้อมคาแรกเตอร์แมวสุดกวนอย่าง “Bad Meaw” ผลงานโดย “คุณพิงค์-เหมือนฝัน ทรัพย์เอนก” ศิลปินไทยเจ้าของอาร์ตทอยยอดนิยมที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ เปิดให้ลูกค้าใช้ AIS Points เริ่มต้นเพียง 60 คะแนน แลกได้ง่ายๆ สะดวกทุกที่ ทุกเวลาผ่านแอป myAIS ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 หรือจนกว่าของจะหมด

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “ในปีนี้เราได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ศิลปินไทยอย่าง “คุณพิงค์-เหมือนฝัน ทรัพย์เอนก” เพื่อร่วมออกแบบคอลเลกชันของพรีเมียมสุดพิเศษ “อุ่นใจ x Bad Meaw” โดยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ซึ่งนอกจากจะตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจในการยกระดับประสบการณ์แลกพอยท์ให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการเดินหน้าภารกิจของเอไอเอสที่จะขับเคลื่อน Creative Economy หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันครีเอเตอร์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยที่ผ่านมาเราได้ร่วมผลักดันศักยภาพของครีเอเตอร์ไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดประกวดออกแบบสติกเกอร์ไลน์ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 20 มหาวิทยาลัย เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตได้แสดงความสามารถ พร้อมนำองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างอาชีพ, การทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ไทยที่มีชื่อเสียงอย่าง Timo &Tintin ทั้งคอลเลกชัน อุ่นใจ x Timo & Tintin และร่วมออกแบบดีไซน์พื้นที่ร้าน AIS สยามสแควร์ในปีที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นการเปิดพื้นที่สนับสนุนให้ศิลปินได้สร้างสรรค์และนำเสนอผลงานผ่านช่องทางที่หลากหลาย”

สำหรับคอลเลกชัน “อุ่นใจ x Bad Meaw” สามารถแลกได้ด้วย AIS Points เริ่มต้นเพียง 60 คะแนน หรือแลกด้วยคะแนนสะสมพาร์ทเนอร์ บางจาก หรือ K Point พิเศษ! บริการจัดส่งฟรีเมื่อแลกสินค้าครบ 300 คะแนน ต่อ 1 ตะกร้า กรณีแลกน้อยกว่า 300 คะแนน มีค่าบริการจัดส่ง 50 บาท ติดตามรายละเอียดพร้อมแลกรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 หรือจนกว่าของจะหมด ที่แอป myAIS หรือ คลิก https://m.ais.co.th/n1HEmV8iq

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 4 รางวัลอินเตอร์ ด้านบริหารทรัพยากรบุคคลและแรงงานสัมพันธ์/สวัสดิการดีเด่น

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 4 รางวัลใหญ่ระดับสากล ประจำปี 2567 ตอกย้ำความเป็นเลิศในการบริหารทรัพยากรบุคคลและกิจกรรมเพื่อสังคม ได้แก่ รางวัล HR Asia Best Companies to Work For in Asia 2024 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมรางวัล Sustainable Workplace จาก HR Asia และอีกสองรางวัลจากงาน HR Excellence Awards 2024 โดย Human Resources Online ได้แก่ Most People-Focused CEO (ระดับ Gold) และ Excellence in CSR Strategy (ระดับ Silver) พร้อมประกาศย้ำเป็นองค์กรที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานประจำปี 2567 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จนี้ว่า “การพัฒนาบุคลากรคือหัวใจของความสำเร็จในองค์กร พนักงานที่มีความรู้และทักษะที่แข็งแกร่ง สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมยังสร้างบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์และกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในองค์กร ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิตไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างกิจกรรม CSR โดยความร่วมมือของบุคลากรภายในบริษัท เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมอย่างยั่งยืน”

ในโอกาสนี้ การคว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work For in Asia 2024 เป็นการแสดงถึงมาตรฐานสูงในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี การสนับสนุนให้พนักงานทุกคนเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ในขณะเดียวกันยังได้รับรางวัล Sustainable Workplace ที่เน้นย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสถานที่ทำงานที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับ รางวัลในงาน HR Excellence Awards 2024 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบัน Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ สื่อด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในภูมิภาคเอเชีย โดยเมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัล Most People-Focused CEO (ระดับ Gold) แสดงถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนองค์กร และรางวัล Excellence in CSR Strategy (ระดับ Silver) ซึ่งยืนยันถึงการวางกลยุทธ์ CSR อย่างมีความหมายและสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

ในโอกาสนี้ บริษัทยังได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานประจำปี 2567 เป็นปีที่ 3 อย่างต่อเนื่อง จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ทั้งนี้บริษัทได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดจากคณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐ ในการพิจารณาตัดสิน โดยเป็นผลสัมฤทธิ์จากความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพและเอื้อต่อความสุขของพนักงานในองค์กร สร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจเป็นสำคัญ สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการสร้างองค์กรที่มั่นคงและยั่งยืน นับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งและเป็นแรงผลักดันให้บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานสำหรับพนักงาน และพร้อมเป็นสถานประกอบการที่เต็มไปด้วยโอกาสและมอบสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน

“การได้รับรางวัลในครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจของเมืองไทยประกันชีวิตในการพัฒนาทั้งบุคลากรและการสร้างคุณค่าให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน เราจะยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์และยกระดับมาตรฐานการทำงาน พร้อมทั้งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตของพนักงาน เพื่อให้เมืองไทยประกันชีวิตก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขที่ทุกคนภาคภูมิใจ และส่งต่อคุณค่านี้กลับไปสู่สังคมไทยอย่างเต็มภาคภูมิ” นายสาระกล่าวสรุป

ประมงสงขลาหนุนกำจัดปลาหมอคางดำด้วย “กากชา” ลดเสี่ยงผลผลิตเสียหาย

ประมงจังหวัดสงขลาและอำเภอระโนดเร่งแก้ปัญหาปลาหมอคางดำที่อยู่ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำในอำเภอระโนด สนับสนุนใช้แนวทางธรรมชาติ นำ ‘กากชา’ มาช่วยกำจัดปลาที่สร้างความเสียหายช่วยเยียวยาและลดความเสี่ยงให้เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงปูทะเลมีผลผลิตที่ดี บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร รวมทั้งเป็นการตัดวงจรและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ

การสนับสนุนกากชาเป็นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องเกษตรกรรายย่อย ประมงอำเภอระโนดได้รับการสนับสนุนกากชาจำนวน 1 ตันจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และนำมาจัดสรรให้แก่เกษตรกรเลี้ยงปูทะเลที่ลงทะเบียนขอความช่วยเหลือกลุ่มแรก 20 ราย เกษตรกรนำกากชาที่ได้รับการสนับสนุนไปโรยในบ่อเลี้ยงปูทะเล เพื่อให้สามารถจับปลาหมอคางดำได้ง่ายขึ้น เพราะกากชาไม่ส่งผลกับปูทะเล เพื่อช่วยป้องกันให้ปลาหมอคางดำไปกินตัวอ่อนของปูทะเล กากชาเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลกระทบต่อปู หรือกุ้ง ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงปูทะเลนำไปใช้ในบ่อเพาะเลี้ยงอยู่แล้ว

จากการตรวจติดตาม ประมงสงขลาพบว่ายังมีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในคลองส่งน้ำและบ่อพักน้ำของเกษตรกร จึงมุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเฝ้าระวัง และปรับวิธีการเตรียมบ่อเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำโดยการหว่านกากชาก่อนการเลี้ยงในรอบต่อไปอีกด้วย นอกจากช่วยเกษตรกรมีผลผลิตที่ดี ยังเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้ปลาชนิดนี้แพร่กระจายออกจากบ่อเลี้ยงสัตว์นำไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

อำเภอระโนด ยังคงเป็นอำเภอเดียวในจังหวัดสงขลาที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ทั้งนี้ ประมงจังหวัดสงขลาและอำเภอระโนดได้บูรณาการความร่วมมือกับหลายภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน เกษตรกรและชาวประมง ภายใต้คณะทำงานช่วยกันกำจัดปลาหมอคางดำตามมาตรการของกรมประมง ตั้งแต่การจับออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ การปล่อยปลาผู้ล่าลงในลำคลอง การนำมาใช้ประโยชน์ทั้งการรับซื้อทำน้ำหมักชีวภาพ และการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นต้น ส่งผลให้ปลาหมอคางดำเบาบางลงในบางลำคลอง และมีการสำรวจการกระจายตัวของปลาชนิดนี้ในแหล่งน้ำเดือนละครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจังหวัดสงขลาสามารถควบคุมประชากรปลาชนิดนี้ได้อย่างยั่งยืน

แหล่งน้ำธรรมชาติในอำเภอระโนดมีการเชื่อมต่อกันระหว่างคลองสายหลัก คลองสาขา จนถึงลำรางระบายน้ำ ประกอบกับปลาชนิดนี้มีการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว จังหวัดสงขลาต้องอาศัยความร่วมไม้ร่วมมือจากทุกภาคส่วนรวมถึงชาวประมง เกษตรกร และชุมชนในการดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และต้องทำอย่างครบวงจร ดังนั้น การส่งเสริมให้เกษตรกรรายเล็กๆ มีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงปูจึงเป็นอีกแนวทางที่ประสิทธิภาพช่วยลดแหล่งอาศัยปลาชนิดนี้ ควบคู่กับการให้ความรู้ผู้เลี้ยงปูให้ความสำคัญกรองน้ำป้องกันปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

นอกจากนี้ ประมงสงขลายังเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในจังหวัดมีความตระหนักและร่วมมือกันเฝ้าระวังปลาชนิดนี้ในแหล่งน้ำนอกอำเภอระโนด รวมทั้งยังสร้างความเข้าใจว่าปลาชนิดนี้มีประโยชน์ และสามารถบริโภคได้ ชาวจังหวัดสงขลาสามารถเป็นอีกพลังในการแก้ปัญหานี้ด้วยการนำมาใช้ประโยชน์ และพัฒนาแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ อีกด้วย.

ธุรกิจสุกร CPF คิดสร้างสรรค์ “Waste No More สานต่อความยั่งยืน” พลิกฟื้นคืนของเสีย…สู่ของดีอย่างมีประสิทธิภาพ

การบริหารจัดการทรัพยากร ด้วยการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดของเสียในกระบวนการผลิต ตามหลัก Circular Economy เป็นสิ่งที่หลายภาคส่วนนำไปปรับใช้ในองค์กรของตนเอง CPF เป็นหนึ่งในองค์กรที่มุ่งพัฒนากระบวนการบริหารจัดการของเสียและน้ำเสียที่เกิดจากมูลสัตว์ในฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงงานผลิตอาหารสุกร จนถึงโรงงานชำแหละตัดแต่งและแปรรูปสุกร

บุคลากรของธุรกิจสุกร CPF ในประเทศไทย ร่วมกันสร้างสรรค์โครงการ “Waste No More สานต่อความยั่งยืน” เพื่อสานต่อการดำเนินธุรกิจที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้ทั้งธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน และสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนรอบด้าน จากความคิดริเริ่มที่บุคลากรทุกคนมองเห็นประโยชน์ของของเสีย แล้วสรรหานวัตกรรมและเทคโนลียีมาปรับเปลี่ยนให้เป็นของดีอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำของเสียที่ผ่านกระบวนการบำบัดและกระบวนการเผาไหม้กลับมาใช้ นับเป็นการหาแนวทางเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นของดี (Weste to Value) เกิดเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ ทั้ง 4 ดี คือ “เถ้าดี น้ำปุ๋ยดี แก๊สดี กากตะกอนดี”

“เถ้าดี Feed สู่ Farm” เป็นการเปลี่ยนขี้เถ้าจากเตาเผาชีวมวลในกระบวนการที่ใช้ไอน้ำของโรงงานผลิตอาหารสุกร สู่ขี้เถ้าสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียแทนการใช้ปูนขาวในฟาร์มสุกรของเกษตรกรโครงการคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยบริษัททำการทดลองและเก็บตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์ผลกับห้องปฏิบัติการ AHDC และทำการทดลองร่วมกับ สำนักงานกรมโรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี กระทั่งได้รับใบอนุญาตให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นเถ้าดีที่ใช้ในฟาร์มต่างๆ ช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปูนขาวได้ถึงกว่า 3 แสนบาทต่อฟาร์ม/ปี

วิชัย ธนูแก้ว เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่งเลี้ยงสุกร มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เมื่อก่อนใช้ปูนขาวโรยบริเวณหน้าฟาร์ม เวลาใช้มักมีอาการแสบตาแสบมือ เมื่อมีฝนตกก็จะชะล้างปูนขาวหายไปหมด หลังจากใช้เถ้าดีเวลาฝนตกลงมาค่า pH อยู่ประมาณ pH10 ยังคงความเป็นด่างอยู่ จึงมั่นใจในคุณภาพของเถ้าดีที่สามารถป้องกันโรคได้

“น้ำปุ๋ยดี สู่เกษตรกร” จากน้ำบำบัดสู่น้ำปุ๋ยที่สร้างมูลค่าทำให้พืชผลของเกษตรกรออกผลผลิตงดงาม เพราะน้ำปุ๋ยจากฟาร์มช่วยพยุงเมื่อยามน้ำขาดแคลน ลดภาระช่วยทดแทนปุ๋ยเคมี น้ำปุ๋ยนี้ได้จากการบำบัดน้ำเสียด้วยระบบไบโอแก๊ส ได้แก๊สมีเทน แปลงเป็นกระแสไฟฟ้า ทดแทนการซื้อไฟจากการไฟฟ้า เฉลี่ย 50- 70% สามารถบริหารจัดการน้ำนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ในหน่วยงานทั้งหมดโดยไม่ปล่อยสู่ภายนอก (Zero Discharge) ทั้งทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ ล้างพื้นและถนน เป็นน้ำพ่นระบบฟอกอากาศหลังโรงเรือน ใช้รดน้ำในพื้นที่สีเขียวและพื้นที่การเกษตรของหน่วยงาน อาทิ ผักสวนครัว สวนยาง สวนปาล์ม และสวนป่า ขณะเดียวกัน ในช่วงแล้งเกษตรกรพื้นที่ใกล้เคียง ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำและได้ขอนำน้ำปุ๋ยไปใช้ CPF จึงต่อยอดสู่ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกรและชุมชน” สำหรับรดพืชสวน พืชไร่ ช่วยเกษตรกรผ่านพ้นวิกฤติแล้ง เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง โครงการนี้ช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่าย ทั้งลดการซื้อน้ำ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และต่อยอดสู่การสร้างศูนย์เรียนรู้ปราชญ์น้ำปุ๋ยที่เชี่ยวชาญการผสมน้ำกับพันธุ์พืชแต่ละชนิด

“แก๊สดี สู่ชุมชน” ฟาร์มสุกรโครงการคอนแทรคฟาร์มเลี้ยงสุกรขุน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งทำระบบไบโอแก๊ส ด้วยบ่อหมักแบบโดมคงที่ (Fixed dome) สามารถนำแก๊สที่ได้ต่อท่อลำเลียงแก๊สให้ชุมชน ในตำบลบ้านด้าย มากกว่า 30 ครัวเรือน การต่อท่อได้งบสนับสนุนครึ่งหนึ่งจากภาครัฐโดย อบต.บ้านด้าย ช่วยลดค่าใช้จ่ายแก๊สหุงต้มแก่ 30 ครัวเรือน ประมาณ 15 ถัง/เดือน วิสาหกิจชุมชนลดได้ 5 ถัง/เดือน แม่ค้าตลาด 4 ถัง/เดือน และโรงเรียนบ้านด้ายต่อยอดความสำเร็จสามารถผลิตแก๊สเองได้แล้ว

จำเริญ สุวรรณศร สมาชิกผู้ใช้แก๊สดีบ้านดงป่าสัก กล่าวว่า แก๊สที่ได้จากการหมักมูลสุกรถูกดึงเข้าสู่ท่อแก๊สหุงต้ม ช่วยลดรายจ่ายครัวเรือน จากเดิมใช้แก๊สหนึ่งถังได้ 1-2 เดือน เมื่อใช้แก๊สถังร่วมกับแก๊สชีวภาพ ถังหนึ่งอยู่ได้ถึง 4-5 เดือน นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนและศูนย์ฝึกอาชีพตำบลบ้านด้าย ปันแก๊สดีใช้ต้มไข่เค็มพอกดินจอมปลวก แบรนด์ “ไข่เค็มไอโอดีน” และใช้ทอด “ข้าวเกรียบออร์แกนิคบ้านดงป่าสัก” เพื่อส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพชุมชน

“กากตะกอนดี สู่เกษตรกร” จากกากตะกอนในระบบไบโอแก๊สของทั้งฟาร์มสุกรและโรงงาน ที่ยังมีจุลินทรีย์ดี มีแร่ธาตุสารอาหารที่พืชต้องการ นำไปตากแห้งกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี โดยมีเครือข่ายร่วมพัฒนา ทั้งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมพัฒนาที่ดิน หน่วยงานบริหารส่วนท้องถิ่น นักวิชาการเกษตร CPF และ CPP เพื่อส่งมอบปุ๋ยกากตะกอนให้เกษตรกรรอบหน่วยงาน รวมถึงโครงการผักปลอดภัยชุมชนบ้านด้าย ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ โครงการในพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ขณะเดียวกัน ฟาร์มในโครงการส่งเสริมฯ สามารถเพิ่มรายได้เสริมจากการกรอกปุ๋ยกากตะกอน

บันเทิง ผลเจริญ ปราชญ์ปุ๋ยกากตะกอนสวนผลไม้ กล่าวว่า กากตะกอนดี ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้กว่า 50% ซื้อปุ๋ยเคมีลดลงมากกว่าครึ่ง กากตะกอนดีได้มาฟรีๆนำมาหมักรวมกับกากน้ำตาล ทำให้ผลผลิตดีขึ้น ดินก็ไม่เสียด้วย

“Waste No More สานต่อความยั่งยืน” โครงการซึ่งเกิดจากความคิดสร้างสรรของพนักงานธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ ที่ได้รับรางวัลโดดเด่นในการประกวด CPF Sustainability in Action Awards 2024 เป็นต้นแบบของโครงการที่มีแนวปฏิบัติที่ดี ตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยังสะท้อนถึงความตระหนัก ความตั้งใจ ในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero) ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพนักงานและชุมชนรอบข้าง สร้างคุณค่าคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน .

“สมเด็จวัดระฆังปกโพธิ์ “

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย

เซียนเจี๊ยบได้ติดตามพระอาจารย์ ไปดูสมเด็จวัดระฆังพิมปกโพธิ์หักครึ่งยังอยู่เต็มองค์ ที่สมัยหนุ่มน้อยได้นำไปขายให้พระรุ่นพี่ ไปจ่ายตังที่ทำเรือไปชนได้เงินมา 3 พันแต่ค่าเสียหาย 4 พัน มีเท่านี้ หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปทั่วภาคใต้ จนเป็นผู้เฉี่ยวชาญเรื่องพระเครื่อง สมเด็จปกโพธิ์วัดระฆังองค์นี้เนื้อจัดซึ้งมาก เก่าเป็นธรรมชาติเหมือนที่เซียนเจี๊ยบเคยเจอท่านผู้การคล้องคอ สมัยขายของตลาดพงษ์เพชร เซียนเจี๊ยบมีโอกาศได้เปลี่ยนยางฟองน้ำให้หลวงพ่อ ท่านเหน็บพระไว้ที่อังสะติดตัวตลอดเวลา เคยมีคนมาขอซื้อท่านบอกเอาล้านนึงไว้สร้างโบสถ์ สมเด็จวัดระฆังองนี้เนื้อเหลืองเข้ม ใช้มามากสึกช้ำเนื้อจัด เห็นคาบแป้งหรือฝ้าขาวทั่วองค์ แบบนี้สมัยก่อนวัดระฆังแท้ตาเปล่า มาถึงปัจจุบันกลัวเนื้อเหลืองกัน เล่นเนื้อขาวถึงจะขายเซียนได้ แต่เราเดินหาพระใช้ ถ้าเจอเนื้อเหลืองมีฝ้าขาวองค์เดียวใช้ทั้งชีวิต “พระอาจารย์บอกใครมีสมเด็จชีวิตไม่ตกต่ำจำไว้นะเธอ”

สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปกโพธิ์องค์วันนี้ บอกได้คำเดียวสวยสุดที่เคยสัมผัสมา ได้มาหลายองค์นำเสนอให้พระอาจารย์ แบ่งปันพี่น้องผองเพื่อนไปก็หลายองค์ แต่องค์นี้สวยสุดเดิมๆ ถ้าเจอแบบนี้ห้ามล้าง แจ่มจัดสภาพเดิมๆเหมือนเพิ่งกดพิมพ์มา เจ้าของเก็บไว้ดี ด้านหน้าใบโพธิ์ติดชัดทุกใบ  ตัดส่วนได้สวยงามเห็นเส้นบังคับพิมพ์ครบทั้งสี่ด้าน เนื้อเหลืองฝ้าขาว รักน้ำตาลที่ติดเนื้อแบบนี้ใช่เลยสมเด็จวัดระฆัง ด้านหลังแบบนี้หลังทื่อ มีฝ่าแดงปกคลุมทั่วเกิดจากพระลงรักมาแต่เดิม แล้วหลุดไปตาลกาลเวลาถูกสัมผัสมาหลายมือ หยิบพระส่องกับแดดเอียงไปมา เห็นคลื่นบนผิวเนื้อไม่เรียบแบบนี้คือหลังพระสมเด็จอายุร้อยๆปี ที่สำคัญต้องขอบตัด สไตส์เซียนเจี๊ยบบางกรวย แท้เก่า  ขอบต้องตอกตัดเท่านั้นนะ

“พระอาจารย์สอนเซียนเจี๊ยบเสมออย่าหยุดเดินนะเธอ” เชื่อพระอาจารย์พระสมเด็จปกโพธิ์มีแล้วชีวิตร่มเย็นเป็นสุขก็มา

เจี๊ยบบางกรวย เดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

ประมงสมุทรสงครามเปิดโมเดลใหม่ปราบปลาหมอคางดำ “สิบหยิบหนึ่ง”

สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ผนึกกำลังเกษตรกร และภาคเอกชน รวมทั้ง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำร่องโมเดลใหม่แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ หลังจากปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ถูกกำจัดออกจากแหล่งน้ำพร้อมกับช่วยเยียวยาเกษตรกร ผ่านกิจกรรม ‘สิบหยิบหนึ่ง’ ปราบปลาหมอคางดำ โดยสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงขาวให้เกษตรกรที่ร่วมโครงการนำไปปล่อยลงในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำช่วยกินตัวอ่อนของปลาหมอคางดำ บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ลดความเสียหายของผลผลิต และสร้างการมีส่วนร่วมช่วยเพิ่มจำนวนพันธุ์ปลาเศรษฐกิจที่เป็นนักล่าช่วยกำจัดปลาหมอคางดำแบบบูรณาการเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า จากการระดมความร่วมมือของหลายหน่วยงานทั้งในระดับท้องถิ่นและภาคีภาคเอกชนบูรณาการจัดการปลาหมอคางดำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ครอบคลุมกว่า 70% ของแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในจังหวัด พบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำเบาบางลงอย่างมีนัยสำคัญ ปลาหมอคางดำที่จับได้ตัวเล็กลง ปลาที่เป็นพ่อแม่พันธุ์หายไป เป็นแนวโน้มว่าปลาหมอคางดำในสมุทรสงครามลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สมุทรสงครามยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เกษตรกร และภาคเอกชนดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมปลาหมอคางดำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการหาแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการปลาหมอคางดำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในการดำเนินกิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” โมเดลใหม่ในการกำจัดปลาหมอคางดำแบบบูรณาการ 3 ประสาน รัฐ-เอกชน-เกษตรกร พร้อมมอบลูกพันธุ์ปลากะพงขนาด 4-5 นิ้วจำนวน 10,000 ตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากซีเอฟ เพื่อปล่อยลงสู่บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร โดยแบ่งให้เกษตรกรที่ร่วมโครงการฯ ในพื้นที่ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง 5 รายๆ ละ 1,000 ตัว และเกษตรกรในตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา 50 รายๆ ละ 100 ตัว เพื่อให้ปลากะพงขาวช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ และเมื่อครบกำหนด 3 เดือน เกษตรกรจะนำปลากะพงขาวที่มีขนาดโตขึ้นและมีขีดความสามารถในการล่าส่งมอบคืนให้สำนักงานประมงสมุทรสงครามจำนวน 10% ของจำนวนปลาที่ได้รับการสนับสนุน สำหรบนำไปปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในจังหวัดต่อไป

“กิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” เป็นโมเดลใหม่ที่ประมงสมุทรสงครามริเริ่มขึ้น ต่อยอดหลังจากปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ในแหล่งน้ำลดลง เพื่อที่จะช่วยเยียวยาเกษตรกรเจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ และเป็นสร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการแก้ปัญหานี้ควบคู่กัน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรได้เลี้ยงปลากะพงขาวซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจเพิ่มรายได้ในเวลาเดียวกัน” นายบัณฑิตกล่าว

ประมงจังหวัดสมุทรสงครามได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สนับสนุนพันธุ์ปลากะพงขาวให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 7 รายรายละ 1,000 ตัว พันธุ์ปลากะพงขาวได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายองค์กรเอกชนซึ่งซีพีเอฟร่วมสนับสนุนพันธุ์ปลากะพง 3,000 ตัว จากการติดตามผลพบว่าปลากะพงขาวที่ปล่อยลงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรมีขนาดโตขึ้น มีอัตรารอดที่ดี ช่วยกำจัดลูกปลาหมอคางดำได้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเกษตรกรที่ร่วมโครงการฯ กำลังเตรียมส่งคืนปลากะพงขาวที่โตขึ้นและมีความเป็นนักล่ามากขึ้นประมาณ 400 กว่าตัวให้กับประมงจังหวัดเพื่อปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป

ประมงสมุทรสงครามเดินหน้าเต็มกำลังในการควบคุมและกำจัดปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ นอกจากโครงการ ‘สิบหยิบหนึ่ง’ ยังจัดตั้ง ‘กองทุนกากชา’ ช่วยเกษตรกรยืมใช้ฟรี พร้อมรณรงค์ป้องกันปลาหมอคางดำแพร่ระบาดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ มุ่งแก้ปัญหาแบบครบวงจร ทั้งลดต้นทุนเกษตรกร และรักษาคุณภาพผลผลิตสัตว์น้ำให้เติบโตเต็มที่.

AIS รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 รายได้โต 5.2 หมื่นล.

รายงานข่าว เปิดเผยว่า AIS รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 โดยทำรายได้รวมอยู่ที่ 52,209 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 8,788 ล้านบาท ในขณะที่กำไร EBITDA หรือกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ยังคงเติบโตจากการมุ่งเน้นคุณภาพ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการได้รับปัจจัยหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

รวมถึงให้ความสำคัญกับคุณภาพและการส่งมอบบริการดิจิทัลที่หลากหลายและตรงตามความต้องการของลูกค้า

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 46.3 ล้านเลขหมาย โดยผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 11.5 ล้านเลขหมาย เติบโต 35% จากไตรมาส 3 ปีก่อน ตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรง จึงทำให้วันนี้ AIS สามารถขยายโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะ AIS 5G ให้ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร ที่วันนี้ได้รับการยืนยันด้วยรางวัลประสบการณ์การใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด ทั้งหมด 7 สาขา จาก OPENSIGNAL AWARDS 2024

ธุรกิจบรอดแบนด์ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภายใต้ AIS 3BB FIBRE3 เติบโตขึ้น 62,900 ราย ทำให้มีผู้ใช้บริการรรวม ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 4.94 ล้านราย โดยรายได้ของธุรกิจบรอดแบนด์ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้ของ TTTBB และความตั้งใจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบรอดแบนด์ไฟเบอร์ของประเทศให้มีความแข็งแกร่งครอบคลุมการใช้งานในทุกบ้าน ทุกธุรกิจ ที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ดิจิทัล รวมถึงขีดความสามารถจากนวัตกรรมเน็ตบ้านและเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพที่มากกว่าเดิม

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20% แรงหนุนสำคัญมาจากการปรับตัวของภาครัฐและภาคธุรกิจที่นำดิจิทัลเข้าไปเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน โดยพร้อมทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลก เช่น ความร่วมมือใน Oracle Cloud และโครงการ GSA Data Center ในการส่งมอบบริการจากธุรกิจคลาวด์ และโครงข่ายข้อมูล

ประมงเพชรบุรี คิกออฟทีมอาสาสมัครดึงพลังชุมชนกำจัดปลาหมอคางดำ

สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี รายงานการสำรวจปริมาณปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีพบว่ามีจำนวนลดลง แต่ยังเดินหน้าจัดกิจกรรมลงแขกลงคลองในแหล่งน้ำธรรมชาติและปล่อยปลาผู้ล่า พร้อมผนึกพลังของชาวเพชรบุรีเข้ามาร่วมกำจัดปลาชนิดนี้ แนวทางเป็น “เจอ จับ แจ้ง” ส่งเสริมการใช้ประโยชน์พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และริเริ่มแนวทางใหม่ ตั้งทีมอาสาสมัครประจำอำเภอร่วมหยุดยั้งปลาหมอคางดำอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ประมงอำเภอ เจ้าหน้าที่กรมประมง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ผู้แทนบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และชาวประมงในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมลงแขกลงคลองกำจัดปลาหมอคางดำ ณ บริเวณบ่อบำบัดน้ำ ทุ่งตะกาดพลี อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี 1 สามารถจับปลาหมอคางดำได้ 2,024 กิโลกรัม ซึ่งประมงเพชรบุรีส่งมอบให้สำนักงานพัฒนาที่ดินนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ และแบ่งให้ชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมนำไปบริโภคต่อไป

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเพชรบุรีลดลงมาก เห็นได้จากจับปลาหมอคางดำได้น้อยลงและปลาที่จับได้ขนาดเล็กลง เป็นผลจากการดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นตามมาตรการของกรมประมงในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570 ต่อจากนี้ ประมงจังหวัดเพชรบุรีจะมุ่งเน้นสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำมากขึ้น โดยปรับแนวทางการจัดการเป็น “เจอ จับ แจ้ง” ขอความร่วมมือประชาชนให้จับปลาหมอคางดำขึ้นทันทีเมื่อพบเห็นก่อนแจ้งหน่วยงานภาครัฐ และที่สำคัญ เตรียมคิกออฟทีมอาสาสมัครประจำ 8 อำเภอในจังหวัด อำเภอละ 30 คนรวม 240 คน อาสาสมัครจะทำหน้าที่ติดตามข่าวสารการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำในพื้นที่และเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าไปช่วยจับปลาหมอคางดำออกจากพื้นที่ได้ทันทีและสะดวกขึ้น เริ่มปฏิบัติการต้นปี 2568 เป็นต้นไป

“การจัดตั้งทีมอาสาสมัครปราบปลาหมอคางดำประจำอำเภอ เป็นนวัตกรรมที่ต้องการดึงพลังชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยให้เกิดวิธีการใหม่ๆ ที่เหมาะกับบริบทและสภาพแวดล้อมของชุมชนในการควบคุมและป้องกันการระบาดของปลาหมอคางดำที่ยั่งยืน สามารถควบคุมและหยุดยั้งการระบาดของปลาชนิดนี้ในระยะยาวได้ ที่สำคัญมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเพชรบุรีว่าปลาหมอคางดำลดลงจริง” นายประจวบกล่าว

ประมงจังหวัดเพชรบุรียังเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำที่ 25 ตันภายใต้โครงการผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพของกรมประมงซึ่งขณะนี้มีการรับซื้อแล้ว 18 ตัน มีแผนจัดกิจกรรมลงแขกลงคลองอีก 12 ครั้งในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม สำหรับในปีหน้าจะหาแนวทางที่เข้าไปจัดการปลาในบ่อร้างเพิ่มขึ้น และร่วมมือกับกลุ่มชาวบ้าน หรือวิสาหกิจชุมชนหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำที่จับได้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปลาร้า น้ำปลา นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับเรือนจำกลางเพชรบุรีและซีพีเอฟนำปลาที่จับได้ผลิตเป็น “น้ำปลา” โดยมีเกษตรกรต้นแบบในจังหวัดมาสอนวิธีการผลิตให้กับผู้ต้องขังเพื่อใช้เป็นทักษะอาชีพต่อไปอีกด้วย.

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB ผนึก AIS เปิดตัวบริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร กดแจ้งเบอร์โทรมิจฉาชีพได้ทันที หลังวางสาย

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB จับมือ AIS ยกระดับการปกป้องลูกค้า และ ประชาชน จากมิจฉาชีพต่อเนื่องไปอีกขั้น เปิดตัวบริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร โดยเมื่อลูกค้า AIS รับสายเบอร์โทรมิจฉาชีพ (ที่ใช้เบอร์ค่ายไหนก็ได้) หลังวางสาย สามารถส่งแจ้งเบอร์มิจฉาชีพดังกล่าวไปเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของตำรวจสอบสวนกลางได้ทันที ง่ายๆ เพียงกด *1185# โทรออก บริการฟรี ตลอดเวลา ทุกครั้งที่รับสายมิจฉาชีพ

พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า “วันนี้ภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้สร้างความเดือดร้อน เสียหาย ให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยตำรวจสอบสวนกลางได้เร่งระดมกวาดล้างกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อตัดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างคนร้ายกับประชาชน ได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณ อินเทอร์เน็ต ซิมผี บัญชีม้า SMS และ Social Media Platform โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการเครือข่าย โดยเฉพาะ AIS ที่ร่วมกันติดตามมิจฉาชีพผ่านระบบ Tracking & Monitoring รวมไปถึงการเปิดช่องทางให้ลูกค้า AIS สามารถแจ้งเบาะแสเบอร์โทรต้องสงสัย ผ่าน AIS Spam Report Center นำไปสู่การจับกุมและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ในหลายกรณี รวมถึงครั้งนี้ที่ได้ยกระดับความร่วมมือไปอีกขั้นผ่านบริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร ที่นอกจากจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสของมิจฉาชีพได้ง่ายๆ ทันทีหลังจากวางสายแล้ว ยังถือว่าเป็นประโยชน์กับการทำงานของตำรวจเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เราเห็นข้อมูลความผิดปกติจากการใช้งานของเบอร์ต้องสงสัย ทั้งรูปแบบการใช้งาน ประวัติการติดต่อกับเหยื่อผู้เสียหาย หรือแม้แต่การใช้งานบนอุปกรณ์ที่ผิดกฎหมาย นับเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดทำให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามผู้กระทำความผิดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาดำเนินคดีทางกฎหมายได้เร็วยิ่งขึ้น”

ด้าน นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าให้ใช้บริการได้อย่างมั่นใจบนเครือข่ายปลอดภัยของ AIS  จึงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่องใน 3 ด้าน คือ 1.สนับสนุน ให้ความร่วมมือกับตำรวจ และ หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ในการติดตาม  ตรวจสอบ ปิดกั้น วางมาตรการจดทะเบียนแสดงตนเลขหมายอย่างโปร่งใส 2. พัฒนาเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ลูกค้าและประชาชนใช้ปกป้องการใช้งาน และแจ้งเบาะแสได้ด้วยตนเองอย่าง AIS Spam Report Center  3. การสร้างทักษะการใช้งานดิจิทัลในโครงการ อุ่นใจไซเบอร์ ที่จะช่วยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์และมิจฉาชีพได้ ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ได้บูรณาการ การทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่”

“โดยวันนี้ AIS ได้ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานเชิงรุก ไปอีกขั้น เปิดตัว บริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร โดยพัฒนาระบบอัจฉริยะบนเครือข่ายที่สามารถ Report เบอร์ที่รับสายล่าสุด เพียงกด *1185# โทรออกภายใน 5 นาที ระบบก็จะไปดึงเบอร์มิจฉาชีพหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ล่าสุดที่ลูกค้ารับสายแบบอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจำเบอร์ที่โทรเข้ามา จากนั้นภายใน 48 ชั่วโมง หากพบว่า รูปแบบการโทรของเบอร์เหล่านั้นมีความผิดปกติที่บ่งชี้ได้ว่าเบอร์ที่ลูกค้าแจ้งมาอาจเป็นมิจฉาชีพจริง AIS จะทำการส่งต่อข้อมูลไปยัง ตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมกับทำงานอย่างใกล้ชิด กับตำรวจสอบสวนกลางเพื่อตรวจสอบ และดำเนินการบล็อกเบอร์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้ไปก่อความเสียหายเพิ่มขึ้น รวมถึงดำเนินการทางกฎหมายในการติดตามจับกุม เอาผิดกับกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเด็ดขาด โดยบริการนี้จะสามารถ Report เบอร์ได้ทุกประเภท ทั้งเบอร์ 02, เบอร์มือถือจากทุกเครือข่าย, เบอร์จากต่างประเทศ , เบอร์จาก VoIP แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งในการ Report”    

นายปรัธนา กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า “แม้จะมีระบบการแจ้ง Report ที่มีประสิทธิภาพ แต่การทำงานด้านอื่นๆ ก็ยังต้องมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง AIS ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการทำงานของตำรวจสอบสวนกลาง และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาไปที่ต้นตอ ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายขั้นสูงสุด ตัดวงจรอุบาทว์จากมิจฉาชีพ จากทุกช่องทางอย่างดีที่สุดต่อไป”  

นอกจากนี้ทาง AIS ได้ตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยด้วย 5G SIM (5G SUCI SIM) ทั้งในรูปแบบ SIM Card และ eSIM แล้ววันนี้ โดยซิมรุ่นใหม่ของ AIS มีการยกระดับความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส-หมายเลขรหัสระบุตัวผู้ใช้บริการ (IMSI Encryption) ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานบนเครือข่าย AIS ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

JerHigh เปิดตัวขนมสุนัขสูตรพรีเมียม โปรตีนจากแมลง ในงาน Pet Fair South East Asia 2024

แบรนด์ ‘เจอร์ไฮ’ (JerHigh) และ ‘จินนี่’ (Jinny) นำอาหารและขนมสัตว์เลี้ยงจากกระบวนการผลิตที่ได้มาตฐาน Human Grade มาจัดแสดงในมหกรรมนวัตกรรมสัตว์เลี้ยงระดับภูมิภาค Pet Fair South East Asia 2024 เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจในทวีปเอเชียและยุโรป ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าระดับนานาชาติ โดยมีไฮไลท์ คือ ผลิตภัณฑ์ ‘JerHigh Insect Protein’ ขนมโปรตีนจากแมลงคุณภาพสูง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ไม่เติมเกลือ ไม่ใส่สารถนอมอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของน้องสุนัข ควบคู่ไปกับแนวคิดด้านความยั่งยืน ด้วยการบรรจุในซองพลาสติกรีไซเคิลได้ 100% เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่รักของทุกคน สอดคล้องกับพฤติกรรมการดูแลสัตว์เลี้ยงที่เปลี่ยนไปจากเพื่อนเฝ้าบ้าน กลายเป็นสมาชิกในครอบครัว ผู้เลี้ยงจึงต้องใส่ใจคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ เจอร์ไฮ และจินนี่ กล่าวว่า การร่วมงาน Pet Fair South East Asia 2024 เป็นโอกาสที่ดีที่ทางแบรนด์จะได้ร่วมหารือและพูดคุยกับลูกค้าและพันธมิตรทางการค้าเพื่อขยายฐานตลาดให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งเจอร์ไฮยังเป็นแบรนด์ครองใจน้องสุนัขอย่างต่อเนื่อง ด้วยความพิถีพิถันเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ เนื้อไก่ของซีพีเอฟที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับอวกาศขององค์การ NASA ที่นักบินอวกาศรับประทาน นำมาผ่านกระบวนการอบแห้ง ใช้อุณหภูมิต่ำ เพื่อคงไว้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการ ไม่เติมเกลือและไม่ใส่วัตถุกันเสีย ล่าสุด บริษัทฯ ยังต่อยอดขนมสำหรับสุนัข ภายใต้แบรนด์ “JerHigh Weness” 100% Natural ที่มีมากกว่าความอร่อย อัดแน่นด้วยซูเปอร์ฟู้ดส์ ทั้ง คีนัว ผักโขม แครอท ฝักทอง สตรอว์เบอร์รี่ และน้ำผึ้ง ตอบรับเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมียม

“แบรนด์ จินนี่ ขนมและอาหารของน้องแมว ซึ่งได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน นอกจากรสชาติที่พัฒนาให้ถูกใจสัตว์เลี้ยงตัวโปรดแล้ว ยังมีการคัดสรรวัตถุดิบหลักคุณภาพสูง อย่าง ปลาทูน่า คุณค่าจากท้องทะเลน้ำลึกที่น้องแมวคู่ควร ทำให้อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ทำให้สัตว์เลี้ยงตัวโปรดมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยง่าย ที่สำคัญ ทุกสูตรของแบรนด์จินนี่ การันตีได้ว่า ไม่มีส่วนผสมของกลูเตน” นายกิติศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด ยังคว้ารางวัล CSR-DIW Awards จากกระทรวงอุตสาหกรรม มอบให้แก่สถานประกอบการที่ส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บูธของแบรนด์ ‘เจอร์ไฮ’ (JerHigh) และ ‘จินนี่’ (Jinny) พร้อมเปิดให้เจรจาธุรกิจเต็มรูปแบบ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น ณ บูธ T01, ทางเข้า EH98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC บางนา ติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ www.petfair-sea.com นอกจากนี้สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เจอร์ไฮ เพิ่มเติมได้ที่ www.jerhigh.com .